พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    คำวัด - อนุโมทนา- อนุโมทนาบัตร

    คมชัดลึก :"สาธุ" มาจากรากศัพท์ว่า สาธฺ (หรือ สธฺ) ในความหมายว่า สำเร็จ และประกอบด้วย รู ปัจจัย (สาธ + รู = สาธุ) หมายถึง ผู้ใดยังประโยชน์ของตนและของผู้อื่น ย่อมให้สำเร็จ ดังนั้นผู้นั้นชื่อว่า สาธุ (ยังประโยชน์ของตนและชองผู้อื่นให้สำเร็จ) ดังเช่น ทายกที่ไปทำบุญมา เมื่อเจอญาติมิตรเพื่อนฝูง หลังจากเล่าเรื่องราวให้ฟังแล้วมักจะตามด้วยการให้ส่วนบุญว่า รับส่วนบุญด้วยนะ และโดยมากมักจะรับกันว่า สาธุ นั่นคือ การอนุโมทนา

    พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า อนุโมทนา (อะ-นุ-โม-ทะ-นา) แปลว่า ความยินดีตาม ความพลอยยินดี หมายถึง การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญ หรือความดีของผู้อื่นทำ
    อนุโมทนา อาจทำได้ด้วยคำพูด เขียนหนังสือ หรือแสดงกิริยาก็ได้ เช่น ได้ยินเสียงย้ำฆ้องกลองที่วัดในตอนเย็น แสดงว่าพระท่านทำวัตรเย็นจบ ก็ยกมือขึ้นประนมไหว้เปล่งวาจาว่า “สาธุ” เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วก็ยกมือสาธุ เป็นการอนุโมทนาบุญของเขาด้วย
    เรียกการพูดแสดงความยินดีในความดีของผู้อื่นว่า อนุโมทนากถา
    เรียกบุญที่เกิดจากอนุโมทนาตามตัวอย่างข้าต้นว่า อนุโมทนามัยบุญ
    ส่วนคำว่า “อนุโมทนาบัตร” (อะ-นุ-โม-ทะ-นา-บัด) เจ้าคุณทองดีได้ให้ความหมายไว้ว่า หนังสือรับรองการบริจาคที่วัดออกให้ผู้บริจาคทรัพย์ทำบุญ เรียกว่า “ใบอนุโมทนา” ก็มี
    อนุโมทนาบัตร เป็นหลักฐานแสดงการบริจาคทรัพย์ให้แก่วัด เพื่อบำรุงศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ก่อสร้างเสนาสนะถาวรวัตถุ ตั้งทุนบำรุงการศึกษา ถวายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร หรือ กิจกรรมอื่นใดในวัดนั้นๆ
    นอกจากเป็นหลักฐานสำหรับวัดแล้ว ยังเป็นการบำรุงศรัทธาสร้างวามปลื้มปีติแก่ผู้บริจาคเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง ด้วย เพราะแสดงถึงความบริสุทธิ์ในการรับ ขณะเดียวกันอนุโมทนาบัตรยังใช้เป็นหลักฐานการขอลดภาษี หรือขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้ด้วย
    อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้อง คือ “สัมโมทนียกถา” (สัม-โม-ทะ-นี-ยะ-คา-ถา) แปลว่า ถ้อยคำอันเป็นที่บันเทิงใจ คำพูดที่ทำให้ประทับใจ เรียกว่า อนุโมทนากถา ก็ได้
    สัมโมทนียกถา ใช้เรียกการที่ภิกษุพูดแสดงความขอบคุณ หรือกล่าวถึงประโยชน์และอานิสงส์ของความดี หรือบุญกุศลที่ทายกทายิกาได้ทำ เช่น ถวายอาหาร สร้างกุฏิ สร้างหอระฆังไว้ในพุทธศาสนาว่า กล่าวสัมโมทนียกถา
    "พระธรรมกิตติวงศ์"



    .

    -http://www.komchadluek.net/detail/20110617/100603/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3.html-

    .

     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ลิขิตจากใจ - ดูจิต-รู้จิต-ให้ติดต่อ


    คมชัดลึก :"ดิฉัน ได้รับคำแนะนำจากผู้ปฏิบัติธรรมอาวุโสท่านหนึ่ง ที่เห็นดิฉันมีความสนใจในการปฏิบัติธรรมว่าควรหาโอกาสไปลองปฏิบัติธรรมที่ สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ราชบุรี ดูบ้าง เป็นสำนักปฏิบัติธรรมสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ เงียบสงบ เพราะผู้พำนักอยู่ที่นี่ล้วนมุ่งหน้าในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง


    ประมาณปีพ.ศ.๒๕๑๙ จึงมีโอกาสไปกราบนมัสการท่านอุบาสิกา กี นานายน ผู้ก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ดิฉันพอใจที่จะใช้คำว่า "นมัสการ" เพราะการประพฤติปฏิบัติของท่านควรแก่การนมัสการบูชา...
    คำสอนที่ประทับใจประหนึ่งสรุปการปฏิบัติให้เข้าใจได้ง่ายและชัดเจน คือ "ดูจิต-รู้จิต-ให้ ติดต่อ" ดิฉันท่องจำติดใจแต่บัดนั้น จนบัดนี้ แต่การปฏิบัติตามนั้นไม่ง่ายเลย จะต้องใช้เวลาตลอดชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามได้ก็จะเป็นการรักษาอินทรียสังวรศีลไปใตัว
    การรักษาอินทรียสังวรเป็นสิ่งที่ท่านเน้นอยู่ตลอดเวลาว่าผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องมี เพื่อเป็นการส่งเสริมความเป็นไปได้ของการ "ดูจิต-รู้จิต-ให้ติดต่อ" เพราะเป็นสิ่งที่อิงอาศัยกัน
    ดิฉันลองถามตัวเองว่า ถ้าจะสรุปการอบรมธรรมของท่านอุบาสิกา กี นานายน แห่งสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ราชบุรี ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ? ดิฉันตอบตัวเองได้ทันทีว่า ท่านสอนเรื่อง จิต ท่านพูดเรื่อง จิต เรื่องเดียวเท่านั้น และคำสอนนั้นลัดตัดตรงเข้าสู่การปฏิบัติแต่อย่างเดียว เพื่อฝึกอบรมจิตให้มีสติสมบูรณ์ ให้เป็นจิตว่าง ให้เป็นจิตอิสระจากความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา-ตัวตน เพื่อให้ลุถึงซึ่งความสิ้นทุกข์
    เพราะฉะนั้น ข้อห้ามหรือคำกำหราบที่ท่านใช้เสมอคือ "อย่าพูดเดรัจฉานกถากันนักเลย" ดิฉันได้ฟังครั้งแรกก็รู้สึกแปลก ทึ่ง แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นจริงตามที่ท่านปรามไว้ เพราะถ้าพอใจ "เดรัจฉานกถา" แล้ว จิตย่อมมีแต่ความวุ่นวาย สติสัมปชัญญะหายตกหล่น แล้วจิตนั้นก็ตกจมเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อย่างถอนไม่ขึ้น เป็นอันว่า พลัดพรากจากหนทางไปสู่ความว่างและความสิ้นทุกข์...


    -http://www.komchadluek.net/detail/20110616/100579/%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD.html-



    .

     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    หลวงปู่สาม อกิญฺจโน


    ไม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย "หลวงปู่สาม อกญฺจโน" วัดป่าไตรวิเวก จ.สุรินทร์ "ธรรมะของจริงอยู่กับบุคคลทุกคน

    หมายเหตุ - ในโอกาสวันถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะศิษย์วัดภูสังโฆ ได้จัดทำหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย” แจกเป็นที่ระลึก ก่อนหน้านี้คณะผู้จัดทำได้เคยจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้แล้วนำถวายหลวงตามหาบัว ครั้งยังดำรงขันธ์อยู่มาก่อนแล้ว เนื่องจากการพิมพ์ครั้งล่าสุดนี้หนังสือมีจำนวนจำกัด

    ทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์จึงได้ขออนุญาต พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต เจ้าอาวาสวัดภูสังโฆ นำรายละเอียดของหนังสือมาเผยแผ่ซึ่งท่านได้แจ้งว่า ให้พิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ทางกองบรรณาธิการจึงจะนำเสนอต้นฉบับตามเดิม โดยเพิ่มเนื้อหาที่เป็นเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์แต่ละรูปเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง แล้วนำเสนอต่อเนื่องไปคราวละสัปดาห์จนกว่าจะสิ้นความหลักในหนังสือ มีรายละเอียดดังนี้


    ******************************

    [​IMG]


    ธรรมะของจริงก็อยู่กับบุคคลทุกคน เว้นไว้แต่ไม่ทำ ถ้าทำต้องมีทุกคน เพราะธรรมเป็นของจริง ต้องทำจริงจึงจะเห็นธรรมของจริง การกระทำก็ทำจิตใจให้สงบ

    ใจจะสงบได้ ก็ต้องอาศัยการพยายามทำจิตใจให้มันดี ทำจิตใจให้พอใจในใจ เพราะธรรมเป็นของละเอียดลึกซึ้ง

    ของจริงมันมีทุกๆ คน ธรรมะแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็มีอยู่ในทุกคน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มีอยู่ทุกคน แต่เราทำไมถึงไม่ถึงพระพุทธ ไม่ถึงพระธรรม ไม่ถึงพระสงฆ์ ต้องอาศัยการกระทำ ฝึกหัดดัดแปลงจิตให้มันดี ให้มันสงบ ให้เป็นสมาธิ

    จิตใจจะเป็นสมาธิก็ต้องอาศัยการพยายามมีสติกำหนดจิตใจให้มันอยู่ ความรู้ความเห็นทุกอย่างนั้นมันอยู่ในโลก

    ธรรมะของจิตนั้นมันต้องพยายามทำใจให้มันอยู่ ให้มันอยู่จนพรากจากอารมณ์ภายนอก ความคิดความนึกทุกอย่างไม่ต้องคำนึง จนต้องอยู่เป็นอันเดียว พอรู้สึกอยู่อย่างเดียว สติความระลึกสัมปชัญญะ ความรู้ตัวก็ต้องรู้อยู่กับที่นั้น ถ้าใจมันละเอียดไป มันต้องอยู่รู้กับที่

    ถ้าจิตใจมันละเอียดไปแล้วมันก็แน่วแน่เป็นหนึ่ง
    เพราะฉะนั้นเราต้องพยายาม การภาวนาก็เป็นบุญเป็นกุศลมากมาย ถ้าทำได้ทุกๆ วัน ทำได้เสมอไป ก็เป็นกุศลทุกวัน ให้คิดดูความแก่ ความเจ็บ ความตาย จะมาถึงวันไหนเราก็ไม่รู้ ไม่ว่าแต่คนเฒ่า คนแก่ คนหนุ่มก็ตาย ได้ฝึกหัดทำทุกวันๆ มันตายไปก็ยังได้ขึ้นสวรรค์

    การกระทำจิตใจนี้เป็นของดี เป็นยอดของทาน ฝึกหัดอริยทรัพย์ภายในนั่นเป็นอริยะ

    ฝึกหัดดัดแปลงจิตใจให้มันดีมันบริสุทธิ์หมดมลทิน เพราะฉะนั้นต้องรีบทำทุกๆ คน ทำคุณงามความดีให้มีให้เกิดขึ้นในดวงจิตดวงใจเพื่อเป็นอุปนิสัยไป ถ้ายังไม่ถึงมรรคผลนิพพาน มันก็ต้องมีอุปนิสัยติดในจิตในใจ พกแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่ชอบไปในอนาคตกาลข้างหน้าอีกก็จะดี จะไปทุกภพทุกชาติต้องอาศัยการกระทำ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ถ้าฝึกหัดไปทุกวันๆ จะเป็นหรือไม่เป็น ก็ทำให้เรามีศรัทธาในการภาวนา การกระทำทุกๆ วันไป ทำให้มันนานๆ นั่งสักชั่วโมงสองชั่วโมง ถ้าใจมันสงบลงไปแล้ว เราจะนั่งสักสามสี่ชั่วโมงก็ไม่เป็นอะไร ไม่เจ็บไม่ปวดไม่เหน็ดไม่เหนื่อยอะไร

    ต้องหัดกระทำอยู่อย่างนั้นจนใจนี่มันตั้งแน่วแน่ หรือทำไปสงบไป ปีติเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความสุขก็เกิดขึ้น ความเข้าใจก็เกิดขึ้น

    ความกล้าหาญความอาจหาญมันก็มีอยู่ในใจ ต้องอาศัยการกระทำ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีอะไร ไม่เป็นบุญไม่เป็นกุศลอะไร

    ถ้าเราทำไปต้องได้บุญได้กุศลทุกวันทุกเวลาไป ทุกคืนเราจะนอนก็ไหว้พระ ไม่ได้อะไรก็ภาวนาไป ไหว้พระ 3 ที 10 ที พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะที่พึ่งของตน แล้วก็นั่งสมาธิไป ภาวนาไป พุทโธ พุทโธ หลับตานั่งนานๆ ไม่นานมากก็ 5 นาที 10 นาที ค่อยหัดไปทุกวันๆ ไป ดีกว่านอนเปล่าๆ ไม่มีอะไร

    อยากได้คุณงามความดี สิ่งที่ดีที่ชอบก็ต้องประกอบให้เกิดขึ้นในจิตในใจ
    การภาวนามันเป็นยอดของทานอันเลิศ

    เก็บอยู่ในจิตในใจทุกภพทุกชาติไปจนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ต้องอาศัยบำเพ็ญบารมีของตนนี้แหละ
    บารมีของตนนี้แหละเป็นเสบียงอาหารไปข้างหน้าอีก เกิดไปชาติไหนก็เป็นคนที่มีความดีความงามอยู่ในจิตใจ เพราะเราได้ฝึกหัดดัดแปลงจิตใจของเราให้มันบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เสมอไป สมดังภาษิตท่านว่า วิริเยน ทุกขมัจเจติ คนผู้จะล่วงทุกข์ได้ ก็ต้องอาศัยความเพียร

    เพียรนอกก็ต้องทำเหมือนกัน
    การทำบุญ การให้ทาน หรือพวกชาวไร่ชาวนาก็ต้องอาศัยความเพียร หากเพียรมันถึงจะมีผล ทำอะไรก็ทำด้วยความเพียรพยายาม การทำจิตใจก็เหมือนกัน ต้องอาศัยความพยายาม ต้องอาศัยความเพียร เพื่อให้จิตมันอยู่ ให้มันสงบ ให้มันบริสุทธิ์ไปจึงจะได้มรรคผลเกิดขึ้นตามภูมิตามธรรม ถ้าจิตเรามันรวมพักครั้งหนึ่ง ก็ติดอยู่ในจิตในใจเสมอไป เพราะฉะนั้นเราควรพยายามในการบุญการกุศล
    คนทุกวันนี้ก็มีแต่เรื่อง มีแต่ความวุ่นวายมากมาย รีบทำคุณงามความดีให้มันมีขึ้นในจิตในใจ หลุดพ้นจากความไม่ดี ทำจิตใจให้มันละเอียดไปจนกว่าละเรื่องโลก โลกนี้มีแต่ความรู้ความเห็น

    ความเข้าใจทุกอย่างของโลก ธรรมะของจริงมีแต่หมดไปๆ จนตั้งแน่วแน่เป็นหนึ่งอยู่

    ตั้งจิตดวงเดียว ตั้งให้มันแน่วแน่อยู่นั่น

    อย่างทางจะไปพระนิพพานก็ต้องอาศัยความพยายามจนมันตั้งแน่วแน่ได้

    โลกนี้มันประกอบไปด้วยความทะเยอทะยาน ถ้าทำจิตให้มันดี ให้มันสงบ ไปดียิ่งกว่าโลกนี้หลายเท่า

    ทำใจให้สงบครั้งหนึ่งๆ อย่างนี้ โอ๊ย จิตใจมันมีความปลื้มในจิตในใจ ความยินดีในใจหาที่สุดไม่ได้ การพยายามทำตนของตนให้|มันดีขึ้นนี่ยากเหลือเกิน สมัยนี้ทุกวันมีแต่ความเพลิดเพลินกับการดูหนังดูลิเกทั่วๆ ไป เดี๋ยวก็มีๆ ประโยชน์ของตนไม่เคยคิดถึงเลย คิดถึงแต่โลก คิดถึงแต่ประโยชน์ของตนให้มาก อย่าไปคิดถึงประโยชน์ในโลกนี้ หาอยู่หากินด้วยความสุจริตพออยู่พอกิน อยู่ไปก็ทำบุญทำทาน

    นั่งสมาธิภาวนาของตนอันนี้สำคัญ

    โลกประกอบไปด้วยกองทุกข์ หมดทั้งตัวก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ทุกข์อันนี้แหละบางคนทุกข์ยากจน จะหากินเช้าเย็นก็ยังไม่พอกิน ยากเท่าไร ทุกข์เท่าไร คนไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา ไม่ค่อยทำบุญ คนเขาเคยทำบุญทำทาน เขาก็เกิดในทรัพย์ในสมบัติ

    ดูเถิดคนไม่เหมือนกัน ในโลกนี้ต่างๆ กัน หัวใจก็ไม่เหมือนกัน เป็นคนเหมือนกัน แต่จิตใจไม่เหมือนกัน บางคนใจร้ายสามารถฆ่าคนตายได้ มันต่างกันอย่างนั้นแหละ

    แล้วการบุญการกุศลก็ไม่เชื่ออีก หัวใจมันก็โหดร้าย
    ต้องพยายามกระทำจิตใจให้มันสงบ จิตใจก็อ่อนน้อมต่อธรรม ต่อวินัย ต่อธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

    ถ้าใจเรามันดีขึ้นเรื่อยๆ ละก็ ใจมันก็อ่อน ถ้าฝึกหัดตนให้ชำนิชำนาญ ใจก็กล้าหาญ อาจหาญกำจัดโรค กำจัดภัยได้ทุกอย่าง
    การภาวนาทำให้หายเหน็ดเหนื่อยไป

    ถ้าวันไหนไม่ได้ภาวนาก็อ่อนเพลียไป ถ้ามานั่งได้สักสองชั่วโมงอย่างนี้หายเหนื่อยสบาย การกระทำจิตใจต้องอาศัยการอบรมจิตใจของตน จนให้มีอุปนิสัยติดอยู่ในจิตใจของตนก็ดีขึ้นทุกภพทุกชาติไป แต่ยังไม่พ้นทุกข์ ดีไปทุกภพทุกชาติ

    ถ้าภาวนาบางคนก็ยาก ทางที่ดีก็การทำบุญให้ทานนั้นแหละ ทำให้มาก การให้ทานก็ดี มันจะได้ทรัพย์มีสมบัติเกิดเป็นเทพเทวดาก็อาศัยศรัทธา ถ้าการภาวนาทำจริงๆ ไปให้ได้มรรคผลนิพพานก็ต้องอาศัยทำจิตใจนี่แหละดัดแปลงจนใจเป็นสมาธิ เลยสมาธิไปจนวางภาระในโลกนี้ โลกอันนี้มันก็อยู่ที่สันดาน

    วางได้ทำจิตใจให้มันแน่วแน่เป็นหนึ่งนั้น จึงจะถูกหนทางพระนิพพานฯ


    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%88/94279/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%BA%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%99-

    .


    โพสต์ทูเดย์ ธรรมะ-จิตใจ : หลวงปู่สาม อกิญฺจโน

    .



    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาฝากกันในยามดึกน้อยๆครับ

    เผื่อหิวกัน vb vb


    .---------------------------------------------------------------------.

    มายำกินกันดีกว่า


    เวลาไปดูๆ ตามร้านอาหารไทยแบบฟาสต์ฟู้ด จะตามห้าง
    โดย..สุธน สุขพิศิษฐ์

    เวลาไปดูๆ ตามร้านอาหารไทยแบบฟาสต์ฟู้ด จะตามห้าง หรือตามแผงขายอาหารมื้อกลางวันใกล้ๆ ย่านที่ทำงาน หรือหน้าตลาดสำหรับซื้อหิ้วกลับบ้าน มักจะไม่ค่อยมีอาหารแบบยำ ถ้ามีก็มีน้อย ที่จะเห็นชินตาก็มี ยำปลาดุกฟู หรือไข่เค็มยำ และตามร้านอาหารไทยที่นั่งกินเป็นเรื่องเป็นราวก็เหมือนกัน ถึงจะมีอาหารประเภทยำด้วยเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นหมูมะนาว ยำเนื้อย่าง แหนมยำ ไม่ค่อยเห็นยำส้มโอ ยำหัวปลี หรือยำปลาสลิดย่าง อะไรทำนองนั้น

    [​IMG]

    ที่ผมหยิบเรื่องยำขึ้นมานี้ เพราะได้ยินคำว่าอาหารเพื่อสุขภาพบ่อยมาก อาหารสุขภาพที่ได้ยินนี้ถ้าเป็นไฮโซ หรือคนรุ่นใหม่ประเภทจ๋าหน่อย ก็จะเป็นสลัดผัก ใช้ผักเมืองหนาว ถ้าเป็นระดับธรรมดาๆ หน่อย ก็จะเป็นการกินผักแบบปลอดสาร

    แต่ผมว่าอาหารเพื่อสุขภาพตัวจริง แล้วมีมานานนมด้วยแล้วก็คือ อาหารประเภทยำครับ อาหารประเภทยำนี่ หลักใหญ่ๆ ใช้พืชผักที่เป็นผักพื้นบ้าน และผักสมุนไพรใกล้ตัวนี่เอง ถ้ามองแบบ Food Science ในคุณค่าทางอาหาร จะได้เห็น ขิง ตะไคร้ หอมแดง ใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง พริก มะนาว จะอยู่ในนี้ ซึ่งของพวกนี้อุดมสรรพคุณทั้งสิ้น ยังมีเนื้อสัตว์เสริม เช่นพวก กุ้ง หมู ปลา หอย เนื้อ ปู กุ้งแห้ง ปลาแห้ง ปลากรอบ นี่ก็เป็นโปรตีน มีแคลเซียมด้วย แล้วยังได้พลังงานจากพวกที่เป็น ถั่วลิสง มะพร้าวคั่ว หรือกะทิ

    แล้วคุณค่าอาหารที่ทุกคนอยากได้กันนักกันหนาคือ กินแล้วไม่อ้วน ที่จริงยังมีคุณค่าอีกอย่างที่เป็นเรื่องสำคัญคือ อร่อย แซบ ม่วน นั่นเป็นที่เรื่องสัมผัสโดยตรง หรือจับต้องเอาเข้าปากได้ ยังมีเรื่องของวัฒนธรรมการกินอีก อาหารประเภทยำนี้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นตัวจริงอีกต่างหาก ทุกที่มีอาหารประเภทยำ และแต่ละที่มีบุคลิก มีวิธีคิด สอดคล้องกับวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

    ปักษ์ใต้ ที่ขึ้นชื่อที่สุดก็ข้าวยำนั่นเอง ข้าวยำปักษ์ใต้นี่ก็สุดยอด ใครว่ากินผักดิบๆ แล้วเหม็นเขียว ลองดูข้าวยำของเขามีความพอดี มีความกลมกลืน สมดุล ถั่วฝักยาวกับถั่วงอกกับเม็ดกระถินอาจจะเหม็นเขียว เขาก็มีส้มโอ เผลอๆ มีดอกชมพู่มะเหมี่ยวมาช่วย แล้วยังมีกุ้งแห้ง มะพร้าวคั่ว ตามด้วยน้ำบูดู และข้าวก็ไม่ต้องมาก แค่นี้ก็อร่อยเป็นเลิศแล้ว ปักษ์ใต้เขายังมียำสาหร่าย ยำผักกูด และอีกเยอะแยะ

    ทางแถบริมทะเล ยิ่งทางไหนมีหอย ก็จะมีหอยแครงลวกยำ ที่ผมเคยเห็นไม่เหมือนทั่วไป ใส่กะทิเคี่ยวนิดหน่อย มีมะม่วงสับ มันๆ ด้วยถั่วลิสง หอมๆ ใบสะระแหน่ ใครตักกินถี่หน่อย หมดจานเร็ว เป็นได้เรื่อง
    แล้วที่กินกันจนเป็นปกติดูเหมือนธรรมดาๆ ก็คือ Papaya Salad ตามที่ฝรั่งเรียกก็คือส้มตำนั่นเอง
    แล้วอาหารประเภทยำนั้น ในตัวมันเองมีรสพอสมพอควร มีเผ็ด เปรี้ยว เค็ม เป็นตัวกระตุ้นความอยากกิน แล้วยังต้องกินผักสดแกล้มตามอีกด้วย ยิ่งเผ็ดนำโด่งหน่อย ก็ต้องกินผักตามเยอะๆ ก็นี่แหละครับที่ว่าเป็นอาหารสุขภาพตัวเทพเลยทีเดียว

    [​IMG]

    ทีนี้เมื่อเป็นของดี หากินลำบากหน่อย ก็ทำกินเสียเลย ไม่ได้ยากเย็นอะไร ตำราอาหารมีเยอะครับ ก็เลือกเอาว่าชอบกินอะไร และคิดว่าง่ายกับตัวเองแค่ไหน ก็ทำเลย เรื่องตำราอาหารนี่ แม้กระทั่งตำราจากแม่บ้านรุ่นเก่า รุ่นย่า รุ่นยาย ยังสำทับเลยว่า การทำอาหารนั้นจะให้ดี ต้องทำบ่อยๆ ทำแล้วหาความชอบของตัวเอง หรือพูดง่ายๆ ว่ามีรสของตัวเอง ทุกบ้านล้วนมีสไตล์ของตัวเองทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะมีเหรอว่าของบ้านนั้นเผ็ดหน่อย บ้านนี้หวานหน่อย แต่อร่อยทั้งนั้น

    ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว จะแนะนำอาหารยำที่ง่ายที่สุด ก็ยำปลาทูนึ่งอย่างหนึ่ง ปลาทูนึ่งย่างให้แห้งสักนิดหนึ่ง แล้วการย่างก็ไม่จำเป็นต้องตั้งเตาถ่านควันกระจาย เตาอบไฟฟ้าเล็กๆ ที่ส่วนใหญ่ทุกบ้านมีอยู่แล้ว นั่นก็ดีประเสริฐแล้ว พอย่างเสร็จก็แกะเอาแต่เนื้อ

    ตะไคร้ซอย หอมแดงซอย ขิงซอย ชอบอะไรก็ใส่ไอ้นั่นมากหน่อย ใบผักชีฝรั่ง และใบมะกรูดนิดหน่อย ใบสะระแหน่ไว้โรย แล้วมีพริกขี้หนูบุบๆ น้ำยำก็มีน้ำตาล มะนาว น้ำปลา เท่าๆ กัน คลุกๆ กับปลาทูนึ่งที่เตรียมไว้ ขาดอะไรก็เติม เท่านั้นก็จบ

    อีกอย่างเป็นพวกย่างๆ อีก มีเนื้อย่างบ้าง ปลาสลิดย่างบ้าง หรือจะทอดก่อนก็ไม่ผิดกติกา ตะไคร้ หอมแดง มะม่วงเปรี้ยวซอย ความเผ็ดก็ใช้พริกแห้งเผาตำกับหอมแดง กะปิสักนิด คลุกๆ กับของที่ซอยไว้กับน้ำยำ จะให้รสประมวลตามชอบ แล้วก็ใส่หัวกะทิเคี่ยวนิดหน่อย แค่นี้ก็บรรเจิดแล้ว
    ก็นี่แหละครับอาหารประเภทยำ วันอาทิตย์นี้หรืออาทิตย์หน้าทำเลยครับ




    .

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3/94726/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-


    .


    โพสต์ทูเดย์ กิน-เที่ยว : มายำกินกันดีกว่า

    .
     
  5. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ทางโลก
    ตอนนี้ กระแสแพลงกิ้ง กลายเป็นท่าฮิตที่กำลังระบาดหนักทั้งในไทยและต่างประเทศซึ่งแพลงกิ้งเองบางคนกล่าวว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศออสเตรเลีย แพลงกิ้งมีกฎอยู่ว่าต้องทำท่านอนคว่ำ ขาเหยียดตรง และราบไปกับพื้นนิ้วเหยียดตรงไม่งอ และต้องมีผู้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานภาพทุกภาพต้องมีการตั้งชื่อ เพราะหากไม่มีรูปเก็บไว้แบ่งปันเพื่อนๆก็เหมือนคุณแค่ไปนอนคว่ำแค่นั้นเองทั้งนี้รายงานระบุเอาไว้ว่ากฎเหล็กของแพลงกิ้งคือ1.ไม่รบกวนชาวบ้าน 2.ไม่เสี่ยงอันตราย 3.ไม่ทำลายสิ่งของสาธารณะ<O:p
    ไม่มีเหตุผลว่า การทำแพลงกิ้ง ทำไปเพราะเหตุใด เพราะ มันคือศิลปะและนั่นเองไม่ต้องการเหตุผลมาอธิบายแต่อย่างใดแม้ว่าบางคนจะไปทำท่าแพลงกิ้งแบบพิเรน จนอาจเป็นอันตรายขึ้นมาก็ได้แพทย์ก็ออกมาระบุด้วยว่าหากทำผิดวิธีจะทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดได้เพราะต้องมีการจัดความสมดุลของร่างกายให้พอดี<O:pในโลกอินเตอร์เน็ต มีการระบาดไปอย่างรวดเร็วไปสู่บุคคลแทบทุกวงการไม่เว้นแม้กระทั่ง พนักงานบริษัท พยายามทำท่า แพลงกิ้ง ขณะทำงานจนอาจทำให้เจ้านายไล่ออกจากงานได้ นอกจากนี้ ดารานักแสดงของไทย ก็โชว์ศิลปะแพลงกิ้งกันด้วยเช่นกันส่วนคนอื่นๆทั่วๆไป ก็ทำแพลงกิ้งเผยแพร่ภาพผ่านทางเว็บไซต์เฟสบุค

    ทางธรรม
    รูปภาพพระสงฆ์ห่มจีวร ทำท่าแพลงกิ้ง หรือ ท่าแกล้งตาย ที่กำลังถูกวิพากย์วิจารย์อย่างหนักในสังคมไทยทั้งทางหนังสือพิมพ์ ทีวี และ ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งถูกนำมาโพสต์ในโลกอินเตอร์เน็ต ผมคิดว่า เป็นการกระทำท่าทางที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นท่าแพลงกิ้งหรือท่าใดๆ ก็ตาม ที่มีลักษณะ ไม่สำรวม พระสงฆ์ก็ ไม่สามารถทำได้ เพราะ ถือว่า ผิดวินัยสงฆ์ ทำให้มีการติเตียน ว่า ขาดความสำรวม ไม่ใช่กิจของพระสงฆ์ ที่จะมาถ่ายท่าแพลงกิ้ง โชว์ทางอินเตอร์เน็ต เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ซึ่ง ไม่ควรปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ เพราะ จะทำให้พระพุทธศาสนา เสื่อมความศรัทธา จากพุทธบริษัทได้ การกระทำแบบนี้ เขาเรียกกันว่าโลกวัชชะ ทำให้โลกติเตียนได้ การปฏิบัติ ดังกล่าว ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ ซึ่งถ้า ไม่มีการห้ามปราม ก็ จะมีการเลียนแบบ ทำกัน แล้วนำมาโชว์กัน เป็นแฟชั่นต่อไป ซึ่ง ทางเจ้าอาวาส ทุกๆ วัด ควรจะ ตักเตือนให้ พระลูกวัดทุกๆ รูป ให้สำรวม อย่าไปเลียนแบบ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือทางกรรมการมหาเถรสมาคม ควรจะมีหนังสือแจ้งไปยังทุกวัด ตักเตือนเรื่องนี้ ให้ทุกวัดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อที่ชาวโลกจะได้ไม่ติเตียน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2011
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    สวัสดีครับคุณอนัตตัง

    ผมขอให้คุณแสดงความเห็นเกี่ยวกับทางธรรมต่อรูปด้านล่าง ไม่น้อยกว่า 10 บรรทัด

    และแสดงความเห็นเกี่ยวกับทางโลกต่อรูปด้านล่าง ไม่น้อยกว่า 10 บรรทัดเช่นกัน

    [​IMG]
    ที่มาของรูป-http://hilight.kapook.com/view/59663-


    ขอบคุณครับ


    .
    </td> </tr> </tbody></table>

    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="alt2" style="font: normal normal normal 12pt/normal verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-color: rgb(247, 243, 247); color: rgb(0, 0, 0); border-top-width: 1px; border-right-width: 1px; border-bottom-width: 1px; border-left-width: 1px; border-top-style: inset; border-right-style: inset; border-bottom-style: inset; border-left-style: inset; border-color: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; ">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อนัตตัง [​IMG]
    ทางโลก
    ตอนนี้ กระแสแพลงกิ้ง กลายเป็นท่าฮิตที่กำลังระบาดหนักทั้งในไทยและต่างประเทศซึ่งแพลงกิ้งเองบางคนกล่าวว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศออสเตรเลีย แพลงกิ้งมีกฎอยู่ว่าต้องทำท่านอนคว่ำ ขาเหยียดตรง และราบไปกับพื้นนิ้วเหยียดตรงไม่งอ และต้องมีผู้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานภาพทุกภาพต้องมีการตั้งชื่อ เพราะหากไม่มีรูปเก็บไว้แบ่งปันเพื่อนๆก็เหมือนคุณแค่ไปนอนคว่ำแค่นั้นเองทั้งนี้รายงานระบุเอาไว้ว่ากฎเหล็กของแพลงกิ้งคือ1.ไม่รบกวนชาวบ้าน 2.ไม่เสี่ยงอันตราย 3.ไม่ทำลายสิ่งของสาธารณะ
    ไม่มีเหตุผลว่า การทำแพลงกิ้ง ทำไปเพราะเหตุใด เพราะ มันคือศิลปะและนั่นเองไม่ต้องการเหตุผลมาอธิบายแต่อย่างใดแม้ว่าบางคนจะไปทำท่าแพลงกิ้งแบบพิเรน จนอาจเป็นอันตรายขึ้นมาก็ได้แพทย์ก็ออกมาระบุด้วยว่าหากทำผิดวิธีจะทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดได้เพราะต้องมีการจัดความสมดุลของร่างกายให้พอดีในโลกอินเตอร์เน็ต มีการระบาดไปอย่างรวดเร็วไปสู่บุคคลแทบทุกวงการไม่เว้นแม้กระทั่ง พนักงานบริษัท พยายามทำท่า แพลงกิ้ง ขณะทำงานจนอาจทำให้เจ้านายไล่ออกจากงานได้ นอกจากนี้ ดารานักแสดงของไทย ก็โชว์ศิลปะแพลงกิ้งกันด้วยเช่นกันส่วนคนอื่นๆทั่วๆไป ก็ทำแพลงกิ้งเผยแพร่ภาพผ่านทางเว็บไซต์เฟสบุค

    ทางธรรม
    รูปภาพพระสงฆ์ห่มจีวร ทำท่าแพลงกิ้ง หรือ ท่าแกล้งตาย ที่กำลังถูกวิพากย์วิจารย์อย่างหนักในสังคมไทยทั้งทางหนังสือพิมพ์ ทีวี และ ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งถูกนำมาโพสต์ในโลกอินเตอร์เน็ต ผมคิดว่า เป็นการกระทำท่าทางที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นท่าแพลงกิ้งหรือท่าใดๆ ก็ตาม ที่มีลักษณะ ไม่สำรวม พระสงฆ์ก็ ไม่สามารถทำได้ เพราะ ถือว่า ผิดวินัยสงฆ์ ทำให้มีการติเตียน ว่า ขาดความสำรวม ไม่ใช่กิจของพระสงฆ์ ที่จะมาถ่ายท่าแพลงกิ้ง โชว์ทางอินเตอร์เน็ต เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ซึ่ง ไม่ควรปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ เพราะ จะทำให้พระพุทธศาสนา เสื่อมความศรัทธา จากพุทธบริษัทได้ การกระทำแบบนี้ เขาเรียกกันว่าโลกวัชชะ ทำให้โลกติเตียนได้ การปฏิบัติ ดังกล่าว ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ ซึ่งถ้า ไม่มีการห้ามปราม ก็ จะมีการเลียนแบบ ทำกัน แล้วนำมาโชว์กัน เป็นแฟชั่นต่อไป ซึ่ง ทางเจ้าอาวาส ทุกๆ วัด ควรจะ ตักเตือนให้ พระลูกวัดทุกๆ รูป ให้สำรวม อย่าไปเลียนแบบ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือทางกรรมการมหาเถรสมาคม ควรจะมีหนังสือแจ้งไปยังทุกวัด ตักเตือนเรื่องนี้ ให้ทุกวัดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อที่ชาวโลกจะได้ไม่ติเตียน
    </td></tr></tbody></table>
    ขอบคุณครับ

    .



     
  7. j-rat

    j-rat สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    เรียน คุณสิทธิพงศ์
    ปัจจุบันนี้(ปี 2011 )ยังแจกพระวังหน้าหรือไม่ครับและ ต้องทำอย่างไรจึงจะได้ไว้บูชาบ้าง
     
  8. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีครับ วันเสาร์ อากาศ ขมุกขมัว ตอนบ่าย
     
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    โรคหอบจากอารมณ์...อันตรายที่คาดไม่ถึง

    วันเสาร์ ที่ 18 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เกริ่นจากข้างต้น หลายคนก็คงจะสงสัยว่า โรคหอบจากอารมณ์มีลักษณะอย่างไร มีด้วยหรือ?...อย่ารอช้าไปหาคำตอบจากบทความด้านล่างกันเถอะ!!

    โรคหอบจากอารมณ์คืออะไร

    การที่ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเร็วและลึกอยู่นาน จนทำให้เกิดความผิดปกติของค่าสารเคมีในเลือด ทำให้มีอาการต่าง ๆ ทางร่างกายติดตามมา อาการดังกล่าวมักสัมพันธ์กับภาวะวิตกกังวล หรือได้รับความกดดันทางจิตใจก่อนหน้าที่จะมีอาการ ซึ่งอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุทางกายอื่น ๆ

    ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจหอบเร็ว บ่นหายใจลำบาก หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจสั่น อาจพบอาการเกร็ง มือจีบ อาจมีอาการชาบริเวณรอบปากและนิ้วมือได้ ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดลง ทำให้เกิดการหดตัวของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่สมอง รวมทั้งมีการลดลงของค่าแคลเซียมที่เป็นตัวออกฤทธิ์ในเลือดลดลงด้วย

    อาการดังกล่าวมักสัมพันธ์กับภาวะวิตกกังวล โดยก่อนเกิดอาการอาจพบว่า ผู้ป่วยมักมีปัญหากดดันจิตใจอย่างเห็นได้ชัด เช่น ทะเลาะกับคนใกล้ชิด หรือที่ทำงาน หรือมีปัญหาการเรียน ต้องสอบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าวอาจคล้ายคลึงกับอาการหอบจากสาเหตุทางกายได้หลายสาเหตุ เช่น โรคหอบหืด ภาวะหัวใจขาดเลือด ภาวะเป็นกรดในเลือดจากเบาหวานและอื่น ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการดูแลที่ถูกต้องตามสาเหตุต่อไป

    วิธีการรักษาอาการหายใจหอบ โดยการพยายามหายใจให้ช้าลง หรือให้หายใจในถุงกระดาษที่ครอบทั้งปากและจมูก รวมทั้งการได้รับยาในกลุ่มยาคลายกังวล จะช่วยให้อาการหายใจหอบทุเลาลง แต่หากผู้ป่วยไม่สามารถกินยาได้ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาฉีด ซึ่งจะออกฤทธิ์ได้รวดเร็ว

    อาการดังกล่าวมักพบบ่อยในผู้ป่วยหญิงที่อยู่ในวัยเรียนถึงผู้ใหญ่ตอนต้น ก่อนเกิดอาการมักมีปัญหากดดันจิตใจ แต่ควรระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีอายุมาก มีโรคประจำตัวอยู่เดิม หรือบุคลิกเดิมของผู้ป่วยไม่มีปัญหาในการปรับตัวกับภาวะกดดันมาก่อน หรือผู้ป่วยที่มีอาการโดยที่ไม่มีปัญหากดดันที่ชัดเจน ซึ่งอาการดังกล่าวอาจเกิดจากสาเหตุทางกายที่กล่าวไปข้างต้น

    ถือว่าเป็นโรคที่อันตรายร้ายแรงหรือไม่นั้นผู้ป่วยควรได้รับการอธิบายเพื่อเข้าใจถึงกลไกการเกิดอาการ รวมทั้งได้รับความมั่นใจว่าอาการดังกล่าวไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต และควรให้มาติดต่อรักษากับแพทย์ตามนัด

    ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมเมื่อเกิดอาการ และเนื่องจากอาการหอบทางอารมณ์ มักสัมพันธ์กับความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือและการแก้ไขสาเหตุของความตึงเครียด รวมทั้งได้รับการดูแลด้านจิตใจ เพื่อให้ปรับตัวในการรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น

    ในผู้ป่วยที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี อาการดังกล่าว จะไม่ได้นำไปสู่โรคอื่น ๆ ที่อันตรายร้ายแรง การพกบัตรประจำตัวผู้ป่วยจะได้ประโยชน์ในแง่การได้รับความสะดวกเมื่อไปติดต่อกับทางโรงพยาบาล และในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการมาก ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ผู้ป่วยที่สามารถใช้วิธีการฝึกหายใจให้ช้าลง ในการลดอาการหอบหายใจเร็ว อาจไม่จำเป็นต้องพกอุปกรณ์ใด ๆ แต่หากไม่สามารถใช้วิธีการดังกล่าวได้ อาจพกถุงกระดาษติดตัวเพื่อใช้เวลาเกิดอาการ

    อาการหอบไม่อันตราย หากรู้จักวิธีป้องกันตนเอง และให้ข้อมูลการดูแลที่ถูกต้องแก่คนรอบข้าง เพื่อประโยชน์ในชั่วโมงเร่งด่วนหากอาการกำเริบ.

    พญ.ธนิตา หิรัญเทพ

    ภาควิชาจิตเวชศาสตร์

    คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ยืดตัวหัวติดพื้นคลายปวด

    วันเสาร์ ที่ 18 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    อาการปวดหัวโดยปราศจากไข้อาจมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเกิดจากความเครียด เลือดเลี้ยงสมองน้อย หรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ การทำให้ศีรษะอยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจจะช่วยให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองดีขึ้น ธนวดี บัวเกิด หรือ “ครูหยก” จากทรู ฟิตเนส ให้คำแนะนำว่า ท่าดังกล่าวจะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ โดยปกติคนเราใช้สมองเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ที่เหลืออีกร้อยละ 99 อาจถูกละเลยเหมือนเก็บเข้าช่องแช่แข็ง ดังนั้นโยคะทั้ง 3 ท่าวันนี้จะวอร์มช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองทั่วถึง

    ท่าแรกชื่อว่า “สแตนดิง เซพเพอเรท เลกส์ สเตร็ชชิง” แปลตรงตัวให้ยืนแยกขา 4 ฟุต หรือแคบกว่านั้นได้ถ้าวิชาแก่กล้าแล้ว ยืนให้ส้นเท้าเป็นแนวเดียวกัน ปลายเท้างุ้มเข้าให้ตะโพกเปิด คนที่มีอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เท้าปรับชี้ตรงได้ ขณะเตรียมพับตัวลงไปข้างหน้าให้ยืดหลังตรง เข่าตึง ให้มือสอดด้านหลังเท้าแล้วจับส้น แรก ๆ ยังไม่ถึงปรับจับนิ้วก้อยได้ หน้าผากติดพื้น คางยื่นห่างอก ใบหน้าขนานพื้น ท่าที่สมบูรณ์มองด้านข้างเหมือนตัวหายเข้าไปอยู่ในขา หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ 20 วินาที ท่านี้ยังช่วยยืดกล้ามเนื้อขาด้านหลังตะโพก เลือดที่หล่อเลี้ยงลงใบหน้ายังทำให้ผิวพรรณดี

    คนเวียนศีรษะเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำ ครูหยกแนะนำ ท่าที่ 2 “สแตนดิง เซพเพอเรท เลกส์ เฮด ทู นี” เปิดเท้าห่าง 3 ฟุต ท่านี้ทำสลับกัน เริ่มบิดตัวด้านขวาก่อน เท้าขวาชี้ขวา เท้าซ้ายทำมุม 45 องศา แขนเหยียดตรงติดใบหู ข้อมือตรงข้อศอกตึง มือพนมนิ้วโป้งไขว้กัน กดคางจากนั้นก้มหน้าตามองหน้าอกหรือสะดือ หายใจเข้าแขม่วท้องโค้งตัวลงมาด้านหน้าให้หน้าผากแตะเข่า มือเหยียดตรง นิ้วมือสัมผัสพื้นด้านหน้าเท้าขวาประมาณ 20 วินาที การกดด้านหน้าลำตัว จะช่วยนวดตับอ่อน กระตุ้นการทำงานควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

    ปิดท้ายที่ท่า “ฮาร์ฟ เทอเทิล” ดีต่อคนนอนน้อย แก้ปัญหาปวดศีรษะโดยเฉพาะ ให้นั่งคุกเข่าเข่าชิดเท้าชิด นั่งบนส้นเท้าหายใจเข้ายกมือขึ้นพนมเหมือนท่าที่ 2 มองตรงด้านหน้าหายใจออก แขม่วท้องพับตัวลงมาจากเอวหลังเหยียดตรงหน้าผากติดพื้น สันมือบริเวณนิ้วก้อยติดพื้นให้รู้สึกเหมือนคนดึงแขนไปข้างหน้าทำ 30 วินาทีจะช่วยให้กระปรี้กระเปร่าสดชื่น ผลจากการยืดแขนเหยียดตึงยังช่วยยืดสะบักและหัวไหล่ กล้ามเนื้อคลายความตึงเครียด สาเหตุของการปวดศีรษะ.
    ช้องมาศ





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  11. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>แท็กซี่คนดี! เก็บเงิน 7 หมื่นส่งคืนนักธุรกิจญี่ปุ่น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ทีมข่าวอาชญากรรม</TD><TD class=date vAlign=center align=left>18 มิถุนายน 2554 14:11 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>นายทุน รากกระโทก โชเฟอร์แท็กซี่คนดีมอบเงินกว่า 7 หมื่นบาทคืนเจ้าของโทโมคาชุ เคนโจ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โชเฟอร์แท็กซี่คนดี! เก็บเงินกว่า 7 หมื่นบาท ของนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ที่ทำหล่นบนรถขณะโดยสารกลับโรงแรม พร้อมส่งคืนผ่าน สวพ. 91 ขณะที่เจ้าของเงินได้มอบ 1 หมื่นเป็นสินน้ำใจตอบแทน

    วันนี้ (18 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ. FM 91 นายทุน รากกระโทก อายุ 39 ปี บ้านเลขที่ 728 หมู่ 5 ต.โคกกระชาย อ.คอนบุรี จ.นครราชสีมา โชเฟอร์แท็กซี่ สีชมพู ทะเบียน ทล 8253 กรุงเทพ ได้นำกระเป๋าถือภายในบรรจุเงินสดกว่า 10,000 บาท และเงินสกุลต่างประเทศ รวมมูลค่ากว่า 70,000 บาท ส่งคืนให้กับนายโทโมคาชุ เคนโจ นักธุรกิจเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ไทย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ซึ่งทำหล่นบนรถ เมื่อช่วง 04.30 น. ของวานนี้ (17 มิ.ย.)

    โชเฟอร์แท็กซี่ กล่าวว่า เมื่อเวลา 04.30 น. ของวานนี้ (17 มิ.ย.) ตนได้รับผู้โดยสารเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2 คน พร้อมผู้หญิงไทย 1 คน จากบริเวณแยกนานา ถนนสุขุมวิท ไปส่งที่โรงแรม ภายในซอยสุขุมวิท 11 หลังจากนั้นขับรถกลับบ้านพัก ย่านบางแค ขณะนำรถเข้าไปล้างทำความสะอาด พบกระเป๋าถือ สีดำ ภายในมีเอกสารของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น และเงินสด ซึ่งเป็นธนบัตร ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 13 ฉบับ เป็นเงินรวม 13,000 บาท และธนบัตรฉบับละ 20 บาท อีก 2 ฉบับ นอกจากนี้ยังมีธนบัตรสกุลเงินต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งตนไม่ทราบว่าเป็นธนบัตรสกุลเงินประเทศอะไรบ้าง

    "หลังจากขับรถกลับถึงบ้านพัก ผมโทรศัพท์เข้ามายังหมายเลข 1644 “โทรฟรี” ของสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.FM 91 เพื่อให้ช่วยประชาสัมพันธ์ติดตามหาเจ้าของกระเป๋า และทรัพย์สินทั้งหมด กระทั่งเวลาช่วงบ่ายโมงของวันนี้ (18 มิ.ย.) ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ว่า สามารถติดต่อเจ้าของกระเป๋าและทรัพย์สินทั้งหมดได้แล้ว รู้สึกดีใจมาก เพราะหลังจากเจอกระเป๋า ได้พูดคุยกับภรรยารู้สึกสงสาร ถ้าเอาเงินของคนอื่นไปใช้จะทำให้นอนไม่หลับและไม่สบายใจ เรามีโอกาสได้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ครั้งต่อไปนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็อยากมาท่องเที่ยวเมืองไทยต่อเป็นสิ่งที่ผมและภรรยารู้สึกเหมือนกัน” โชเฟอร์แท็กซี่ กล่าว

    ขณะที่ พ.ต.ท.รชต สวยกลาง พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เปิดเผยว่า นายโทโมคาชุ เคนโจ อายุ 36 ปี เดินทางเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันเมื่อเวลา 10.30 น. ของวานนี้( 17 มิ.ย.) ว่าเมื่อเวลา 02.00 น. ไปนั่งดื่มกินที่สถานบันเทิงภายในซอยนานา ถนนสุขุมวิท กระทั่งเวลา 03.00 น. เดินออกจากร้าน ขณะที่เดินออกจากร้านมีคนจำนวนมาก เมื่อถึงห้องพักโรงแรม แกรนด์ บริสเน็ท อินท์ ภายในซอยสุขุมวิท 11 นอนหลับพักผ่อน

    ต่อมาเวลาประมาณ 06.00 น. ตนตื่นนอนรู้ตัวว่ากระเป๋าถือ พร้อมเอกสาร และเงินสดหายไป สำหรับเงินสดที่สูญหายไป ประกอบด้วย เงินบาทไทย จำนวน 17,000 บาท, เงินสกุลเยน จำนวน 5,000 เยน, ธนบัตรสกุลเงิน ดอลล่าสิงคโปร์ จำนวน 1,500 ดอลล่า, เงินหรัง อีก 600 ฟรัง รวมถึงเอกสารสำคัญต่าง ๆ

    ทั้งนี้ น.ส.ณัฐธิดา พันชนะ อายุ 31 ปี ชาวจังหวัดศรีษะเกษ พร้อมด้วย นายโทโมคาชุ เคนโจ ได้เดินทางเข้ามารับกระเป๋าสตางค์ พร้อมเงินสด ซึ่งเป็นธนบัตรสกุลเงินไทย ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 13 ฉบับ, ธนบัตรสกุลเงินดอลล่า สิงคโปร์ ฉบับละ 1,000, 100, 50, 10, 5 และ 2 จำนวนรวม 1,292 ดอลล่าสิงคโปร์, ธนบัตรสกุลเงินเยน จำนวน 7,000 เยน และธนบัตรสกุลเงินฟรังค์ 170 ฟรัง ที่สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.FM 91 พร้อมได้มอบเงินจำนวน 10,000 บาทเป็นสินน้ำใจตอบแทนนายทุน รากกระโทก โชเฟอร์แท็กซี่ด้วย
    ที่มา Manager Online
    น่าสรรเสริญ และ เอาแบบ เป็นเยี่ยงอย่างที่ดี ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>วิธีแก้คันและป้องกันรอยดำจากยุงกัด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย เอมอร คชเสนี</TD><TD class=date vAlign=center align=left>18 มิถุนายน 2554 12:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คำพูดที่ว่า “ยุง ร้ายกว่า เสือ” หลายคนคงเห็นด้วย เพราะโอกาสที่เราจะประจันหน้ากับเสือคงไม่บ่อยนัก ผิดกับยุงที่แทบจะเจอกันทุกวันแม้ไม่อยากเจอ เจ้ายุงตัวร้ายนอกจากจะกัดเจ็บแล้ว ยังทำให้คันยุบยิบ แถมบางครั้งยังทิ้งรอยดำไว้ให้ดูต่างหน้าอีก วันนี้มีวิธีแก้คันและป้องกันรอยดำหลังถูกยุงกัดมาฝากค่ะ

    ทำไมจึงคันเมื่อถูกยุงกัด
    เวลาที่ยุงกัด มันจะใช้ปากแทงลงไปใต้ผิวหนัง แล้วดูดเลือดขึ้นมา 1-2 หยด ระหว่างนั้นมันจะปล่อยของเหลวออกมาจากปากของมันเพื่อทำให้เลือดไม่แข็งตัว จะได้ดูดเลือดได้ง่ายขึ้น อาการคันที่เกิดขึ้นหลังจากถูกยุงกัดเกิดขึ้นเพราะบางคนแพ้สารเคมีในของเหลวที่ว่านี้นั่นเอง ทันทีที่ของเหลวนี้เข้าไปอยู่ใต้ผิวหนังแม้เพียงเล็กน้อย ผิวหนังจะเป็นตุ่มบวมแดงและคัน ซึ่งบางคนอาจเรียกว่า แพ้น้ำลายยุง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คำแนะนำเมื่อถูกยุงกัด
    - ล้างผิวหนังบริเวณที่ถูกยุงกัดด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ เพื่อล้างสารเคมีจากน้ำลายยุงที่ทำให้เกิดการระคายเคือง
    - ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งหรือเจลเย็นประคบเพื่อลดอาการคัน
    - ทาคาลาไมน์โลชั่น หรือทายาบรรเทาอาการคัน หากมีตุ่มหนองซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนให้แต้มยาปฏิชีวนะ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจทิ้งรอยดำหรือเป็นแผลเป็นได้
    รอยดำที่เกิดขึ้นหลังจากถูกยุงกัดเกิดจากเม็ดสีที่ผิวหนังมีปริมาณมากขึ้นหลังเกิดการอักเสบ ซึ่งส่วนมากจะจางหายไปได้เอง แต่อาจใช้เวลานาน
    - ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอและหลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณที่ถูกยุงกัด เพราะอาจกลายเป็นรอยดำหรือแผลเป็นได้เช่นกัน

    สมุนไพรแก้คัน
    แต่ละคนจะมีปฏิกิริยาต่อน้ำลายยุงต่างกันไป บางคนอาจไม่แพ้เลย ขณะที่บางคนอาจจะรู้สึกคันมาก นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว อาจลองใช้สมุนไพรต่อไปนี้
    - ตำลึง นำใบตำลึงมาล้างให้สะอาดแล้วโขลกให้ละเอียด ผสมกับน้ำเล็กน้อย นำมาทาบริเวณที่เป็นตุ่ม ทาซ้ำบ่อยๆ จนกว่าจะหาย
    - ขมิ้น นำหัวขมิ้นมาล้างให้สะอาดแล้วโขลกให้ละเอียดทาบริเวณที่ยุงกัด หรือใช้ผงขมิ้นละลายน้ำทาบ่อยๆ บริเวณที่คัน
    - เปลือกกล้วย ใช้ผิวด้านในของเปลือกกล้วยมาถูบริเวณที่ถูกยุงกัด อาจช่วยลดอาการบวมและคันได้

    วิธีป้องกันยุง
    ยุงอาจเป็นพาหะโรคติดต่อร้ายแรง ดังนั้นควรหาวิธีป้องกันเอาไว้ก่อน
    - ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เพื่อป้องกันยุงกัด
    - เลือกใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆ เพราะผลการวิจัยพบว่า ยุงชอบสีเข้มๆ มากกว่าสีอ่อนๆ
    - ระวังไม่ให้ถูกยุงกัด เช่น นอนกางมุ้ง หรือติดมุ้งลวด
    - ใช้ยาป้องกันยุงชนิดที่ทำจากสารสกัดธรรมชาติ ไม่ควรใช้ชนิดที่เป็นสารเคมี เพราะอาจเป็นอันตรายได้โดยเฉพาะเด็กๆ อย่าทายากันยุงบริเวณร่มผ้า ให้ทาบางๆ ที่แขนขา ฉีดหรือหยดลงบนเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม หรือผ้าอ้อมเด็ก
    - หากจะฉีดยากันยุงชนิดที่เป็นสารเคมี ควรฉีดในช่วงกลางวันหรือฉีดทิ้งไว้สักพักก่อนจะเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้น เพื่อความปลอดภัย
    - หลีกเลี่ยงมุมอับ ที่มืด และระมัดระวังช่วงเวลาที่ยุงจะชุมมากที่สุด นั่นก็คือช่วงหัวค่ำและรุ่งสาง ยกเว้นยุงลายที่ออกหากินเวลากลางวัน
    - กำจัดยุงและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้าน เช่น แจกันดอกไม้ จานรองขาตู้ ท่อน้ำ หรือบริเวณที่มีน้ำขัง
    ที่มา Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    งานผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง

    เพื่อติดตั้งไฟส่องสว่างจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยรอบพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
    และกิจกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

    กำหนดการ

    วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2554

    ณ ศาลาข้างกุฎิ 7 วัดพระศรีมหาธาตุฯ บางเขน กรุงเทพฯ

    [​IMG] [​IMG]

    .

    http://palungjit.org/threads/%E0%...ml#post4758626

    .

    http://palungjit.org/threads/%E0%...68899.110/

    .

    http://palungjit.org/groups/%E...9%86.2139/

    .

    ทำบุญ 500 บาท ผมมอบพระวังหน้าให้ 1 องค์

    ส่วนพิมพ์ผมเลือกให้เองครับ


    .

    -http://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87-%E0%B8%AD-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4.68899/page-110-


    .





    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เตือน ยาฤทธิ์ตีกัน ภัยเงียบถึงตาย


    เตือน"ยาตีกัน"ภัยเงียบถึงตาย (ไทยโพสต์)

    เภสัชกรเตือน ภัยเงียบของผู้ใช้ยา ระวังกินยาหลายชนิด เกิดอาการ "ยาตีกัน" โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังหลายโรค อาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต รวมทั้งการรักษาไม่ได้ผล ไม่สามารถควบคุมโรคได้ รณรงค์ให้คนไทยทำ "สมุดบันทึกยา" ป้องกันการกินยาซ้ำซ้อน หรือยาออกฤทธิ์ตีกัน

    สภาเภสัชกรรม ร่วมกับเภสัชกรรมสมาคมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) จัดโครงการสัปดาห์เภสัชประจำปี 2554 ระหว่างวันที่ 26 มิ.ย.-2 ก.ค.2554 รณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการบันทึกรายการยาที่ใช้ เพื่อลดปัญหาเรื่องยาตีกัน การใช้ยาซ้ำซ้อน ซึ่งมีผลอันตรายและอาจเป็นภัยเงียบอันตรายต่อผู้ใช้ยาได้

    ภญ.รศ.ธิดา นิงสานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังจะเห็นได้ว่าในปี 2553 สัดส่วนผู้สูงอายุอยู่ที่ 12% แต่อีก 10 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 17% ในปี 2563 ซึ่งแน่นอนว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะมีโรคเรื้อรังประจำตัวตามลำดับ ดังนี้ คือ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ และเบาหวาน ทำให้บางคนต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน และผู้ป่วยอาจได้รับยาจากสถานพยาบาลหลายแห่ง ช่วงเวลาการนัดเพื่อติดตามผลการรักษาอาจมีความถี่ต่ำไม่เท่ากัน อาจเป็น 3-6 เดือน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการใช้ยาซ้ำซ้อน เกิดอาการยาตีกัน หรือผู้ป่วยบางคนมีพฤติกรรมบริโภคอาหาร สูบบุหรี่ และดื่มเหล้า หรือบางคนหยุดยาเองโดยไม่บอกแพทย์ ทำให้โรคยิ่งเป็นมากขึ้น หรือยาที่ใช้รักษาได้ผลลดลง หรือมีฤทธิ์เพิ่มมากขึ้น จนเป็นอันตรายได้ จากข้อมูลการติดตามผู้ป่วยพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาล สาเหตุมาจากเรื่องของยา โดยที่ 40% มาจากสาเหตุการใช้ยาไม่ถูกต้อง และอีก 60% มาจากอาการไม่พึงประสงค์จากยา

    ภศ.รศ.ธิดา กล่าวว่า ส่วนอาการ "ยาตีกัน" หมายถึงการที่ฤทธิ์ของยาตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่อได้รับยาอีกตัวร่วมเข้าไป ผลที่เกิดขึ้นอาจก่อให้เกิดผลการรักษาที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เกิดอาการไม่พึงประสงค์ หรืออาจทำให้ผลของการรักษาลดลงได้ บางครั้งก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

    "ในภาพรวมการรักษาโรคเรื้อรังเราพบ ว่า แม้จะมีการรักษาแต่ควบคุมโรคไม่ได้ เช่น เบาหวาน ควบคุมไม่ได้ 43.5% หรือโรคความดันโลหิตสูง แม้จะเข้าถึงการรักษา เข้าถึงยา แต่ควบคุมโรคไม่ได้ 26.4% เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการใช้ยาที่ยังไม่มีประสิทธิผลพอ เพราะมีปัจจัยแทรกซ้อนอื่นๆ ทั้งจากการใช้ยาชนิดอื่นร่วมกันและอาหารที่รับประทาน หรือพฤติกรรมการกินอยู่ของผู้ป่วย"

    นายกสภาเภสัชกรรมกล่าวอีกว่า ดังนั้นแนวความคิดในการรณรงค์เรื่องการใช้ยาในสัปดาห์เภสัชกรรมที่จะจัดขึ้น ในวันที่ 26 มิ.ย.-2 ก.ค.นี้ ทางสภาเภสัชฯ และภาคีเครือข่าย จึงได้มีการจัดพิมพ์สมุดบันทึกยาล็อตแรกจำนวน 5 หมื่นเล่ม เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการตามโรงพยาบาล และร้านยาคุณภาพ โดยผู้ป่วยสามารถจะบันทึกข้อมูลการใช้ยาด้วยตนเองหรือจะให้แพทย์ เภสัชกร เป็นผู้บันทึกก็ได้ เพื่อจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการรับการรักษาครั้งต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามรักษาของแพทย์เป็นไปอย่างเหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย

    ด้าน ภก.จตุพร ทองอิ่ม เภสัชกรประจำศูนย์บริการสาธารณสุข 51 วัดไผ่ตัน สำนักอนามัย กรุงเทพฯ กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์การใช้ยาผู้ป่วยเรื้อรังมานานกว่า 10 ปี พบปัญหาการใช้ยาของประชาชนไม่ถูกวิธีหลายประการ ส่งผลให้ยาตีกัน อาทิ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทานยาลดความดันร่วมกับยาปฏิชีวนะบางชนิด จะส่งผลให้ระดับยาในเลือดเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิม ผู้ป่วยก็จะได้รับอันตราย หรือกรณีผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดจากแพทย์ต้องระมัด ระวังในการซื้อยา หรือกินอาหารเสริม หรือในยาปฏิชีวนะบางชนิด จะตีกับยาที่ได้รับอยู่แล้ว เช่น ยาลดไขมัน ยาหัวใจ ยาขยายหลอดลม เป็นต้น ทำให้ระดับยาในเลือดของยาเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น ในผู้ป่วยบางคนอาจเป็นอันตรายได้ หรือในกรณียาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ซึ่งผู้ใช้ยาจะต้องระมัดระวังในการซื้อยาหรือกินอาหารเสริม เพราะจะเกิดปฎิกริยาต่อกัน ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติและอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้ หรือการกินยาฆ่าเชื้อบางกลุ่ม ร่วมกับยาลดกรด หรือแคลเซียม เหล็ก วิตามินบางชนิด จะทำให้การดูดซึมของยาฆ่าเชื้อลดลงกว่าครึ่ง ผลการฆ่าเชื้อลดลงด้วย รวมทั้งอาหารเสริม หรือสมุนไพรบางชนิด

    นอกจากยาตีกันเองแล้ว อาหารเสริมที่ไม่ได้จัดเป็นยาหรือสมุนไพรบางชนิด ก็สามารถ "ตีกับยา" ได้ เช่น น้ำผลไม้บางชนิด เช่น เกรพฟรุต แครนเบอรี่ หรือกระเทียม แป๊ะก๊วย อาจไปเพิ่มฤทธิ์ยาที่ต้านการเกาะกันของเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน หรือยาวาทาริน ที่ต้านการแข็งตัวของเลือด

    "เราพบว่าใน ยาคลายกล้ามเนื้อกินต่อเนื่อง 5-7 วัน ยาตัวนี้จะมีตัวยาพาราเซลตามอลผสมรวมอยู่ด้วย แต่ผู้ป่วยไม่รู้ กินยาพาราฯ เข้าไปอีก หรือในยาตัวเดียวกันแต่มีรูปร่างต่างกัน ผู้ป่วยไปหาหมอหลายคนให้ยามาเหมือนกัน ก็กินเข้าไปหลายขนานก็จะเกิดอันตรายและผลเสียได้ เกิดการกินยาตีกันหรือกินยาซ้ำซ้อน แต่ถ้าผู้บริโภครู้ว่าเราใช้ยาอะไร โดยยื่นสมุดบันทึกยาให้หมอที่รักษาและเภสัชกรดู เขาก็จะหาวิธีในการหลีกเลี่ยง เช่น ถ้ากินยาแก้โรคกรดไหลย้อน และในผู้สูงอายุต้องกินแคลเซียมด้วย ถ้ากินพร้อมกัน ประสิทธิภาพของแคลเซียมจะลดลง เพราะแคลเซียมจะละลายดูดซึมดีกับสภาพความเป็นกรดในลำไส้ ซึ่งทางแก้อาจต้องแยกมื้อกิน ไม่ให้ยา 2 ตัวนี่เจอกัน" ภก.จตุพร กล่าว




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://thaipost.net/news/180611/40348-

    [​IMG]



    .



    .


    -http://health.kapook.com/view27305.html-
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ดูทีวีติดต่อกันวันละ 2 ชม. คุกคามสุขภาพถึงชีวิต


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    นี่คงเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ที่ชอบนั่งดูทีวีเลยทีเดียว เพราะเว็บไซต์เดลิเมลของประเทศอังกฤษ รายงานผลวิจัยอันน่าตื่นตระหนกว่า หาก คุณมีพฤติกรรมนั่งดูทีวีติดต่อกันวันละ 2 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดซึ่งมีอันตรายถึงชีวิต

    ผลการวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารสาธารณสุขของสมาคมเภสัชกรรมแห่งอเมริกา เป็นผลงานของด็อกเตอร์ แอนเดอส์ กรอนท์เว็ด จากมหาวิทยาลัยแห่งเดนมาร์กตะวันตก และด็อกเตอร์ แฟรงค์ ฮู จากวิทยาลัยสาธารณสุขฮาวาร์ด ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากผลงานวิจัยอื่น ๆ อีก 8 ชิ้น ที่สำรวจจากผู้คน 235,000 คนในอเมริกา โดยชี้ว่า คน ที่มีพฤติกรรมนั่งดูทีวีติดต่อกันเฉลี่ย 2 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงจะเป็นโรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้มากกว่าคนทั่วไป นั่นคือ เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานประเภทที่สอง มากกว่าคนทั่วไปถึง 20%, เสี่ยงต่ออาการหัวใจวายเฉียบพลันและโรคหัวใจ 15% และเสี่ยงที่จะเป็นโรคอื่น ๆ ที่อาจร้ายแรงต่อชีวิตมากกว่าคนทั่วไปอีก 13%


    [​IMG]


    จากผลการสำรวจดังกล่าวทำให้คาดการณ์ได้ว่าจากประชากรทุก ๆ 100,000 คน จะพบผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่สอง 178 คน เสี่ยงเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ 38 คน และเสี่ยงต่อการเป็นโรคใด ๆ ก็ตามที่สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้อีก 104 คน โดยเหตุผลสำคัญของความเสี่ยงดังกล่าวมาจากการขาดการออกกำลังกายและการกิน อาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดขณะดูทีวี

    เมารีน ทัลบ็อธ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศอังกฤษ ได้กล่าวถึงผลการวิจัยนี้ว่า เป็นการเพิ่มความหนักแน่นให้กับข้อมูลที่ว่า พฤติกรรม ที่ไม่ได้ใช้กำลังส่วนใดเลย เช่นการดูโทรทัศน์นี้ ยิ่งเพิ่มความเสียงการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่สอง และโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ และยังได้เสริมว่า ปัจจุบันนี้มีคนจำนวนมาก ใช้เวลาช่วงค่ำหลังเลิกงานไปกับการจมจ่อมที่โซฟาหน้าทีวี กินขนบขบเคี้ยวต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กับเครื่องดื่มรสหวานเช่นน้ำอัดลม หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ซึ่งจะกลายเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อโรคเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าหากคนพวกนั้นทำ จนเป็นกิจวัตร

    [​IMG]


    "เราควรจะ ใส่ใจเรื่องระยะเวลาในการที่อยู่หน้าจอทีวีให้มากกว่านี้ และทำกิจกรรมอื่นที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายบ้าง อย่างเช่น การออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมงให้ได้อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

    แม้ จะเป็นผลการสำรวจจากประชากรอเมริกัน แต่เชื่อเถอะว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ต่างไปจากชาวอเมริกัน และเราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ดีต่อสุขภาพแน่นอน เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงการใช้เวลาจมจ่อมกับสิ่งใดนาน ๆ โดยไม่ได้ออกแรง และอย่าลืมแบ่งเวลามาออกกำลังกายกันด้วยนะคะ




    .

    -http://health.kapook.com/view27283.html-


    .




    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    จับได้แล้ว 4 ราย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม


    [​IMG]


    จับได้แล้ว 4 ราย! แก๊งหลอกโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม (ไอเอ็นเอ็น)

    รอง ผบช.ก. แถลงรวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวมาเลเซีย และไทย 4 ราย ตุ๋นคนไทยโอนเงินข้ามชาติ เหยื่อกว่า 50 ราย สารภาพทำจริง ส่งดำเนินคดีต่อไป

    สืบ เนื่องจากกรณีแก๊งต้มตุ๋นที่หลอกเหยื่อวัยเกษียณรายหนึ่งให้โอนเงินจำนวน กว่า 1,200,000 บาทนั้น ล่าสุด พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถลงผลการจับกุมตัว นายตัน เฉิน ฮัง อายุ 29 ปี หัวหน้าแก๊ง Call center ชาวมาเลเชีย พร้อมชาวไทย รวม 4 ราย โดย เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ที่ อพาร์ทเม้นท์ย่านตำบลคลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

    สำหรับ พฤติการณ์ของแก๊งคนร้ายนั้น จะใช้ประเทศไต้หวันเป็นฐานในการก่อเหตุ และโทรศัพท์ทางไกล มาหลอกลวงคนไทยว่า ค้างชำระบัตรเครดิต เมื่อเหยื่อปฏิเสธแก๊งดังกล่าวจะออกอุบายว่า บัญชีของเหยื่ออาจถูกขโมยข้อมูลทางการเงินดังนั้น ให้เหยื่อถอนเงินสดออกจากบัญชีเพื่อนำเงินไปฝากไว้ในเบอร์บัญชีกลางของ ธนาคาร โดยฝากผ่านตู้ฝากเงินสด โดยอ้างว่า เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายเข้ามาโจรกรรมเงินในบัญชีได้อีก ทำให้เหยื่อสูญเสียเงินจำนวนมาก และมีผู้ตกเป็นเหยื่อกว่า 50 ราย

    ทั้งนี้ จากการสอบสวน ผู้ต้องหาเบื้องต้นให้การรับสารภาพว่า ได้เงินค่าจ้างวันละ 1,400 บาท โดยทำหน้าที่กดเงินสดออกจากธนาคาร ส่วนผู้ต้องหาชาวมาเลเซีย จะได้เงินเดือนๆ ละ 80,000 บาท ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันใช้ และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นในประการที่จะก่อให้ เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นและประชาชน



    ที่มา ไอ.เอ็น.เอ็น.

    [​IMG]



    .






    http://hilight.kapook.com/view/59926
    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ไม่แตกตื่นแต่ต้องระวัง!"พิษสงเชื้อร้าย""ท้องเสีย"อย่าประมาท

    เรื่องปากท้อง เรื่อง ’อาหารการกิน“ ของมนุษย์เรา นับวันจะกลายเป็นเรื่องที่ต้อง ’สุ่มเสี่ยง“ ต่อการ ’เกิดภัย“เป็นเรื่องต้องระมัดระวังกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสำหรับในประเทศไทยยามนี้ ที่เพิ่งเป็นข่าวฮือฮาน่ากลัวก็คือ มีนายทุนเห็นแก่ได้นำ “ไก่เน่า” มาชำแหละส่งขาย โดย แช่ฟอร์มาลิน ที่ใช้ในการแช่ดองศพ คลุกดินประสิว ที่ใช้ในการทำวัตถุระเบิด เพื่อกลบร่องรอยความเน่า รวมทั้งปกปิดกลิ่นเหม็น ก่อนส่งออกขาย ซึ่งกับผู้ที่บริโภคนั้นอาจเกิดอันตราย อาหารเป็นพิษ อาเจียน ท้วงร่วง หรือถ้าโชคร้ายมาก ๆ ก็อาจร้ายแรงกว่านี้

    ก็ทำเอาคนไทยจำนวนไม่น้อยแหยง ๆ ที่จะบริโภคไก่

    คนค้าขายไก่ ขายอาหารที่ใช้ไก่ ก็พลอยย่ำแย่ไปด้วย

    ครั้นจะหันไปบริโภค “ผัก” เป็นหลัก ยามนี้ก็ใช่ว่าจะไม่แหยงกัน เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียร้าย ’อีโคไล“
    ในประเทศแถบยุโรป ในประเทศเยอรมนี จนถึงวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา ก็ยังอึมครึมถึงต้นตอที่แน่ชัด ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการป่วยด้วยเชื้อตัวนี้ในเยอรมนี ณ วันที่ 14 มิ.ย. ขยับเพิ่มเป็น 36 ราย มีผู้ป่วยติดเชื้อที่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิตอีกอย่างน้อย 3,228 ราย ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศยังเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

    ทั้งนี้ สำหรับในประเทศไทย แม้ว่าทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขจะยืนยันว่ายังไม่มีเชื้ออีโคไลตัวนี้แพร่ ระบาด แต่ ไทยก็ใช่ว่าจะวางใจได้ เพราะขนาดเยอรมนีที่มีการพัฒนาทางการแพทย์สูงก็ยังมึนตึ้บ!!

    ย้อนดูข้อมูล “อีโคไล” กันอีกสักครั้ง โดยภาพรวมกว้าง ๆ แบคทีเรียร้ายกลุ่มนี้มีอยู่หลายสายพันธุ์ ซึ่งกับอีโคไลที่ระบาดอยู่แถบยุโรป ในเบื้องต้นเชื่อว่ามันมากับอาหาร โดยเฉพาะจำพวกผักสด และในเบื้องต้นสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเชื้ออีโคไลสายพันธุ์ โอ-104 ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดกันแน่ ที่แน่ ๆ ก็คือ “อันตราย”

    ผู้ที่ได้รับเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกาย จะมีอาการป่วยคล้ายคลึงกับผู้ป่วยที่อาหารเป็นพิษ คือ ท้องเสีย ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ มีไข้ต่ำ คลื่นไส้อาเจียน โดยส่วนใหญ่อาการป่วยจะสามารถหายได้เอง

    แต่ประมาณร้อยละ 10 อาการจะรุนแรง ถ่ายเป็นมูกหรือเป็นเลือด เกิดภาวะซีด และร้อยละ 3-5 จะมีอันตรายมาก อาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน เม็ดเลือดแดงแตก และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้!!

    กับคำแนะนำทางสาธารณสุข คำเตือนทางการแพทย์ หากใครมีอาการท้องเสีย ควรทบทวนเรื่องการกินอาหาร เช่น มีการรับประทานอาหารที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทำให้ท้องเสียหรือไม่? และก็ควรจะสังเกตอาการตนเองให้ดี เช่น ถ้าท้องเสียเกิน 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ถ่ายไม่หยุด ถ่ายเป็นมูกเป็นเลือด อย่าวางใจโดยไม่ไปพบแพทย์...เด็ดขาด!! ซึ่งจริง ๆ แล้ว หากไม่ติดขัดหรือสุดวิสัยจริง ๆ เมื่อท้องเสียก็ควรไปพบแพทย์แต่แรก

    ยิ่งถ้าเกิดอาการป่วยหลังคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่เกิดการระบาดของเชื้อ ’อีโคไล“ ยิ่งควรต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดโดยด่วน!!

    สำหรับอีโคไลสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในแถบยุโรปนั้น เมื่อทำให้เกิดอาการป่วย ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า... การรักษาผู้ที่ติดเชื้อก็จะใช้วิธีเดียวกับการรักษาผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ หรือผู้ป่วยท้องร่วงทั่วไป โดยเป็นการรักษาตามอาการ และจะไม่มีการให้ยาหยุดถ่ายท้อง เพราะอาจจะส่งผลให้มีเชื้ออันตรายตกค้างอยู่ในร่างกาย แต่หากมีเหตุจำเป็นต้องใช้ ก็จะต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

    อย่างไรก็ดี การเฝ้าระวังเพื่อการป้องกัน ย่อมจะดีกว่ารักษา ซึ่งสำหรับการเฝ้าระวังไม่ให้เชื้ออีโคไลระบาดในไทยในส่วนของวงการแพทย์นั้น ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขก็ร่วมกับโรงพยาบาลต่าง ๆ ใช้มาตรการป้องกันและเฝ้าระวัง อย่าง โรงพยาบาลรามคำแหง ทาง ศ.ดร.นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล แพทย์ที่ปรึกษาด้านโรคติดเชื้อ ก็เผยว่า...นอกจากจะดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดแล้ว ทางทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลรามคำแหง ก็ได้ เฝ้าติดตามสังเกตอาการและตรวจคัดกรองผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินอาหาร อย่างละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจ-ป้องกันเชื้ออีโคไลแพร่ระบาดในไทย

    ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนทั่วไป แม้ในไทยจะยังไม่พบการแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไลสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดใน ต่างประเทศ แต่ก็ควรต้องใส่ใจวิธีป้องกันการติดเชื้ออีโคไล ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดจากการรณรงค์ของกระทรวงสาธารณสุข ก็คือ ’กินร้อน-ช้อนกลาง-ล้างมือ“
    เพื่อช่วยให้ห่างไกลจากการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ควรทานอาหารที่ปรุงสุกเท่านั้น เพราะจะฆ่าเชื้อนี้ได้ หรืออย่างน้อยอาหารที่ปรุงก็ควรผ่านความร้อน 70 องศาฯ ขึ้นไป

    ’อาหาร“ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำให้ท้องเสีย เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงไว้ก่อน และการใช้ ’น้ำ“ เพื่อล้างวัตถุดิบอาหาร เช่น ล้างผักสด ก็ไม่ควรใช้น้ำคลองน้ำบ่อที่มั่นใจไม่ได้ในเรื่องความสะอาด ที่สำคัญคือต้อง ’ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง“ เพราะโรคภัยไข้เจ็บมักจะเกิดได้ง่ายในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ

    ท้องเสียผิดปกติ...ตระหนักไว้ว่าต้องรีบไปพบแพทย์

    ถึงท้องไม่เสีย...ก็ต้องไม่ทาน-ไม่ทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง

    ปลอดภัยไว้ก่อน...อย่าประมาทเป็นดีที่สุด!!!!!.


    .



    .

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=23&contentId=145737-

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ชงชาให้อร่อย อาศัยสูตรวิทยาศาสตร์



    การชงชาหลายคนมองว่าเป็นงานศิลปะ แต่งานวิจัยนีกำลังพูดถึงวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการชงชา

    ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยได้คำณวนสูตรในการชงชาที่ดีที่สุดคือใช้เวลาในการดื่ม 6 นาทีนับจากเริ่มทำ

    เวลาที่ดีที่สุดในการชงคือ 2 นาทีและปริมาณนมที่เหมาะสมคือ 10 มิลลิลิตร อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการดื่มคือ 60 องศาเซลเซียสและดื่มภายใน 6 นาที

    หรือ สูตรทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนอร์ทธัมเบรียได้เสนอคือ
    ชา+น้ำอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ใช้เวลาชง 2 นาที หากเพิ่มนมต้องชง 6 นาที และอุณหภูมิที่เหมาะที่จะดื่มคือ 60 องศาเซลเซียส

    การวิจัยโดยทีมงานบริษัทนม ใช้เวลา 180 ชั่วโมงในห้องทดลองเพื่อทดสอบวิธีการผลิตเครื่องดื่ม มีอาสาสมัครที่บริโภคชาจำนวน 285 ถ้วย

    เอียน บราวน์ ผู้บรรยายอาวุโสและผู้ชำนาญการด้านโภชนาการอาหารทั้งยังเป็นผู้นำการวิจัย มหาวิทยาลัยสคูล ออฟ ไลฟ์ ไซน์ กล่าวว่า ความสุขในการดื่มชา อยู่ที่ส่วนผสมที่ตัวของรสขมและรสหวาน
    เราค้นพบว่าปริมาณนม 10 มิลลิลิตร นั้นเหมาะสมกับปริมาณ 1 ถ้วย เนื่องจากเป็นความสมดุลย์อย่างเป็นธรรมชาติที่จะทำให้รสกลมกล่อม

    อุณหภูมิที่เหมาะสมในการดื่มชา คือ 60 องศาเซลเซียส และการจะเติมนมต้องอยู่ภายใน 6 นาที และเวลา 2 นาทีสำหรับชาดำ

    หากเติมนมในชาดำ รสชาติของมันจะนุ่มขึ้น แต่จะลดความของหอมของใบชาไป

    ผลสำรวจพบว่าชาวอังกฤษดื่มชา 165 ล้านถ้วยต่อวัน หรือ 60.2 พันล้านต่อปี


    .

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308316755&grpid=&catid=09&subcatid=0902-

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันอาทิตย์หรรษาครับ



    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    มารยาทในการจับมือทักทาย

    การจับมือทักทาย แม้ไม่ใช่มารยาทแบบไทย แต่ก็ควรทราบและเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตาม วันนี้มีวิธีที่ถูกต้องในการจับมือทักทายมาฝาก

    การจับมือทักทาย แม้ไม่ใช่มารยาทแบบไทย แต่ด้วยในปัจจุบันนี้ที่โลกแคบลง ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ธรรมเนียมแบบตะวันตกจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่คนไทยควรทราบไว้ และปฏิบัติตาม เพราะเมื่อต้องเข้างานสังคม สัมภาษณ์งานกับนายฝรั่งแล้วเขาทักทายด้วยวิธีนี้ หรือร่วมงานปาร์ตี้ที่เป็นสากล จะได้ทำตัวได้ถูกและไม่อายใคร ในกรณีที่ต้องการทำความรู้จักผู้อื่น ไม่ว่าใครก็สามารถขอจับมือทักทายกันได้ ทั้งผู้หญิงกับผู้ชาย รุ่นพี่กับรุ่นน้อง หรือผู้ใหญ่กับเด็ก มารยาทในการจับมือทักทายที่ถูกต้องมีขั้นตอนดังนี้

    - ยื่นมือขวาออกไปสัมผัสมืออีกฝ่ายเบา ๆ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ถนัดมือซ้าย ก็จำเป็นต้องใช้มือขวาด้วย

    - ถ้าจับมือกับผู้ใหญ่ให้ทำอย่างสำรวม แขนข้างที่งอขึ้นให้อยู่ในแนวเข็มขัด

    - แต่ถ้าเป็นการจับมือกับคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน หรือเป็นเพื่อนกัน สามารถจับมือแรง ๆ หรือเขย่ามือได้

    - ต้องไม่ลืมว่าในขณะนั้นมือของเราต้องสะอาดอยู่ ถ้าที่มือมีเหงื่อออกก็ควรเช็ดให้แห้งก่อนที่จะไปจับมือทักทายใคร

    - การจับมือทักทายทั้ง ๆ ที่ใส่ถุงมืออยู่เป็นการเสียมารยาท เพราะฉะนั้นควรถอดออกก่อน

    - ที่สำคัญอย่าลืมยิ้มแย้มขณะทักทายด้วย เพราะเป็นการแสดงถึงความปรารถนาดีและจริงใจต่อคู่สนทนา.

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=146020-

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...