พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr><td class="headline" align="left" valign="baseline">ปั่นสองล้อ ตามรอยพระเจ้าตากฯ</td> <td align="right" valign="baseline" width="102"></td> </tr> </tbody> </table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1"></td> </tr> </tbody> </table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">19 กรกฎาคม 2554 16:42 น.</td></tr></tbody> </table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline"> โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินในกองทัพเรือ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ความคิดที่อยากให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองจักรยาน ผู้คนหันมาใช้จักรยานไปทำงานหรือเดินทางไปไหนต่อไหนแทนรถยนต์ดูจะยังเป็น ความฝันที่ห่างไกลความเป็นจริง แต่ฉันและหลายๆ คนก็ยังอยากให้ฝันนั้นเกิดขึ้นในเร็ววัน เพราะนอกจากการปั่นจักรยานจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยลดมลพิษให้โลกได้มากโข

    ดังนั้นเมื่อได้ทราบข่าวว่ากองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครและสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย เขาจัดกิจกรรม “ปั่นจักรยานชมกรุง ตามรอยประวัติศาสตร์ ตอน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” ฉันจึงรีบสมัครไปขอร่วมขบวนปั่นกับเขาด้วย และเอามาบอกเล่ากันต่อเผื่อใครอยากจะไปปั่นในเส้นทางนี้บ้าง

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">หลวงพ่อโบสถ์น้อย แห่งวัดอมรินทราราม</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> สำหรับจุดแรกในเส้นทางตามรอยนี้ เริ่มที่ “วัดอัมรินทราราม” ซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ แล้วสถาปนาให้เป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ที่วัดแห่งนี้เราได้กราบสักการะ “หลวงพ่อโบสถ์น้อย” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัด มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดจากทหารฝ่ายสัมพันธมิตรตกลงใกล้โบสถ์ และทำให้เศียรของหลวงพ่อโบสถ์น้อยถึงกับหักพังลงมา สร้างความเศร้าเสียใจให้แก่ชาวบ้านที่เคารพนับถือองค์หลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสงครามยุติลงจึงได้มีการปั้นพระเศียรของหลวงพ่อขึ้นใหม่โดยให้คงเค้า เดิมไว้ และต่อมาวัดจึงกำหนดให้วันที่ 29 พ.ย. ของทุกปี เป็นวันนมัสการประจำปีของหลวงพ่อโบสถ์น้อย เพื่อระลึกว่าในวันดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่หลวงพ่อโบสถ์น้อยถูกภัย ทางอากาศ

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">อุโบสถวัดสุวรรณาราม ริมคลองบางกอกน้อย</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ไหว้พระกันเสร็จแล้วขึ้นปั่นสองล้อเข้ามาในชุมชนบ้านบุ เพื่อลัดเลาะมายัง “วัดสุวรรณาราม” วัด เก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยา วัดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ประหารชีวิตเชลยศึกพม่าจากค่ายบางแก้วในสมัยกรุง ธนบุรี ภายในวัดแห่งนี้มีของดีอยู่ภายในพระอุโบสถ คือภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของหลวงวิจิตรเจษฎา (ครูทองอยู่) และหลวงเสนีย์บริรักษ์ (ครูคงแป๊ะ) สองจิตรกรเลื่องชื่อแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งสองได้เขียนจิตรกรรมฝาผนังประชันกัน โดยครูทองอยู่เขียนจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระพุทธเจ้าสิบชาติตอนเนมีราชชาดก กับ ส่วนครูคงแป๊ะเขียนตอนมโหสถชาดก

    จากวัดสุวรรณาราม คราวนี้ปั่นกันยาวจากถนนจรัญสนิทวงศ์แล้วเลี้ยวซ้ายเลียบทางรถไฟผ่านตลาด ศาลาน้ำร้อนเข้าสู่ถนนอิสรภาพแล้วเลี้ยวเข้าถนนพรานนกมายัง “ชุมชนบ้านช่างหล่อ” ชุมชนเก่าแก่ที่อพยพมาจากอยุธยาเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 เป็นกลุ่มคนที่มีฝีมือในการหล่อพระพุทธรูปสืบทอดกันมาหลายรุ่น แต่ปัจจุบันโรงหล่อพระพุทธรูปในชุมชนบ้านช่างหล่อไม่หลงเหลืออยู่อีก เนื่องจากทางการกลัวอันตรายจากการหลอมทองเพื่อหล่อพระ จึงได้ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการประกอบกิจการในเขตชุมชนบ้านช่างหล่อ แต่ทางชุมชนยังตระหนักถึงประวัติศาสตร์อันสำคัญของบรรพบุรุษ จึงยังคงรวบรวมเอาเครื่องมือเก่าๆ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการหล่อพระพุทธรูปไว้เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ที่สนใจได้ฟังกัน

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="338"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="338"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เรียนรู้เรื่องราวของบ้านช่างหล่อกับคนในชุมชนโดยตรง</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ต่อจากนั้นฉันและนักปั่นน่องเหล็กทั้งหลายต่างขี่จักรยานผ่านถนนอรุณอมรินทร์มุ่งหน้าไปยัง “กรมอู่ทหารเรือ” ซึ่งเป็นสถานที่สร้าง ซ่อมแซมและดำเนินการเกี่ยวกิจการต่างๆ ของกองทัพเรือ รวมไปถึงเรือหลวงและเรือพระที่นั่ง วันที่ฉันเข้าไปในกรมอู่ทหารเรือก็เห็นว่าเขากำลังซ่อมแซมและเตรียมความ พร้อมแก่เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9เพื่อที่จะใช้ในงานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุห ยาตราชลมารค เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา

    และด้วยความที่เพิ่งเคยเข้ามาในกรมอู่ทหารเรือเป็นครั้งแรก ฉันจึงเพิ่งรู้ว่าภายในกรมอู่ทหารเรือก็มีวัดตั้งอยู่ด้วย คือ “วัดวงศมูลวรวิหาร” วัด ที่สร้างขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์โดยกรมขุนธิเบศร์บวร พระโอรสในกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 2 สร้างขึ้นในพื้นที่ซึ่งเป็นพระนิวาสสถานเดิมของรัชกาลที่ 1 ตั้งแต่ครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline"> อุโบสถวัดวงศมูล ในกรมอู่ทหารเรือ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> วัดวงศมูลฯ นี้ดูภายนอกก็เหมือนวัดปกติทั่วไป ตัวโบสถ์ทอดตัวทางยาวตามแนวตะวันออก-ตะวันตก แต่เมื่อเข้าไปภายในแล้วพระประธานกลับหันหน้ามาทางทิศเหนือ หรือทางขวางของอุโบสถ แทนที่จะหันไปทางทิศตะวันออกตามปกติและตามความยาวของโบสถ์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจาก เมื่อกรมขุนธิเบศร์บวรทรงสร้างวัดนั้น พระอุโบสถหันไปทางพระตำหนักที่ประทับทำให้ไม่สบายพระองค์และประชวรอยู่ เนืองๆ จะเป็นการแก้เคล็ดหรือมีผู้ทูลทักท้วงจึงทำให้ต้องย้ายพระประธานในพระอุโบสถ และถือว่าพระอุโบสถหันหน้าไปทางทิศเหนืออย่างที่เห็น

    พระประธานในอุโบสถวัดวงศมูลฯ นามว่า “พระพุทธวงศมูลมิ่งมงคล” ส่วนบริเวณด้านข้างพระประธานทั้งสองด้านงามแปลกตาด้วยซุ้มสไตล์โกธิคแบบ ตะวันตก แต่ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์และปางห้ามญาติ ปัจจุบันวัดวงศมูลฯ คงเหลือถาวรวัตถุคืออุโบสถหลังนี้เพียงหลังเดียว และไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">กรมอู่ทหารเรือกำลังซ่อมแซมเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> ได้พักเหนื่อยให้คลายความเมื่อยล้าขาสั่นกันในกรมอู่ทหารเรืออยู่พักใหญ่ ฉันก็เดินทางต่อแบบชิลล์ๆ ไปยัง “วัดอรุณราชวราราม” ที่ อยู่ติดๆ กัน วัดแห่งนี้คงไม่ต้องบรรยายถึงความงดงาม เพราะหลายๆ คนคงซาบซึ้งกันดีแล้ว มาฟังถึงความเกี่ยวข้องของวัดอรุณฯ และสมเด็จพระเจ้าตากสินกันดีกว่า

    วัดอรุณฯ แต่เดิมชื่อวัดมะกอกนอก เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าตากสินโปรดให้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามายัง กรุงธนบุรี พระองค์ได้ล่องเรือมาจนมาถึงวัดนี้เมื่อตอนรุ่งสางพอดี และได้เสด็จขึ้นไปนมัสการพระมหาธาตุบนพระปรางค์ และเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่เป็นวัดแจ้ง ตามเวลาที่พระองค์เสด็จมาถึง

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระปรางค์วัดอรุณฯ ความงดงามริมแม่น้ำเจ้าพระยา</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสร้างพระราชวังขึ้น วัดแจ้งก็ตั้งอยู่ในเขตวังพอดี พระองค์จึงโปรดให้ปฏิสังขรณ์และมิให้มีพระสงฆ์จำพรรษาเพราะถือเป็นวัดในวัง ต่อมาหลังจากรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน วัดแจ้งได้รับการบูรณะอีกหลายครั้ง และได้เปลี่ยนชื่อวัดมาเป็นวัดอรุณราชวราราม

    คราวนี้ปั่นเข้าไปในเขตทหารเรืออีกครั้ง ที่ “กองบัญชาการกองทัพเรือ” เพื่อ มากราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินที่ตั้งอยู่ริมแม่ น้ำเจ้าพระยา พระบรมราชานุสาวรีย์นี้หันพระพักตร์ไปทางกรุงศรีอยุธยา มือซ้ายถือพระแสงดาบ ส่วนมือขวาชี้ลงพื้นดิน มีความหมายว่า ท่านจะตั้งมั่นสู้ศึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่ไปไหน

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="338"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="338"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">วิหารเกลือ ในวัดโมลีโลกยาราม</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> บริเวณใกล้กันเป็นที่ตั้งของ "ป้อมวิไชยประสิทธิ์" ซึ่งเป็นป้อมสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อป้อมวิไชยเยนทร์ ป้อมนี้มีอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นป้อมปราการทางน้ำป้องกันข้าศึกทางทะเล ในอดีตมีโซ่ขึงข้ามแม่น้ำเพื่อเป็นด่านควบคุมเรือที่จะเข้าไปยังกรุง ศรีอยุธยา ต่อมาป้อมที่ตั้งอยู่ฝั่งกรุงเทพฯ ทรุดโทรมมากจนต้องรื้อทิ้ง เหลือเพียงป้อมฝั่งธนบุรีที่ทรุดโทรมมากเช่นกัน ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินจึงบูรณะป้อมวิไชยเยนทร์ขึ้นใหม่และพระราชทานนาม ใหม่ว่า ป้อมวิไชยประสิทธิ์

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="300"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสิน ในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน วัดหงส์รัตนาราม</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table> มุ่งหน้าปั่นจักรยานกันต่อไปยัง “วัดโมลีโลกยาราม” หรือวัดท้ายตลาด ซึ่งเป็นวัดในเขตพระราชฐานของพระราชวังเดิม ในสมัยกรุงธนบุรีไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา สิ่งที่น่าสนใจก็คือ “วิหารฉางเกลือ” คือเป็นที่เก็บเกลือในสมัยกรุงธนบุรี ในสมัยก่อนนั้นเกลือถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเก็บเสบียงอาหารโดยไม่มีตู้เย็นนั้นจะต้องใช้เกลือช่วยถนอมอาหาร กล่าวกันว่า หากจะโจมตีบ้านเมือง จะต้องทำลายฉางเกลือ คลังเสบียง และคลังแสงให้ได้

    มาปิดท้ายเส้นทางขี่จักรยานกันที่ “ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน” ที่วัดหงส์รัตนาราม เชื่อกันว่าเมื่อคราวเคลื่อนย้ายพระบรมศพของสมเด็จพระเจ้าตากสิน โลหิตของพระองค์ได้ตกลงพื้นในบริเวณนี้ ประชาชนจึงได้สร้างศาลไว้สักการะบูชาต่อมา

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ปั่นจักรยานชมกรุง ตามรอยพระเจ้าตากสิน</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top"></td> </tr> </tbody></table>
    เป็นอันจบเส้นทางปั่นจักรยานในฝั่งธนบุรีแต่เพียงเท่านี้ ทริปนี้นอกจากจะได้ความปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อต้นขาเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลัง กายแล้ว ฉันก็ยังได้ความประทับใจและได้รู้เรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชของ เราอีกด้วย
    </td></tr></tbody> </table>


    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000083565-




    .

    Travel - Manager Online -
     
  2. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร!
    ถามคนไทย
    สุรพล โทณวณิก(คำร้อง-ทำนอง)
    หัวใจถูกแทงกี่ขั้ว ตามตัวถูกฟันกี่แผล
    ปู่ไทยตายไปกี่คนแน่ ไทยจึงได้แผ่มาถึงแหลมทอง
    กระดูกไทยกระเด็นไปกี่ท่อน เชิงตะกอนเผาไปกี่หน
    คอขาดกันไปกี่คน ไทยทุกคนจึงได้ไทยครอบครอง
    เสียเลือดกันไปเท่าไหร่ เสียใจกันไปกี่ครั้ง
    น้ำตาของไทยไหลหลั่ง ทุกๆครั้งที่ถูกเฉือนขวานทอง
    เข่นฆ่ากันทำไม เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง
    ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร
    ไทยฆ่าไทยให้ชาติอื่นครอง
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร!!

    -http://m.exteen.com/blog/sushee/read/1384062-








    .





    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร(เนื้อเพลง) | EXTEEN BLOG

    .
     
  3. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ในคอลัมน์ รู้ไปโม้ด
    ของน้าชาติ ประชาชื่น พูดถึง เพลงปลุกใจ ไว้ดังนี้

    เพลงปลุกใจ รวมอยู่ในประเภทบทเพลงหรือดนตรี
    ที่ให้คุณต่อมนุษย์ด้านสังคมเกี่ยวข้องในด้านสังคม
    มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน โดยใช้เครื่องดนตรีจำพวกเครื่องเป่า
    ทั้งเครื่องลมไม้และเครื่องทองเหลือง
    รวมถึงกลุ่มเครื่องกระทบ ได้แก่ เครื่องดนตรีที่ให้จังหวะทั้งหลาย
    โดยบรรเลงเพลงเดินแถวเพื่อปลุกใจทหาร
    ผ่านช่วงเวลาที่มีทั้งรุ่งเรืองและซบเซา
    มากระทั่งถึงยุคสมัยของนโปเลียนแห่งฝรั่งเศส
    มีการปรับปรุงให้มีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด เช่น พวกขลุ่ยผิว
    พวกปี่และแตร ซึ่งต่อมาเป็นต้นแบบของวงโยธวาทิต

    พจนานุกรมให้ความหมายเพลงปลุกใจว่า
    คือเพลงที่เร้าใจให้เกิดความกล้าหาญและกระตือรือร้น
    จึงเป็นเพลงที่ฟังแล้วจะเหนื่อย ยิ่งร้องเองยิ่งเหนื่อย
    เหนื่อยด้วยความฮึกเหิมเอาชัย


    สำหรับประเทศไทย วิทยานิพนธ์เรื่อง
    การสื่อความหมายในเพลงปลุกใจสี่เหล่าทัพ
    ของ วรรณลดา พิรุณสาร นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    อธิบายถึงเพลงปลุกใจของกองทัพว่า
    ปรากฏขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    รัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2452)


    และเริ่มปรากฏเด่นชัดในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
    รัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2456)

    ต่อมาเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
    มาเป็นระบอบประชาธิปไตย พ.ศ.2475
    กองทัพผลิตเพลงปลุกใจออกมามากขึ้น
    กระทั่งเข้าสู่ ช่วงสมัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม
    เพลงปลุกใจของกองทัพยุคนี้จึงมีความเจริญสูงสุด

    เหตุผลประการหนึ่งมาจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
    และรัฐบาลต้องการจะปลุกเร้าจิตใจของทหารในกองทัพ
    ให้เกิดสำนึกรักชาติ

    ต่อมาเมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    เพลงปลุกใจของกองทัพกลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
    จวบจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตย
    14 ตุลาคม 2516-2519 เพลงปลุกใจของกองทัพจึงกลับมามีบทบาทอีกครั้ง

    โดยแรงจูงใจที่ผู้ประพันธ์นำมาใช้มากที่สุด 3 อันดับแรกคือ
    ความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัย
    รองลงมาคือความต้องการเป็นที่ยอมรับนับถือยกย่องในวงสังคม
    และการอุทิศตัวเพื่อประเทศชาติ ตามลำดับ



    เพลงต้นตระกูลไทย

    คำร้อง: หลวงวิจิตรวาทการ
    ทำนอง: หลวงวิจิตรวาทการ ดัดแปลงจากทำนองเพลงเก่า




    (สร้อย)
    ต้นตระกูลไทย ใจท่านเหี้ยมหาญ รักษาดินแดนไทย ไว้ให้ลูกหลาน
    สู้จนสูญเสีย แม้ชีวิตของท่าน เพื่อถนอมบ้าน เมืองไว้ให้เรา
    ลุกขึ้นเถิด พี่น้องไทย อย่าให้ชีวิตสูญเปล่า
    รักชาติยิ่งชีพของเรา เหมือนดังพงศ์เผ่า ต้นตระกูลไทย
    ท่านพระยาราม ผู้มีความแข็งขัน สู้รบป้องกัน มิได้ยอมแพ้พ่าย
    พระราชมนู ทหารสมัยกู้ชาติ แสดงความสามารถ ได้ชัยชนะมากหลาย
    เจ้าพระยาโกษาเหล็ก ท่านเป็นแม่ทัพชั้นเอก ของสมเด็จพระนารายณ์
    สีหราชเดโช ผจญสงครามใหญ่โต ต่อตีศัตรูแพ้พ่าย
    เจ้าคุณพิชัยดาบหัก ผู้กล้าหาญยิ่งนัก ล้วนเป็นต้นตระกูลไทย

    (สร้อย)
    หมู่บุคคลสำคัญ หัวหน้าชาวบางระจัน ที่เราหาชื่อได้
    นายแท่น นายดอก นายอิน นายเมือง ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองแสงใหญ่
    นายโชติ นายทองเหม็น ท่านพวกนี้ล้วนเป็น ผู้กล้าหาญชาญชัย
    นายจันหนวดเขี้ยว กับนายทองแก้ว ทำชื่อเสียงเพริศแพร้ว ไว้ลายเลือดไทย
    ชาวบางระจัน สำคัญยิ่งใหญ่ เป็นต้นตระกูลของไทย ที่ควรระลึกตลอดกาล

    (สร้อย)
    องค์พระสุริโยทัย ยอดมิ่งหญิงไทย สละพระชนม์เพื่อชาติ
    ท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร ป้องกันถลางนคร ไว้ด้วยความสามารถ
    ท้าวสุรนารี ผู้เป็นนักรบสตรี กล้าหาญองอาจ
    ป้องกันอีสาน ต้านศัตรูของชาติ ล้วนเป็นสตรีสามารถ ต้นตระกูลของไทย

    (สร้อย)


    (จากคอลัมน์ของน้าชาติ ประชาชื่น ในข่าวสด 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551)


    เราสู้ (เพลงพระราชนิพนธ์)
    หรั่ง ร็อคเคสตร้า



    บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ
    ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเย้า
    เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา
    หน้าที่เรารักษาสืบไป
    ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า
    จะได้มีพสุธาอาศัย
    อนาคตจะต้องมีประเทศไทย
    มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
    ถึงขู่ฆ่าล้างโคตรก็ไม่หวั่น
    จะสู้กันไม่หลบหนีหาย
    สู้ตรงนี้สู้ที่นี่สู้จนตาย
    ถึงเป็นคนสุดท้ายก็ลองดู
    บ้านเมืองเราเราต้องรักษา
    อยากทำลายเชิญมาเราสู้
    เกียรติศักดิ์ของเราเราเชิดชู
    เราสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว.



    ********************


    เพลงหนักแผ่นดิน - ขับร้องหมู่



    คนใดใช้ชื่อไทยอยู่ กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน
    ได้อาศัยโพธิ์ทองแผ่นดินของราชันย์ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย
    คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย
    แต่ยังฝังทำกิน กอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเป็นทาสของมัน
    (สร้อย)

    คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย
    ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง
    คนใดหลงชมชาติอื่น ชาติเดียวกันเขายืนข่มเหง
    ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารกันเอง ชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน
    (สร้อย)

    คนใดขายตนขายชาติ ได้โอกาสชี้ทางให้ศัตรู
    เข้าทลายพลังไทยให้สลายทางสู้ เมื่อศัตรูโจมจู่เสียทีมัน
    คนใดคิดร้ายราวี ประเพณีของไทยไม่ต้องการ
    เกื้อหนุนอคติ เชื่อลัทธิอันธพาล แพร่นำมันมาบ้านเมืองเรา
    (สร้อย)


    ********************


    เพลง “ถามคนไทย”

    ประพันธ์คำร้องและทำนองโดย ...... สุรพล โทณะวณิก
    ขับร้องโดย สันติ ลุนเผ่




    หัวใจถูกแทงกี่ขั้ว ตามตัวถูกฟันกี่แผล
    ปู่ไทยตายไปกี่คนแน่ ไทยจึงได้แผ่มาถึงแหลมทอง
    กระดูกไทยกระเด็นไปกี่ท่อน เชิงตะกอนเผาไปกี่หน
    คอขาดกันไปกี่คน ไทยทุกคนจึงได้ไทยครอบครอง

    เสียเลือดกันไปเท่าไร เสียใจกันไปกี่ครั้ง
    น้ำตาของไทยไหลหลั่ง ทุกๆ ครั้งที่ถูกเฉือนขวานทอง

    เข่มฆ่ากันทำไม เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง
    ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร


    ไทยฆ่าไทยให้ชาติอื่นครอง
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร



    *********************


    ความฝันอันสูงสุด - สันติ ลุนเผ่
    และเพลง ประดู่ไม่รู้โรย
    จากกาชาดคอนเสิร์ท




    เพลงความฝันอันสูงสุด
    เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๔๓ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๑๔
    ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ประพันธ์คำร้อง


    ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
    ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
    ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
    ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
    จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
    จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
    จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
    จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
    ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
    ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
    ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
    ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
    นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
    หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส
    ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
    ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
    โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
    เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
    ยังคงหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
    ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย


    ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาคประพันธ์กลอน ความฝันอันสูงสุด
    โดยถอดความมาจากเพลง The Impossible Dream
    ซึ่งเป็นเพลงละครบรอดเวย์ มาจากเรื่อง Man of La Mancha
    แสดงระหว่างปี 2508-2514
    บทละครเขียนโดย Dale Wasserman ทำนองเพลงโดย Mitch Leigh
    และคำร้องโดย Joe Darion
    ต่อมาได้รับการสร้างเป็นหนังในปี 2515 เป็นเรื่องราวของดอน กิโฮเต้ (Don Quixote)




    -http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=6938.0-


     
  4. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์





    พระราชทานกำเนิดมูลนิธิ เมื่อได้ช่วยเหลือประชาชนในระยะแรกแล้ว ยังเหลือเงินอีกสามล้านบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า เงินสามล้านบาทนี้ ควรตั้งเป็นทุนเพื่อหาดอกผลสำหรับสงเคราะห์เด็ก ซึ่งครอบครัวต้องประสบวาตภัยภาคใต้ และขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูประการหนึ่งและสำหรับสงเคราะห์ช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบสาธารณภัยทั่วประเทศอีกประการหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานเงินสามล้านบาท ให้เป็นทุนประเดิมก่อตั้งมูลนิธิ และพระราชทานนามว่า “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ใน “พระบรมราชูปถัมภ์” กับทรงดำรงตำแหน่ง พระบรมราชูปถัมภกแห่งมูลนิธินี้ด้วย ชื่อของมูลนิธินี้หมายความว่า “พระราชา” และ “ประชาชน” อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน เป็นการแสดงน้ำพระทัยว่า เวลาทำงานควรจะได้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย

    มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้ก่อกำเนิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์โดยได้ทรงมีพระราชดำริว่าภัยธรรมชาติหรือสาธารณ ภัยอาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ไม่มีผู้ใดจะคาดหมายได้ดังที่ได้เกิดขึ้นที่แหลมตะลุมพุกนครศรีธรรมราช และหลายจังหวัดภาคใต้

    มูลนิธิฯ ได้ทุนดำเนินงานจากเงินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เงินอุดหนุนจากรัฐบาล จากผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาค จากทรัพย์สินซึ่งมีผู้ยกให้ และจากดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินอันเป็นทุนของมูลนิธิฯ

    การใช้จ่ายเงินของมูลนิธิฯ อยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับ ซึ่งมีการควบคุม ตรวจสอบอย่างรอบคอบ การดำเนินงานยึดมั่นในพระบรมราโชบาย “...ให้ไปให้ความอบอุ่นไปช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยฉับพลัน ทำให้ผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือ มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานต่อไป...”

    “...การช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้นจะต้องช่วยในระยะสั้นหมายความว่า เป็นเวลาที่ฉุกเฉินต้องช่วยโดยเร็ว และต่อไปก็จะต้องช่วยให้ต่อเนื่อง...ส่วนเรื่องการช่วยเหลือในระยะยาวก็มีความจำเป็นเหมือนกัน... เป็นผลว่าเขาได้รับการดูแลเหลียวแลมาจนกระทั่งได้รับการศึกษาที่สามารถทำมาหากินได้โดยสุจริตและโดยมีประสิทธิภาพ เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ...”

    คณะกรรมการบริหารได้มอบหมายหน้าที่ให้กรรมการช่วยปฏิบัติงาน แบ่งออกเป็น ๖ ฝ่าย คือ ฝ่ายหาทุน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายบรรเทาทุกข์ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายการศึกษาสงเคราะห์ และฝ่ายฝึกอบรม คณะกรรมการเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครต่างๆ ได้เสียสละเวลา กำลังกาย กำลังทรัพย์ ดำเนินตามพระบรมราโชบายตามเบื้องพระยุคลบาท ออกช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชน ผู้ทุกข์ยากเดือดร้อนทั่วราชอาณาจักร ยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพสกนิกรทั้งใกล้ไกล ที่ได้ทรงห่วงใยเอื้ออาทรอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะสนิทแน่นอยู่ในดวงกมลของคนไทยต่อไป

    วัตถุประสงค์ :

    1. เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
    2. เพื่อให้การสงเคราะห์ด้านการศึกษา

    2.1 ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีเยี่ยมในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และเด็กกำพร้า หรืออนาถา ที่ครอบครัวประสบสาธารณภัย
    2.2 บูรณะ ซ่อมแซม ปรับปรุง โรงเรียนราชประชานุเคราะห์

    3. เพื่อให้มีการป้องกันสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
    4. เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนประการ อื่น ซึ่งคณะกรรมการบริหารพิจารณาเห็นสมควร และได้รับความเห็นชอบจากนายกมูลนิธิฯ
    กิจกรรมมูลนิธิ :

    1. มอบทุนพระราชทานการศึกษาสงเคราะห์ต่อเนื่องแก่นักเรียนกำพร้าที่ครอบครับประสบธารณภัยต่าง ๆ
    2. ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการสร้างโรงเรียนที่ประสบสาธารณภัย และสร้างโรงเรียนให้สำหรับบุตรหลานที่ประสบภัยในจังหวัดต่าง ๆ
    3. สงเคราะห์ผู้ประสบสาธารณภัยกรณีต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวม 1,258,822 ครอบครัว จำนวน 6,630,412 คน มอบสิ่งของพระราชทานแก่ผู้ประสบสาธารณภัยตามแผนปฏิบัติงานร่วมกันที่ ตกลงไว้กับกรมประชาสงเคราะห์ ได้แก่ เครื่องครัว เครื่องนอน วัสดุซ่อมแซมบ้าน ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องใช้ ที่จำเป็นสำหรับครอบครัว ทุนพระราชทานการศึกษาสงเคราะห์ และความเดือนร้อนประการอื่น






    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • rpk-bank-1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      72.9 KB
      เปิดดู:
      315
    • rpk-bank-2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      72.6 KB
      เปิดดู:
      254
  5. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้ 5 ครั้ง
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )
    วัดเทพศิรินทราวาส




    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html


    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html


    ใน วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ


    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน

    แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ

    หยุด ระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ

    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ

    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
    สุ ปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ

    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

    (บท ประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

    ต่อ ไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การ ไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ



    .
     
  6. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7



    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย

    และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน

    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอก กับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ
     
  7. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 14 สิงหาคม 2550
    ขอเพิ่มเติมเรื่องราว ไหว้ 5 ครั้ง
    http://www.saktalingchan.com/index.p...icle&Id=262016




    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร​

    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ

    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ

    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ

    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระ สังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ

    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ

    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ

    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ

    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ

    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ

    ไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทราวาส

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาใด ตามแต่เหมาะ ต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวกัน ถ้ามีดอกไม้ ธูปเทียน ก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประนมมือว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภควา อรหสมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน&deg; พุทฺโธ ภควาติ ฯ หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตาม ของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺ จตฺต เวทิตพฺโพ วิญฺญหีติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 3ว่าสังฆคุณ คือ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ยทิทฺ จฺตตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสฺงโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนฺยโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรฺ ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺสาติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประนมมือ ตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ

    พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ
    ทุติยมฺปิ พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ
    ตติยมฺปิ พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การ ไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ปัจฉิมโอวาท
    ของ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)

    .
     
  8. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .




    "บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า"..!

    "ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่ว ย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สิน ในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว... เมื่อทำบุญทำกุศลได้
    บารมี ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว..
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง"...!

    "จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้....
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    นี่ คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรมรังษี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไป แล้วเมื่อ 100 กว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
     
  10. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันพุธสุขใจครับ

    .
     
  11. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานเซน : อาจารย์เซนละลายเกลือ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 กรกฎาคม 2554 06:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    《禅师化盐》

    ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เกิดความสงสัยเกี่ยวกับวิถีการบรรลุธรรม จึงได้มาสอบถามอาจารย์เซนว่า "ท่านอาจารย์ ศิษย์หมั่นนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ภาวนามิเคยขาด นอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้ามืด สำรวมจิตใจไม่คิดฟุ้งซ่าน ในบรรดาศิษย์ของท่าน นับว่าตัวข้าขยันหมั่นเพียรที่สุด แต่เหตุใดศิษย์ยังไม่สามารถรู้แจ้งได้เสียที?"

    อาจารย์เซนจึงหยิบขวดน้ำเต้าใบหนึ่งออกมา จากนั้นนำเกลือหยาบมาหยิบมือหนึ่ง ส่งให้ศิษย์ผู้นั้นพลางกล่าวว่า "เจ้าจงนำน้ำใส่ลงไปในขวดน้ำเต้าให้เต็มก่อน จากนั้นนำเกลือหยาบนี้ใส่ลงไปให้ละลายในขวดน้ำเต้าให้หมด หากทำได้ เจ้าจะสามารถรู้แจ้ง"

    เมื่อได้รับคำแนะนำ ศิษย์เซนรีบปฏิบัติตาม แต่เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก็วิ่งกลับมาหาอาจารย์เซน พร้อมทั้งเอ่ยด้วยความเศร้าว่า "ศิษย์พยายามคนให้เกลือละลายในน้ำ แต่ไม่สะดวกเพราะปากน้ำเต้าเล็กเกินไป ส่วนเม็ดเกลือก็มีมากเกินไป คนอย่างไรก็ไม่ละลาย เกรงว่าชาตินี้ศิษย์จะไม่ สามารถรู้แจ้ง"

    อาจารย์เซนรับขวดน้ำเต้าในมือศิษย์มาเทน้ำออกบางส่วน แล้วเขย่าขวดไปมา เพียงไม่กี่ครั้งเม็ดเกลือในน้ำเต้าก็ละลายหมดสิ้น จากนั้นอาจารย์เซนจึงกล่าวด้วยความเมตตาว่า "เพียรพยายามตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่เหลือเวลารักษาจิตปกติเอาไว้บ้างก็ไม่ต่างจากขวดน้ำเต้าที่ใส่น้ำจนเต็มไร้พื้นที่ว่าง ไม่อาจเขย่าและไม่สามารถทำละลายสิ่งใดได้...ทำอย่างไรจึงละลายเกลือได้ ทำอย่างนั้นก็จะสามารถรู้แจ้งได้เช่นกัน"

    "แปลว่า ต้องไม่ขยัน ทำตัวเรื่อยๆ เฉื่อยๆ จึงจะสามารถรู้แจ้ง เช่นนั้นหรือ?" ศิษย์ยังคงไม่เข้าใจ

    "อันว่าสายพิณนั้น หากตึงเกินไปก็อาจขาด หากหย่อนเกินไปก็ไม่อาจดีดให้เกิดเสียงเพลง เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรม ทางสายกลางและจิตปกติคือวิถีแห่งการบรรลุธรรมที่แท้จริง" อาจารย์เซนกล่าว

    ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4





    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000087600-








    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000087600


    .
     
  12. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ศาลเยอรมัน เรียกค่าไถ่




    ------------------------------------

    ศาลเยอรมนีสั่งถอนอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 แล้ว





    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุ<wbr>กดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก กษิต ภิรมย์

    ศาลเยอรมนีสั่งให้นำเครื่องบินโบอิ้ง 737 ออกจากประเทศได้แล้ว หลังพิจารณาแล้วว่า ไม่ใช่สมบัติของรัฐบาลไทย แต่ต้องวางเงินค้ำประกัน 20 ล้านยูโร

    วาน นี้ (19 กรกฎาคม) นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางถึงนครมิวนิก ประเทศเยอรมนี แล้ว เมื่อวานนี้ ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อติดตามความคืบหน้า กรณีศาลเยอรมัน อายัดเครื่องบินโบอิง 737 ทั้งนี้ นายเจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ศาล เยอรมัน เปิดโอกาสให้ฝ่ายไทยให้ปากคำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการพิจารณา คาดว่า จะมีการพิจารณาและมีคำตัดสินในวันนี้ (20 ก.ค.) และมี นายสมชาย จันทร์รอด อธิบดีกรมการบินพลเรือน (บพ.) ได้จัดส่งเอกสารสำคัญ ที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของเครื่องบินดังกล่าวแล้ว

    ขณะ ที่นายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีศาลเยอรมัน สั่งอายัดเครื่องบินโบอิง 737 ว่า เจ้าหน้าที่ศาลเยอรมัน เปิดเผยว่า จะไม่มีการพิจารณาใดๆ ก่อนวันที่ 20 ก.ค. นี้ ซึ่งในส่วนของไทย ได้มีการเตรียมข้อมูลเอกสารให้กับศาลเยอรมัน อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ส่วนศาลเยอรมัน จะมีการพิจารณาวันใดนั้น ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ขณะเดียวกัน ทางศาลเยอรมัน ก็ต้องฟังข้อมูลจากฝ่ายบริษัท วอลเตอร์ บาว (Walter Bau) เช่นกัน

    นาย เจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่า ทางศาลเยอรมัน จะทำการตัดสินผลการอายัดเครื่องบินโบอิง 737 ในวันนี้ นั้น ยังไม่ยืนยัน เนื่องจาก ศาลเยอรมัน กล่าวพียงว่า อาจจะทำการตัดสินอย่างเร็วที่สุด 20 ก.ค. นี้ ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถตัดสินได้ในวันนี้ ดังนั้นจึงต้องรอเวลาในช่วงบ่ายของวันนี้ จึงจะทราบว่า ศาลเยอรมัน จะตัดสินเลยหรือไม่ ซึ่งคณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประทศ ได้เดินทางถึงนครมิวนิก ประเทศเยอรมัน หลายวันแล้ว เพื่อประสานงานในเรื่องนี้

    และล่าสุด สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ศาลเยอรมนีได้มีคำสั่งถอนอายัดเครื่องบินราชพาหนะโบอิ้ง 737 แล้ว โดยให้นำเครื่องบินลำดังกล่าวออกจากประเทศเยอรมนีได้ แต่ต้องนำเงิน 20 ล้านยูโร หรือประมาณ 846 ล้านบาทมาวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

    ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวของศาลเยอรมนีเกิดขึ้น หลังจากศาลได้พิจารณาหลักฐานที่ฝ่ายไทยนำเสนอ และยืนยันได้ว่า เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ที่กองทัพอากาศไทยน้อมเกล้าฯ ถวายไปเมื่อปี พ.ศ.2550 ดังนั้น จึงไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทยแต่อย่างใด





    อภิสิทธิ์ พบช่องวอลเตอร์บาว ตุกติก อายัดโบอิ้ง

    "มาร์ค" เอาคืน "วอลเตอร์ บาว" พบข้อมูลบางประการที่บ่งบอกว่าใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต เตรียมยื่นอุทธรณ์ศาลนิวยอร์กภายใน 29 ก.ค. ยันไม่นิ่งดูดาย ครม. เคยถกกรณีโทลล์เวย์ 2-3 ครั้ง หวังศาลเยอรมนีจะถอนอายัดโบอิ้งพระที่นั่งที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าศาลเยอรมนีมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินรัฐบาลไทย โดยนำไปสู่การอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 (เครื่องบินพระที่นั่ง) ที่จอดอยู่ท่าอากาศยานนครมิวนิกว่า วันที่ 20 ก.ค. ศาลเยอรมนีจะออกพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งเอกสารที่ยื่นให้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกรรมสิทธิ์ เข้าใจว่าศาลจะให้เวลายื่นเอกสารเพิ่มเติมได้ภายในเวลา 24.00 น. ของวันอังคารที่ 19 ก.ค. และ คดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เราขอให้ถอนอายัด และตนไม่ขอพูดอะไรเพิ่มเติม เพราะศาลกำลังพิจารณาอยู่

    นายกฯ กล่าวว่า คดีที่บริษัท วอลเตอร์ บาว ไปฟ้องศาลที่ศาลนิวยอร์กให้บังคับเป็นไปตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยอ้างว่ารัฐบาลไทยผิดสัญญา เราจะทำการยื่นอุทธรณ์ก่อนวันที่ 29 ก.ค. เพราะเบื้องต้นศาลนิวยอร์กได้ตัดสินให้เราปฏิบัติตามอนุญาโตตุลาการ ดังนั้นเราจะไปอุทธรณ์ก่อนวันที่ 29 ก.ค. เพราะเป็นสิทธิ์ของเรา ซึ่งทางอัยการสูงสุดได้ยืนยันกับตนแล้วว่ามีเหตุผลที่ดีจะไปอุทธรณ์ รวมถึงการดำเนินการกฎหมายด้านอื่น เพราะว่ากำลังพิจารณาข้อมูลบางประการที่บ่งบอกว่าทางฝ่ายบริษัทใช้สิทธิ์โดย ไม่สุจริต

    เมื่อถามว่า เราปล่อยระยะเวลาในการดำเนินการนานไปหรือไม่จึงทำให้เกิดปัญหา นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยว เพราะว่าเรื่องนี้มีการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว 2 ถึง 3 ครั้ง เมื่อมีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เราได้ให้ทางฝ่ายกฎหมายดูว่าจะทำการโต้แย้งอย่างไร จนในที่สุดได้ไปต่อสู้กันที่นิวยอร์ก และเมื่อตัดสินเรานำมาพิจารณาอีกครั้ง และบอกให้อุทธรณ์ แต่บังเอิญไปที่ศาลเบอร์ลิน แล้วให้ทำการอายัด ซึ่งความจริงเข้าใจว่าเคยไปศาลมิวนิก และศาลมิวนิกเขาไม่รับ

    ซักว่าที่ ระบุว่าทางบริษัท วอลเตอร์ บาว ใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริตนั้น มีปัญหาเรื่องการทำสัญญา โดยยึดสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทางอัยการสูงสุดยังอยู่ที่เยอรมนี จะกลับมารายงานตนเรื่องนี้ให้ชัดเจนอีกครั้ง เพราะเป็นข้อมูลเพิ่งปรากฏมาเมื่อเร็ว ๆ นี้

    ถามว่าคดีที่ต่างชาติมาลง ทุนในบ้านเรายังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน จะเกิดความวุ่นวายหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้คณะรัฐมนตรีมีมติว่ากระบวนการของอนุญาโตตุลาการ ต้องค่อนข้างระมัดระวังในการที่จะไปกำหนดให้เป็นตัวที่ชี้หรือใช้ในการหาข้อ ยุติ ข้อพิพาทต่างๆ โดยทางเอกชนมีความต้องการให้เราใช้ แต่เราเห็นว่าหน่วยงานของรัฐที่ผ่านมาเมื่อใช้แล้วเกิดความเสียเปรียบ เพราะฉะนั้นขณะนี้จะมีการขอเป็นกรณีๆ ไป เช่น กระทรวงพลังงานที่จะไปทำสัญญา ซื้อขายไฟฟ้ากับต่างประเทศต้องขอ ครม.เป็นครั้งๆ ไปว่าถ้าเกิดปัญหาต้องใช้อนุญาโตตุลาการ เป็นต้น

    เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่ระบุว่า ดอนเมืองโทลล์เวย์อาจมีส่วนรู้เห็นกับการไปฟ้องร้องของวอลเตอร์ บาว เพื่อร่วมคิดกันฉ้อฉล ฉ้อโกง หลอกลวงประชาชนและรัฐบาลไทย มีความเห็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า อัยการสูงสุดกำลังจะรายงานข้อมูลที่เราจะใช้ต่อไป ซึ่งอาจจะนอกเหนือกับการอุทธรณ์






    -http://hilight.kapook.com/view/60830-

    .
    http://hilight.kapook.com/view/60830


    .
     
  13. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    ทำ 'แผลแห้ง-แผลเปียก' ถูกวิธี


    เวลาเกิดอุบัติเหตุจนทำให้บาดเจ็บและเป็นแผล สิ่งที่จำเป็นอย่างมากก็คือ การทำแผลเพื่อป้องกันเชื้อโรค และยังถือเป็นการรักษาอาการบาดเจ็บด้วย ทว่าการทำแผลนั้นก็ต้องทำให้ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพแผล เพื่อให้แผลหายเร็ว และลดความเสี่ยงเกิดอักเสบติดเชื้อ

    โดยแผลนั้น มี 2 ประเภท คือ แผลแห้ง เป็นแผลที่มีลักษณะปิด ไม่มีการอักเสบ และไม่มีสิ่งขับหลั่งออกมาจากแผล อีกประเภทเรียกว่า แผลเปียก มีลักษณะเป็นแผลเปิด มีการอักเสบ มีสิ่งขับหลั่งออกมาจากแผล เช่น เลือด น้ำหนอง

    การทำแผลและการปิดแผลของแผลแห้งกับแผลเปียกจะต่างกัน ครั้งนี้ขอแนะวิธีทำแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุใกล้ตัว อาทิ หกล้มจนผิวหนังถลอก ถูกของมีคมบาด เริ่มจากการทำแผลแห้ง ให้ใช้สำลีประมาณ 2-3 ก้อน หรือมากน้อยกว่านี้ตามขนาดของแผล ชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดลงที่แผลเบาๆ ด้วยเทคนิคเช็ดให้ชิดขอบแผลและวนออกนอกแผลให้ห่างออกไปอีกราว 2-3 นิ้ว จากนั้นปิดแผลด้วยผ้าก็อสที่ยึดกับผิวด้วยเทปกาวติดแผลหรือแผ่นพลาสเตอร์ โดยติดตามแนวขวางลำตัว

    สำหรับการทำแผลเปียก เริ่มด้วยการเช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ 70% เช่นเดียวกับการทำแผลแห้ง ต่อด้วยการใช้สำลีชุบน้ำเกลือ บางครั้งเรียก โซเดียมคลอไรด์ ช่วยในการกระตุ้นการงอกขยายของเซลล์ใหม่และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ หรือใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน กรณีที่เป็นแผลถลอก เนื่องจากสามารถฆ่าได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส แต่ด้วยความเข้มข้นของทิงเจอร์ไอโอดีน อาจทำให้ผิวแสบไหม้ได้ ดังนั้น หลังจากใช้ทิงเจอร์ไอโอดีนเช็ดแผลผ่านไป 90 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70% เพื่อลดการระคายเคือง

    หรืออาจใช้เบตาดีนแทนทิงเจอร์ไอโอดีนได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ที่อ่อนกว่า และไม่ทำปฏิกิริยาต่อสิ่งขับหลั่ง กรณีที่แผลเปียกมีความสกปรกมาก และมีสิ่งขับหลั่งพวกหนองหรือลิ่มเลือด ควรใช้น้ำยาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

    ในขั้นตอนการนำสำลีไปชุบน้ำยาที่กล่าวไปนี้ เพื่อเช็ดแผลก็เพื่อฆ่าเชื้อโรค ดูดซับสิ่งขับหลั่ง ให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ

    ปิดท้ายการทำแผลเปียกด้วยการใช้ผ้าก็อสหุ้มสำลีเพื่อซับสิ่งขับหลั่ง ยึดติดกับผิวหนังรอบๆ ด้วยเทปกาวติดแผลหรือแผ่นพลาสเตอร์ โดยติดตามแนวขวางลำตัวเช่นกัน.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
    -takecareDD@gmail.com-



    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=152103-
    .


    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ทำ 'แผลแห้ง-แผลเปียก' ถูกวิธี

    .
     
  14. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    “เจ้าแม่สิงโต” มธ.ตำนานความรักและศรัทธา


    “เจ้าแม่สิงโต” ริมน้ำเจ้าพระยา มธ.ท่าพระจันทร์ มีที่มาอย่างไร และเพราะเหตุใดจึงเป็นที่เคารพ กราบไหว้ รวมถึงการบนบาน ตามมาหาคำตอบกัน

    หากใครได้ไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ข้างตึกคณะเศรษฐศาสตร์ ก็จะพบกับ “ศาลสิงโตทอง” อีกหนึ่งตำนานความศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเล่าสืบต่อกันมา จากข้อมูลในหนังสือธรรมศาสตร์ 50 ปี (27 มิ.ย.2527) ได้เผยถึงความเป็นมาแบบ “เขาเล่าว่า” พอสรุปความได้ คือ สมัยโบราณเมื่อครั้งพ่อค้าไทยนำสินค้าบรรทุกเรือสำเภาไปขายเมืองจีนจนหมด แล้ว ขากลับได้ซื้อของมีน้ำหนักจำพวกหินสลักรูปสัตว์ต่าง ๆ มาด้วย เพื่อไม่ให้เรือโคลงเคลง และจมได้ง่าย โดยจะนิยมซื้อเป็นคู่ ๆ

    เมื่อถึงท่าน้ำ ระหว่างขนสินค้าลงจากเรือ ลูกเรืออาจพลาดพลั้งทำสิงโตตัวผู้พลัดตกลงน้ำ เลยจมมาจนบัดนี้ ส่วนสิงโตตัวเมียได้ตั้งไว้บนตลิ่งฝั่งพระนคร เดิมหันหน้าไปทางสนามหลวง แต่ภายหลังกลับหันหน้ามาทางแม่น้ำได้เอง เวลาผ่านไป ยังมีคนเห็นแสงเหมือนดวงไฟ 2 ดวง ส่องขึ้นจากแม่น้ำพุ่งมาที่สิงโตตัวเมีย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแสงจากตาสิงโตตัวผู้นั่นเอง

    ปัจจุบัน “สิงโตหิน” หรือ “เจ้าแม่สิงโต” เป็นที่เคารพ กราบไหว้ ศรัทธา รวมถึงบนบาน ทั้งจากนักศึกษา และคนทั่วไป ในหลากหลายเรื่องราว และมักจะสมหวัง อาทิ ช่วยการสอบไล่ การแข่งขันกีฬานัดสำคัญ ให้หายจากโรคภัยต่าง ๆ รวมถึงขอเรื่องความรัก โดยของที่ใช้แก้บนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพวงมาลัย หัวหมู เป็ด ไก่ ผลไม้ อาหารคาวหวาน และลูกแก้ว เป็นต้น

    ในช่วงบ่ายถึงเย็นยามแดดอ่อน บรรยากาศสบายด้วยสายลมโชยริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือเล็ก-ใหญ่แล่นผ่านไปมาอยู่เป็นระยะ ม้านั่งริมทางเดิน รวมถึงศาลาริมน้ำบริเวณใกล้เคียงที่ตั้งของ “ศาลสิงโตทอง” นั้น ก็ยังเป็นมุมสงบร่มรื่นสำหรับนักศึกษาหลาย ๆ คน ได้นั่งอ่านหนังสือ และพักผ่อนหย่อนใจกันอีกด้วย

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์




    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=651&contentID=151776-

    .

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=651&contentID=151776

    .
     
  15. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    พบเชื้อแบคทีเรียในน้ำยาบ้วนปาก”ออรัล-บี”


    บริษัท พี แอนด์ จี ผู้แทนจำหน่ายตรวจพบเองเรียกเก็บคืนผลิตภัณฑ์ทั่วประเทศแล้ว ขอให้ประชาชนระงับการใช้
    เมื่อ วันที่ 20 ก.ค. ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เปิดเผยว่า บริษัทพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) หรือ พี แอนด์ จี มีหนังสือแจ้งอย.ว่าตรวจพบการปนเปื้อนของแบคทีเรียเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดใน บางรุ่นการผลิตของผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ ออรัล-บี ทูธแอนด์กัมแคร์ และออรัล-บี ทูธแอนด์กัมแคร์ ไม่ผสมแอลกอฮอล์ ขนาด 350 มล. และ 500 มล. อย. จึงตรวจสอบและพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตโดย แลบบอราทอรี่ส์ เรดี้ เดอ โคลัมเบีย เรติคอล เอส. เอ. ประเทศโคลัมเบีย ซึ่งเป็นโรงงานรับจ้างผลิตภายใต้สัญญาของบริษัท พี แอนด์ จี โดยปนเปื้อนใน 3 รุ่นการผลิต ได้แก่ รุ่น 1009852525 1010852521 และ 1066852522 แบคทีเรียที่ปนเปื้อนมีชื่อว่า เบิร์คโฮลเดอเรีย แอนทีน่า (Burkholderia anthina) เป็นแบคทีเรียชนิดฉวยโอกาส พบได้ในแหล่งน้ำ พื้นดิน และในธรรมชาติทั่วไป ไม่ใช่ชนิด ก่อโรครุนแรง แต่อาจมีผลต่อผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง ได้แก่ Cystic fibrosis หรือผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งในเบื้องต้น บริษัท พี แอนด์ จี ได้เรียกคืนสินค้าออกจากตลาดทั่วประเทศแล้ว
    ภญ.ศรนวล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ อย. ได้ทำหนังสือแจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศให้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดัง กล่าวว่ายังจำหน่ายในท้องตลาดหรือไม่ หากพบว่ามีจำหน่ายจะเรียกคืนสินค้าทันที ทั้งนี้ ผู้บริโภคที่มีผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ ขอให้ระงับการใช้ และติดต่อบริษัท พี แอนด์ จี เพื่อขอคืนผลิตภัณฑ์ได้

    นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า เช้าวันที่ 21 ก.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะมีการประชุมคณะกรรมการยาเพื่อพิจารณาว่า จะเห็นชอบไม่ให้จำหน่ายยาลดน้ำมูกหรือยาแก้หวัดซึ่งมีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรี นในร้านขายยา รวมถึงการใช้ในคลินิกหรือไม่ โดยจะให้ใช้เฉพาะใน รพ.รัฐและ รพ.เอกชน ที่มีเตียงเท่านั้น โดยยาแก้หวัดสูตรผสมที่จะเสนอให้ยกเลิกมี 3 สูตร ส่วนสูตรที่ผสมกับพาราเซตามอลไม่ได้เสนอยกเลิก ขณะเดียวกันจะเสนอให้ลดระดับยาเฟนิลเอฟริน ซึ่งเป็นยาบรรเทาอาการคัดจมูก จากที่ถูกจัดเป็นยาอันตรายมาเป็นยาที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาแผนปัจจุบันที่ บรรจุเสร็จ เพื่อมาแทนซูโดอีเฟดรีน โดยกรณียาเฟนิลเอฟรินนี้ในหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐฯใช้กันมาก
    ด้าน นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการ อย.กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการยาว่าจะเห็นชอบหรือไม่โดยยา 3 สูตรที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนที่จะเสนอให้ยกเลิก คือ ซูโดอีเฟดรีน-คลอร์เฟนิรามีน ซูโดอีเฟดรีน-บรอมเฟนิรามีน และซูโดอีเฟดรีน-ไตรโพรลิดีน ส่วนซูโดอีเฟดรีน-พาราเซตามอลที่ไม่ได้มีการเสนอให้ยกเลิกนั้นมีนักวิชาการ ให้ข้อมูลว่า ไม่สามารถนำไปสกัดได้ คือ กระบวนการสกัดทำได้ยาก.


    .

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=152277-

    .
     
  16. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันพฤหัสรื่นเริงครับ




    .
     
  17. อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    หลากเคล็ดลับเมนูไข่

    วันพฤหัสบดี ที่ 21 กรกฎาคม 2554 เวลา 0:00 น


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "ไข่" ใช้ประกอบอาหารได้มากมายหลากหลายเมนู วันนี้มีเคล็ดลับให้เมนูไข่น่าทานและอร่อยเพิ่มขึ้น เข้าครัวมื้อต่อไป ต้องลองทำดู

    ไข่ใช้ประกอบอาหารได้ง่ายแสนง่าย ทั้งไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้ม หรือ ไข่ตุ๋น ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการเพิ่มความอร่อยและความแปลกใหม่ให้กับเมนูไข่ของคุณ

    วิธีทำไข่ต้มให้ไข่แดงเป็นยางมะตูม ใส่ไข่ในน้ำเย็นแล้วนำไปตั้งไฟจนเดือด จับเวลาตั้งแต่เริ่มต้นนานประมาณ 10 นาที แล้วตักขึ้นแช่ในน้ำเย็น แค่นี้ก็จะได้ไข่ขาวสุก และไข่แดงเป็นยางมะตูมแล้ว

    สำหรับไข่ดาวจากแต่เดิมที่มักใช้ไข่ไก่ในการทอด ลองเปลี่ยนมาเป็นไข่เป็ดดู ไข่ดาวที่ได้จะน่าทาน และไข่แดงจะอร่อยเพิ่มขึ้น

    วิธีการทำไข่ตุ๋นให้อร่อย ต้องมีน้ำต้มกระดูกใช้ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะต่อไข่ไก่ 1-2 ฟอง เพิ่มซอสปรุงรส 1 ช้อนชา แล้วเติมน้ำเปล่าเล็กน้อย ตีให้เข้ากัน นำไปนึ่งประมาณ 10-15 นาที แค่นี้ก็ได้ไข่ตุ๋นแสนอร่อยแล้ว แต่ถ้าอยากลองพลิกแพลงเมนู แทนที่จะใส่น้ำ แนะนำให้ใส่น้ำข้าวลงไปแทน หรือใส่นมสดรสจืด หรือน้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาลก็ได้ จะได้รสชาติของไข่ตุ๋นที่แตกต่างกันออกไป ชอบไม่ชอบต้องลอง

    ถ้าอยากทอดไข่เจียวให้ฟูน่ากิน ต้องตอกไข่ใส่ถ้วย ปรุงรสตามใจชอบ แล้วบีบน้ำมะนาวลงไป 2-3 หยด แล้วตีให้เข้ากัน ทอดลงในน้ำมันร้อน ก็จะได้ไข่เจียวที่ฟูและนุ่มน่ารับประทานแล้ว.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  18. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, ทรัพย์นาคา</td></tr></tbody></table>


    สวัสดีตอนค่ำ วันพฤหัสรื่นเริง

    พึ่งกลับมาถึงบ้าน อีกสักพักจะทานข้าวแล้วครับ

    งานเยอะมากจริงๆครับ

    .
     
  19. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เกลือมีผลต่อสมองเหมือน "ยาเสพติด" คำอธิบายของการติด "รสเค็ม"


    ผลวิจัยอ้างว่าเกลือมีผลทำให้เราติดมันเหมือนการสูบ บุหรี่หรือการติดยาเสพติด ด้วยยีนกระตุ้นความอยากตัวเดียวกัน เซลล์สมองและสมองเชื่อมโยงกัน เป็นคำอธิบายว่าทำไมเราถึงลดความเค็มได้ลำบากนัก

    การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรียและอเมริกา โดยทดลองจากหนูสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้อาหารแบบมีเกลือน้อย และอีกกลุ่มให้หยดน้ำเกลือ

    เปรียบเทียมกิจกรรมของสมองระหว่างหนูที่ให้อาหารแบบปกติและและหนูที่อดน้ำเกลือ 3 วัน ต่อจากนั้นก็ให้น้ำบริสุทธิ์

    เมื่อพวกหนูต้องการเกลือ เซลล์สมองมันทำให้โปรตีนเชื่อมโยงมากกว่าปกติ ลักษณะอาการเหมือนผู้ติดยาเสพติด เช่น โคเคน เฮโรอิน นิคโคติน

    ศาสตราจารย์ ดีเรค เดนตัน แห่งมหาวิทยาลัย เมลเบิร์น กล่าวว่า การศึกษาพิสูจน์สัญชาติญาณดั้งเดิมสำหรับการหิวกระหายเกลือที่มีการจัดการ ระบบประสาทสนับสนุนการติดสารเสพติดอย่างฝิ่นและโคเคน
    การศึกษาแสดงให้เห็นว่าเมื่อสมองได้รับเกลือมันเชื่อว่าจะถูกซ่อมแซมก่อนที่จะเกิดกับร่างกายจริง
    ความอยากเกลือจะหายไปเมื่อเลือดจะส่งไปยังสมอง

    ศาสตรจารย์ เดนตัน กล่าวว่า มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่ยีนนั้นสามารถตั้งค่า "ปิด" เมื่อมีการสูญเสียโซเดียมและกลับมายังสถานะเดิมในไม่ถึง 10 นาที

    มันเป็นกลไกการวิวัฒนาการการเอาตัวรอดขั้นสูง เมื่อสัตว์ขาดน้ำหรือเกลือมันสามารถดื่มบ้าง อย่างที่มันต้องการเข้าไป 5 -10 นาทีและขับออกมาซึ่งจะทำให้ผู้ล่าอ่อนแอน้อยลง

    นักวิจัยกล่าวว่าเกลือนั้นสำคัญต่อสุขภาพจนกลายเป็นสัญชาตญาณโบราณที่ฝังลึกในสมอง มันอธิบายว่าทำไมอาหารที่มีรสเค็มถึงอร่อย

    จากการทดลอง หนูจะหยุดความรู้สึกความอยากกินเกลือบ้างส่วนลดลง รายงานจากวารสารโปรเซส ออฟ เนชั่น ออฟ ไซส์

    ดร.วูฟกัง เลียดเก้ แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ก กล่าวว่า เราประหลาดใจและดีใจที่เห็นว่ามีการปิดกั้นเส้นทางการเสพติดเกลือ

    โดยเฉลี่ยแล้วคนอังกฤษบริโภคเกลือ 8.6 กรัมต่อวัน แต่จากคำแนะนำควรบริโภคเกลือเพียง 6 กรัมต่อวัน
    ผลการศึกษาล่าสุดจากผู้คนมากกว่า 6,500 คน ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าการลดระดับบริโภคเกลือจะทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่ในทางกลับกันเกลือทำให้เพิ่มโอกาสการตายและมีปัญหาด้านหัวใจเพิ่มขึ้น
    อย่างไรก็ดีผู้รณรงค์ด้านสุขภาพกล่าวว่าการลดเกลือต้องใช้เวลายาวนานมากจึงจะมีผลกระทบ




    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310992323&grpid=&catid=09&subcatid=0901-




    เกลือมีผลต่อสมองเหมือน "ยาเสพติด" คำอธิบายของการติด "รสเค็ม" : มติชนออนไลน์


    .
     
  20. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อยากให้ช่วยกันอุดหนุนสินค้าไทย ที่สำคัญยังเป็นสินค้าของโครงการหลวงด้วยครับ




    -------------------------------------


    โครงการหลวง 42 เน้นผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ


    โอกาสของชาวกรุงที่จะได้อิ่มอร่อยกับสินค้าและผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือคนไทย บนดอยใกล้มาถึงอีกครั้งในงาน “โครงการหลวง 42” ที่ มูลนิธิโครงการหลวง ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) จัดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “น้ำพระทัยหลั่งไหลสู่พสกนิกรชาวสยาม” โดยในงานแถลงรายละเอียดการจัดงาน เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ม.จ.ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เสด็จเป็นประธาน ณ ห้องสวีท บอลรูม 5-6 รร.เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ และ รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์อธิการบดี ม.เกษตรศาสตร์ ประธานการจัดงานโครงการหลวง 42 กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์โครงการหลวง 42 ที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 4-14 ส.ค. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ว่า เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา อีกทั้งเพื่อเป็นการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิโครงการหลวง โครงการส่วนพระองค์ และโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้ามาสนองงานในมูลนิธิโครงการหลวง รวมถึงสินค้าและพืชพันธุ์ใหม่ ๆ ให้เป็นที่รู้จัก

    ส่วนรูปแบบของการจัดงาน ศ.ดร.กำพล อดุลวิทย์ ผอ.ฝ่ายการตลาด มูลนิธิโครงการหลวง เผยว่า แบ่งการจัดงานเป็น 3 โซนหลัก ๆ โซนไลฟ์สไตล์ ซูเปอร์มาร์เกต ออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการหลวง อาทิ ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์แปรรูป และผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ประจำปี อาทิ น้ำเคปกูสเบอร์รี่, ซีเรียลบาร์ ที่เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปมาจากข้าวซ้อมมือ โฮลวีท เมล็ดฟักทอง ผสมคลุกเคล้าด้วยน้ำเสาวรสและผลไม้อบแห้ง เหมาะสำหรับรับประทานแทนอาหารมื้อเร่งด่วน, ถั่วแดงหลวง, ผักกวางตุ้ง, ต้นอินทรีย์ และ ข้าวดอย นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์โครงการหลวงตราดอยคำ ซึ่งความพิเศษในปีนี้ เน้นผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำมะเขือเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำผลไม้รวม 50 เปอร์เซ็นต์ น้ำพีช 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำพีชผสมน้ำผลไม้รวม เนื้อพีชทาขนมปัง น้ำข้าวกล้องงอก น้ำข้าวกล้องหอมนิลงอกผสมธัญพืช ผลิตภัณฑ์น้ำสมุนไพรผสมน้ำมะนาว อาทิ น้ำอัญชันผสมมะนาวและน้ำมะตูมผสมมะนาว รวมถึงผลิตภัณฑ์จากร้านโครงการส่วนพระองค์ที่ประกอบด้วย ร้านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร, ร้านจิตรลดา,โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา, มูลนิธิสายใจไทย, ร้านภูฟ้า, สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์, มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และร้านโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี

    ขณะที่ “กัวร์เมท โซน” เป็นการสาธิตพร้อมให้ความรู้การแปรรูปอาหารและการนำผลิตผลจากโครงการหลวงมา ปรุงเป็นอาหารคาวหวาน โดยเชฟและนักโภชนาการจากโรงแรมชื่อดัง อาทิ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์, โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์ค นายเลิศ กรุงเทพฯ และศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และ โซนการจัดแสดงนิทรรศการ รศ.ฉลองชัย แบบประเสริฐ ประธานจัดงานโครงการหลวง 42 ฝ่ายวิชาการ กล่าวว่า จัดนิทรรศการในแนวคิด “โครงการหลวง จากชาวเขา...สู่ชาวเรา และชาวโลก” พร้อมจัดแสดงประวัติความเป็นมาของโครงการหลวง กระบวนการวิจัยผลผลิตสายพันธุ์ใหม่ ๆ ของโครงการหลวงที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้จนถึงปัจจุบัน และการสาธิตการใช้เทคโนโลยีในการช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรของโครงการหลวง ให้มีคุณภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป.


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=359&contentID=152171-

    .

    Daily News Online > หน้าสตรี > โครงการหลวง 42 เน้นผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ

    .
     

แชร์หน้านี้