พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    หุ้นไทยแกว่งตัวแคบปิดบวก 1.86 จุด


    หุ้นไทยสวนกระแสตลาดต่างประเทศร่วง แกว่งตัวแคบปิดบวก 1.86 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 30,361.98 ล้านบาท
    วันนี้ (11ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดัชนีแกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบๆ แต่สามารถปิดบวกท้ายตลาดได้ โดยระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 1,063.41 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 1,054.03 จุด จนมาปิดตลาดที่ 1,062.07 จุด เพิ่มขึ้น 1.86 จุด หรือ 0.18% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 30,361.98 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 304.41 จุด เพิ่มขึ้น 2.92 จุด มูลค่าการซื้อขาย 671.78 ล้านบาท

    สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก

    1. ธ.กสิกรไทย ปิดที่ 129.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

    2. ปตท.ปิดที่ 315.00 บาท ลดลง 2.00 บาท

    3. เอไอเอส ปิดที่ 116.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท

    4. บ้านปู ปิดที่ 674.00 บาท ลดลง 12.00 บาท

    5. ซีพีเอฟ ปิดที่ 31.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท

    นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นได้สวนทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ลดลง หลังที่ผ่านมาหุ้นไทยปรับลงมามากแล้ว ซึ่งเป็นการปรับลงตามจิตวิทยาเชิงลบจากปัญหาในสหรัฐเท่านั้น โดยไม่ได้มาจากพื้นฐานของไทยที่อ่อนแอแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อตลาดหุ้นสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวระดับหนึ่งแล้ว ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกลับเข้าซื้อ

    ส่วนแนวโน้มในสัปดาห์หน้า มองว่าดัชนียังแกว่งตัวผันผวนแต่คงไม่ปรับขึ้นหรือลงรุนแรงมากนัก หลังที่ผ่านมาหุ้นไทยลดลงรวมกว่า 100 จุด อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/54 ที่แข็งแกร่ง โดยประเมินแนวรับที่ 1,040-1,050 จุด และแนวต้าน 1,100 จุด ด้านกลยุทธ์ หากราคาหุ้นเริ่มอ่อนตัวแนะนำทยอยเข้าซื้อ.


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentID=156646-


    ฉุดไม่อยู่ทองเตะบาทละ2.53หมื่น


    ทองคำผันผวนหนักปรับราคาขึ้นลง14ครั้งในวันเดียว รับกระแสข่าวฝรั่งเศสเสี่ยงลดเครดิต ก่อนปิดตลาดรับซื้อยู่ที่ 25,300 บาท
    วันนี้ (11ส.ค.) นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า สถานการณ์ทองคำในประเทศวันที่ 11 ส.ค. นี้ ค่อนข้างผันผวน โดยมีการปรับราคาขึ้นลงรวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง ส่งผลให้ราคาทองคำปิดตลาดรับซื้อยู่ที่ 25,300 บาท ขายออก 25,400 บาทรูปพรรณรับซื้อ 24,938.20 บาท ขายออก 25,800 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 500 บาท เมื่อเทียบกับวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมาโดยราคาทองคำแท่งรับซื้ออยู่ที่ 24,800 บาท ขายออก 24,900 บาทรูปพรรณรับซื้อ 24,437.92 บาท ขายออก 25,300 บาท เป็นผลจากนักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง หลังจากมีกระแสข่าวว่าฝรั่งเศสอาจจะเป็นประเทศถัดไปที่ถูกลดอันดับความน่า เชื่อถือ ประกับความไม่แน่นอนเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯและยุโรป

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทองคำในประเทศระหว่างวัน เปิดตลาดช่วงเช้าราคาทองปรับเพิ่มขึ้น 5 ครั้ง รวม 600 บาท ก่อนจะมีแรงเทขายออกเพื่อทำกำไรออกมาบางส่วน ส่งผลให้ราคาทองคำร่วง 5 ครั้ง 350 บาท ก่อนนักลงทุนจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อ เพื่อทำกำไรในระยะต่อไป ส่งผลให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง 250 บาท


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentID=156633-



    ทองแกว่งขึ้นลง วันเดียว8ครั้ง



    รวบแล้วรายแรกขายหมูโกงราคา
    จับ แล้วรายแรกผู้ค้าหมูตลาดวังหิน โก่งราคาเกินกำหนด แต่ส่วนใหญ่ยังให้ความร่วมมือดี ดั๊มพ์ราคาที่ กก.ละ 152 บาท ด้านพาณิชย์ลั่น เอาจริง สุ่มตรวจต่อเนื่อง 6 เดือน พร้อมทำโครงการหมูธงฟ้า เพิ่มทางเลือกประชาชน ใน 50 จังหวัด 140 ร้าน ขณะซีพีเอฟ ร้องมาตรการควบคุมราคาทำระบบตลาดพัง ส่วนราคาทองคำยังแกว่งตัวขึ้นลงวันเดียว 8 ครั้ง ตำรวจเตือนชาวบ้านไม่จำเป็นอย่าใส่ทองเพราะล่อมิจฉาชีพ ส่วนบางพลีโจรดวงซวยบุกเดี่ยวชิงทอง กระโดดหนีตำรวจขาหัก ถูกรวบทันควัน ส่วนตลาดหุ้นสุดลื่นไหลปิดบวก แม้จะมีแรงเทขายต่อเนื่อง

    วันที่ 10 ส.ค. ที่ตลาดยิ่งเจริญ ย่านสะพานใหม่ กรุงเทพฯ นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังออกสำรวจการจำหน่ายเนื้อหมู หลังได้เริ่มจับกุมดำเนินคดีแก่ผู้ขายเกินราคาเป็นวันแรกว่า ตลาดสดส่วนใหญ่ขายหมูในราคาควบคุมที่กก.ละ 152 บาท มีบางแห่งที่ขายต่ำกว่าราคาควบคุมอยู่ที่กก.ละ 145-150 บาท แต่ได้พบแผงหมู 1 แห่งในตลาดวังหินขายหมูเนื้อแดงเกินราคาควบคุมที่ กก.ละ 155 บาท จึงได้มีการจับกุมเพื่อดำเนินคดีแล้ว โดยมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปกรมการค้าภายในจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องออกสุ่มตรวจฟาร์มหมูและแผงหมูต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้มีการจำหน่ายเนื้อหมูตามราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดราคาควบคุมหมู ทั้งระบบเป็นระยะเวลา 6 เดือน หรือหากประชาชนพบการขายหมูเกินราคาควบคุม หรือขายหมูเป็นหน้าฟาร์มแล้วขอบวกเกินราคาหน้าบิล สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569”

    นางวัชรีกล่าวต่อว่า จุดขายหมูธงฟ้ากก.ละ 120 บาท ขณะนี้ได้ทยอยเริ่มแล้วใน 50 จังหวัด รวม 140 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้ บริโภค นอกจากนี้กรมปศุสัตว์กำลังพิจารณาการจัดตั้งกองทุนเนื้อสัตว์ เพื่อดูแลราคาและปริมาณเนื้อสัตว์ทั้งระบบ ให้เกิดความสมดุลระหว่างเกษตรกรกับผู้บริโภค
    สำหรับราคาหมูควบคุม ทั้งประเทศ ได้แก่ หมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม พื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ไม่เกินกก. ละ 81 บาท ราคาขายส่งหมูชำแหละ (หมูซีก) ไม่เกินกก.ละ 93 บาท ราคาขายส่งชิ้นส่วนหมูเนื้อแดง (ไหล่ ตะโพก) ไม่เกินกก.ละ 137 บาท

    และราคาขายปลีกหมูเนื้อแดง (ไหล่ ตะโพก) ไม่เกินกก.ละ 152 บาท ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม กก.ละ 85 บาท ขายส่งหมูชำแหละ กก.ละ 97 บาท ขายส่งชิ้นส่วนหมูเนื้อแดง กก.ละ 142 บาท และขายปลีกหมูเนื้อแดง กก.ละ 157 บาท ส่วนภาคใต้ หมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม กก.ละ 87 บาท ขายส่งหมูชำแหละ กก.ละ 99 บาท ขายส่งชิ้นส่วนหมูเนื้อแดง กก.ละ 147 บาท และขายปลีกหมูเนื้อแดง กก.ละ 162 บาท

    นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟอยากเสนอไปยังรัฐบาลชุดใหม่เรื่องนโยบายราคาสินค้าเนื้อสัตว์และราคา สินค้าเกษตร ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกเสรี ตามปริมาณความต้องการบริโภคและปริมาณผลผลิตที่ออกมาสู่ตลาด โดยไม่เห็นด้วยที่จะเข้าไปกำหนดราคาสินค้าเกษตรและเนื้อสัตว์ของกระทรวง พาณิชย์ เพราะทำให้ราคาสินค้าบิดเบือน ซึ่งหากภาครัฐอยากกำหนดให้ราคาเนื้อสัตว์ถูกควรจะส่งเสริมให้เกษตรกรผลิต สินค้าในปริมาณที่สูงขึ้น เพราะเมื่อสินค้ามีปริมาณผลิตที่มากขึ้นก็จะมีโอกาสปรับราคาลดลงมากได้ “การคุมราคาอย่างมาก คุมมากเกินไปก็จะทำลายภาคการผลิต แต่มองว่า การจะทำให้ราคาสินค้าถูกนั้น ก็ควรจะส่งเสริมให้มีผลผลิตที่สูงขึ้น และเยอะขึ้น เพราะเมื่อผลผลิตเยอะขึ้นราคาสินค้าก็มีโอกาสถูกลงไปได้”

    ส่วนบรรยากาศการขายเนื้อหมูตามตลาดสดในจังหวัดต่างๆ เช่น จ.นครพนม จ.เชียงใหม่ และ จ.สุรินทร์ เป็นไปอย่างซบเซา พ่อค้าแม่ค้าเขียงหมูขายเนื้อหมูอยู่ระหว่าง กก.ละ150-155 บาท และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีก แต่บางส่วนต้องหยุดขายเนื่องจาก ชาวบ้านหันไปบริโภคเนื้อปลา เนื้อไก่ ที่ราคาถูกกว่าแทน ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในหลายจังหวัด ยังออกตรวจสอบการขายเนื้อหมูตามตลาดต่าง ๆ ป้องกันไม่ให้มีการขายเกินราคากัน ด้าน น.ส.โสมหิรัญ คงกำเนิด หัวหน้าสำนักงานการค้าภายในจังหวัดสุพรรณบุรี นำเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตามเขียงค้าเนื้อหมูในตลาดสดโพธิ์พระยา อ.เมือง พบพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนจำหน่ายหมูเนื้อแดงเกินราคาที่กำหนด เบื้องต้นต้นจึงว่ากล่าวตักเตือน แต่หากตรวจพบว่ายังขายเกินราคาอยู่ จะจับดำเนินคดีทันที

    ด้านสถานการณ์ราคาทองคำ นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า สถานการณ์ทองคำในประเทศวันที่ 10 ส.ค. นี้ ค่อนข้างผันผวน โดยมีการปรับราคาขึ้นลงรวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง ส่งผลให้ราคาทองคำปิดตลาดรับซื้ออยู่ที่ 24,800 บาท ขายออก 24,900 บาท รูปพรรณรับซื้อ 24,437.92 บาท ขายออก 25,300 บาท ปรับลดลง 200 บาท
    เมื่อ เทียบกับวันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยราคาทองคำแท่งรับซื้ออยู่ที่ 24,500 บาท ขายออกบาทละ 25,100 บาท รูปพรรณรับซื้อ 24,635 บาท ขายออก 25,500 บาท สำหรับระหว่าง วันเปิดตลาดช่วงเช้าราคาทองร่วงลงมา 3 ครั้ง 350 บาท เนื่องจากมีแรงเทขายออกมาทำกำไรส่วนเปิดตลาดซื้อขายบ่ายราคาเริ่มดีดกลับ ขึ้นมา 4 ครั้ง 200 บาท และปรับลดลงมา 1 ครั้ง รวม 50 บาท เป็นผลจากเฟดยืนยันว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำที่ 0.125% ถึงกลางปี 56 ขณะที่ตำรวจได้เตือนประชาชนที่นิยมสวมใส่ทองรูปพรรณให้ระมัดระวังโจรผู้ร้าย ในยุคทองคำราคาแพงด้วย ส่วนมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ร้านค้าทอง ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ ตร.ทุกท้องที่เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบจุดสุ่มเสี่ยง หรือร้านทองคำ หากกำลังไม่เพียงพอให้แจ้งผู้บังคับบัญชาทันที

    ต่อมาเวลา 13.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ ผกก.สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พร้อมพวกจับกุมผู้ต้องหาชิงทรัพย์ คือนายเอกชัย การะเกด อายุ 27 ปี พร้อมของกลาง สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท 1 เส้น จับกุมได้ที่บริเวณชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางพลี หลังเข้าไปก่อเหตุชิงสร้อยคอทองคำ จากห้างทองเพชรทองคำ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของห้างสรรพสินค้าดังกล่าว และพยายามหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกระโดดจากชั้นสองลงมาชั้นล่างจนขาขวาหักได้รับบาดเจ็บ จึงถูกเจ้าหน้าที่จับกุมไว้ได้ทันควัน สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าต้องการเงินไปซื้อยาบ้าและ เลี้ยงดูครอบครัว โดยเมื่อปีที่แล้วเคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกันสำเร็จมาแล้วประกอบกับช่วงนี้ ทองมีราคาแพงด้วย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

    ส่วนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 10 ส.ค. ดัชนีสามารถฟื้นตัวทางเทคนิค (รีบาวน์) ขึ้นแรงกว่า 23 จุด ทันทีที่เปิดตลาด หลังร่วงหนักติดต่อกัน 2 วันทำการจากความกังวลเรื่องเอสแอนด์พีหั่นอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลง แต่หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาระบุว่าจะตรึงดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีก 2 ปี ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มคลายกังวลและมีแรงเข้าซื้อกลับในตลาดหุ้นทั่วโลก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ยืนบวกได้สดใสตลอดทั้งวัน จนมาปิดตลาดที่ 1,060.21 จุด เพิ่มขึ้น 17.67 จุด หรือ 1.69% ด้วยมูลค่าการซื้อขายคึกคัก 35,299.40 ล้านบาท ด้านสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 1,789.76 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 1,112.47 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิที่ 338.11 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิที่ 3,240.34 ล้านบาท.


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentID=156498-
    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    วิธีทำความสะอาดรองเท้าหนัง



    รองเท้าหนัง ใส่ได้หลายโอกาส และได้รับความนิยมสูง วันนี้มีวิธีรักษาความสะอาดให้รองเท้าหนังคู่โปรดมาฝาก

    เบื้องต้นให้ใช้แปรงนุ่ม ๆ ปัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามรองเท้าทิ้งไปก่อน แล้วจึงใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดถูให้ทั่วรองเท้า จากนั้นให้ใช้ผ้าชุบครีมสำหรับรองเท้าหนังเช็ดซ้ำอีกครั้ง นำรองเท้าที่ลงครีมขัดเงา ผึ่งแดดจนแห้งสนิท แล้วขัดเงาด้วยแปรงที่สะอาดและใช้ผ้าที่อ่อนนุ่มขัดดูอีกครั้งหนึ่งรองเท้า ก็จะเป็นมันเงาสวยงาม หลังจากที่ทำการเช็ด ขัด ถู เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทาวาสลีนซ้ำที่รองเท้าหนังทุกครั้ง เพราะวาสลีน จะช่วยป้องกันรอยย่นและรอยแตกจากรองเท้าได้ เป็นการยืดอายุของรองเท้า ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น

    สำหรับรองเท้าสตรีส่วนใหญ่ ที่เป็นแบบหนังพลาสติก ให้ทำความสะอาดด้วยผ้าขนหนูที่ชุบน้ำพอหมาด ๆ นำมาเช็ดให้ทั่วรองเท้า เสร็จแล้วผึ่งให้แห้ง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

    สำหรับด้านในรองเท้านั้น ก็ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ มาเช็ดให้ทั่วเช่นกัน แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อรองเท้าแห้งแล้ว ก็นำไปเก็บไว้ที่ไม่มีแสงแดดส่องถึง.

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentID=156686-




    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > วิธีทำความสะอาดรองเท้าหนัง

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    4 วิธีเด็ดชาร์จสมองให้ฟิตเสมอ



    “สมอง” เหมือนมีด ยิ่งลับยิ่งคม ยิ่งไม่ใช้จะยิ่งทื่อ หากต้องการล็อกความแข็งแรงให้คงประสิทธิภาพยาวนาน ทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีพัฒนา และดูแลสุขภาพสมอง 4 ขั้นตอน ดังนี้

    เอ็กเซอร์ไซส์ประจำทำสมองแอ็กทีฟ
    ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ พบว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่งผลต่อการเติบโตของเซลล์ประสาทใหม่ ช่วยเชื่อมต่อกันมากขึ้น ทำให้การเรียนรู้ฉับไวตามไปด้วย ทั้งยังลดความเสี่ยงของอาการสมองเสื่อมได้

    เล่นเกมเสริมสร้างสุขภาพจิต
    งานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศ พบว่า การออกกำลังกายจิตด้วยการเล่นเกมครอสเวิร์ด (ปริศนาอักษรไขว้) เกมซูโดกุ เกมหมากรุก เกมการคำนวณทางคณิตศาสตร์จากระบบคอมพิวเตอร์ จะช่วยเพิ่มการทำงานของสมองด้านรู้คิด และความจำ

    รับโภชนาการดี จากปลา โดยเฉพาะปลาทู ทูน่า และแซลมอน ซึ่งอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และ DHA ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้ไวต่อการรับสัญญาณประสาท ทำให้สมองกระฉับกระเฉง รวมทั้งผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม เป็นแหล่งของวิตามินอี และโฟเลต ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม อัตราการเปลี่ยนแปลงของความจำช้าลง

    ดับความเครียด ด้วยการเล่นโยคะ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการออกกำลังกาย ส่งผลดีต่อลมปราณ ช่วยเสริมสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งร่างกาย และจิตใจ นอกจากนั้น อาจนั่งสมาธิประมาณ 5-10 นาที ทำให้สมอง และประสาทส่วนต่าง ๆ ได้พักผ่อน คลายความตึงเครียด ที่สำคัญควรนอนหลับให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมงด้วย

    สมอง ก็เหมือนส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่มักเสื่อมสภาพเมื่ออายุเพิ่ม และส่งผลต่อประสิทธิภาพในกระบวนการคิด ดังนั้น การพัฒนา และดูแลสมองอยู่เสมอ จะช่วยยืดอายุการทำงานไม่ให้เสื่อมก่อนวัยอันควร โดยเริ่มง่าย ๆ ด้วยวิธีข้างต้น ลองนำไปฟิตสมองกันดู.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์



    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=651&contentID=156170-


    -------------------------------------------------------------------------


    ผมเพิ่มให้อีกวิธี ผมเห็นว่าวิธีนี้ ดีที่สุด

    ก็คือการนั่งสมาธิครับ


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ชี้ราคาทองคำโลกขาขึ้นถึงสิ้นปี กสิกรชูเคโกลด์ต้นทุนต่ำ-ยิลด์ดี <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">11 สิงหาคม 2554 12:25 น.</td></tr></tbody></table>
    ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.กสิกรไทยเชื่อทองคำยังขาขึ้น แม้ปรับเพิ่มไปแล้วกว่า 10% ชูเคโกลด์ เจ๋งฝันต้นทุนต่ำ แถมยิลด์ดีกว่าลงทุนทองคำแท่งในประเทศ มั่นใจสิ้นปี 54 ทองคำโลกอยู่ในกรอบ 1,800-2,000 หลังแนวโน้มดอลลาร์ยังอ่อน ปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่คลี่คลาย

    นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า การลงทุนในทองคำยังเป็นที่น่าสนใจ โดยกองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่ำกว่าการลงทุนในทองคำโดยตรงอีกด้วย เช่น ถ้ามีเงิน 25,000 บาท ซื้อกองทุน K-GOLD จะเสียค่าใช้จ่ายขาเข้าเพียง 25 บาท และค่าธรรมเนียมการจัดการคิดเป็นประมาณ 25 สตางค์ต่อวัน

    "นอกจากเรื่องK-GOLD ยังมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ทำให้มีผลตอบแทนใกล้เคียงกับทองคำในตลาดโลก ซึ่งในช่วงเงินบาทแข็งค่า K-GOLD จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าทองคำแท่งในประเทศ เช่น เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น K-GOLD ให้ผลตอบแทนถึง 6.38% ส่วนทองคำแท่งในประเทศปรับขึ้นเพียง 3.40% เท่านั้น และหากเงินบาทน่ามีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องการลงทุนในกองนี้ก็จะได้ผลตอบแทน ที่ดีกว่า”นายพัชรกล่าว

    ส่วนแนวโน้มราคาทองคำ นายพัชร กล่าวว่า ราคาทองคำที่บริษัทคาดการณ์ไว้ยังคงเป็นบวก ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาในตลาดโลกมีการปรับตัวเพิ่มกว่า 10% แล้วก็ตาม โดยในปี 2554 ราคาทองคำน่าจะอยู่ในกรอบประมาณ 1,800-2,000 เหรียญสหรัฐฯ

    ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นน่าจะมาจาก การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไปจนถึงกลางปี 2556 นั้น ทำให้เงินเหรียญสหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนค่าลง และจะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายลงทุนมายังประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีปัญหาหนี้ในกลุ่มสหภาพยุโรป ที่เริ่มลุกลามไปยังประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ขึ้น เช่น อิตาลี และ สเปน ทำให้ธนาคารกลางยุโรปต้องเริ่มเข้ามาซื้อพันธบัตรของทั้งสองประเทศเพื่อลด อัตราผลตอบแทนลง ดังนั้นความต้องการทองคำในฐานะที่เป็นทางเลือกของธนาคารชาติต่างๆและนักลง ทุนสถาบันจึงมีเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากราคาขึ้นไปสูงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงมีความผันผวนที่ค่อนข้างสูงมาก

    นายพัชร กล่าวอีกว่า กองทุน K-GOLD จะเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการเคลื่อนไหวของ ราคาทองคำในระหว่างวันมากนัก เพราะจะต้องติดตามข่าวสารตลอดทั้งวัน ในขณะที่กองทุนทองคำประเภท ETF เหมาะกับผู้ลงทุนที่สนใจทำกำไรจากราคาทองคำในระหว่างวันมากกว่า

    อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ก็มีแผนจะเสนอขายกองทุนทองคำ ETF ซึ่งลงทุนในทองคำแท่ง 96.5% เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนในเดือนหน้า
    ส่วนผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี ยังมีกองทุนเค โกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KGDRMF) เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะตอบรับกับราคาทองคำมีแนวโน้มเป็นบวกในระยะยาว


    -http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000099891-



    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประเทศไทย ไม่เคยทำอะไรทันการเลยจริงๆ

    ทำแต่ละเรื่อง วัวหายแล้วจึงล้อมคอกทุกครั้ง



    ----------------------------------------------------

    วัฒนธรรม แจง เขมรขึ้นทะเบียนรำจริง แต่ไม่ได้จดลิขสิทธิ์


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คลังปัญญาไทย

    รมว.วัฒนธรรม แจง เขมรจดทะเบียนรำ - หนังใหญ่ เป็นเพียงการจดทะเบียนเพื่อให้รู้ว่า ประเทศเขมรมีการรำ แต่ไม่ได้จดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเอง

    หลังจากที่มีข่าวฮือฮาในโลกไซเบอร์โดยผ่านทางฟอร์เวิร์ดเมลว่า ทางเขมรได้ขึ้นทะเบียนท่ารำไทย-หนังใหญ่ ต่อยูเนสโก อีกทั้งยังเล็งจะขึ้นทะเบียนวรรณคดีพระอภัยมณี และขุนช้างขุนแผนเป็นของตน โดยหวังให้เขมรเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมอาเซียน

    ความคืบหน้าล่าสุด วานนี้ (11 สิงหาคม) นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า จากกระแสข่าวที่ว่าทางกัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนรำไทย ท่าจีบ และหนังไทยกับยูเนสโกนั้น ตนได้รับทราบข่าวดังกล่าวแล้ว แต่การจดทะเบียนนี้ เป็นการจดทะเบียนสงวนไว้ซึ่งวัฒนธรรมที่อยู่ในประเทศกัมพูชา ไม่ใช่การจดทะเบียนเพื่อจดลิขสิทธิ์

    นางสุกุมล กล่าวต่อว่า การขึ้นทะเบียนจริง แต่ในลักษณะที่ว่าไม่ใช่ลิขสิทธิ์ ซึ่งหลายประเทศอาจจะมีวัฒนธรรมคล้าย ๆ กัน อย่างเช่น การรำในประเทศไทย ประเทศกัมพูชาก็มีเหมือนกัน และการรำในบ้านเขาก็ถือว่าเป็นวัฒธรรมของเขา และการจดทะเบียนนั้นเพื่อให้ได้ทราบว่า ประเทศกัมพูชา ก็มีวัฒนธรรมการรำเหมือนกันเท่านั้นเอง

    รมว. การกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อว่า ในส่วนของประเทศไทยตอนนี้ ก็อยู่ในช่วงออกกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการคุ้มครองวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางไทยยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งหากไทยมีความประสงค์ที่จะจดทะเบียน จะต้องเข้าเป็นภาคีก่อน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างที่กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาเรื่องนี้



    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก สำนักข่าวไทย

    [​IMG]


    -http://hilight.kapook.com/view/61732-



    .
     
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  7. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    สวัสดียามเที่ยงครับ

    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 6 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER"> </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, nongnooo, Nosirp</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    National Geographic By Pinkcivil

    วันนี้นำอะไรที่ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาที่บ้านมาให้ชมกันเล่นๆครับ
    <O:p[​IMG]<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    [​IMG]<O:p></O:p>
    อิอิ ดูออกมั๊ยครับว่า ไม่ธรรมดายังไงครับ chearrchearrchearr
     
  9. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ไม่ทราบจริงๆครับ เหมือนเครือกล้วยกลับด้านกัน เหมือนเป็นรูปโคมจีน อ่ายอมรับเดาไม่ถูกครับ ทราบแต่มีนกแถวนั้นจำนวนมากครับ หุ หุ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ทองคำจ่อ26,000 USไม่จบฝรั่งเศสมาอีก โบรกฯแนะลดเสี่ยง-พอร์ตลงทุน <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">11 สิงหาคม 2554 21:56 น.</td></tr></tbody></table>

    วิกฤตสหรัฐฯยังไม่ทันหาย ฝรั่งเศสจ่อถูกลดอันดับเครดิตอีก กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนอยู่ในแดนลบ ด้านหุ้นไทยยังแกร่งปิดบวกได้ 1.86 จุด แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ ขณะที่ทองคำเมื่อความกังวลมีเพิ่ม ราคาทองยิ่งปรับขึ้นสร้างสถิติใหม่ต่อ ล่าสุดเพิ่มอีก 500 บาทต่อทองคำ 1 บาท เป็น 25,400 บาท ดันรูปพรรณจ่อถึง 26,000 บาท โบรกฯแนะนำลดพอร์ตลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง

    สถานการณ์ทองคำในประเทศวานนี้ (11ส.ค.) ยังค่อนข้างผันผวน โดยมีการปรับราคาขึ้นลงรวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง ส่งผลให้ราคาทองคำปิดตลาดรับซื้อยู่ที่ 25,300 บาท ขายออก 25,400 บาทรูปพรรณรับซื้อ 24,938.20 บาท ขายออก 25,800 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 500 บาทจากวันที่ 10 ส.ค. เป็นผลจากนักลงทุนหันมาเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจำนวนมาก หลังจากมีกระแสข่าวว่าฝรั่งเศสอาจจะเป็นประเทศถัดไป ที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ประกับความไม่แน่นอนเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯและยุโรป ยังมีออกมาต่อเนื่อง

    นาย ธนสิน กลีบลำเจียก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเช้านี้ราคาทองคำใน ประเทศทำสถิติสูงสุดที่ 25400/25500 ต่อบาทและทองคำต่างประเทศสูงสุดที่ $1,814 ต่อทรอยออนซ์ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาทองยังปรับเพิ่มขึ้นจากความกังวลเรื่องวิกฤต สินเชื่อภาครัฐทั่วโลกที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือใน ระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมไปถึงความน่าเชื่อถือต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

    ขณะเดียวกัน การคาดการณ์ของนักลงทุนที่รอมาตรการอัดฉีดเพิ่มเติมของเฟด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อราคาทองคำในทิศทางบวกต่อไปในระยะสั้น ส่วนปัจจัยที่จะกระทบในการซื้อขายคือเรื่องการปรับเพิ่มการเรียกเก็บหลัก ประกันของ gold futures ของตลาดสหรัฐฯ ที่อาจจะเกิดแรงขายสั้นๆ ได้หลังการขึ้นหลักประกันและบ้านเรามีวันหยุดยาว ตลาดทองคำเมืองนอกเปิดปกติ แนะนำให้ลดความเสี่ยงโดยการลดพอร์ตการลงทุนช่วงสุดสัปดาห์นี้

    สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (11ส.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนตลอดทั้งวันจากปัจจัยลบที่สหรัฐฯ และยุโรป โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,409.67 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 465.08 ด้านสถาบ้านซื้อสุทธิ2,234.24 ล้านบาท ทำให้ดัชนีปิดที่ระดับ 1,062.07 จุด เพิ่มขึ้น 1.86 จุด หรือ 0.18% มูลค่าการซื้อขาย 30,361.98 ล้านบาท
    ระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุด 1,063.41 จุด และต่ำสุดที่ 1,054.03 จุด หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 253 หลักทรัพย์ ลดลง 242 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 116 หลักทรัพย์

    ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค พบว่า ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวันปรับตัวลง 17.23 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 7,719.09 จุด , ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวลบ 56.80 จุด หรือ 0.63% ปิดที่ 8,981.94 จุด , ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้น 32.33 จุด หรือ 1.27% ปิดที่ 2,581.51 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นพุ่ง 177.91 จุด หรือ 1.55% ปิดที่ 11,627.49 จุด และ ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงลบ 188.53 จุด หรือ 0.95% ปิดที่ 19,595.14 จุด

    นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ แต่ถือว่าแข็งแกร่งภายใต้ปัจจัยลบต่างประเทศหลายด้านที่เข้ามากระทบ โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับลดลงแรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากช่วง 2-3 วันตลาดหุ้นปรับลดลงแรงสะท้อนปัจจัยด้านจิตวิทยาการลงทุนลงมาทดสอบที่ระดับ 1,048 จุด

    การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในแดนบวกได้นั้น มองว่าเกิดจากจากแรงสนับสนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในไตรมาส 2/54 ที่ส่วนใหญ่ออกมาดี นอกจากนี้ มองว่าการที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั้งยุโรป-สหรัฐมีปัญหาอ่อนแอจะส่งผลดีต่อ ตลาดหุ้นภูมิภาค รวมทั้งไทย เพราะ Fund Flow จะไหลเข้ามามากขึ้นในช่วง 1 - 2 เดือนข้างหน้า

    ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ต้องติดตามนโยบายบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในช่วงสั้น แต่ในทางปฎิบัติต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศต่อไป เพราะจะส่งผลทำให้เกิดความผันผวนได้ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า(15 ส.ค.) ดัชนีคงจะแกว่งตัวในกรอบแคบ และแนะนำให้ติดตามผลประกอบการบจ.วันสุดท้าย แต่ก็เชื่อว่ายังแข็งแกร่งตามการเติบโตของจีดีพี พร้อมให้แนวรับไว้ในช่วง 1,040-1,050 จุด ส่วนแนวต้าน 1,100 จุด


    -http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000100610-

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น่าจะออกกลางต้นครับ

    แต่ที่แน่ๆ ผมว่าทานกันไม่ทัน ต้องแจกครับ อิอิ



    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เที่ยวงาน"มหัศจรรย์มะพร้าวไทย"สายพันธุ์หายาก กินได้ทั้งลูก ต่อด้วยช็อป&ชิมลำไยสีขาว-อาหารเพื่อสุขภาพ

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1312979251&grpid=&catid=02&subcatid=0202-

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    กระต่ายขูดมะพร้าว


    [​IMG]
    หลากหลายรูปแบบจากทั่วประเทศ


    [​IMG]
    บ้านมะพร้าว



    [​IMG]รับชมข่าว VDO [COLOR=##005800]ชมคลิป[/COLOR]



    มะพร้าว ถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยเลยก็ว่าได้


    นอกจากผลจะกินได้แล้ว ส่วนอื่นๆ ของใบและลำต้น ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ไม่แพ้กล้วย อีกทั้งนำไปแปรรูป นำไปเป็นส่วนประกอบของยา ใช้มาตั้งสมัยโบร่ำโบราณ


    ขณะเดียวกัน มะพร้าว ยังเป็นทรัพยากรแผ่นดินที่ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของคนไทยมาแต่อดีต มีคุณสมบัติเด่น คือ ขึ้นง่าย โตเร็วในทุกสภาพดิน และภูมิอากาศ เป็นพืชที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายทาง


    ที่สำคัญมะพร้าว มีหลากหลายสายพันธุ์ หลายชนิด ให้เลือกรับประทาน ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็มีจุดเด่นหรือมีเอกลักษณ์เฉพาะพันธุ์ที่ต่างกันไป


    แม้หลายคนจะสงสัยว่า มะพร้าว มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ใด หรือมาจากส่วนไหนของโลก เนื่องจากยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด


    บางคนก็บอกว่า มาจากทวีปอเมริกา โคลัมเบีย อเมริกาใต้ อเมริกากลาง รวมทั้งหมู่เกาะแปซิฟิกบ้าง เพราะมะพร้าวเป็นไม้ที่ขึ้นในเขตร้อน และไทยเราเองก็มีอากาศที่เหมาะสม พอที่จะเป็นแหล่งกำเนิดมะพร้าวได้


    แต่สิ่งเหล่านี้ สามารถหาคำตอบได้ที่ งานสีสรรพรรณไม้ เทิดไท้บรมราชินีนาถ "มหัศจรรย์มะพร้าวไทย เฉลิมพระเกียรติฯ" ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10-14 ส.ค. 54 ณ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ถ.กำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ตั้งแต่เวลา 06.00 — 20.00 น. เนื่องในวโรกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ


    จากงานดังกล่าว "มติชนออนไลน์" ได้มีโอกาสไปเที่ยวชม และนำเอาสีสันในงาน รวมถึงพืชพันธุ์ไม้ที่เป็นจุดเด่นในงาน โดยเฉพาะ "มะพร้าว" มาฝาก


    นายอนุชิต พรหมชาติ เจ้าของสวนมะพร้าว จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในบูธที่นำมะพร้าวพันธุ์ที่ค่อนข้างหายาก และเป็นพันธุ์ที่ปลูกน้อยจากสวนมาจำหน่าย เล่าว่า มะพร้าวมีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือก แต่ที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือ มะพร้าวน้ำหอม กะทิน้ำหอม กะทิชุมพร คนจะชอบและนิยมเป็นพิเศษ


    ทั้งนี้สายพันธุ์ใหญ่มีมากกว่า 40-50 สายพันธุ์ อาทิ ทะเลบ้า กลมใหญ่ แม่น้ำ พนมทวน ซึ่งพันธุ์เหล่านี้ได้เนื้อเยอะ เป็นพันธุ์ดั้งเดิม แต่พันธุ์ที่หายากและคิดว่าน่าจะหายสาบสูญ นั่นก็คือ ซอเหลือง และก็ยังมีมะแพร้ว (ลูกขนาดเล็กกว่ามะพร้าว) และเล็กที่สุดก็คือ มะเพี้ยว ที่หายไปเลยยังหาสายพันธุ์ไม่พบ


    นายอนุชิต ยังบอกอีกว่า การที่พันธุ์มะพร้าวสูญหาย หรือไม่เป็นที่รู้จัก น่าจะขึ้นอยู่กับการรักษามากกว่า โดยเฉพาะมะพร้าวพนมทวน ที่จ.กาญจนบุรี ซึ่งหายากมากในตอนนี้ เพราะที่อ.พนมทวนมีแค่ 2 ต้น และคนสมัยใหม่ก็ไม่รู้จักด้วย


    มะพร้าวอีกสายพันธุ์ที่น่าสนใจคือ มะพร้าวพวงทอง ลักษณะเป็นลูกสีทอง สวยงาม มีขนาดไม่ใหญ่ ตัวน้ำมะพร้าวสามารถใช้เป็นยารักษาโรคหัวใจได้

    นอกจากนี้ ที่นำมาแสดงและจำหน่ายในราคาถูก ก็อย่างเช่น มะพร้าวทะนาน ซึ่งพันธุ์นี้สมัยก่อนจะใช้กะลามาตวงข้าว หรือที่เรียกว่าทะนาน มะพร้าวซอ กะลาใช้ทำซอ มะพร้าวกะโหลกใหญ่ สมัยก่อนกะลาก็นำไปทำเป็นบาตรพระ มะพร้าวไฟใหญ่ เป็นมะพร้าวที่กะทิสามารถนำมาทำน้ำมันมะพร้าวได้ดีมาก และยังมีพันธุ์อื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย


    ขณะเดียวกัน นายอนุชิต ยังบอกอีกว่า การปลูกและดูแลมะพร้าว เป็นสิ่งที่ง่ายมาก แค่เอาลูกโยนไว้เฉย ๆ เดี๋ยวก็งอกเอง แต่พันธุ์โบราณที่สูญพันธุ์ ก็เพราะว่า มีลำต้นสูง ยิ่งอายุเยอะก็สูงเรื่อย พอลูกตกลงมางอกใหม่ แล้วคนไม่รู้จักสายพันธุ์ ก็โค่นทิ้ง เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง ก็ทำให้สูญพันธุ์


    แต่ถ้าอยากให้ต้นมะพร้าวงอกงาม มีผลดก คำแนะนำจากชาวสวนก็คือว่า แค่ให้ปุ๋ยคอก (มูลไก่) อาทิตย์ละครั้ง ก็เป็นวิธีการดูแลที่ดีที่สุด มากกว่านั้น ก็อาจจะใช้เศษกระดูกมาใส่เพิ่มปีละครั้งเพื่อเพิมแคลเซียม ซึ่งจะดีทั้งมะพร้าว และคนกินมะพร้าวด้วยเพราะจะได้แคลเซียมทางอ้อมจากมะพร้าว และ ถ้าจะเพิ่มความหอม หวานของน้ำมะพร้าว ก็เพิ่มกากน้ำตาลเข้าไป เท่านั้นเอง


    จากมะพร้าวพันธุ์ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่เรียกจุดสนใจได้ดี นั่นก็คือ มะพร้าวน้ำหอมทองสุก ความพิเศษก็คือว่า กินได้ทั้งลูก สีเหลืองทองชวนน่ารับประทาน เนื้อหอม หวาน รับรองว่าหลายๆ คนยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน


    นอกจากมะพร้าวแล้ว คนที่เข้าไปเที่ยวในงาน ยังจะได้พบกับ "ลำไยสีขาว" แค่ชื่อก็แปลกแล้ว เพราะ คุณวุฒิพงษ์ เชียงชะนา เจ้าของที่นำมาแสดงและจำหน่ายกล้า บอกว่า ลำไยสีขาวเป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกน้อย และทำตลาดได้ดี ลักษณะพิเศษคือ ไม่ว่าลูกเล็กหรือใหญ่ก็สามารถกินได้ เนื้อนุ่มลิ้น หอมชวนลิ้มลอง


    แต่ที่น่าแปลก็คือว่า ลูกดก 1 ปี ออกลูกได้มากถึง 3 ครั้ง ยิ่งกิ่งที่อุดมสมบูรณ์ ก็ยิ่งเจริญพันธุ์ได้ดี เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นที่ปลูกน้อย แต่อยากมีลำไยไว้กิน ถ้ากังวลว่ากินแล้วจะเจ็บลิ้น รับรองลำไยสีขาวไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน


    ต่อมาที่ขอแนะนำนั่นก็คือ "ไผ่" นานาชนิด จากไร่ คุณนาวี ปรางจโรจน์ จ.กาญจนบุรี ที่นำไผ่หลากหลายสายพันธุ์มาจำหน่ายในราคาประหยัด ไม่ว่าจะเป็น ไผ่ปักกิ่ง ที่นำหน่อมาอบแห้ง ก่อนนำปรุงเป็นอาหาร ไผ่น่าน ที่ลำต้นสามารถนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้ ลูกค้าจะนิยมมาก ไผ่หนองโดน ที่หน่อดิบสามารถทานได้ ไผ่หมาจู๋ ไผ่เป๊อะยักษ์ ซึ่งเป็นไผ่ที่อยู่ในเขา เพาะพันธุ์ด้วยเมล็ด ซึ่งทุกสายพันธุ์รสชาติดี


    ไปงานนี้ไม่เพียงจะได้พบพันธุ์ไม้แปลก หายากแล้ว ยังมีพันธุ์ไม้สวยงามอีกมากมายหลายชนิดให้เลือกซื้อเลือกหาได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กล้วยนานาชนิด ที่หลายคนอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน การปลูกบอนไซ การปลูกพืชบนหิน เฟิร์นสร้างรายได้ ฯลฯ


    พร้อมกันนั้น ยังมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวนานาชนิด การแสดงวิถีชีวิตคนไทยที่ใช้ประโยชน์จากมะพร้าว การแสดงความสามารถในการเก็บมะพร้าวของลิงจากเกาะสมุยซึ่งหาชมได้ยาก การแสดงผลงานภาพถ่ายนกในสวนสมเด็จฯ การประกวดพันธุ์ไม้ 11 ชนิด การจัดนิทรรศการบัวกว่า 140 ชนิด และนิทรรศการ "เฉลิมพระเกียรติป่าสักนวมินทรราชินี" ซึ่งเป็นป่าที่สมบูรณ์ที่สุด การสาธิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์และสิ่งประดิษฐ์จากมะพร้าว พร้อมชิมอาหารอร่อยจากร้านชื่อดังมากมาย


    ขณะเดียวกัน ภายในงานมีการจัดประกวดแข่งขันค้นหามะพร้าวสายพันธุ์ดี สำหรับการส่งเสริมขยายพันธุ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ประดิษฐ์จากกะลามะพร้าวให้ มีมาตรฐานและแพร่หลายยิ่งขึ้น อาทิ มะพร้าวอ่อนน้ำหอม มะพร้าวแก่ มะพร้าวพวงร้อย สิ่งประดิษฐ์จากกะลามะพร้าว รวมทั้งมีการจัดการประกวดยางแผ่นคุณภาพดี 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อชิงเงินรางวัลและชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาสยาม บรมราชกุมารี


    อีกทั้ง การจัดแข่งขันการขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายขูดมะพร้าว การปอกมะพร้าวแก่ด้วยหอก การควั่นมะพร้าวอ่อนให้สวยงามสะดวกต่อการดื่ม และแข่งขันทีมวิ่งเปี้ยวกะลามะพร้าว ชิงเงินรางวัล 1,000 บาท อีกด้วย


    รับรองมางานนี้แล้วบอกได้คำเดียวว่า "คุ้ม"


    เพราะนอกจากจะได้ความรู้กลับไปแล้ว ยังได้ไอเดียดีดีจากการเพาะปลูกต้นไม้อีกหลายชนิด


    ที่พิเศษสุดๆ นั่นคือ การรวมพันธุ์ไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ต้องการ แต่หาซื้อยากมารวมไว้ที่เดียวกันอีกด้วย

    เที่ยวงาน"มหัศจรรย์มะพร้าวไทย"สายพันธุ์หายาก กินได้ทั้งลูก ต่อด้วยช็อป&ชิมลำไยสีขาว-อาห
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ′ผู้หญิง′ กับ ′เครือญาติ′ ประวัติศาสตร์ไม่บาดหมาง จากจารึกปราสาทพระวิหาร

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313046364&grpid=&catid=02&subcatid=0207-

    [COLOR=##005800]โดย ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร [/COLOR]


    (ที่มา คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 11 สิงหาคม 2554)


    <table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"> <tbody> <tr bgcolor="#400040"> <td>[​IMG]
    (ซ้าย) ปราสาทสด๊กก๊อกธม สถานที่ค้นพบจารึกสด๊กก๊อมธม 2 (ขวา) ปราสาทพระวิหาร

    </td></tr></tbody></table>ประวัติ ศาสตร์ราชวงศ์ของอาณาจักรขอมโบราณถูกเรียบเรียงขึ้นจากจารึกหลายหลัก จากนักปราชญ์นักวิชาการหลายท่าน โดยเฉพาะสายสกุลฝรั่งเศสซึ่งเคยครอบครองอธิปไตยเหนือดินแดนกัมพูชา ในสมัยอาณานิคม

    และปราชญ์ชาวฝรั่งเศสคนสำคัญที่สุดที่เรียบเรียง ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ขอมจากจารึกเห็นจะไม่พ้นศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ (Goerge Coedes, พ.ศ.2429-2512)

    เซเดส์สร้างประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ขอมโบราณ โดยเฉพาะยุคสมัยที่มีการสร้างเมืองพระนครโดยมีโครงเรื่องหลักอยู่ที่การ สถาปนาลัทธิ "เทวราชา" ซึ่งเริ่มดำเนินเรื่องตั้งแต่สมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (ครองราชย์ พ.ศ.1345-1393) เสด็จกลับมาจากชวาแล้วฟื้นฟู "กัมพุชเทศ" ขึ้นจากสภาพที่แตกแยกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยในสมัยก่อนหน้า จนกัมพุชเทศของพระองค์กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง

    แนวคิดดังกล่าวของ เซเดส์ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ โบราณคดี และประวัติศาสตร์ศิลปะขอมโบราณ อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวก็ตั้งอยู่บนวิธีการมองโลกอุษาคเนย์ด้วยสายตาฝรั่งยุค อาณานิคม ภาพของอาณาจักรขอมอย่างที่มักเข้าใจกันในปัจจุบันจึงไม่ใช่ภาพของอาณาจักร ขอมโบราณจริงๆ แต่เป็นภาพของอาณาจักรขอมในที่กลั่นออกมาจากความคิดของเซเดส์ต่างหาก

    จารึก′สด๊กก๊อกธม 2′กระดูกสันหลังของประวัติศาสตร์ขอมฉบับเซเดส์

    ถึง แม้ว่าการเรียบเรียงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ขอมของเซเดส์จะผูกขึ้นมาจากจารึก หลายหลัก แต่ก็มีจารึกบางหลักที่ถูกใช้เป็นกระดูกสันหลังสำหรับสร้างโครงในการเรียบ เรียงเรื่องประวัติราชวงศ์ขอมโบราณขึ้นมา ในกรณีของสมัยเมืองพระนครคือจารึก "สด๊กก๊อกธม 2"

    จารึกหลักนี้ทำขึ้นในสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 (ครองราชย์ พ.ศ.1593-1609) แต่เล่าเรื่องย้อนไปถึงการสถาปนาลัทธิเทวราชาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เมื่อเสด็จกลับมาจากชวา ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นราว 200 ปี

    ตัวจารึกยังเล่าถึงลำดับกษัตริย์ที่ครองราชย์ในกัมพูชายุคเก่า ก่อนตั้งแต่สมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เรื่อยมาจนถึงพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 จึงเป็นการง่ายสำหรับใช้เป็น "กระดูกสันหลัง" ในการหยิบเอาจารึกหลักอื่นๆ มาลำดับเรื่องราวโดยมีลำดับกษัตริย์ในจารึกสด๊กก๊อกธม 2 เป็นโครงใหญ่ เหมือนเป็นการต่อระยางออกจากกระดูกสันหลังนั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม จารึกหลักนี้ก็ให้ความสำคัญแต่กษัตริย์ที่ครองราชย์แล้วสถาปนา "เทวราช" เพราะจารึกหลักดังกล่าวทำขึ้นโดยตระกูลพราหมณ์ศิวไกวัลย์ ซึ่งอ้างตัวอยู่ในจารึกว่าเป็นพราหมณ์ตระกูลเดียวที่สามารถประกอบพิธีกรรมใน ลัทธิเทวราชได้ กษัตริย์ผู้ไม่ประกอบพิธีกรรมตามลัทธิดังกล่าวจึงถูกลดทอนความสำคัญลงไปใน จารึกหลักนี้ <table align="right" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"> <tbody> <tr bgcolor="#400040"> <td>[​IMG]
    ธงชาติกัมพูชาเหนือปราสาทพระวิหาร

    </td></tr></tbody></table>

    เพราะ จารึกสด๊กก๊อกธม 2 ไม่ได้ต้องการอ้างความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์พระองค์ต่างๆ มากไปกว่าความสำคัญของลัทธิเทวราชา ที่มีตระกูลพราหมณ์ผู้สร้างจารึกหลักนี้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นการเฉพาะ

    จา รึกสด๊กก๊อกธม 2 ยังเล่าเรื่องการเสด็จกลับมาจากชวาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ว่าได้รวบรวมเมืองต่างๆ ไว้ทีละเมือง โดยที่เซเดส์ให้คำอธิบายว่าเป็นการเข้าไปยึดครองเมืองแต่ละเมือง แล้วย้ายเมืองหลวงไปเรื่อยๆ ตามแต่ละเมืองที่พระองค์ประทับหรือยึดครองได้ จนกระทั่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 สามารถรวบรวมดินแดนเจนละที่เคยแตกแยกเข้าเป็นกัมพุชเทศที่เป็นปึกแผ่นในที่ สุด

    ภาพประวัติศาสตร์แบบนี้เข้ากันได้ดีกับสำนึกเรื่อง "ดินแดน" ตามอย่างฝรั่งในยุคอาณานิคม ที่การยึดดินแดนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต่างไปจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐของอุษาคเนย์ในยุคโบราณที่สงครามไม่ใช่ เรื่องของการยึกครอง "พื้นที่" มากไปกว่า "ประชากร"

    การต่อสู้ระหว่างรัฐเจ้าพ่อ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 หรืออำนาจเหนือพื้นที่ของสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส

    บทความชื่อ "เสียดินแดน" เป็นประวัติศาสตร์หลอกไพร่ไปตายแทน (เพราะ "ไทย" ไม่เคยเสียดินแดน) ของ ศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เขียนอธิบายถึงรัฐสมัยเก่าในอุษาคเนย์ว่าเป็นรัฐแบบเจ้าพ่อ จะสรุปมาสั้นๆ ดังนี้

    รัฐสมัยเก่าไม่ถือการครอบครองดินแดนเป็น เรื่องสำคัญ แต่เป็นเรื่องของเจ้าที่มีอำนาจมากถืออำนาจบาตรใหญ่เหนือเจ้าที่มีอำนาจน้อย กว่า ลดหลั่นเป็นลำดับชั้นกันลงไปคือ เป็นความสัมพันธ์แบบ "เจ้าพ่อ"

    เจ้า พ่อรายใหญ่ย่อมเรียก "ค่าคุ้มครอง" จากเจ้าพ่อรายเล็กกว่าในรูปของส่วยสาอากรผลประโยชน์ต่างๆ และไพร่พล จากนั้นเจ้าพ่อทั้งรายใหญ่รายเล็กก็ไปขูดรีดเอากับไพร่ฟ้าข้าไทในเขตอิทธิพล ของตนอีกทอดหนึ่ง

    อำนาจของเจ้าพ่อรายเล็กจึงอยู่ที่อำนาจ เหนือไพร่ฟ้าข้าไทในเขตอิทธิพลของตน อำนาจของเจ้าพ่อรายใหญ่จึงอยู่ที่อำนาจเหนือเจ้าพ่อรายเล็กและไพร่ฟ้าข้าไท ในเขตอิทธิพลของตน

    ดังนั้น เจ้าพ่อรายเล็กที่ยอมเป็นเมืองขึ้นหรือประเทศราชของรัฐเจ้าพ่อใหญ่ยังคงมี อำนาจเหนือเมือง วัง ไพร่ฟ้าข้าไทและเขตอิทธิพลของตน เพียงแต่ไม่ถือว่าเป็น "อิสระ" เพราะยอมสวามิภักดิ์ต่อรัฐเจ้าพ่อใหญ่ <table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"> <tbody> <tr bgcolor="#400040"> <td>[​IMG]
    ปราสาทพระวิหาร สร้างหลังจารึกศิวะศักติที่พบในบริเวณปราสาทราว 150 ปี

    </td></tr></tbody></table>

    แต่ การสวามิภักดิ์มิได้หมายถึงตกเป็นสมบัติของรัฐเจ้าพ่อใหญ่แต่อย่างใด เพียงหมายถึงยอมอยู่ใต้อำนาจบาตรใหญ่ "ความคุ้มครอง" ของเจ้าพ่อรายใหญ่กว่าและยอมจ่าย "ค่าคุ้มครอง" ตามที่เจ้าพ่อรายใหญ่เรียกมาเท่านั้นเอง

    อธิปไตยเหนือ ดินแดนแบบสมัยนี้จึงยังไม่มี เพราะอำนาจขององค์อธิปัตย์หมายถึงอำนาจเหนือคนคือ เหนือเจ้าพ่อรายเล็กและไพร่ฟ้าข้าไท ไม่จำเป็นต้องมีขอบเขตชัดเจน บางทีก็มีบางทีก็ไม่มี ไพร่ฟ้าจะเดินทางไกลไปไหนต่อไหนก็ยังถือว่ายังอยู่ใต้อำนาจของเจ้าองค์เดิม หรือที่เรียกว่า "ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร"

    รัฐเจ้าพ่อตามอ ย่างที่ อ.ธงชัยนำเสนอทำให้เห็นภาพต่างไปจากที่เซเดส์เคยสร้างเอาไว้ เพราะถ้าคิดตามอย่าง อ.ธงชัย เจนละ (ซึ่งกินอาณาบริเวณตั้งแต่ที่ราบสูงโคราชไปครอบคลุมตลอดพื้นที่ประเทศ กัมพูชาปัจจุบัน และพื้นที่บางส่วนทางใต่ของประเทศลาว และเวียดนาม) จะไม่เคยแตกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยจนพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 กลับมารวบรวมให้ป็นกัมพุชเทศอันเป็นปึกแผ่น แต่เจนละเป็นกลุ่มรัฐเจ้าพ่อน้อยๆ ที่ยังไม่เคยมีเจ้าพ่อรายใหญ่มาเรียกเก็บค่าคุ้มครองจนกระทั่งสมัยของพระ เจ้าชัยวรมันที่ 2

    ภาพประวัติศาสตร์การรวบรวมดินแดนของพระเจ้าชัย วรมันที่ 2 จึงเป็นภาพของการรวบรวมดินแดนอย่างสมัยอาณานิคมที่ทุกรัฐรับธรรมเนียมสมัย ใหม่จากฝรั่งในปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจเหนือดินแดนแบบซ้อนทับอีกต่อไป และถือการครอบครองดินแดนเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องแย่งชิงกันว่าดินแดนของประเทศราชเป็นของใครกันแน่แต่ผู้เดียว

    ความ ขัดแย้งระหว่างสยามกับอังกฤษ ฝรั่งเศสช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 คือ การพยายามแข่งขันกันช่วงชิงดินแดนประเทศราชมาเป็นของตนแต่ผู้เดียว กรณี "เสียดินแดน" คือผลของการแย่งชิงกันแล้วสยามแพ้ สยาม "ไม่ได้ดินแดนมาเป็นของสยามแต่ผู้เดียว" ฝรั่งชนะจึงได้ไป

    ภาพ ของเจนละที่แตกออกกระจัดกระจาย และการสั่งสมพระบารมีของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ตามฉบับเซเดส์ จึงไม่ต่างไปจากความเข้าใจผิดเรื่องการเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะเป็นภาพของการเสียและได้ดินแดนที่ไม่เคยมีอยู่ในสำนึกของชาวอุษาคเนย์ ยุคเก่าก่อน

    ประวัติศาสตร์เครือญาติที่ปราสาทพระวิหาร เคยมี ′ผู้หญิง′ เป็นใหญ่

    ใน ความสัมพันธ์แบบรัฐเจ้าพ่อ การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ไม่ได้มีเพียงเฉพาะการใช้พระเดชเพียงอย่าง เดียว แต่ยังมีการผูกมิตรด้วยการสร้างความเป็นเครือญาติระหว่างกันอีกด้วย

    "ผู้หญิง" จึงมีหน้าที่สำคัญสำหรับการสร้างเครือข่ายที่ว่า เพราะการผูกญาติที่ง่ายที่สุดก็คือการดองกันผ่านการแต่งงานนั่นเอง

    จารึก หลักหนึ่งมักจะเรียกกันว่า "จารึกศิวะศักติ" ตามชื่อของผู้สร้างจารึก พบในเขตปราสาทพระวิหารทำขึ้นในสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 (ครองราชย์ พ.ศ.1432-1453) เล่าย้อนไปถึงในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เช่นกัน

    จารึก หลักนี้เล่าว่า เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้แผ่ขยายอำนาจเข้าสู่พื้นที่บริเวณนี้ มีกลุ่มตระกูลของพระนางพิณสวรรค์ครามวตีครองอำนาจอยู่ พระองค์ทรงรวบอำนาจเหนือเขาพระวิหารด้วยการเสกสมรสกับปราณ พระราชธิดาแห่งราชตระกูลที่เขาพระวิหารยุคก่อนมีปราสาท พระราชธิดาองค์นี้มีพระนามหลังเสกสมรสว่า "กัมพุชลักษมี"

    น่าสนใจที่ ว่าจารึกศิวะศักติช่วยให้ทราบว่า พื้นที่บริเวณเขาพระวิหารในอำนาจของราชตระกูลของพระนางพิณสวรรค์ครามวตีมี "ผู้หญิง" เป็นใหญ่ และนับญาติข้างผู้หญิง การดองกันระหว่างสายราชตระกูลที่เขาพระวิหารกับราชตระกูลของพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 2 ทำให้ สายตระกูลนี้หันมาให้ความสำคัญกับผู้ชาย เพราะราชบุตรที่เกิดแต่กัมพุชลักษมีได้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 และก็เป็นที่น่าสังเกตว่าพระเจ้าแผ่นดินกัมพูชาองค์ต่อมา คือพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 (ครองราชย์ พ.ศ.1421-1433) ก็มาจากสายราชตระกูลจากเขาพระวิหาร โดยที่ไม่ได้มีเชื้อสายมาทางพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เลย อำนาจและบารมีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากพอๆ กับสิทธิธรรมสำหรับการครองราชย์ในยุคนั้น แต่กลับเป็นสิ่งที่ถูกละเลยไปในจารึกสด๊กก๊อกธม 2 และรวมถึงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ของเซเดส์ด้วย

    ประวัติศาสตร์ ราชวงศ์ที่ถูกวาดไว้ด้วยภาพของยุคอาณานิคมแล้วถูกสถาปนาให้เป็นประวัติ ศาสตร์แห่งชาติในภายหลังจึงเป็น "ประวัติศาสตร์อันตราย" เพราะนำเสนอในแง่มุมของการแก่งแย่งดินแดนผ่านศึกสงคราม แต่ละเลยการดองกันผ่านเครือญาติเพื่อขยายบารมีของผู้นำของรัฐ ที่สำคัญคือประวัติศาสตร์แบบนี้ยังถูกนำมาใช้อยู่เสมอแม้กระทั่งในปัจจุบัน เพื่อกระแสความคลั่งชาติ โดยเฉพาะเรื่อง "เสียดินแดน" ปัญหาเขตแดนระหว่างประเทศจึงเป็นมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคมอย่างไม่ต้องสงสัย









    &prime;ผู้หญิง&prime; กับ &prime;เครือญาติ&prime; ประวัติศาสตร์ไม่บาดหมาง จากจารึกปราสาทพระวิหาร : มติชนออ
     
  16. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    อิอิ โดนเพื่อนบ้านมาขัดจังหวะโฆษณา

    เดี่ยวรอคุณเพชร มาตอบอีกคนแล้วค่อยเฉลยอ่ะครับ พี่หนุ่มตอบถูกไม่หมดอ่ะครับ (good)
     
  17. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    อิอิ ท่านกูรู ทราบได้อย่างไรว่ามีนกมากอ่ะครับ อีกอย่างที่มากตอนนี้คือกระรอกอ่ะครับ ไล่ไม่หวาดไม่ไหวเรยครับ :mad::mad::mad:
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    "จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา" พระราชปณิธานสมเด็จพระราชินี

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313120181&grpid=01&catid=&subcatid=-



    .

    [​IMG]


    นับตั้งแต่ทรงเข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็น "สมเด็จพระบรมราชินี" เมื่อปี 2493 พระราชกรณียกิจต่อประชาชน ชาวไทยในฐานะ "พระคู่บารมี" แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานตลอดกว่า 60 ปี

    สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเยี่ยมราษฎรตั้งแต่ปี 2498 โดยมีราษฎรยากจนและอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเป็นจุดหมาย

    ในหนังสือ ด้วยพลังแห่งรัก ได้กล่าวถึงพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2515 เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ว่า

    "การ เยี่ยมราษฎรตามภาคต่างๆ เหมือนกับการได้ไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกล ราษฎรทุกคนพูดกับเราได้ทุกอย่าง อย่างคล่องแคล่ว ไม่เก้อเขิน เรื่องการใช้ราชาศัพท์ไม่เคยเกิดเป็นปัญหาเลย ส่วนมากเขาเรียกพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าว่า คุณพ่อ คุณแม่ หรือท่าน พวกชาวเขาเผ่าต่างๆ ก็เรียก พ่อ แม่ การไปเยี่ยม ราษฎรทุกครั้งทำให้เราทั้งสองมีความสุข และชุ่มชื่นในไมตรีจิต ของประชาชน"

    สิบ ปีต่อมา ทั้งสองพระองค์ยังทรงงานพร้อมเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเยี่ยมราษฎรโดยมิได้ขาด บรรยากาศระหว่างชาวบ้านกับพระเจ้าแผ่นดินและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ยังคงอบอุ่นใกล้ชิด ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อ 11 สิงหาคม 2525 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต

    "เป็นพระราชินีตั้งแต่อายุ 17 จนอายุ 50 ไปที่ไหน แม้แต่อายุ 17-18 ประชาชนก็ยังเรียกคุณแม่ ทีแรกก็ตกใจ เอ๊ะ...คนเรียกเราดูเขาแก่กว่าเรา ทีหลังก็สำนึกได้ว่า คำว่า ′แม่′ นี้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งที่สุด การที่ใครเรียกคนคนหนึ่งว่าแม่ บุคคลที่ถูกเรียก จะต้องคิดและสำนึกในเกียรติยศอันนี้ และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"



    ประชาชนมาก่อนอื่นใด

    ไม่ ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ไหน ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะ ทรงปฏิบัติพระองค์ให้ "ประชาชนมาก่อนสิ่งอื่นเสมอ"

    ท่านผู้หญิงสมสุข ศรีวิสารวาจา เล่าถึงบรรยากาศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงไปเยี่ยมราษฎรเมื่อหลายสิบปีก่อนว่า

    "เรื่อง ความวิริยอุตสาหะของพระองค์ พวกเราข้าราชบริพารต้องยอมแพ้เลย ส่วนใหญ่เวลาเสด็จพระราชดำเนินจะทรงไปในที่ทุรกันดารทั้งนั้น ทั้งไกล ทั้งลำบาก แต่ก็ทรงมุ่งมั่นที่จะเสด็จฯไป ไม่ว่าจะเสด็จฯทางรถไฟ รถยนต์ เครื่องบิน เรือพาย เรือยนต์ ทรงช้าง ทรงม้า ทรงพร้อมเสมอ บางแห่งรถเข้าไม่ถึง ถนน หนทางไม่มี ต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไป ทรงพระดำเนินตั้งครึ่งค่อนวัน ขึ้นเขาเป็นลูกๆ พอทรงเห็นพวกเราเดินตามไม่ทัน ก็จะทรงชะลอ ไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยเพราะทรงรู้ว่าประชาชนกำลังรอพระองค์อยู่ข้างหน้า ไม่เคยมีใครได้ยินพระองค์ทรงบ่น ไม่ทรงแสดงอาการเหนื่อยล้า พระพักตร์แจ่มใสเสมอ บางครั้งกว่าจะเสด็จฯถึง ทรงเยี่ยมราษฎรเสร็จ พระอาทิตย์ก็ตกมืดแล้ว <table align="right" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"> <tbody> <tr bgcolor="#400040"> <td>[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>

    "ยิ่ง เวลาเสด็จออกเยี่ยมราษฎร พระองค์จะไม่ค่อยเสวย บางทีทรงงานอยู่จนมืดค่ำตีหนึ่งตีสอง ทรงงานไปเรื่อยๆ ด้วยความเพลิดเพลิน เรื่องเสวยนี่ไม่สำคัญเลย แล้วยังสามารถทรงงานได้ทุกแห่งทุกที่ สามารถทรงพระอักษรได้อย่างไม่ต้องเป็นกิจจะลักษณะ โต๊ะเก้าอี้ก็ไม่โปรดนัก โปรดประทับกับพื้น ทรงนั่งได้ครั้งละนานๆ ทรงจดจ่ออยู่กับงาน ทรงไต่ถามทุกข์สุขประชาชน

    "สมัยก่อนอย่าได้ทูลพระองค์เชียวนะ ว่าถึงเวลาเสด็จฯกลับ ไม่ทรง ยอมหรอก ทรงอยากจะช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด ไม่ทรงคิดถึงพระองค์เอง ทรงห่วงประชาชนมากกว่า สำหรับพระองค์ท่านแล้ว ประชาชนต้องมาที่หนึ่ง"



    ทรง′เคียงคู่′กัน ปฏิบัติพระราชกรณียกิจ

    จาก เมื่อก่อนที่ "พระพลานามัย" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงสมบูรณ์แข็งแรงดี ทุกปีทั้ง 2 พระองค์ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา จะเสด็จฯแปรพระราชฐานตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร ตั้งแต่ครั้งที่ยังไม่มีตำหนักที่ประทับ ก็จะประทับ ณ สถานที่ที่ทางราชการจัดเตรียมถวาย จนกระทั่งสร้างพระตำหนักในภูมิภาคต่างๆ แล้วเสร็จ จึงประทับที่พระตำหนักซึ่งเปรียบเสมือน "ศูนย์กลางการทรงงาน" ในแต่ละภูมิภาค

    ราวเดือนสิงหาคม-กันยายน-ตุลาคม เป็นช่วงเวลาที่ทั้ง 2 พระองค์จะเสด็จฯ แปรพระราชฐาน ณ ทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ครั้น ถึงเดือนพฤศจิกายน จะประทับ ณ ภูพานราชนิเวศน์ จ.สกลนคร และในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์-มีนาคม ประทับ ณ ภูพิงค์ราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่

    ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานด้านการชลประทาน การเกษตร โปรดเกล้าฯให้จัดหาแหล่งน้ำและจัดการให้ราษฎรมีน้ำไว้ ใช้ในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทรงปรึกษาหารือกับชาวบ้านและผู้นำชุมชน พร้อมกล้องถ่ายภาพคล้องพระศอ แผนที่ในพระหัตถ์มีรายละเอียดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการชลประทานและการ เกษตร เพราะทรงตระหนักว่า น้ำคือต้นกำเนิดของชีวิต และเป็นต้นทางของ วิถีเกษตร ซึ่งเป็นวิถีที่แท้จริงของราษฎรในชนบทไทย พระองค์มี พระราชปฏิสันถาร พระราชทานแนวพระราชดำริ และพระบรม ราชานุเคราะห์ในทุกทางเพื่อให้ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

    ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรง ใช้เวลากับราษฎร ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ พระราชทานงานศิลปาชีพ ทรงตรวจ "การบ้าน" ที่พระราชทานไว้เมื่อปีกลาย พร้อมกับไถ่ถามทุกข์สุข ทรงรับฟังเรื่องราวทุกข์ใจของชาวบ้าน และบางครั้งก็ทรงสอนหนังสือเด็กๆ

    พระ ราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติ "เคียงคู่" กันทั้งสองพระองค์ ช่วยให้ชาวชนบทผู้อยู่ห่างไกลโอกาสทางการศึกษา การสาธารณสุข การอาชีพ และห่างไกลโอกาสต่างๆ ในชีวิต ได้ผ่านช่วงเวลาทุกข์เข็ญ มานักต่อนัก <table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"> <tbody> <tr bgcolor="#400040"> <td>[​IMG]
    </td></tr></tbody></table>



    2 ปีที่ศิริราช...ไม่ทรงแยกจากกัน

    แม้ ในระยะ 2 ปีมานี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะมิได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรเฉกเช่นแต่ก่อน ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้ารับการรักษาและฟื้นฟูพระวรกายที่โรง พยาบาลศิริราช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจะทรง อยู่ด้วยตลอด ไม่เสด็จฯไปไหนไกลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลย

    ท่านผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญ หลวงเทพนิมิต รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ผู้ถวายงานมาตลอด 38 ปี เล่าว่า

    "ตั้งแต่ 19 กันยายน 2551 ก็ไม่ได้เสด็จฯไปไหนเลย ประทับ อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอด แม้ จะมีครั้งหนึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จฯไปรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปตรวจรักษาพระเนตรที่โรงพยาบาลจักษุรัตนิน"



    ทรงงานตลอดเวลา

    แม้ เราจะไม่ได้เห็นภาพที่พระองค์ประทับนั่งพื้นหน้าโต๊ะเตี้ยๆ นานนับ 4-5 ชั่วโมง เพื่อทรงงานกับชาวบ้านที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันเข้ามา ทีละคนทีละกลุ่ม โดยไม่ทรงลุกไปไหน หรือภาพทรงคุกพระชานุอย่างไม่ทรงรังเกียจ ว่าพื้นดินจะเปียก จะแห้ง หรือเป็นฝุ่น ก็มิได้หมายความว่า พระองค์จะทรงละเลยความเดือดร้อนของราษฎร

    "ทั้ง 2 พระองค์ยังคงทรงงานอยู่ตลอด แม้ไม่ได้เสด็จออกไปยี่ยม ราษฎร ก็จะทรงสั่งงาน แต่คนไม่ค่อยรู้ และบางครั้งก็ทรงงานโดย ผ่านสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไป ทำให้ ทอดพระเนตรให้และก็กลับมาถวายรายงาน" ท่านผู้หญิง สุภรภ์เพ็ญเล่า

    ด้าน ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ บอกเสริมว่า พระองค์ทรงทำงานอยู่ทุกวันแม้ตลอด 2 ปี จะไม่ได้เสด็จฯเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่างๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะพระองค์ต้องถวายการดูแลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ที่โรงพยาบาล ศิริราช แต่ก็ทรงงานอยู่ทุกวันในการติดตามความคืบหน้าของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อยู่เสมอ มีรับสั่งให้กองราชเลขานุการในพระองค์ฯ ลงไปติดตามการทำงานในด้านต่างๆ แล้วทำรายงานมาถวายพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานคำแนะนำในการดำเนินงานลงมาอยู่เสมอ



    พระอุปนิสัยเป็นไทยแท้

    ท่าน ผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญเล่าว่า ทั้งสองพระองค์ ทรงมีพระอุปนิสัยเป็นไทยแท้ คือจะไม่โอ้อวด ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินีนาถ จะทรงเป็นกุลสตรีไทยแท้ ไม่โอ้อวด ไม่อะไรทั้งสิ้น ฉะนั้นเวลาทรงทำอะไร ที่ผ่านมา พระองค์จะไม่ให้โฆษณาเลย เมื่อก่อนพวกเราออกมาพูดอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ทรงอนุญาต

    "พระองค์รับสั่งว่า จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา ความดีทำไปเถอะ ไม่ต้องไปบอกใคร เพราะความดีก็คือความดี คนเขาเห็นเอง

    "ฉะนั้น สิ่งที่ทำทั้งหมด พระองค์ไม่เคยโฆษณาเลย พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำโครงการพระราชดำริมา 3,000-4,000 โครงการ พระองค์ไม่เคยโฆษณาเลย มีเพียงราษฎรในพื้นที่เท่านั้น ที่รู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระ บรมราชินีนาถ ทรงทำตรงโน้น ตรงนี้ให้ แต่คนกรุงเทพฯ หรือไม่ใช่คนในพื้นที่ก็จะไม่รู้"

    อย่างผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินีนาถ ทรงใช้อยู่ทุกวันนี้ ท่านผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญบอกว่า ทุกชิ้น ที่ทรงใช้ทรงซื้อจากมูลนิธิศิลปาชีพฯ ทั้งหมด

    "ของที่ทรงใช้อยู่ ทั้งกระเป๋าย่านลิเภา หรือพระภูษาทรงมัดหมี่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระองค์ซื้อจากศิลปาชีพทั้งหมด แม้จะทรงก่อตั้งโรงฝึกศิลปาชีพ หรือปัจจุบันคือสถาบันสิริกิติ์ ก็ทรงต้องซื้อของ ที่พระราชทานประมุขต่างๆ เหมือนคนทั่วไป รับสั่งว่า ไม่ได้ตั้ง โรงฝึกศิลปาชีพขึ้นมาเพื่อผลิตของให้พระองค์เอง

    "เวลามี แขกต่างประเทศมา เช่น สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีโซเฟีย แห่งสเปน วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ของพระราชทานต่างๆ ที่พระราชทานให้เป็นที่ระลึก ก็ทรงซื้อจาก มูลนิธิ รับสั่งว่า ของเหล่านี้ต่อไปจะถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่ต่างประเทศ เพราะประธานาธิบดีเมื่อหมดวาระแล้ว ไม่สามารถเอาเป็นของส่วนตัวได้ ต้องเข้าเป็นของรัฐทั้งหมด ซึ่งเราก็เคยเห็นมาก่อน เวลาตามเสด็จฯไปอเมริกา รัสเซีย ของพระราชทานจากรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 เขาก็นำมาจัดแสดง และเขียนว่า ของขวัญจาก คิง ออฟ ไทยแลนด์

    "พระองค์ตรัสว่า งานศิลปะเหล่านี้ ถ้าใครมาเห็น เขาจะได้รู้ ว่า คนไทยเป็นยังไง เราไม่ต้องไปบอกว่า ฉันเก่งนะ เพราะเขา ดูปั๊บเขาก็รู้เลยว่า คนไทยเป็นยังไง เป็นคนประณีต ละเอียดอ่อน มีความสามารถ มีความอดทน รับสั่งว่า ที่ทำอยู่นี้เพื่อลูกหลาน ต่อไป ให้ยืนอยู่ได้บนผืนแผ่นดินไทยอย่างสง่าผ่าเผย และยืนอยู่ได้อย่างเป็นหนึ่ง ไม่เป็นที่สองรองใคร

    "ยังรับสั่งอีกว่า การที่มีเงินเยอะมากแค่ไหน ถ้าเราไม่อยู่ใน แผ่นดินของเราเอง ต่อให้เป็นมหาเศรษฐีขนาดไหน แต่ต้องไปอาศัยอยู่ประเทศอื่น เขาก็ดูถูก เป็นประชาชนชั้น 2 ชั้น 3 ไม่ เท่าเทียมประชาชนของเขา

    "ฉะนั้น ผืนดินที่เราอยู่สำคัญมาก ทุกคนต้องรักษาแผ่นดินให้ ลูกหลานเหมือนที่บรรพบุรุษในอดีตรักษามาให้เราจนถึงปัจจุบัน อันนี้เป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องทำ ไม่มีแผ่นดิน ต่อไปลูกหลานก็ไม่มีที่อยู่ ลูกหลานก็ทำมาหากินไม่ได้ เขาดูถูกไปหมด ทรงย้ำว่าหน้าที่ นี้สำคัญมาก" ท่านผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญกล่าว

    61 ปีที่พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นคู่พระบารมีที่เปี่ยมล้นด้วย น้ำพระราชหฤทัยในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพสกนิกรทุกคน


    [FONT=Tahoma,]หน้า 24,มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2554[/FONT]



    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313120181&grpid=01&catid=&subcatid=-

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313120181&grpid=01&catid=&subcatid=

    .
     
  19. rung847

    rung847 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    819
    ค่าพลัง:
    +3,420

    อนุโมทนาบุญทุกประการ ครับ
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ลุงข้างบ้านขอโชว์บ้างครับพระสมเด็จ ที่แกะจากงาช้างองค์นี้เป็นไงบ้างครับ หุ หุ
    (ของดีต้องมองยากหน่อยครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...