พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    <TABLE class=tborder style="BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=tcat colSpan=2>
    ข้อความส่วนตัว: ขอสมัครเป็นสมาชิกชมรมครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> วันนี้, 05:31 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right></TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>จเรกระบี่<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Sep 2009
    ข้อความ: 6
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 0
    ได้รับอนุโมทนา 15 ครั้ง ใน 6 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER>ขอสมัครเป็นสมาชิกชมรมครับ

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>ผมประสงค์จะสมัครเป็นสมาชิกชมรมคนรักษ์พระสมเด็จวังหน้าครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    --------------------------------------------

    มี pm สดๆร้อนๆ มาถึงผม

    เรียนคุณจเรกระบี่<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>

    ชมรมคนรักษ์พระสมเด็จวังหน้า ไม่มีนะครับ มีแต่ ชมรมรักษ์พระวังหน้า (แซวนะครับ)

    ขอตอบนะครับ (ผมเคยนำลงในกระทู้พระวังหน้าฯนี้แล้ว และได้นำไปลงในกระทู้ ชมรมรักษ์พระวังหน้า ในกลุ่ม พระวังหน้า เว็บพลังจิต)

    สำหรับท่านที่สนใจจะสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ผมมีกติกาอยู่สองเรื่อง คือ

    1.ต้องร่วมทำบุญ ร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ทำมาก ทำน้อยไม่เป็นไร ทำบ่อยๆดีครับ

    2.เข้ามาพูดคุยกันในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ บ่อยๆ

    เมื่อถึงเวลา ผมจะขอเบอร์โทร.ของท่านเอง

    ไม่ต้อง pm เข้ามาหาผม ทั้งเรื่องของการดูพระพิมพ์ ,วัตถุมงคลต่างๆ และขอสมัครสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า นะครับ หากท่าน pm เข้ามาหาผม ผมจะคัดลอกข้อความของท่าน มาลงในกระทู้พระวังหน้าฯ โดยจะไม่ปิดชื่อสมาชิกเว็บพลังจิต เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และจะตอบในกระทู้พระวังหน้าฯครับ

    ขอบคุณครับ
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    #32318

    ชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ผมยืนยันว่า ชมรมนี้ สมัครได้ยาก เมื่อสมัครแล้วก็ยากกว่าอีก

    การตั้งจิต ตั้งสัจจะ และสาบาน เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ในการที่จะคัดกรองท่านที่มีความศรัทธาในคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณ-อุตร) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 ต้องมีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม , มีความมุ่งมั่น , ความอดทน , ความเพียร ,ความพยายาม และ ฯลฯ

    กว่าจะสมัคร ก็สมัครได้ยาก สมัครแล้วต้องรักษาการตั้งจิต ตั้งสัจจะ และสาบาน ยิ่งยากกว่า เนื่องจากหากสมัครมาเพื่อต้องการพระพิมพ์และหรือวัตถุมงคลแต่เพียงอย่างเดียว ผมจะบอกว่า ท่านที่สมัครมาในลักษณะนี้ได้พระพิมพ์และวัตถุมงคลไปได้แน่นอน แต่ผลที่จะติดตามมาในอนาคตก็คือ การปฎิบัติธรรม เมื่อท่านตั้งใจจะปฎิบัติธรรมเพื่อจุดมุ่งหมายคือพระนิพพานเมื่อไหร่ ท่านปฎิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่ง ท่านทำได้แค่ไหน ท่านปฎิบัติได้แค่ไหน ท่านก็จะอยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหน เนื่องจากการทึ่ตั้งจิต ตั้งสัจจะ และสาบานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ ฯลฯ กว่าจะตามไปแก้ไข โอ้ ไม่อยากคิดเลย

    ผมเองก็บอกมาหลายครั้งมากแล้วว่า กว่าที่ผมจะมาได้พบ ได้เห็น ได้รู้จักพระวังหน้า ก็เป็นระยะเวลาเป็น 10 ปี เสียเงินไปมากมาย
    แล้วท่านมีโอกาสดีกว่าผมมากนัก ไม่ต้องเสียเวลา(ซึ่งไม่รู้ว่า หาแล้วจะได้พบ ได้เห็น หรือไม่) ไม่ต้องเสียเงิน(ก็หลายแสนอยู่)

    คงบอกเพียงเท่านี้ครับ ลองอ่านดูในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ดูนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    มาย้ำครับ

    ต้องมีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม , มีความมุ่งมั่น , ความอดทน , ความเพียร ,ความพยายาม และ ฯลฯ ในเรื่ององค์ความรู้ของท่านอาจารย์ประถม เรื่องคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณ-อุตร) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 และ พระวังหน้า ครับ

    หมายเหตุ หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 คือ กลุ่มหลวงปู่ที่ท่านอยู่ที่ชั้นสุทธาวาส ซึ่งท่านสามารถตัดเข้าสู่พระนิพพานได้ตลอดเวลา แต่หลวงปู่ท่านยังไม่ไป เนื่องจากสาเหตุส่วนหนึ่งเพราะหลวงปู่ท่านยังห่วงลูกหลานของท่านอยู่

    หลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 คือ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว , หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เป็นต้น
     
  2. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, จเรกระบี่, jirautes, แหน่ง+, nongnooo+, chantasakuldecha+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ่า มาร่วมกันอวยพร น้องรัก ให้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศพม่า อย่างปลอดภัยทุกประการกันนะครับชาวชมรมรักษ์พระวังหน้า

    ว่าแต่ว่า ค่าไฟที่แพง สงสัยว่า เป็นเพราะค่าเครื่องบินชั้นบิสิเนสคลาส กับ ค่าโอที แน่เลย น้ำมันกับก๊าซก็เลยแพง ทำให้ค่าไฟแพง เหอๆๆ
     
  3. จเรกระบี่ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +3
    เรียน คุณ sithiphong ที่นับถือ
    สมัครยาก เป็นแล้วยากยิ่งกว่าก็ไม่เป็นไรครับ จะพยายาม และจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของชมรมด้วยความเต็มใจทุกประการ เนื่องจากผมศรัทธาสมเด็จโต และหลวงปู่มานานแล้วครับ ยิ่งได้มาอ่านบทความ ข้อเขียนต่างๆในเว็ปพลังจิต ก็ยิ่งศรัทธาเป็นทัพทวีคูณครับ จเร
     
  4. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประสบการณ์ใหม่ หากสมาชิกชมรมรักษ์พระวังหน้า และคณะพระวังหน้า ท่านใดห้อยพระกริ่งหลวงปู่กรมพระยาปวเรศ ลองดูนะครับ

    เมตตา - มหานิยม

    ก็ไม่เป็นรองพระสมเด็จ อกครุฑ แน่นอน

    .
     
  5. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียนคุณจเร

    หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน

    ประสบการณ์ที่ผ่านมาในหลายๆครั้ง หลายๆเรื่องตั้งแต่ผมตั้งกระทู้พระวังหน้าฯนี้ขึ้นมา เป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีประสบการณ์กับผู้คนทั้งหลายเป็นอย่างมาก ต่อให้มีเงินทองมากมาย ก็ไม่อาจหาซื้อประสบการณ์นี้ได้ จึงทำให้เป็นบทเรียน(นอกห้องเรียน) ที่ล้ำค่าในการจะดำเนินการในเรื่องของชมรมรักษ์พระวังหน้าต่อไปครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  6. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในหลวงทรงหายจากพระปัปผาสะอักเสบแล้ว

    ����ǧ�ç��¨ҡ��лѻ�����ѡ�ʺ����




    ในหลวงทรงหายจากพระปัปผาสะอักเสบแล้ว (คมชัดลึก)

    ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์มีพระดำรัส ในหลวงพระอาการดีขึ้นมาก ไม่มีไข้ ทรงทำกายภาพบำบัดจนลุกขึ้นยืน-ทรงพระดำเนินได้ อีกไม่นานพระพลานามัยจะแข็งแรงเหมือนเดิม จะเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักได้ ด้าน ดร.สุเมธ เผยแม้ทรงพระประชวรแต่ก็ทรงงาน

    เมื่อเวลา 19.25 น.เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ เรื่องพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 34 หลังจากที่ไม่ได้ออกแถลงการณ์เผยแพร่มากว่า 1 สัปดาห์ ความว่า วันนี้คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รายงานว่า ผลการตรวจพระอุระ (อก) ด้วยเครื่องเอกซเรย์ ไม่พบการอักเสบของพระปัปผาสะ(ปอด)ผลการตรวจพระโลหิต ไม่บ่งชี้ว่ามีการอักเสบ พระอาการทั่วไปดีขึ้นมาก ทรงมีกำลังพระวรกายแข็งแรงขึ้นอีก เสวยพระกระยาหารได้เป็นปรกติ คณะแพทย์ฯ จึงงดถวายพระโอสถปฏิชีวนะแต่ยังคงถวายพระ กระยาหารบำรุงตามหลักโภชนาการต่อไป

    พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ยังได้มีแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษ มาแจกจ่ายกับสื่อมวลชนด้วย เนื่องจากมีสำนักข่าวต่างประเทศ มาเฝ้าสังเกตการณ์พระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย

    และวันน (30 ตุลาคม)สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานสัมภาษณ์แก่คณะสื่อมวลชน ถึงความคืบหน้าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระอาการดีขึ้นมากแล้ว ทรงไม่มีไข้ ทรงทำกายภาพบำบัดจนสามารถลุกขึ้นยืนและทรงพระดำเนินได้ โดยทรงใช้เครื่องช่วยประคองที่เรียกว่า วอล์กเกอร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหัดพระดำเนินทุกวัน อีกไม่นานก็จะมีพระพลานามัยแข็งแรงเหมือนเดิม และคงจะเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักได้

    ส่วนบรรยากาศการลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา พร้อมด้วยนายมนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมลงนามถวายพระพร

    นายสุเมธ กล่าวว่า ขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายประชวรโดยเร็ว จะได้ทรงงานต่อไป แท้จริงแล้วแม้ว่าพระองค์ทรงพระประชวร แต่ก็ทรงงาน เพราะเมื่อวานก่อนตนตามเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่โครงการระบบกักเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำริ (น้ำฮูรายทาง) ต.สบป่อง อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮองสอน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชกระแสรับสั่งให้สร้างเขื่อนในถ้ำ ประสบความสำเร็จอย่างดี ทำให้แม่ฮ่องสอนมีน้ำตลอดปี

    "ผมได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเทพฯ พระองค์รับสั่งว่า ได้ถวายรายงานความคืบหน้าโครงการแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ดีพระทัย สิ่งที่คิดไว้เป็นระยะเวลานานผลสุดท้ายก็ได้รับความสำเร็จ ครั้งที่เสด็จฯ ลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรตินั้น ทำให้พวกเรารู้สึกดีใจมากที่พระพลานามัยสมบูรณ์ ซึ่งตอนนี้น่าจะทรงทำกายภาพอยู่" นายสุเมธกล่าว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ และคณะบุคคล ได้เดินทางมาลงนามถวายพระพรกันอย่างเนืองแน่น เช่น นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รักษาการผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มาพร้อมคณะนำผู้ต้องขังชั้นดีที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ สมาคมเครือข่ายเกษตรกร 19 จังหวัดภาคอีสาน นำผลไม้ปลอดสารพิษนานาชนิดนำมาทูลเกล้าฯ ถวาย นักเรียนโรงเรียนแย้มสะอาด ลาดพร้าว นำพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 23 ภาพ พร้อมสมุดรายชื่อครูและนักเรียนที่ลงนามถวายพระพรมาทูลเกล้าฯ ถวาย

    วันเดียวกัน พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า ตามที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โปรดให้สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชถวายมหาสังฆทาน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้มีพระพลานามัยแข็งแรง หายจากพระอาการประชวร ทุกวันจันทร์ เวลา 09.15 น. ที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร จนกว่าจะหายจากพระอาการประชวรนั้น

    เนื่องด้วยในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ เป็นดิถีวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 12 เวลา 09.15 น.เป็นวันมหามงคล สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชเตรียมจัดถวายมหาสังฆทานเป็นพิเศษ โดยสวดมนต์บทโพชฌงคปริตร และนำดอกมณฑาทิพย์จากวัดไลย์ เขาสมอคอน จ.ลพบุรี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นดอกไม้วิเศษมาถวายเป็นพุทธบูชาในพิธี เพื่อขอพรจากพระศรีอาริย์ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปราศจากโรคภัย อันตรายทั้งปวง และมอบพระสมเด็จกลีบบัวจำนวน 915 องค์ แก่พุทธศาสนิกชนด้วย

    ส่วนที่สนามกีฬาหน้าที่ว่าการอำเภอยะหา จ.ยะลา นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานในพิธีลงนามถวายพระพร และละหมาดฮายัต เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากอาการพระประชวร โดยมีผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธีกว่า 1,000 คน


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยรัฐ

     
  7. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านโดจิกัน เนื่องในโอกาสที่ท่านโดจิ ชนะเลิศในการแข่งไวโอลิน ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของกรุงเทพมหานคร ไปแข่งชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ชิงถ้วยองค์ทีปังกร

    เยี่ยมมากครับท่านโดจิ

    ลุงหนุ่มไม่ขอมาก ขอแค่ท๊อปไฟว์ก็พอนะครับท่านโดจิ

    ขอต่อว่าคุณnongnooo ด้วยว่า เรื่องดีๆแบบนี้ ต้องมาแสดงความยินดีกัน ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้เจอหน้าท่านโดจิ 10 นาทีด้วย เหอๆๆๆ
     
  8. nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่า...ขอบคุณครับแค่ไหนแค่นั้นครับ หุ หุ
     
  9. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ว่าแต่ว่า คิดถึงท่านโดจิมากกกกกกกกกกกกกกก

    คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง




    สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆน๊ะท่านโดจิ <!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    เป็นกำลังใจให้ด้วยคนครับ
    :VO
     
  11. แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    แสดงความยินดีด้วยคนครับผม
     
  12. แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    เห็นด้วยอย่างยิ่งครับท่านเลขาฯ
    อ่านแล้วก็งง เฮ่อ
     
  13. :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ต้องมาแสดงความยินดีกับสมาชิกพระวังหน้าที่อายุน้อยที่สุดด้วยนิ...
     
  14. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จีนโหวตทางเน็ต สมเด็จพระเทพฯ มิตรดีที่สุดในโลก อันดับ 2


    ����稾��෾� ��Ǩչ��ǵ������� �Եôշ���ش���š �ѹ�Ѻ 2






    จีนโหวตทางเน็ตฯ พระเทพ มิตรดีที่สุดในโลก (ไทยรัฐ)

    เผย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับการเทิดทูนและยกย่องจากชาวจีนให้เป็น "มิตรที่ดีที่สุดในโลก" อันดับที่ 2 โดยทรงได้รับคะแนนโหวตจากชาวจีนทั่วประเทศถึงกว่า 2 ล้านคะแนน คนไทยสุดปลื้มปีติที่ทรงได้รับการถวายพระเกียรติ หลังจากก่อนหน้านี้ทรงได้รับการถวายพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน" และทรงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนแน่นแฟ้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ จากการเสด็จฯเยือนจีนจนครบหมดทั่วทุกมณฑลของจีนที่กว้างใหญ่ไพศาล

    นับเป็นข่าวที่พสกนิกรไทยสุดปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง และถือเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่โลกและชนสองชาติคือไทย-จีน ต้องจารึกไว้ เมื่อสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับการเทิดทูนและยกย่องจากชาวจีน ให้เป็น "มิตรที่ดีที่สุดในโลก" หลังจากที่ทรงได้รับการยกย่องและได้รับพระสมัญญาว่าเป็น "ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน" จากการที่ทรงเจริญสัมพันธไมตรี ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศจีนถึง 20 ครั้ง และยังเสด็จเยือนครบหมดแล้วในทุกมณฑลของจีน ซึ่งมีแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก นับเป็นราชนิกูลพระองค์เดียวในโลกที่เสด็จเยือนจีนมากที่สุด ทำให้ทรงเป็นประดุจสัญลักษณ์ของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีน อีกทั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงสนพระทัยในภาษาจีน รวมทั้งให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมของจีนอย่างมาก ส่งผลให้ ความสัมพันธ์ของไทย-จีน กระชับแน่นและมีความพัฒนามากขึ้นเป็นทวีคูณ

    ทั้งนี้ ข่าวอันน่าปลื้มปีติครั้งนี้ เป็นที่เปิดเผยขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 30 ต.ค. หลังจากมีรายงานว่า มีข่าวทางอินเตอร์เน็ตว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการโหวตทางอินเตอร์เน็ตจากชาวจีนทั่วประเทศ ด้วยคะแนนกว่า 2 ล้านคะแนน ให้สมเด็จพระเทพฯ เป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลกอันดับ 2 โดยมิตรที่ดีที่สุดในโลกที่ชาวจีนโหวตให้เป็นอันดับ 1 คือ ฮวน อันโตนิโอ ซามารานซ์ อดีตประธานโอลิมปิกสากล ชาวสเปน ที่เป็นผู้สนับสนุนให้จีนได้จัดกีฬาโอลิมปิกในปี 2008 นอกจากนี้ยังมีการจัดอันดับมิตรที่ดีที่สุดในโลกของจีน ในอันดับอื่น ๆ อีก แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับการโหวตเป็นผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว

    ค่ำวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายกวนมู่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ถึงข่าวอันเป็นที่น่ายินดีและสุดปลื้มปีติของคนไทย ในการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงได้รับการยกย่องจากชาวจีนว่าเป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลก ว่ายังไม่ทราบข่าวที่แน่ชัด แต่จะขอตรวจสอบไปทางประเทศจีนก่อนถึงข่าวอันน่ายินดีนี้และจะเปิดเผยให้ทราบต่อไป

    อย่างไรก็ตาม จากพระราชประวัติของสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มีผู้เขียนไว้เป็นรายงานพิเศษในบล็อกทางอินเตอร์เน็ต มีการระบุไว้ว่า สมเด็จพระเทพฯ หรือที่คนจีนทั่วไป คุ้นเคยกับการกล่าวขานพระนามของพระองค์ว่า "สิรินธร" ได้เสด็จเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2524 และเพียง 23 ปี ให้หลังก็ทรงเสด็จเยือนจีนได้ครบหมดทุกมณฑล ทั้งที่บางมณฑลของจีนมีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย

    นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพฯยังทรงเรียนภาษาจีนจนเชี่ยวชาญและยังทรงเคยเสด็จไป ศึกษาภาษาและวัฒนธรรมของจีน เพิ่มเติมถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นเวลา 1 เดือน เมื่อปี 2544 สร้างความประหลาดใจและปลาบปลื้มใจแก่ คณาจารย์ชาวจีนที่ถวายการสอนอย่างยิ่ง ว่าเหตุใดสมเด็จพระเทพฯจึงทรงให้ความสำคัญกับประเทศจีนและภาษาจีนขนาดนี้ และเมื่อช่วงเวลาแห่งการเรียนภาษาจีนสิ้นสุดลง ทางมหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่พระองค์ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 44 และก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2543 กระทรวงศึกษาธิการของจีน ก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลมิตรภาพภาษาและวัฒนธรรมจีนแด่สมเด็จพระเทพฯด้วย นอกจากนี้สมาคมมิตรภาพวิเทศสัมพันธ์แห่งประชาชนจีน ก็ได้ถวายสมัญญาพระนามแด่สมเด็จพระเทพฯ ให้ทรงเป็นทูตสันถวไมตรีไทย-จีนเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2547

    นอกจากการ เรียนภาษาและวัฒนธรรมแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงเรียนการเขียนลายสือจีน การวาดภาพแบบจีน และฝึกรำมวยไทเก๊ก จนเชี่ยวชาญอีกด้วย จากการที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จเยือนจีนทุกปีในช่วงที่ผ่านมา ยังทรงถ่ายทอดประสบการณ์การเยือนแผ่นดินจีนตั้งแต่ครั้งแรก เป็นพระราชนิพนธ์ให้คนไทยได้อ่าน อาทิ สารคดีท่องเที่ยวเรื่อง ย่ำแดนมังกร มุ่งไกลในรอยทราย เกล็ดหิมะในสายหมอก ใต้เมฆที่เมฆใต้ เย็นสบายชายน้ำ คืนถิ่นจีนใหญ่และเจียงหนานแสนงามเป็นต้น ซึ่งทุกพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ ไม่เพียงจุดประกายให้คนไทยไปเที่ยวจีนมากขึ้น แต่ยังช่วยให้ คนไทยมีความเข้าใจในประเทศจีน คนจีนและวัฒนธรรมจีน เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณด้วย

    สำหรับผลโหวตของนักท่องเน็ตชาวจีนที่ได้มีการโหวตถึงมิตรที่ดีที่สุดในโลกของชาวจีนจำนวน 10 คน จาก จำนวน 50 คน ในรอบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีการประกาศผลเมื่อวันที่ 9 ต.ค. โดยนอกเหนือจากนายซามารานซ์และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้รับการโหวตแล้ว ยังมีผู้ได้รับการโหวต ว่าเป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลกของจีนอีก 8 คน คือ

    1. Norman Bethune นายแพทย์ชาวแคนาดา ผู้เสียชีวิตในสงครามจีน ญี่ปุ่น ในปี 1930s โดยการรักษาชีวิตของทหารจีน

    2. John Rabe ชาวเยอรมันผู้ช่วยชีวิตชาวจีน 250,000 คน ระหว่างการสังหารโหดที่นานกิง โดยการรุกรานของญี่ปุ่น

    3. Edgar Snow นักเขียนอเมริกันผู้เขียน "Red Star over China" in the 1930s ที่ทำให้กองทัพแดงและประธานเหมาเจอตุงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

    4. Dr.Joseph Needham, นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษผู้ใช้เวลาเกือบห้าสิบปี ในการประพันธ์ "Science and Civilisation in China".

    5. Israel Epstein ; ชาวโปแลนด์เชื้อชาติจีน

    6. Rewi Alley ; นักการศึกษา นิวซีแลนด์

    7. นายแพทย์ชาวอินเดีย Kwarkanath S. Kotnis

    8. นาย Morihiko Hiramatsu อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด Oita ประเทศญี่ปุ่น 8 สมัย ซึ่งเป็นผู้นำการพัฒนาโครงการ หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Village One Product) ที่เรียกย่อว่า OVOP แล้วเมืองไทยมาลอกเลียนเป็น OTOP นั่นเอง

    ส่วน เว็บไซต์ที่มีการรายงานข่าวผลการโหวตของนักท่องเน็ตชาวจีน เป็นเว็บไซต์ของจีน คือ ในเว็บไซต์ echinacities.com รวมถึงเว็บไซต์ m.cri.cn และเว็บไซต์ english.cctv.com ได้เผยว่า การประกาศผลครั้งนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างสมาคมมิตรภาพกับประเทศต่าง ชาติแห่งประชาชนจีน กับองค์การบริหารผู้เชี่ยวชาญกิจการต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานีวิทยุสากลจีน (ซีอาร์ไอ) จัดการโหวตทางออนไลน์ให้กับตำแหน่งมิตรแห่งชาติ 10 อันดับ ของประชาชนชาวจีน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน โดยเริ่มให้ชาวจีนโหวตตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.-10 ต.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ร่วมโหวตจำนวนทั้งสิ้น 56 ล้านเสียง ส่วนพิธีมอบรางวัลคาดว่าซีอาร์ไอจะจัดขึ้นในไม่ช้านี้ แต่ในรายงานข่าวไม่ได้ระบุวันและสถานที่ชัดเจนแต่อย่างใด


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
     
  15. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำรวจพบ ข้าราชการ ซี 3 - 5 หนี้สินเยอะสุด

    ����Ҫ��� �� 3 - 5 ˹���Թ �����ش



    ธนบัตร​


    สำรวจพบขรก.ซี3-5หนี้สินเยอะสุด (ไทยรัฐ)

    เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ สำนักงานก.พ. นางเบญจวรรณ สร่างนิทร เลขาธิการก.พ. เปิดเผยว่า ทางก.พ.ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการสำรวจสภาวะการครองชีพของข้าราชการพลเรือนสามัญทุกระดับ ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ ในปี 2551 จากกลุ่มตัวอย่าง 12,945 ราย พบว่า ครอบครัวข้าราชการพลเรือนสามัญ ร้อยละ 84.0 มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 219,737 ล้านบาท คิดเป็นหนี้สินเฉลี่ย 749,771 บาทต่อครอบครัว โดยพบว่าข้าราชการระดับ 3-5 มีสัดส่วนการเป็นหนี้สูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 85.8 เฉลี่ย 614,109 บาท รองลงมาคือข้าราชการระดับ 6-8 เป็นหนี้ร้อยละ 83.6 เฉลี่ย 847,003 บาท อย่างไรก็ตามหนี้สินส่วนใหญ่คือที่อยู่อาศัย รองลงมาคือหนี้จากการซื้อและซ่อมแซมยานพาหนะ คิดเป็นร้อยละ 16.7 และค่าอุปโภคบริโภค ร้อยละ 12.4
    เลขาฯก.พ. กล่าวว่า สำหรับผลการสำรวจรายได้และรายจ่ายของครอบครัวข้าราชการ เฉลี่ยเดือนละ 41,139 บาท โดยเป็นรายได้จากเงินค่าตอบแทน (เงินเดือน/เงินประจำตำแหน่ง/เงินเพิ่มพิเศษ) ร้อยละ 82.5 ส่วนรายจ่ายของครอบครัวข้าราชการ 32,411 บาท โดยส่วนใหญ่เป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม หรือคิดเป็นร้อยละ 24.4 ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะ การเดินทาง และการสื่อสาร ร้อยละ 19.3

    ทั้งนี้เมื่อเทียบรายได้ รายจ่าย และหนี้สินของครอบครัวข้าราชการระหว่างปี 2547-2551 พบว่า ครอบครัวข้าราชการมีรายได้สูงกว่ารายจ่าย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยจาก 24,970 เป็น 32,411 บาท หนี้สินต่อรายได้ครอบครัวข้าราชการ จาก 16.8 เท่า เพิ่มขึ้นเป็น 18.2 เท่า

    เลขาฯก.พ. กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นพบว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญ ร้อยละ 91.5 ต้องการให้รัฐบาลเพิ่มเงินเดือน , ร้อยละ 48 ต้องการให้สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน และสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก , ร้อยละ 45.9 ต้องการยกเลิกค่าเช่าบ้าน แต่ขอรับเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย , ร้อยละ 41.8 ต้องการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงการเดินทางไปราชการให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม สำนักงานก.พ.จัดทำการสำรวจสภาวะค่าครองชีพเช่นนี้มาต่อเนื่องทุก 2 ปี เพื่อนำข้อมูลไปเป็นแนวทางประกอบการพิจารณา กำหนดนโยบายของรัฐ เกี่ยวกับการปรับปรุงเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการ ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด


    http://hilight.kapook.com/view/43037
     
  16. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทองคำบางตะพาน

    คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง

    โดย ราม วัชรประดิษฐ์

    ˹ѧ

    http://www.khaosod.co.th/view_news....ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB3TVE9PQ==

    ทองคำบางตะพาน

    คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง

    โดย ราม วัชรประดิษฐ์



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ทองคำในสยามประเทศเป็นแร่ธาตุที่รู้จักกันมาแต่โบราณ เช่น ในคติความเชื่อทางจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ กล่าวถึง "ชมพูทวีป" อันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ เนื่องมาจากเป็นแหล่งกำเนิดของทองคำเนื้อสีชมพูอ่อนงดงาม ซึ่งเกิดจากลูกหว้าขนาดใหญ่ในป่าหิมพานต์ ที่รู้จักกันในชื่อ "ทองชมพูนุช" จนกลายมาเป็นชื่อทวีปในความเชื่อทางศาสนา

    นอกจากนี้ มีการค้นพบว่าพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือหลวงพ่อทองคำสุโขทัยไตรมิตร ซึ่งได้รับการบันทึกใน "The Guinness Book of Records" ว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำใหญ่ที่สุดในโลกนั้น มีปริมาตรของทองคำเรียกกันอย่างโบราณว่า "ทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา" เป็นต้น

    อาจกล่าวได้ว่าเราพบหลักฐานการสร้างพระพุทธรูปและพระเครื่องจากทองคำแท้ตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ไม่ใช่ทองแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งในสมัยสุโขทัยยิ่งพบพระพุทธรูปทองคำมากเป็นพิเศษ

    ส่วนทองคำที่มีเปอร์เซ็นต์ทองสูงมากนั้น เรามาพบภายหลังเรียกว่า "ทองคำบางตะพาน" หรือ "ทองคำบางสะพาน" จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีความงดงาม สุกปลั่ง แวววาว และที่สำคัญมีปริมาตรเนื้อทองบริสุทธิ์มากกว่าทองคำโบราณใดๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่อดีต โดยจะขุดพบในเขต ต.ร่อนทอง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเฉพาะในหมู่บ้านป่าร่อน และบริเวณห้วยจังหัน จะเป็นแหล่งที่พบมากเป็นพิเศษ

    มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่า ทองคำบางตะพานพบครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ราวปี พ.ศ.2289 (จ.ศ.1181) เมื่อผู้รั้งเมืองกุยบุรีส่งทองคำร่อนเนื้อบริสุทธิ์หนัก 3 ตำลึงมาถวาย พระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์ไพร่ 2,000 คน ไปทำการร่อนหาทอง เนื่องจากไม่เคยพบทองเนื้อบริสุทธิ์ถึงขนาดนี้มาก่อน จนในปี พ.ศ.2291 ผู้รั้งเมืองกุยจึงรวบรวมทองได้ถึง 90 ชั่งเศษ คิดเป็นน้ำหนัก 54 ก.ก. หรือ 3,600 บาท พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงมีพระราชศรัทธาถวายทองแผ่คลุมยอดมณฑปพระพุทธบาท สระบุรี ตั้งแต่ส่วนเหม (มกร) และนาคลงมา แล้วยกผู้รั้งเมืองกุยให้เป็นเจ้าเมืองกุยบุรี แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในคราวเหตุการณ์วุ่นวายตอนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ทองดังกล่าวถูกกลุ่มจีนฮ่อเผาและลอกออกไปจนหมดสิ้น

    การพบทองคำเนื้อบริสุทธิ์จนเป็นที่กล่าวขวัญในครั้งนั้นเนื่องจากว่าเราไม่เคยพบทองเนื้อเก้า หรือทองนพคุณมาก่อน จะพบอย่างมากก็เพียงทองเนื้อสี่ ทองเนื้อห้า ทองเนื้อหก ทองเนื้อเจ็ด หรือทองเนื้อแปดน้ำสองขาเท่านั้น ดังนั้น ทองเนื้อเก้าจึงจัดเป็นทองที่ไม่มีแร่ธาตุอื่นเจือปน กล่าวกันว่าใช้เพียงความร้อนเป่าเอาเศษดินออกโดยไม่ต้องใช้กระบวนการถลุงก็จะได้ทองเนื้อบริสุทธิ์ ซึ่งเรารู้จักทองคำชนิดนี้ในหลายๆ ชื่อ เช่น ทองชมพูนุช ทองนพคุณ ทองเนื้อแท้ และทองคำเลียง เป็นต้น

    ในปี พ.ศ.2548 ต.บางสะพาน ถูกน้ำท่วมขนาดหนัก เมื่อน้ำลดมีผู้พบเห็นเกล็ดทองที่พัดมากับสายน้ำติดค้างอยู่ตามซอกหิน ทำให้ผู้แสวงโชคแห่กันมาร่อนทอง และชมความมหัศจรรย์ของแหล่งแร่สูงค่าที่มีมาแต่โบราณ วิธีการร่อนทองจะขุดดินแล้วนำมาขยำผสมน้ำใส่ใน "เลียง" ซึ่งทำจากไม้ขนุนก้นสอบเหมือนหมวกญวน จากนั้นก็ขยำและเอียงเลียงให้น้ำในคลองพัดพาเอาดินค่อยๆ หลุดออกไป หากโชคดีก็จะมีเศษทองติดอยู่ก้นเลียง นักท่องเที่ยวนิยมมาขอซื้อโดยให้ราคาดี เพราะนอกจากจะขึ้นชื่อว่าเป็นทองเนื้อบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว ยังมีความเชื่อว่าทองเนื้อเก้ามีคุณวิเศษจากธรรมชาติที่จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับผู้ครอบครองอีกด้วย แต่ปัจจุบันต้องระวังให้มาก เนื่องจากมีการนำทองพม่า หรือเกล็ดทองอื่นๆ มาหลอกขายนักท่องเที่ยว บางครั้งทำเป็นว่าพบในขณะทำการร่อนทองก็มี

    ดังนั้น ในการจะซื้อจะหาทองบางตะพานนี้ต้องใช้ความรอบคอบและต้องดูทองโบราณให้เป็นด้วย หลักสำคัญจำไว้ให้แม่นว่า ทองโบราณจะไม่สุกปลั่งเหมือนทองชุบ คนโบราณเขาเรียกว่าทองด้าน ครับผม
     
  17. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพธรรมสายหลวงปู่มั่น

    คอลัมน์ อริยะโลกที่6



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>"จงบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญาให้เป็น อธิศีล อธิสมาธิ อธิปัญญา"

    ธรรโมวาท หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา หนึ่งในพระป่ากัมมัฏฐาน ในฐานะแม่ทัพธรรมสาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่สาธุชนให้ความเลื่อมใสศรัทธายิ่ง

    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สิงห์ บุญโท เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2432 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีฉลู ที่บ้านหนองขอน ต.หัวทะเล อ.อำนาจเจริญ จ.อุบล ราชธานี โยมบิดาชื่อ อ้วน บุญโท เป็นข้าราชการหัวเมืองลาวกาว-ลาวพวน มีหน้าที่จัดการศึกษาและการพระศาสนา มารดาชื่อ นางหล้า บุญโท

    พ.ศ.2446 ได้บรรพชา ณ วัดบ้านหนองขอน ต.หัวทะเล อ.อำนาจเจริญ จ.อุบล ราชธานี

    จนเมื่ออายุครบบวชได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดสุทัศน์ฯ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2452 โดยมี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) สมัยเมื่อดำรงสมณศักดิ์ที่พระศาสนดิลก เจ้าคณะมณฑลอีสาน เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นได้เข้าถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และได้ฝึกอบรมสมาธิภาวนากัมมัฏฐานอยู่กับหลวงปู่มั่น

    เนื่องจากท่านเป็นศิษย์ที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านหลวงปู่มั่นเป็นอย่างมาก หลวงปู่มั่นจึงได้แยกย้ายให้ไปอบรมสั่งสอนประชาชน

    หลวงปู่สิงห์ เป็นพระที่สามารถให้อุบายธรรมแก่บรรดาลูกศิษย์ โดยไม่ว่าผู้ใดติดขัดปัญหาธรรมแล้ว ท่านจะแนะนำอุบายให้พิจารณาจนกระจ่าง บางโอกาสท่านต้องรับภาระหน้าที่แทนหลวงปู่มั่น นับว่าหนักหนาพอสมควรทีเดียว

    ต่อมาหลวงชาญนิคม ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเลื่อมใสในพระธุดงค์กัมมัฏฐานมาก มีประสงค์เป็นอย่างยิ่งที่จะฟื้นฟูจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นศูนย์รวมของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงได้นิมนต์หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ให้ไปช่วยสร้างวัดป่าสาลวัน เพื่อเป็นวัดป่าตัวอย่างของฝ่ายวิปัสสนาธุระ

    หลวงปู่สิงห์ได้มีโอกาสพบกับสหธรรมิก ซึ่งต่อมาเป็นพระเถระผู้ใหญ่แห่งจังหวัดสุรินทร์ คือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเกิดชอบอัธยาศัยไมตรีของหลวงปู่ดูลย์ จึงได้จัดการช่วยเหลือพระสหาย ได้ญัตติเป็นพระธรรม ยุติกนิกาย เป็นผลสำเร็จเมื่อปีพ.ศ.2461

    พ.ศ.2463 หลวงปู่สิงห์ท่านได้เดินธุดงค์ผ่านมาพักจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านนาสีดา ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ท่านได้พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง มีความเคารพนับถือพระอาจารย์สิงห์มากเป็นพิเศษ เข้ามารับใช้อุปัฏฐากทุกสิ่งอย่าง เด็กหนุ่มคนนั้นคือ หนุ่มเทสก์ เรี่ยวแรง ซึ่งก็คือ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ในขณะนั้นมีอายุ 16 ปี

    ท่านได้มองเห็นบุญญาธิการของหลวงปู่ เทสก์ตั้งแต่แรกพบ เมื่อคณะธุดงค์ของท่าน จะออกจากวัดบ้านนาสีดา หลวงปู่เทสก์ (ในขณะนั้นคือ หนุ่มเทสก์ เรี่ยวแรง) ได้ขอติดตามพระอาจารย์ ไปด้วย

    หลวงปู่สิงห์จึงให้ไปขออนุญาตบิดามารดาเสียก่อน และก็ได้เป็นไปตามสภาพกุศลเกื้อกูลทุกประการ ท่านได้พาคณะธุดงค์เดินตัดตรงไปทางอ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ได้พักจำพรรษาโดยปักกลดในบริเวณป่าช้าแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งปฏิบัติสมาธิภาวนาธรรมชื่อว่า "วัดป่าอรัญญวาสี" อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ท่านได้พร่ำสอนลูกศิษย์รัก ให้รู้จักเจริญพรหมวิหารธรรม ต่อมาท่านได้มอบหมายให้พระอาจารย์ลุย เป็นพระอุปัชฌาย์ บรรพชาสามเณร เทสก์ขึ้นที่วัดบ้านเค็งใหม่ จ.อุบลราชธานี

    ในการทดแทนพระคุณอันสูงล้ำของบิดามารดา หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ได้เดินทางไปโปรดบิดา มารดา จนมีจิตใจแจ่มใสเบิก บานในธรรม ท่านได้ให้บิดา มารดา เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยการแนะนำไปทีละน้อยๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของบุตรพึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2500 หลวงปู่สิงห์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในราชทินนาม พระญาณวิศิษฎ์สมิทธิวีราจารย์

    ในบั้นปลายชีวิต เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2507 เวลา 10.20 น. หลวงปู่สิงห์ได้ละสังขารจากไป ด้วยอาพาธด้วยโรคมะเร็งเรื้อรังในกระเพาะอาหาร ณ วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา สิริอายุได้ 73 ปี

    ˹ѧ��;��������ʴ�͹�Ź� : �ú�ء�� ʴ�ء����ͧ==
     
  18. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณภาพสัมพันธ์กับราคา (จบ)

    คอลัมน์ ครบเครื่อง เรื่องรักษ์บ้าน

    โดย ช่างอ้วน loves_homes@yahoo.co.th



    ฉบับที่แล้ว คุณฉัตรพร (กทม.) เขียนมารำพึงและขอคำปรึกษาว่า เวลาฝนไม่ตก ทำไมอากาศร้อนจัง อยากเลือกซื้อแอร์ติดบ้านควรพิจารณาเรื่องใดบ้างหรือขอคำแนะนำในการเลือกให้เหมาะสม ระหว่างคุณภาพและราคา

    อธิบายไปแล้วถึง องค์ประกอบของเครื่องปรับอากาศไปแล้วถึงส่วนที่เรียกว่า คอยล์เย็น

    อีกส่วนคือ คอยล์ร้อน (Compressor and Condensing Unit) เป็นส่วนที่สารทำความเย็นควบแน่นเป็นของเหลว ซึ่งในกระบวนการนี้จะเกิดความร้อนขึ้นด้วย คอยล์ร้อนจึงต้องมีพัดลมระบายความร้อนออกไปสู่ภายนอกได้อย่างสะดวก ก่อนที่จะอัดสารทำความเย็นให้หมุนเวียนกลับเข้าไปในระบบ ส่งผ่านไปยังส่วนคอยล์เย็น ระเหยเป็นไอเย็นกลับเข้าไปทำความเย็นภายในห้องต่อไป

    ส่วนข้อแนะนำในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศสำหรับบ้านพักอาศัยมีอยู่ประมาณ 4-5 ข้อ ดังนี้

    1.เลือกซื้อยี่ห้อที่เชื่อถือได้ เพราะเครื่องปรับอากาศยี่ห้อที่ไม่เคยได้ยินชื่อมักจะมี บีทียู น้อยกว่าที่บอกไว้หรือม่เต็มบีทียู นอกจากนี้ มักจะมีเสียงดังและเสียง่ายอีกด้วย

    2.เครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังจะมีเสียงเงียบกว่าแบบตั้งพื้นและแขวนฝ้าเพดาน แต่ก็มีราคาแพงกว่า

    3.เลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟ เบอร์ 5 เพราะเป็นเครื่องที่ได้รับการทดสอบแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของประสิทธิภาพในการทำความเย็น

    4.ควรเลือกใช้เทอร์โมสตัท (อุปกรณ์วัดอุณหภูมิ ใช้ควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ให้หยุดหรือเดินตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้) แบบอิเล็กทรอนิกส์ เพราะควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำ ช่วยในการประหยัดไฟฟ้า

    5.ปัจจุบันเครื่องปรับอากาศสัญชาติญี่ปุ่นจะมีราคาแพงกว่าแอร์ฝรั่งและแอร์ไทย (ที่ได้มาตรฐาน) อยู่ประมาณ 10-15% เพราะเทคโนโลยีในเรื่องเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กของญี่ปุ่นจะทำได้ดีกว่าชาติอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เครื่องปรับอากาศแทบทุกยี่ห้อในปัจจุบัน ผลิตในประเทศไทยเกือบทั้งหมด ดังนั้น วัสดุและมาตรฐานการผลิตจึงแทบไม่แตกต่างกันครับ

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������
     
  19. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปิดกฎกติกา"ราชทัณฑ์" ส่ง"ผู้ต้องขังป่วย"รักษา"นอกเรือนจำ"

    ˹ѧ��;������Ԫ�����ѹ : ˹ѧ��;�����س�Ҿ ����ͤس�Ҿ�ͧ������

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>หมายเหตุ-เป็นหนังสือเวียนของนายสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 เกี่ยวกับการอนามัยและสาธารณสุข เรื่องการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังป่วย นำมาเทียบเคียงกับกรณีนายราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์บีบีซี ถูกส่งกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย และศาลอาญากรุงเทพใต้อนุญาตให้ฝากขังเป็นเวลา 12 วัน และให้ควบคุมที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลกลางราชทัณฑ์ หลังนายราเกซแถลงมีอาการป่วยขอนอนรักษาโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม

    ตราครุฑ



    ที่ มท 0908/ว59 กรมราชทัณฑ์

    222 ถนนนนทบุรี 1 ตำบลสวนใหญ่

    อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000



    3 กันยายน 2542

    เรื่อง การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังป่วย

    เรียน ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถาน สถานกักกัน และสถานกักขัง

    อ้างถึง 1.ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการควบคุมผู้ต้องขังที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวภายนอกเรือนจำ พ.ศ.2521

    2.ระเบียบกรมราชทัณฑ์ (ฉบับที่ 6) เรื่อง การอนุญาตให้ผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ

    ลงวันที่ 7 กันยายน 2480

    3.หนังสือกรมราชทัณฑ์ ที่ มท 1008/ว107 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2530 เรื่องการย้ายผู้ต้องขังป่วย

    4.หนังสือกรมราชทัณฑ์ ที่ มท 1008/ว10 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2534 เรื่องการขออนุญาตให้ผู้ต้องขังป่วยออกรักษาตัว



    สิ่งที่ส่งมาด้วย 1.ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการควบคุมผู้ต้องขังที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวภายนอกเรือนจำ พ.ศ.2521

    2.ระเบียบกรมราชทัณฑ์ (ฉบับที่ 6) เรื่อง การอนุญาตให้ผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ

    ลงวันที่ 7 กันยายน 2480

    3.หนังสือกรมราชทัณฑ์ ที่ 102/2502 ลงวันที่ 11 กันยายน 2502 เรื่อง การอนุญาตให้ผู้ต้องขังหญิงออกไปคลอดบุตรนอกเรือนจำ

    ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการควบคุมผู้ต้องขังที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวภายนอกเรือนจำ พ.ศ.2521 และระเบียบกรมราชทัณฑ์ (ฉบับที่ 6) เรื่อง การอนุญาตให้ผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ลงวันที่ 7 กันยายน 2480 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ต้องขังป่วยออกไปรักษายังสถานพยาบาลภายนอกเรือนจำ ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ได้มีหนังสือสั่งการเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายฉบับ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การปฏิบัติไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน อันอาจส่งผลให้ผู้ต้องขังป่วยนั้นได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือทุพพลภาพ และจะเกิดความเสียหายแก่ทางราชการกรมราชทัณฑ์ได้

    ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยถูกต้องรวดเร็วและเหมาะสมกับระเบียบปฏิบัติของทางราชการกรมราชทัณฑ์ จึงให้ยกเลิกหนังสือสั่งการกรมราชทัณฑ์ ที่ มท 1008/ว107 ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2530 เรื่องการย้ายผู้ต้องขังป่วย และหนังสือกรมราชทัณฑ์ ที่ มท 1008/ว10 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2534 เรื่อง การขออนุญาตให้ผู้ต้องขังป่วยออกรักษาตัว และให้ถือปฏิบัติดังต่อไปนี้

    1.เมื่อมีผู้ต้องขังเจ็บป่วยและไม่สามารถรักษาให้หายภายในเรือนจำได้ มีความจำเป็นที่จะต้องนำตัวออกไปรับการตรวจรักษายังสถานพยาบาลภายนอก ก็ให้เรือนจำรายงานความจำเป็นเพื่อขออนุญาตไปกรมราชทัณฑ์ โดยให้ส่งเอกสารใบรายงานความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและความเห็นของพัศดีไปพร้อมกัน เพื่อประกอบการพิจารณา และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว จึงจะนำตัวผู้ต้องขังป่วยนั้นออกไปรักษายังสถานพยาบาลที่กำหนดได้

    2.กรณีผู้ต้องขังมีอาการป่วยหนัก หากรายงานขออนุญาตไปยังกรมราชทัณฑ์ แล้วจะไม่ทันการณ์ หรืออาจเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทุพพลภาพ ให้เรือนจำนำตัวผู้ต้องขังป่วยนั้นออกไปทำการรักษายังสถานพยาบาลภายนอก แล้วให้รีบรายงานทางโทรศัพท์ หรือโทรเลข หรือโทรพิมพ์ หรือโทรสาร หรือวิทยุ ให้กรมราชทัณฑ์ทราบในเบื้องต้นทันทีที่นำตัวผู้ต้องขังป่วยออกไปรับการรักษา แล้วให้รายงานโดยละเอียดพร้อมเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้กรมราชทัณฑ์ทราบอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ชักช้า

    3.สำหรับผู้ต้องขังป่วยที่แพทย์จะรับตัวไว้ทำการรักษายังสถานพยาบาลภายนอกเรือนจำ ให้เรือนจำรีบรายงานขออนุญาตไปกรมราชทัณฑ์ พร้อมเอกสารใบรายงานความเห็นแพทย์ ผู้ทำการรักษา โดยระบุชื่อโรค อาการเจ็บป่วยในขณะนั้นให้ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป

    4.การตรวจรักษาอาการผู้ต้องขังป่วย โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาได้นัดให้นำตัวผู้ต้องขังป่วยนั้นออกไปทำการตรวจหรือติดตามผลการบำบัดรักษาตามช่วงระยะเวลายังสถานพยาบาลภายนอกเรือนจำ ก็ให้นำตัวออกไปรับการตรวจในเวลาทำการ โดยให้ไปกลับภายในวันเดียว จนกว่าแพทย์จะหยุดนำ แล้วรายงานให้กรมราชทัณฑ์ทราบภายหลังที่ได้ตัวผู้ต้องขังป่วยนั้นไปพบแพทย์ทุกครั้ง พร้อมเอกสารใบรายงานความเห็นแพทย์ และใบนัดตรวจโรค

    5.ผู้ต้องขังป่วยซึ่งได้รับการบำบัดรักษายังสถานพยาบาลภายนอกเรือนจำมาเป็นเวลาสมควรแล้ว แต่อาการเจ็บป่วยนั้นไม่ทุเลา อาจเป็นเพราะสถานพยาบาลนั้นไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค หรือขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับรักษาอาการของผู้ต้องขังป่วยนั้น หรืออาจมีเหตุผลความจำเป็นอย่างอื่น ให้เรือนจำรายงานไปยังกรมราชทัณฑ์เพื่อขออนุญาตย้ายผู้ต้องขังป่วยนั้นไปรับการรักษาต่อยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หรือย้ายไปยังเรือนจำที่มีเขตท้องที่ใกล้เคียงกับสถานพยาบาลที่แพทย์ผู้ทำการรักษามีความเห็นว่า สามารถที่จะรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังนั้นได้ และให้ส่งเอกสารหลักฐานต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ความเห็นแพทย์ผู้รักษา ความเห็นพัศดี บัญชีรายชื่อผู้ต้องขังย้ายเรือนจำเพื่อประกอบการพิจารณา เมื่อได้รับอนุญาตจากกรมราชทัณฑ์แล้ว จึงจะดำเนินการย้ายผู้ต้องขังป่วยนั้นได้ สำหรับผู้ต้องขังป่วยซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุดให้แจ้งศาลทราบด้วย

    6.ผู้ต้องขังที่ศาลได้มีคำสั่งให้ส่งตัวไปทำการตรวจรักษายังสถานพยาบาล ซึ่งรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคจิตนั้น ให้เรือนจำดำเนินการตามคำสั่งศาลแล้วรายงานให้กรมราชทัณฑ์ทราบ หากแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษาจะนัดตรวจผู้ต้องขังป่วยในคราวต่อไปให้ดำเนินการตามข้อ 4

    ส่วนแนวทางการอนุญาตให้ผู้ต้องขังหญิงออกไปคลอดบุตรนอกเรือนจำ ตามหนังสือกรมราชทัณฑ์ ที่ 102/2502 ลงวันที่ 11 กันยายน 2502 ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย

    จักขอบคุณยิ่ง

    ขอแสดงความนับถือ

    (ลงชื่อ) สวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์

    อธิบดีกรมราชทัณฑ์



    "มาตรา 30 พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ระบุเมื่อแพทย์ผู้ควบคุมการอนามัยของผู้ต้องขังยื่นรายงาน แสดงความเห็นว่าผู้ต้องขังคนใดป่วยเจ็บและถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำ จะไม่ทุเลาดีขึ้น อธิบดีจะอนุญาตให้ผู้ต้องขังคนนั้นไปรักษาตัวในสถานที่อื่นใดนอกเรือนจำโดยมีเงื่อนไขอย่างใดแล้วแต่จะเห็นสมควรก็ได้

    ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคก่อน มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ซึ่งได้รับอนุญาตให้ไปอยู่รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีการควบคุม



    "อธิบดีคุก"ดูแลเข้ม

    "ราเกซ สักเสนา"



    นายชาติชาย สุทธิกลม

    อธิบดีกรมราชทัณฑ์

    เรือนจำจะเน้นการดูแลให้นายราเกซ สักเสนา ได้รับความปลอดภัยตลอดระยะเวลาที่ถูกควบคุมตัว และพร้อมให้การดูแลปัญหาด้านสุขภาพในกรณีที่นายราเกซป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ซึ่งโรงพยาบาลกลาง กรมราชทัณฑ์ มีขีดความสามารถเพียงพอที่จะดูแลรักษาอาการป่วยของนายราเกซ สักเสนา อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังด้านความปลอดภัย ตลอดจนการจัดเตรียมห้องเยี่ยมผู้ต้องหาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พนักงานสอบสวนที่จะต้องเข้าสอบปากคำนายราเกซ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการเยี่ยมญาติและการเข้าพบทนายความด้วย

    ยืนยันว่า นายราเกซจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษเหนือผู้ต้องขังทั่วไป โดยมาตรการดูแลความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกในเรื่องทั่วไป กระทำขึ้นเพื่อชื่อเสียงของประเทศไทย ไม่ให้ถูกต่างชาติวิจารณ์เกี่ยวกับมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังในเรือนจำ

    นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์

    รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์

    หากนายราเกซ สักเสนา เข้าสู่การควบคุมของเรือนจำ จะถูกทำประวัติผู้ต้องขัง ตรวจร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ เหมือนผู้ต้องขังรายอื่นๆ และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมพร้อมวางแผนการควบคุมนายราเกซ เนื่องจากเป็นผู้ต้องหารายสำคัญ โดยทางเรือนจำ ได้จัดที่คุมขังจะแยกนายราเกซออกจากผู้ต้องขังรายอื่น เพราะนายราเกซมีปัญหาเรื่องสุขภาพ โดยให้อยู่แดนพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากมีแพทย์เวรเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

    นอกจากนี้ยังกำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาหารของนายราเกซอย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัย และยังจัดหาผู้ช่วยผู้คุมมาดูแลนายราเกซ ส่วนเรื่องภาษาคงไม่มีปัญหา เพราะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็พอสื่อสารเข้าใจ และที่ผ่านมาเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯมีคดีความผู้ต้องขังชาวต่างชาติถูกคุมขังอย่างต่อเนื่อง ไม่น่าจะมีปัญหา สำหรับการเข้าเยี่ยมของญาติต้องรอให้ถึงวันทำการของราชการ วันหยุดไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้

    สำหรับหลักเกณฑ์การดูแลผู้ต้องขังป่วยในเรือนจำ กรมราชทัณฑ์ไม่ได้มีระเบียบการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังป่วยเป็นพิเศษ จะพิจารณาเป็นรายๆ ตามความเห็นของแพทย์ หากเป็นโรคร้ายแรงต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ จะนำตัวออกจากเรือนจำไปส่งที่ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลมาตรฐานมีอุปกรณ์การแพทย์ พร้อมสำหรับผ่าตัดใหญ่ได้ ส่วนแพทย์กรมราชทัณฑ์ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุข พร้อมส่งเข้ามาช่วยเหลือ หากมีกรณีเร่งด่วน หากเป็นโรคไม่ร้ายแรงจะส่งแพทย์เข้าไปตรวจอาการในเรือนจำตามปกติ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ากรมราชทัณฑ์มีมาตรฐานการดูแลผู้ต้องขังป่วยเหมือนผู้ป่วยทั่วไป จะแตกต่างก็เพียงสถานที่เท่านั้น

    ส่วนกรณีที่จะนำตัวไปรักษาภายนอกเรือนจำหรือไม่ เป็นดุลพินิจของแพทย์ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เรือนจำ หากผู้ต้องขังเห็นว่าไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี แล้วใช้เป็นเหตุขอประกันตัว ก็เป็นสิทธิของผู้ต้องขัง แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล สำหรับนายราเกซ เบื้องต้นอาการไม่น่าเป็นห่วง

    ส่วนกรณีนายราเกซเป็นอัมพฤกษ์ เรือนจำมีเจ้าหน้าที่ดูแล ปกติเรือนจำก็มีผู้ต้องขังที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์คุมขังอยู่ โดยมีแดนคุมขังสำหรับผู้ต้องขังสูงวัย จะมีแพทย์ดูแลใกล้ชิดตลอด สภาพไม่แออัดเหมือนแดนทั่วไป
     
  20. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในวิกฤตของเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 กรณีของ BBC เป็นส่วนหนึ่งของการเร่งวิกฤตให้หนักมากขึ้น

    ก่อให้คนที่ทำธุรกิจต่างๆ ที่หลายๆท่านมีความเก่ง และความสามารถมาก แต่ต้องล้มลงไป

    หากเกิดแต่ฝีมือของเขาเอง บริหารไม่ดีแล้วล้ม ก็ไม่ว่ากัน

    แต่เกิดจากหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของรัฐบาลเอง และ เรื่องของ BBC ของนายราเกซ สักเสนา
     

แชร์หน้านี้