พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    สนใจครับ อย่างไรก็บอกผมด้วยนะครับ
    ขอบคุณมากครับ
    โมทนาสาธุ
     
  2. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ ผมจะจัดส่งพระพิมพ์ให้กับท่านที่ร่วมทำบุญดังนี้

    1.คุณPichet-m
    2.คุณVodka109
    3.คุณdragonload
    4.คุณOng224
    5.คุณPunnarchut
    6.คุณTg22070


    ส่วนคุณตั้งจิต ,คุณdrmetta ,คุณเทพารักษ์ ผมจะรีบจัดส่งให้อีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุกับทุกๆท่านครับ
     
  3. ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ไม่เป็นไรครับ ส่วนของผมไม่รีบ ส่งก็ได้หรือรอไปรับที่กรุงเทพก็ได้ ผมเดินทางวันที่ 18 ตุลานี้ แล้วแต่สะดวก
    แต่หากจะส่ง กรณีemsและส่งที่ที่ทำการไปรษณีย์ ส่งก่อน 10 โมง ถึงผมวันรุ่งขึ้น ส่งหลัง 10 โมงถึงผมวันมะรืน
    ขอบคุณครับ
    โมทนาสาธุ
     
  4. nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ยังเป็นห่วงคุณตั้งใจอยู่เลย เมืองยา-ลา มีประทัดเยอะจริงๆโปรดใช้ความระมัดระว้งนะคร๊าบ...มา กทม.เดินทางด้วยความปลอดภัยครับ ...แล้วสักวันคงได้เจอกันอีก(kiss)
    nongnooo...
     
  5. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewt...=asc&highlight=

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top>การประทุษร้ายบุคคลผู้บริสุทธ์</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TH width=150 height=28>ผู้ตั้ง</TH><TH width="100%">ข้อความ</TH></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top align=middle rowSpan=2>๛ Nirvana ๛
    บัวเริ่มพ้นน้ำ



    เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
    ตอบ: 400

    </TD><TD class=row1 vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=postdetails>ตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2006, 12:13 pm</TD><TD vAlign=top noWrap align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

    พระโกกาลิกภิกษุนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลคำนี้
    กะพระผู้มีพระภาคว่า

    "พระเจ้าข้า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก
    ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ

    [๕๙๙] เมื่อพระโกกาลิกภิกษุกล่าวเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส
    คำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
    "โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้
    โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุชื่อ
    ว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก" ฯ
    แม้ครั้งที่สองแล พระโกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
    "พระเจ้าข้า บุคคลผู้มีวาจาควรเชื่อได้ควรไว้ใจได้ของข้าพระองค์
    จะมีอยู่ก็จริง ถึงเช่นนั้นแล พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็ยังเป็นผู้ปรารถนา
    ลามก ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาลามก ฯ
    แม้ครั้งที่สองแล พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
    ๑. อัพพุท เป็นสงขยา ซึ่งมีจำนวนสูญ ๖๑ สูญ
    "โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้
    โกกาลิก เธอจงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุ
    ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ
    แม้ครั้งที่สองแล พระโกกาลิกภิกษุก็ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
    "ฯลฯ ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ
    แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคก็ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
    "ฯลฯ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ

    [๖๐๐] ลำดับนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะถวายอภิวาท
    พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว ฯ
    ก็เมื่อพระโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ต่อมทั้งหลายขนาดเมล็ด
    พรรณผักกาดได้ผุดขึ้นทั่วกายของเธอ ต่อมเหล่านั้นได้โตขึ้นเป็นขนาดถั่วเขียว
    แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดถั่วดำ แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดเมล็ดพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็น
    ขนาดลูกพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะขามป้อม แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาด
    ผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะตูม ต่อจากนั้นก็แตกทั่ว แล้วหนอง
    และเลือดหลั่งไหลออกแล้ว ฯ
    ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว เพราะอาพาธอันนั้น
    เอง ครั้นกระทำกาละแล้วก็เข้าถึงปทุมนรก ๑- เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตร
    และพระโมคคัลลานะ ฯ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE class=tborder id=threadslist cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY id=threadbits_forum_15><TR><TD class=alt2></TD><TD class=alt1 id=td_threadtitle_22445 title="พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ถ้าต้องการที่จะได้......................<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสกไว้ (มีการจัดสร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ,รัชกาลที่ 5) ถ้าท่านใดต้องการที่จะได้เพื่อไว้บูชา ผมพอมีจะแบ่งปันให้ได้

    ..."> แนะนำ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... (30 คน กำลังดูอยู่) ( 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระเจ้าช่วย 30คน อะไรปานนั้นครับ
     
  7. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>[๖๐๑] ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงแล้ว
    มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่-
    *ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
    ข้างหนึ่ง ฯ
    ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลคำนี้
    กะพระผู้มีพระภาคว่า
    ๑. ปทุมนรก เป็นส่วนหนึ่งแห่งมหานรกอเวจี ผู้ที่เกิดในมหานรกอเวจี
    ส่วนนี้จะต้องหมกไหม้อยู่สิ้นกาลปทุมหนึ่ง ปทุมนั้นเป็นสังขยาซึ่งมีจำนวนสูญ ๑๒๔
    สูญ พระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้ว
    ซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ฯ
    ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มี
    พระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล ฯ

    [๖๐๒] ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย
    มาว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหมเมื่อราตรีล่วงปฐมยามไปแล้ว
    มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว
    ไหว้เราแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
    แล้วแล ได้กล่าวคำนี้กะเราว่าพระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว
    และเข้าถึงแล้วซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้ว
    ไหว้เรากระทำประทักษิณ แล้วหายไปในที่นั้นเอง ฯ

    [๖๐๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลคำนี้
    กะพระผู้มีพระภาคว่า "พระเจ้าข้า ประมาณแห่งอายุในปทุมนรกนานเท่าไรหนอ ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรภิกษุ ประมาณแห่งอายุในปทุมนรก
    นานแล อันใครๆ ไม่กระทำได้โดยง่าย เพื่ออันนับว่าเท่านี้ปี หรือว่าเท่านี้
    ร้อยปี หรือว่าเท่านี้พันปี หรือว่าเท่านี้แสนปี ฯ
    ภิกษุนั้นทูลถามว่า พระเจ้าข้า พระองค์อาจที่จะทรงกระทำอุปมา
    ได้หรือ ฯ

    [๖๐๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรภิกษุ เราอาจอยู่ แล้วตรัสว่า
    ดูกรภิกษุ เปรียบเหมือนเกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศลซึ่งบรรทุกงาได้ ๒๐ ขารี ๑-
    บุรุษพึงเก็บงาขึ้นจากเกวียนนั้นโดยล่วงร้อยปีๆ ต่อเมล็ดหนึ่งๆ ฯ
    ๑. ๒๐ ขารีเท่า ๑ เกวียน คือ ๔ แล่งโดยแล่งที่เป็นของชาวมคธ เป็นหนึ่งแล่งใน
    แคว้นโกศล ๔ แล่งโดยแล่งนั้นเป็นหนึ่งอาฬหก ๔ อาฬหกเป็นหนึ่งทะนาน ๔ ทะนาน
    เป็นหนึ่งมาฌิกา ๔ มานิกาเป็นหนึ่งขารี ๒๐ ขารีเป็นหนึ่งเกวียน
    "ดูกรภิกษุ เกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศลซึ่งบรรทุกงาได้ ๒๐ ขารีนั้น
    พึงถึงความสิ้นไปหมดไป เพราะความเพียรนี้เร็วกว่า ส่วนอัพพุทนรกหนึ่งยังไม่
    ถึงความสิ้นหมดไปเลย ฯ
    "ดูกรภิกษุ ๒๐ อัพพุทนรกเป็นหนึ่งนิรัพพุทนรก ๒๐ นิรัพพุทนรกเป็น
    หนึ่งอพพนรก ๒๐ อพพนรกเป็นหนึ่งอฏฏนรก ดูกรภิกษุ ๒๐ อฏฏนรกเป็น
    หนึ่งอหหนรก ๒๐ อหหนรกเป็นหนึ่งกุมุทนรก ๒๐ กุมุทนรกเป็นหนึ่งโสคันธิก
    นรก ดูกรภิกษุ ๒๐ โสคันธิกนรกเป็นหนึ่งอุปปลกนรก ๒๐ อุปปลกนรกเป็น
    หนึ่งปุณฑริกนรก ๒๐ ปุณฑริกนรกเป็นหนึ่งปทุมนรก ดูกรภิกษุ ก็ภิกษุโกกาลิก
    เข้าถึงปทุมนรกแล้วแล เพราะจิตอาฆาตในภิกษุ ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ฯ

    [๖๐๕] พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้
    จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
    ชนพาลเมื่อกล่าวคำเป็นทุพภาษิตชื่อว่าย่อมตัดตนด้วยศัสตรา
    ใดก็ศัสตรานั้นย่อมเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว ฯ
    ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญ
    ผู้นั้นชื่อว่าสั่งสมโทษด้วยปาก เพราะโทษนั้น เขาย่อมไม่
    ประสบความสุข ฯ
    ความปราชัยด้วยทรัพย์ในเพราะการพนันทั้งหลาย พร้อมด้วย
    สิ่งของๆ ตนทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนก็ดี ก็เป็นโทษเพียง
    เล็กน้อยๆ ฯ
    บุคคลใดทำใจให้ประทุษร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีทั้งหลาย ความ
    ประทุษร้ายแห่งใจของบุคคลนั้นเป็นโทษใหญ่กว่า ฯ
    บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้ เป็นผู้มักติเตียนพระอริยเจ้า
    ย่อมเข้าถึงนรกซึ่งมีปริมาณ แห่งอายุถึงแสนสามสิบหกนิรัพ-
    พุท กับห้าอัพพุทะ ฯ

    จบวรรคที่ ๑</TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=postdetails vAlign=bottom height=40>
    _________________
    ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=top align=middle rowSpan=2>๛ Nirvana ๛
    บัวเริ่มพ้นน้ำ



    เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
    ตอบ: 400

    </TD><TD class=row2 vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=postdetails>ตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2006, 12:19 pm</TD><TD vAlign=top noWrap align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>ขยายความ

    บุคคลแม้จะทำกรรมชั่วหนักหนาแค่ไหนแต่ ถ้า อยู่ ในที่ๆพระพุทธเจ้า ทรงเห็น ได้ กรรมนั้นย่อมไม่ส่งผล นี้เป็นพระบารมีของพระพุทธเจ้าแต่เมื่อ ใด บุคคลนั้น ออกไปที่ลับตาพระพุทธเจ้าแล้วกรรมนั้นย่อมส่งผลทันที ดังพระโกกาลิกภิกษุที่ครั้นออกไปลับตาพระพุทธเจ้าแล้วกรรมนั้น ส่งผลทันที</TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD class=postdetails vAlign=bottom height=40>
    _________________
    ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งั้น ผมจะนัดเจอกันนอกรอบก่อนนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  9. ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ขอบคุณคุณน้องหนูมากครับ
    ออกจากบ้านต้องแขวนพระเสมอครับ ตั้งแต่ได้รับพระจากคุณหนุ่ม ก็สบายใจครับค่อยหายห่วงสมาชิกในครอบครัวหน่อย แต่ก็ไม่ประมาทครับ ตั้งอยู่ในไตรสิกขาและพยายามปฏิบัติ เพราะยังมีเรื่องวันเหนียว วันเปื่อย และเวรกรรมอีก แล้วเจอกันครับ (ping)
    โมทนาสาธุ
     
  10. ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    มีไอติมมั้ยครับ
    (tm-love)
     
  11. Phocharoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +225
    คุยด้วย..

    เรียนท่านสมาชิกทุกท่าน ผมได้อ่านมาหลายร้อยหน้าพอทราบถึงวัตถุประสงค์ของทุกท่าน แต่ละท่านมีความตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และพยามที่จะแสดงออกซึ่งภูมิความรู้ที่ตนมีอยู่เพื่อให้ผู้อื่น รับทราบด้วย ถือเป็นความดีที่ควรปฏิบัติ การแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องปกติของวิชาการ ไม่ใช่ขัดแย้ง ผมดีใจที่สมาชิกทุกท่านเป็นคนดี ผมเองก็พยามช่วยตนเองด้วยการอ่าน ข้อความของท่านทั้งหลายเพื่อเป็นความรู้ และพยามปฏิบัติเพื่อให้รู้ด้วยตนเองด้วย แต่ยังขาดครูบาอาจารย์ ที่คอยชี้แนะเท่านั้นครับ...ท่านใดมีนแวทางปฏิบัติของท่าน อาจารย์ ประถม ก็ชี้แนะได้นะครับ ขอบคุณล่วงหน้า
     
  12. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post315667 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">08-09-2006, 08:20 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1332 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 6 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p


    สรุปเหตุผลข้อใหญ่ที่แสดงถึงขอบเขตจำกัดหรือจุดติดตันของอิทธิปาฏิหาริย์ ตลอดถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งไม่นับเป็นหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวข้องกับจุดหมายของพุทธธรรม และไม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินพุทธมรรคา ไม่อาจเป็นที่พึ่งอันเกษมหรือปลอดภัยได้เหตุผลนั้นมี 2 ประการคือ<O:p</O:p
    1. ทางปัญญา อิทธิปาฏิหาริย์เป็นต้น ไม่อาจทำให้เกิดปัญญาหยั่งรู้สัจธรรม เข้าใจสภาธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงได้ ดังตัวอย่างเรื่องพระภิกษุมีฤทธิ์เหาะไปหาคำตอบเกี่ยวกับสัจธรรมทั่วจักรวาลจนถึงพระพรหมผู้ถือตนว่าเป็นผู้สร้างบันดาลโลก ก็ไม่สำเร็จ และเรื่องฤาษีมีฤทธิ์เหาะไปดูที่สุดโลกพิภพหมดอายุก็ไม่พบ เป็นตัวอย่าง
    2. ทางจิต อิทธิปาฏิหาริย์เป็นต้น ไม่อาจกำจัดกิเลสหรือความดับทุกข์ได้จริง จิตใจมีความขุ่นมัว กลัดกลุ่ม เร่าร้อน ถูกโลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำ ก็ไม่สามารถแก้ไขให้หลุดพ้นเป็นอิสระได้ แม้จะใช้ฌานสมาบัติกดข่มระงับไว้ ก็ทำได้เพียงชั่วคราว กลัดออกมาสู่การเผชิญโลกและชีวิตตามปกติเมื่อใดกิเลสและความทุกข์ก็หวนคืนมารังควาญได้อีกเมื่อนั้น ยิ่งกว่านั้น อิทธิปาฏิหาริย์อาจกลายเป็นเครื่องมือรับกิเลสไปก็ได้ ดังพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง
    <O:p</O:p
    <O:p

    (เป็นความเชื่อ
     
  13. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post315670 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">08-09-2006, 08:22 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1333</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 7 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p


    ต้นกำเนิดของวัตถุมลคล

    เรื่องมีว่า คราวหนึ่งเจ้าชายโพธิ ( โพธิราชกุมาร ) สร้างวัดแห่งหนึ่งเสร็จใหม่ จึงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวกไปฉันที่วังนั้น เจ้าชายได้ให้ปูลาดผ้าขาวทั่วหมดถึงบันไดขั้น 1 เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จถึงวัง ก็ไม่ทรงเหยียบผ้าจนเจ้าชายโปรดให้ม้วนเก็บผืนผ้าแล้วจึงเสด็จขึ้นวังและได้ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุเหยียบผืนผ้า ต่อมามีหญิงผู้หนึ่งซึ่งแท้งบุตรใหม่ ๆ ได้นิมนต์พระมาที่บ้านของตน แล้วปูผ้าผืนหนึ่งลงของร้องให้พระภิกษุทั้งหลายเหยียบเพื่อเป็นมงคล ภิกษุเหล่านั้นไม่ยอมเหยียบ หญิงนั้นเสียใจ และติเตียนโพนทะนาว่าพระภิกษุทั้งหลาย ความทราบถึงพระพุทธองค์ จึงได้ทรงวางอนุบัญญัติอนุญาตให้ภิษุทั้งหลายเหยียบผ้าได้ ในเมื่อชาวบ้านของร้อง เพื่อเป็นมงคลแก่พวกเขา พุทธบัญญัตินี้น่าจะเป็นข้ออ้างอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พระสงฆ์โอนอ่าอนผ่อนตามความประสงค์ของชาวบ้านเกี่ยวกับพิธีกรรมและสิ่งที่เรียกว่าวัตถุมงคล ต่าง ฟ ขยายกว้างออกไป เปิดรับเครื่องรางของขลังและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เข้ามามากมาย จนบางครั้งรู้สึกว่าเกินขอบเขตอันสมควร อย่างไรก็ตาม ถ้าเข้าหลักการที่กล่าวมาข้างต้นดีแล้ว และปฏิบัติตามหลักการนั้นด้วย ปฏิบัติให้ตรงตามพุทธบัญญัตินี้ในแง่ที่ว่าทำต่อเมื่อเขาขอร้องด้วย ความผิดพลาดเสียหายและความเฟ้อเลยเถิดก็คงจะไม่เกิดขึ้น
    <O:p</O:p



    ขยายความตามอรรถกถา
    <O:p</O:p​

    เจ้าชายโพธิไม่ทรงมีโอรสหรือธิดา ได้ทรงปูผ้าลาดให้พระพุทธองค์เหยียบเพื่อบนบาทโอรสและธิดา พระพุทธองค์ทรงทราบจึงไม่ยอมเหยียบผ้า และทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุทั้งหลายเหยียบผืนผ้า เพื่อประสงค์จะอนุเคราะห์ภิกษุสงฆ์ในภายหลัง เพราะในพุทธกาลมีภิษุที่รู้จักจิตผู้อื่นอยู่มาก ภิษุเหล่านั้นย่อมเหยียบหรือไม่เหยียบได้ตรงตามความคิดของชาวบ้านเจ้าของผ้านั้น แต่นานไปภิกษุหลังพทธกาลทำไปโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ ชาวบ้านก็จะติเตียนว่าพระสมัยนี้ไม่เก่งเหมือนอย่างสมัยก่อน จึงทรงบัญญัติเป็นการช่วยคุ้มครองภิกษุรุ่นหลังทั้งหลาย และอธิบายต่อไปว่าในกรณีที่หญิงแท้งไปแล้ว หรือมีครรภ์แก่ เขาขอเพื่อเป็นมงคลจึงเหยียบได้ อีกประการหนึ่งที่ทรงไม่เหยียบผ้าของเจ้าชายโพธิ ก็เพราะทรงรักษามรรยา เพราะพระองค์เสด็จมาถึงยังไม่ได้ชำระล้างพระบาท จึงไม่ทรงเหยียบ เพราะไม่ประสงค์ให้ผ้าเปื้อนสกปรก ( มีอนุบัญญัติต่อไปด้วยว่า ถ้าภิกษุล้างเท้าแล้ว อนุญาตให้เหยียบได้ ) ส่วนกรณีของหญิงแท้งบุตรนั้นทรงยกเว้นให้เพราะเขาขอร้องโดยมีเหตุผลว่าต้องการมงคล มงคลเป็นคนละอย่างกับปาฏิหาริย์ แต่นำมารวมไว้ในที่ด้วย เพราะเมื่อพูดในทางปฏิบัติแล้วก็มีข้อพิจารณาคล้ายคลึงกัน แต่โดยความหมาย อิทธิปาฏิหาริย์เป็นเรื่องความสามารถพิเศษของตัวผู้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์เอง ส่วนมาคลที่มาได้หลายแง่ เช่น อาจเชื่อว่าบุคคลหรือสิ่งที่ให้มงคลนี้ มีความศักดิ์สิทธิอิทธานุภาพหรืออำนาจพิเศษเป็นของตนเองก็ได้ อาจเชื่อว่าบุคคลหนือ....นั้นเป็นสื่อหรือทางผ่านของอำนาจศักดิ์สิทธิ์เร้นลับอยู่ต่างหากก็ได้ หรืออาจเชื่ออย่างประณีตขึ้นมาอีกว่าบุคคหรือสิ่งนั้นทรงไว้ซึ่งคุณงามความดีงาม ความสุข ความบริสุทธิ์ จึงเกิดเป็นความศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นมงคลขึ้นมาในตัวเอง อย่างชาวบ้านจำนวนมากเชื่อต่อพระสงฆ์เป็นต้น ก็ได้ มงคลนี้มีส่วนไปเกี่ยวข้องกับติรัจฉานวิชามิใช่น้อย ( ติรัจฉานวิชาเป็นคนละเรื่องกับอิทธิปาฏิหาริย์ ) เพราะคนเห็นติรัจฉานวิชาบางอย่างเป็นที่มาของมงคล ติรัจฉานวิชานั้นถ้าภิกษุใช้เป็นเครื่องเลี้ยงชีพแสวงหาลาภ จัดเป็นมิจฉาชีพ ( โดยมากรวมอยู่ในเรื่องมหาศีล ) เคยได้ยินคนบางคนอ้างตนเป็นพุทธศาสนิกชนโดยชี้ที่พระพวงเบ่อเริ่มในคอ ความจริงเป็นการเข้าใจผิด เพราะนั่นมิใช่เอกลักษณ์ของพระศาสนา การถือศีลและปฏิบัติธรรมต่างหากจึงจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนโดยแท้ เพราะโจรมันก็แขวนพระได้เช่นกัน และหากจะกล่าวให้ถึงแก่นแล้ว โดยทางทฤษฎีอาจจะตกใจตลึงงัน ว่าพระเครื่องที่นิยมกันอยู่บางชนิดนั้นเป็นอวิชาโดยตรง เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น ชนชาวพระเครื่องมิได้เฉลียวใจ จะชี้ให้เห็น ตามตำนานกล่าวว่า พระรอดซึ่งสร้างขึ้นสมัยพระนางจามเทวี พระฤาษีนารอทเป็นผู้เสกสรร พระคงลำพูน ฤาษีคงเป็นผู้เสกสรร พระผงสุพรรณ ฤาษีทิวาลัยดป็นผู้เสกสรรก็ฤาษีหรือโยคีเป็นพวกนอกพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จัดเป็นเดียรถีย์ทั้งสิ้น แล้วจะเป็นเรื่องของพุทธได้อย่างไร เพราะเรื่องเช่นนี้มิได้กล่าวสนับสนุนในพุทธบัญญัติ เพียงการเหยียบผ้ายังกลายเป็นเรื่องสำคัญ
    <O:p</O:p
    ฉะนั้นการที่เรียกกันว่าพระเครื่องมีพระพุทธคุณจึงเป็นสั่งไร้เหตุผล หากจะเรียกว่าไสยคุณก็จะเป็นการซ้ำกับคำว่าคุณไสยไป จะเรียกติรัจฉานคุณก็ไม่สุภาพบาดหมางจิตใจสำหรับผู้ยังไม่มีพื้นฐานที่จะศึกษาธรรม น่าจะใช้คำว่า “ อิทธิคุณ “ โดยถือว่าเป็นอิทธิวัตถุ และสิ่งมงคล นับว่าเป็นการยกย่องพอสมควรพองาม ไหน ๆ ก็เล่นกันมาจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    (เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
     
  14. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post316490 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> 09-09-2006, 11:15 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1338 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 8 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p




    ไสยคุณ
    <O:p</O:p​

    ไสยคุณหรือคุณไสย เป็นอวิชาชนิดหนึ่งของพวกเดียรถีย์นอกพระศาสนา มีมาประมาณ 5,000 ปีก่อนพระพุทธศาสนา เป็นยุคของศาสนาพรหมาดึกดำบรรพ์กำลังเฟื่องคู่กับศาสนาเทพของอิยิปต์ ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 จะอุบัติขึ้นในโลก คือพระมหาทีปังกรเจ้า หลักฐานดังกล่าวมีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบโตล่าห์ ของสำนักปุริสราชาแห่งหิมาลัยบรรพต พระคัมภีร์นี้ได้ลอกจากแผ่นศิลาซึ่งคนโบราณบันทึกไว้ ได้รับความรู้จากท่านอาจารย์โยคี ฮาเล็บถ่ายทอดสู่ พ.ต.อ.ชลอ อุทุกกาช์ ทำให้คิดไปว่ายิ่งศึกษายิ่งสับสน คือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในดลกจนถึงรณะนี้มีอยู่ด้วยกัน 28 พระองค์นับแต่องค์ที่ 4 ถึงองค์ที่ 28 ยังไม่ถึง 7,500 ปี ฟังดูก็นามีเหตุผล แต่อรรถ........จารย์ไทยหรือแขกไม่ทราบ ช่างเป็นนักคำนวณจนแทบไม่อยากเขียนเรื่อง กล่าวว่าพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์บำเพ็ญเพียรเป็นกัป เป็นมหากัป เป็นอสงไขยปี คือตั้งเลข 1 แล้วต่อท้ายด้วยเลขสูญ 140 เลขสูญ มนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ถ้ำยังไม่เกิดและอสงขัยปียังไม่ถึงอสงไขยกัป อสงไขยไม่ถึงมหากัป มากเกินไป บางพระองค์ทรงใช้เวลาถึง 40 อสงไขย กับเศษอีก 100,000 มหากัปกาลเวลาดังกล่าวนี้ อุปมายังมีจอมบรรพตภูเขาใหญ่ความกว้างและส่วนสูงวัดได้หนึ่งโยชน์ ลองคำนวณดู 40 เสนเป็นนึ่งโยชน์ 25 เส้นเป็นหนึ่งกิโลเมตร 40 เส้นเป็นหนึ่งไมล์ 1 โยชน์ 16 กิโลเมตรมีที่ไหนกันภูเขาในโลกนี้มีเพียงจำนวนหมื่น ๆ ฟิตเท่านั้น ครั้งถึงกำหนด 100 ปี มีเทวดาผู้วิเศษถือผ้าทิพย์อินละ......อ่อนประดุจควันไฟลงมือเช็ดถูกยอดเขาหนหนึ่ง บางตำราว่าเช็ดเพียงแผ่ว ๆ พอครบร้อยปีก็ทำอย่างนี้อีกจนกว่าเขาใหญ่นั้นจะเรียบราบเสมอพื้นดินจึงนับเป็นหนึ่งมหากัป แล้ว 4 อสงไขยกับเศษ 100,000 มหากัปจะยาวนานสักเท่าไร แล้วระยะที่รออยู่ร้อยปีเกิดมีหญ้าใบไม้หล่นทับถมสูงขึ้นมาอีก 1 วา ทำอย่างไรเขานั้นจึงจะเรียบลงได้ ฟังพระพุทธองค์ดีกว่า ท่านบอกว่าอย่าพึงเชื่อถือว่ามีกล่าวอยูในตำรา อย่าเชื่อว่าสมณนั้นเป็นอาจารย์ของเรา ผมนับถือพระพุทธองค์สุดที่จะกล่าว ท่านทราบดีว่าต่อไปโดนดีเข้าจนได้ ทำไปทำมาศาสนาพรหมดึกดำบรรพ์เกิดก่อนพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 ยังน่าเชื่อถือว่า ขนาดมนุษย์ปักกิ่งหน้าก็ก็จะเป็นลิงอยู่แล้ว ถ้าแกมีวิทยายุทธคงบันทึกไว้ตามถ้ำตามหลืบบ้าง แต่ก็หาไม่ แล้วนี่แก่กว่ามนุษย์ปักกิ่งเป็นแสนล้านเทาจะไหวหรือคุยกันต่อไปดีกว่าครับ ศาสนาพรหมดึกดำบรรพ์เจริญสุดขีดก็เหมือนเสื่อมสุดขีดเช่นกัน เพราะประชาชนสมัยนั้นถูกผู้ใช้วิทยาคมเช่นฆ่าได้รับความเดือดร้อนป่วยเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จึงพากันไปเฝ้าพระมหาทีปังกรเจ้าขอให้พระองค์ช่วยบำบัดปัดเป่าเภทภัยจากเหล่าเดียรถีย์ร้าย ด้วยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวเป็นบาทคาถามอบให้ปวงชนนำไปท่องบ่นบริกรรม เมื่อได้นำมาปฏิบัติตามคำแนะนำของมหาโพธิสัตว์เจ้า เหตุการณ์ที่เลวร้ายก็บรรเทาเบาบางลง เพราะเกิดการกระดอนสะท้อนย้อนกลับไปหาผู้ที่ให้เวทมนต์ทำร้ายผู้อื่นจนเคยตัว ไม่กล้าทำร้ายผู้อื่นโดยพร่ำเพื่ออีกต่อไป พวกโยคีจึงจดจำพระคาถาต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน แต่ไม่ยอมขยายว่าพระคาถานี้มีข้อความอย่างไร ผู้ที่จะทราบคงมีแต่ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ โดยร่ำเรียนสืบทอดจากโยคีฮาเล็บ<O:p</O:p
    เรื่องอำนาจคุณไสยหรือวิทยาคม อวิชารัจฉานนี้ เกิดมีขึ้นในประเทศไทยสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา ประมาณปี พ.ศ. 2186<O:p</O:p
    ปรากฏตามประวัติศาสตร์ทางกฎหมายลักษณะบัดเสร็จ ปี ค.ศ. 1146 และพระธรรมนูญ ค.ศ. 1344 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2186 บทที่ 14 ได้จัดตั้งกระทรวงแพทยาคม เพื่อชำระคดีผู้กระทำผิด เกี่ยวกับคุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com<font color=" /><st1:personName ProductID="ไสย เสน่ห์ยาแฝด"><FONT color=blue><FONT face=Tahoma>ไสย เสน่ห์ยาแฝด</st1:personName><FONT color=blue><FONT face=Tahoma> ฝังรูปฝังรอย ด้วยวิทยาคม และมีบทลงโทษผู้กระทำผิดในการใช้คุณไสย และวิทยาคมทำร้ายผู้อื่นทางอาญา กระทรวงแพทยาคมนี้ มีผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคมเป็นตุลาการ มีหน้าที่สอบสวนพิจารณาโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการกระทำทางไสยศาสตร์เรื่องคุณไสยโดยเฉพาะ เรื่องราวในประว้ติศาสตร์ทางกฎหมายได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าหญิงถูกคุณไสย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้สั่งให้สืบหาตัวพวกเกจิอาจารย์ที่ปล่อยคุณทางวิทยาคม บรรดาเกจิอาจารย์ทั้งหลายเกรงจะได้รับโทษทางอาญา จึงพากันทำลายตำราเรื่องการกระทำคุณไสยเป็นอันมาก<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชาคุณไสยเหล่านี้ สืบเนื่องมาจากวิชาลึกลับดั้งเดิมพวกโยคี คือ ติรัจฉานวิชาต่าง ๆ เช่น
    <O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>1. <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชานัพานาฟี<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>2. <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชานาฟิอิ<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>3. <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชาวูดู
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma><O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>วิชาลึกลับทั้ง 3 ประเภทนี้ได้ปรากฎในยัชุรเวทและอาถรรพเวทของศาสนาพราหมณ์<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma><O:p</O:p

    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>(เป็นความเชื่อ <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>– ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)
     
  15. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post316545 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">09-09-2006, 01:09 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1339 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 9 ) โดยปรัศนี ประชากร<O:p</O:p



    <O:p</O:p

    <O:p</O:p



    ประเภทของคุณไสย<O:p</O:p

    <O:p</O:p

    1. ลมเพลมพัด การเล่าเรียนอวิชาช้ำทำร้ายผู้คน มีกำหนดปล่อยเพื่อความชำนาญหรือตามกฎข้อบังคับของแต่ละสำนักอาจารย์ เมื่อผู้ใดดวงตก มีเคราะห์กรรม หรือมีวิบากสืบเนื่องจากการนี้ ก็จะถูกคุณไสยที่ถูกปล่อยมาตามลมตามแล้งโดยปราศจากเจตนา เข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่คาดฝัน และผมได้ประสพมาด้วยตนเอง คือเมื่อตอนเป็นเด็กเล็ก ๆ ผมจะไม่นอนกับคุณแม่ จะนอนมุ้งเดียวกับคุณยายและจำความได้ว่าที่บ้านมีแต่คนโดนของถูกคุณไสย เห็นคุณยายท่านนำแป้งเสกมานวดเคล้ากับน้ำมนต์พอกที่ตรงเจ็บปวดก่อนนอนครั้นรุ่งเช้าก่อนล้างหน้าจะแกะแป้งที่พอกออก ผมก็นั่งดูอยู่ทุกคราว จะพบขนหมูป่าเส้นหยาบ ๆ และขนเม่นน้อยใหญ่บ้างขนก็มีลักษณะหงิกงอน่าเกลียดและมากับแป้งมนต์ และต้องพอกอยู่เสมอจนกวาอาการจะบรรเทาเบาลางลง ท่านว่ามันวิ่งได้และเกิดอาการเจ็บปวด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ และทางบ้านได้เคยนิมนต์หลวงพ่อวัดสัตหีบมาทำการรักษาคุณไสยถึงบ้านพัก ผมก็นั่งดูอยู่ด้วย เห็นท่านใช้ปิ๊บใส่น้ำเดียวไฟกลางบ้านพอควันขึ้นท่านก็ใช้น้ำนั้นเสกลาดลงบนตัวคนไข้ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า มีอาการดิ้นไปตามแรงของสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัว เห็นสิ่งหนึ่งผุดออกจากศรีษะของน้าสาวลักษณะคล้ายเนยเป็นก้อนขนาดปลายนิ้วก้อย แต่ก็ไม่หายขาดทีเดียว และต้องตายด้วยโรคนี้เป็นที่ทรมานน่าสงสาร ของมันแก่กล้ามันยิ่งสู้หนัก <O:p</O:p
    2. คุณคน ผู้ใช้วิชานี้จะเสกของใหญ่ให้เป็นของเล็กแล้วปล่อยให้บินไปสู่ที่ ๆ ต้องการเล่ากันหมอต่อหมอนี้แหละ เกิดคันไม้คันมือขึ้นมาก็ทดสอบกันบ้างเป็นบางครั้ง ทั้ง ๆ ที่บ้านอยู่ห่างกันคนละถิ่นฐานกันยังกระทำถึงกันได้ เพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในด้านอวิชามาร หมอคนหนึ่งใช้หัวควายที่ตายจนเหลือเพียงหัวกะโหลกชาวโพลนเห็นแกนั่งเสกจนเหลือนิดเดีวเหมือนตุ๊กตา แล้วปล่อยไปยังหมออีกคนหนึ่ง หมอคนนั้นก็ไม่ใช่เล่นมีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอและสามารถถรับไว้ได้ปล่อยคืนเจ้าของเดิมไป บางครั้งคนที่มี......ประพฤติทางนี้ ตนเองไม่เชื่อไมกลัวตัวเองก็อาศัยเรือเป็นที่พำนักตามคลองหลอดในสมัยก่อน เพื่อนบอกว่าวันนี้จะลองของนะแต่ไม่ทำให้เอ็งตายหรอก ทำให้เห็นว่าเป็นของจริงเท่านั้น แล้วก็ปล่อยคุณเนื้อวัวมาโปะที่หัวเรือ วันหลังจึงตามมาถามข่าว เพื่อนที่อาศัยเรือบอกว่าดีว่ะกำลังถังแตกได้เนื้อวัวมาแกงกินอร่อยดี คือ มีเคล็ดอยู่ว่า ถ้าของนั้นไม่เข้าสู่ตัวตนหากนำไปรับประทานเป็นเคล็ดแก้ในการป้องกันกระทำยำยีได้ สับปะเหร่อบางคนเมื่อเผาศพคนทีตายด้วยการถูกกระทำและถ้าเป็นชิ้นเนื้อจะเก็บไว้กินโดยไม่รังเกียจและผมได้รับฟังจากท่านมหามนูญ ยวดยิ่ง ข้าราชการกรมศุลกากร เมื่อครั้งทานยังอยู่ในสมณเพศสำนักวัดเทพศิรินทรวาส เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีชายผู้หนึ่งเป็นชาวอิสาญเดินเข้ามาในวัดตรงไปหาท่านที่กุฏิ ขณะนั้นท่านกำลังนั่งสนทนากับพระเณรในวัดหลายองค์ด้วยกัน ชายคนนั้นบอกความประสงค์ว่าจะกลับภาคอิสาญและไม่มีเงินค่ารถหวังจะมาขอเงินจากท่าน ๆ ก็พยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงจนชายผู้นั้นเกิดความไม่พอใจ ขู่ว่าจะทำคุณไสยใส่ท่านท่าก็หัวเราะและไม่ยอมเชื่อ ชายผู้นั้นจึงหยิบรองเท้าแตะของท่านมาข้างหนึ่งแล้วเสกอยู่พักหนึ่งรองเท้าแตะนั้นหกตัวลงเหลือเท่าปลายนิ้วก้อยและจะดีดใส่พระเณรเหล่านั้น ท่านจึงยอมเชื่อว่าวิชาเช่นนี้มีอยู่จริง<O:p</O:p
    อวิชามารนี้ หากมองอย่างผิวเผินคล้ายจะเก่งกว่าพระคณาจารย์ที่ว่าเก่ง ๆ เสียอีกซ้ำไป เช่นในคราวหนึ่งหลายปีมาแล้วมีการพุทธาภิเษกพระเครื่องที่วัดสว่างฟ้า อำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี ทางวัดได้เชิญอาจารย์อิน ไม่ทราบนามสกุล ดูเหมือนจะอยู่ทางจังหวัดอยุธยา มาร่วมเป็นพิธีกร ขณะที่การปลุกเสกดำเนินไปไม่นานพระพิธีธรรมจตุวรรคสวดยังไม่ทันได้ครึ่งจบ กระเป๋าบันจุพระเครื่องของท่านเจ้าคุณวัดอ่าศิลา ซึ่งนำมาเข้าพิธีด้วยวิ่งเกรียวกราวคล้ายหนูวิ่งไล่กัน ครั้นเสร็จพิธีทางวัดขอให้อาจารย์อินลองแสดงให้ดูใหม่ อาจารย์อินบอกว่าก็ได้แต่ให้ตัดสายสิญจ์ออกให้หมดก่อนมิฉะนั้นพระประธานจะกระดอนออกจากแท่นชุกชี ทางวัดจึงจัดการตามสั่งและนำพระปิดตาของวัดใส่พานแว่นฟ้าให้อาจารย์อินลองแสดงให้ดู ปรากฏว่าพระเครื่องนั้นบินออกจากพานแว่นฟ้าขึ้นสู่อากาศเกือบจรดเพดานพระอุโบสถบินตามกันเป็นกลุ่มแลคล้ายฝูงแมลงผึ้ง สักพักพระก็ล่วงลงสู่พื้น แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าพระเครื่องนั้นมีอิทธิฤทธิ์ขึ้น มันคนละเรื่องจะเสกในไม้ให้บินก็ได้และมันก็คงเป็นใบไม้หาใช่ของขลังอะไรไม่<O:p></O:p>
    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2496 ท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี มห้กระทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องที่วัดเขาไชยสน พัทลุง และที่ดังมากคือพระพิมพ์นาคปรกเทพนิมิต คือเสกจนพระดิ้นได้และแปรรูปเป็นพญานาคเมื่อสวดบทภุชงค์บริพัตร เมื่อสร้างเสกจนจบครบพิธีกรรม ฟ ไตรมาส จะทำการส่งไปถึงหิ้งบูชาของผู้ที่ประสงค์จะรับพระก็ได้ ครั้นแล้วได้ปลูกศาลเพียงตาขึ้นและนำพระพิมพ์ทั้งหลายไปทิ้งไว้เป็นระยะทางไกลประมาณ 5 กิโลเมตรโดยทิ้งลงในลำคลอง ในเรื่องนี้มีผู้ที่เชี่ยวชาญทางจิตได้นั่งพิจารณาด้วยญาณแลเห็นพระเครื่องวิ่งอยู่ใต้น้ำเหมือนฝูงปลาเสร็จแล้วกระโดดขึ้นบนศาลเพียงตา หรือที่อาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com<font color=" /><st1:personName ProductID="ฉลอง เมืองแก้ว"><FONT color=blue><FONT face=Tahoma>ฉลอง เมืองแก้ว</st1:personName><FONT color=blue><FONT face=Tahoma> นำตะกรุดไปทิ้งกลางทะเลห่างจากฝั่งประมาณ <st1:metricconverter ProductID="2 กิโลเมตร"><FONT color=blue><FONT face=Tahoma>2 กิโลเมตร</st1:metricconverter><FONT color=blue><FONT face=Tahoma> แล้วเรียกวิ่งเข้าสู่ฝั่ง กระแสจิตระดับนี้สามารถเรียนคุณไสยได้ คือสมาธิระดับกลาง ฉะนั้นการที่เราไปเห็นเกจิอาจารย์รูปใดรูปหนึ่งนำพระเครื่องใส่ในบาตรแล้วปลุกจนพระเครื่องนั้นวิ่งเกรียวกราว อย่าตื่นเต้นนัก มันคงละเรื่องคนละวิชา มิใช่จะทำให้พระนั้นขลังหนักขึ้นไปผู้ที่ทำได้เขาเรียกว่าเล่นกล หลอกกันนี่หว่า คือทำให้คานที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเห็นเข้าแล้วเกิดศรัทธา ทีนี้มาลองพลังจิตของมุสลิมดูกันบ้าง เช่นหม่อนเจ้าเฉลิมศรี จันทรทัต ได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นให้พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ฟัง มีใจความว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2460 เสด็จพีอของท่านได้สร้างวัดใหม่ขึ้นที่บางลำพู วันหนึ่งขณะที่ช่างกำลังก่อสร้างอยู่ดี ๆ ได้ปรากฎกาฝูงใหญ่พากันบินตรงมายังวังที่กำลังก่อสร้างส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ไปหมด คนทั้งหมดต่างพากันมองดูกา ขณะเดียวกันนั้นปรากฏมีลวดหนามสำหรับขึงกั้นรั้วลอยมาในอากาศ ตรงเข้าพันเสาวังตรงช่องลมห่างจากชายคาลงมาเล็กน้อย ขณะที่ลวดหนามตวัดพันเสาบังเกิดเสียงในอากาศคล้ายคนใช้ไม้เรียวหวดไปมาดังเควี้ยว ๆ ผู้คนในวังพากันแตกตื่นโกลาหล รอจนเหตุการณ์สงบลงแล้ว จึงได้ช่วยกันแกะลวดหนามออกจากคอเสานำมาวัดได้ความยามถึง <st1:metricconverter ProductID="40 เมตร"><FONT color=blue><FONT face=Tahoma>40 เมตร</st1:metricconverter><FONT color=blue><FONT face=Tahoma> คิดเป็นนำหนักหลายกิโลกรัม สืบสวนได้ความว่ามีผู้ไม่หวังดีว่าจ้างพวกมุสลิมใช้วิชาคุณไสยมาทำร้าย แต่แพ้บารมีท่านต่อมาเกิดมีเปลวหมูลอยมาตกในวังอีกนำไปชั่งหนักถึง <st1:metricconverter ProductID="3 กิโลกรัม"><FONT color=blue><FONT face=Tahoma>3 กิโลกรัม</st1:metricconverter><FONT color=blue><FONT face=Tahoma> แสดงว่าคนที่รับจ้างกระทำวิชามารร้ายรายนี้มิใช่ชนชาวมุสลิม เพราะมุสลิมจะไม่ยอมแตะต้องกันมันหมู น่าจะเป็นลาวหรือเขมรเสียหลายส่วน<O:p</O:p
    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma><O:p</O:p

    <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>(เป็นความเชื่อ <FONT color=blue><FONT face=Tahoma>– ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)<O:p</O:p
     
  16. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post316548 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">09-09-2006, 01:11 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1340 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องของคุณ ( ต่อ 10 ) โดยปรัศนี ประชากร

    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    3. คุยผี เป็นคุณไสยที่ใช้วิญญาณช่วยจะเป็นวิญญาณคนหรือวิญญาณสัตว์ก็ได้ ปรากฏตามบันทึกของ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ มีว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นเมื่อกลางปี พ.ศ. 2500 เหตุเกิดที่จังหวัดสมุทรปราการ โดยครอบครัวชาวประมงครอบครัวหนึ่งเป็นลูกจีนเกิดในประเทศไทย หัวหน้าครอบครัวชื่อนาย.......นับถือคริสต์ศาสนา ภรรยาของยานเองเกิดทะเลาะมีปากเสียงกับภรรยาของเพื่อนบ้านชาวมุสลิม ซึ่งมีอาชีพทำการประมงเช่นกัน หลังจากเกิดเหตุได้ 3 วันจนถึงวันที่ 4 เวลา 18.00 น.เศษ เหตุการณ์ประหลาดได้ปรากฏขึ้นที่บ้านของนายเฮง กล่าวคือมีควันสีขาวคล้ายกลุ่มหมอกลอยเข้ามาทางประตูบ้าน พอควันจางปรากฏเห็นหนูสีขาวตัวใหญ่ขนาดแมววิ่งเข้ามาในบ้าน ขณะที่หนูวิ่งไปในทิศทางใดจะปรากฏหมอกควันขาวกระจายไปทั่วตัวหนูนั้น และหากหมอกควันไปกระทบผู้ใดเข้าจะเกิดอาการคล้ายวิกลจริตชั่วระยะหนึ่ง เช่นหัวเราะหรือร้องไห้ขึ้นมาเฉย ๆ ปราศจากเหตุผล คนในบ้านของนายเฮงทั้งครอบครัวและลูกจ้างมีอยู่ด้วยกัน 30 คน เกิดอาการวิกลแก้ผ้าร้องรำทำเพลงตะโกนโหวกหวากกลั่นไปหมดถึง 20 คน นายเฮงเกิดการตกใจสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วยเหลือ โอมายกิอดเฮลต์มี เรียกจนปากแหกถึงใบหูท่านก็ทำไขสือเสียไม่ลงมาช่วยเพราะนับถือพระคริสต์แต่ไม่รู้จักพระคริสต์จะเอาสื่ออะไรมาช่วย สู้ผมนอกศาสนาคริสต์ยังจะดีกว่า คือรู้จักก๊อดหรือพระเจ้านั้นหลังพระพุทธกาล 500 ปี ไม่มีมาเกี่ยวข้อง ก๊อดคำนี้มาจากคำว่า โกฐิฏะ มหาโกฐิฏะเป็นพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ 4 ไม่มีชื่อในประภทฉฬภิญญาหรืออภิญญาหก ได้จารึกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแคว้นยูรูซาเล็ม จารึกไปถึงทะเลทรายแล้วหายสาบสูญไป เข้าใจว่าทนความลำบากยากเข็นของธรรมชาติไม่ไหว และอาหารการขบฉันน่าจะไม่สะดวกเท่าที่ควร และดับขันธ์นิพพานในที่สุดได้จารึกคำสอนลงในแผ่นศิลา เมื่อพุทธกาลล่วงไปได้ 500 ปี จึงมีผู้ค้นพบคำสอนดังกล่าวแล้วตั้งเป็นศา...พระเจ้า และในบัญญัติสิบประการมีข้อความบางตอนคล้ายคลึงกับศีลในพุทธศาสนา ผั้ไม่เข้าใจคิดไปว่าเป็นการลอกเลียนศาสนาพุทธ ความจริงไม่ใช่เท่านั้น เรื่องนี้เป็นความลับของโลกและได้ความรู้จากพระอริยคุปธาร ได้พบกับกายทิพย์ของท่านที่หนองหาร จ.สกลนครและสนทนากันจึงทราบความเป็นมาดังกล่าวแล้ว<O:p</O:p
    อาการวิกลจริตของคนในบ้านจะเป็นอยู่เพียง 2-3 ชั่วโมง เมื่อหนูขาวหายไป อาการวิกลจริตของคนป่วยในบ้านจะเริ่มดีขึ้น ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมงก็จะปกติดังเดิม อาการที่เกิดขึ้นแก่ครอบครัวนายเฮงติดต่อกันถึง 7 วัน ไม่มีผู้ใดแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ บังเอิญลูกศิษย์ของโยคีฮาเล็ม ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ทางจังหวัดสมุทรปราการดืทราบเรื่องเข้าก็ไปเยี่ยมครอบครัวนายเฮง และพานายเฮงมาหาท่านอาจารย์โยคีฮาเล็ม ขณะนั้น พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์กำลังนั่งคุยกับอาจารย์อยู่พอดีท่าอาจารย์โยคีได้นั่งตรวจดูทางฌานสมาบัติแล้ว ได้บอกว่าพวกมุสลิมแกล้งเอา และให้นายเฮงไปจับหนูขาวมาให้ท่าน โดยท่านทำยันต์ผ้าขาวให้นายเฮงไปปิดไว้ที่หน้าประตูบ้าน ต่อมาอีก 2-3 วัน ขณะที่ พ.ต.อ.ชลอ นั่งคุยกับอาจารย์เห็นนายเฮงพร้อมด้วยบริวารราว 20 คน ได้มาเยือนท่านอาจารย์โยคี และได้นำกลุ่มด้ายดิบเป็นรูปหมูแต่ไม่มีเท้ายาวประมาณ 10 นิ้วฟุตมาวางต่อหน้าท่านอาจารย์โยคี และบอกกับท่านอาจารย์ว่าจับหนูขาวได้แล้วแต่มันกลายเป็นผ้าดิบไป นายเฮงเล่าต่อไปว่าในวันต่อมาจากวันที่ได้รับผ้ายันต์จากท่านอาจารย์ไป ได้นำยันต์ไปปิดไว้ที่ขอบประตูตอนบน และประชุมสมาชิกในครอบคัวและเพื่อนบ้านใกล้เคียงคอยสังเกตุการณ์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ครั้นถึงเวลาประมาณ 18.15 น. ปรากฏกลุ่มควันขาวแป็นกลุ่มหมอกขึ้นที่หน้าประตูบ้านก่อน ครั้นแล้วกลุ่มควันได้ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาในบ้านและมีหนูขางตัวเดิมลอยเข้าประตูมา พอผ่านประตูซึ่งมีผ้ายันต์ติดอยู่ หนูขาวตัวใหญ่ก็มีอันเป็นไป กล่าวคือตกลงหน้าประตูนั้นเอง และยืนตัวสั่นอยู่สักครู่หนึ่งก็ล้มลงนอนหงาย และตัวหนูหายวับไป กลายเป็นกลุ่มด้ายดิบผูกเป็นรูปหนูขึ้นแทน นายเฮงกับพวกในบ้านพากันไชโยโห่ร้องกันสนั่นหวั่นไหว และโดดเข้าเก็บกลุ่มด้ายดิบรีบเช่ารถยนต์พาพรรคพวกและครอบครัวมาแสดงความเคารพท่านอาจารย์โยคีในคืนนั้น ต่อมาได้ทราบว่าเหตุการณ์ในบ้านของนายเฮงเป็นปกติสุขตลอดมา ท่านอาจารย์ได้อธิบายว่าที่ใช้ด้ายดิบแปลงเป็นหนูนั้น เขาใช้วิชานัพนาพีผสมกับวิชาวูดู และวิญญาณของผีและวิญญาณของหนูพากลุ่มด้ายดิบให้ลอยเคลื่อนที่เข้ามาในบ้าน เพื่อก่อความโกลาหลพอสมควรและผู้ใช้วิชาลึกลับจะเรียกหนูขาวกลับไป และจะปล่อยกลับมาอีกในเวลาย่ำค่ำ หากแก้ไม่ตกอาจจะเกิดวิกลจริตกันทั้งบ้าน ส่วนผ้ายันต์ซึ่งท่านอาจารย์โยคีได้ให้นายเฮงไปปิดประตูบ้านนั้น เป็นมนต์ถอนวิชาลึกลับเรื่องนี้หนูจึงกลับกลายเป็นกลุ่มด้ายดิบตามเดิม ฝ่ายผู้ใช้วิชาลึกลับกลั่นแกล้งผู้อื่นนั้นเมื่อรู้ตัวว่ามีผู้ที่มีวิชาเหนือกว่าตนแล้ว เพราะหนูไม่กลับไปหา จึงมีความกลัวไม่กล้าทำอีก ผู้ที่แก้ของนี้หากไม่มีศีลธรรมอาจส่งของกลับไปหาผู้ปล่อย และผู้ที่ปล่อยของจะถึงแก่ความตายในทันที แต่ท่านอาจารย์โยคีไม่ได้ส่งหนูกลับไป และสั่งให้นายเฮงนำกุ่มด้ายดิบไปฝังดินเสีย และสั่งสอนไม่ให้จองเวรจองกรรมกันต่อไปอีก นับแต่วันนั้นเป็นต้นมานายเฮงและครอบครัวทั้งหมดหันมานับถือพุทธศาสนาและทำบุญเข้าวัดเช่นเดียวกันพุทธศาสนิกชนทั่ว ๆ ไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สงวนลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (เป็นความเชื่อ
     
  17. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post316548 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">09-09-2006, 01:11 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1340 </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เรื่องของคุณ ( จบ ) โดยปรัศนี ประชากร

    4. คุณยา ท่านอาจารย์โยคีฮาเล็บได้เล่าให้ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ฟังว่า การใช้วิชาลึกลับในประเทศไทยยังไม่รุนแรงเท่าประเทศอินเดีย มีการทดลองกับคนจริง ๆ ว่าผู้ศึกษาจะมีความสำเร็จถึงขั้นใด ตัวท่านเองเคยติดตามคณะเกจิอาจารย์ไปดูการทดลองกับเขาด้วย เหตุเกิดในเขตเมืองกัลกัตตาเวลาเที่ยงตรง เกจิอาจารย์บอกล่วงหน้าว่าจะใช้วิชาคุณยาแก่หญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่บ้านตรงข้ามกับบ้านของเกจิอาจารย์ผู้จะทำการทดลองเพียง <?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com</st1:personName>10 เมตร มองเห็นหน้ากันชัดเจน ขณะทดลองนั้น เกจิอาจได้ให้หญิงแม่ลูกอ่อนเดินออกมายืนหน้าบ้านของตนก่อน ผู้ที่ไปร่วมทดลองจะได้เห็นเหตุการณ์ถนัดตา พอดี.....ผู้เคราะห์ร้ายเดินอุ้มลูกออกมายืนอยู่หน้าประตูบ้านของนางพอดี เกจิอาจารย์ผู้นั้นเริ่มหยิบขมิ้นผงใส่โถแล้วนำมาวางตรงหน้าเริ่มบริกรรม สักครู่ขมิ้นผงนั้นก็ปลิวขึ้นสู่อากาศเป็นปล่อง และมุ่งตรงไปที่ศรีษะของหญิงเคราะห์ร้ายนั่น พอขมิ้นหมดโถหญิงนั้นก็ล้มลงชักดิ้นชักงอ โลหิตไหลออกจากปากจมูกเปรอะไปหมด และขาดใจตายในเวลาต่อมา ชั่วครู่เดียวลูกน้อยกระเด็นไปนอนร้องไห้อยู่ทางหนึ่ง อาจารย์โยคีเล่าว่ารู้สึกสังเวชสลดใจเหลือเกิน ที่เห็นผู้มีวิชาใช้วิชาลึกลับฆ่าคนปราศจากความผิดไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ชั้นเดิมท่านตั้งใจว่าจะไม่ศึกษาหาความรู้ถึงวิชาลึกลับนี้เป็นอันขาด ภายหลังเมื่อประสพเหตุการณ์ด้วยตนเองเช่นนี้ ท่าจำไปศึกษาเพิ่มเติมวิชาลึกลับเหล่านี้ไว้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อประสพเคราะห์กรรมดังกล่าวมาแล้ว<O:p</O:p
    อีกครั้งหนึ่งเมื่อท่านอาจารย์โยคีก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ท่านได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ได้พบสำนักเกจิอาจารย์สำนักหนึ่งเป็นชาวมุสลิม มีอาชีพรับจ้างทำร้ายผู้อื่นด้วยวิชาลึกลับ และตั้งตนเป็นอาจารย์รับสอนผู้อื่นที่จะมาเรียนวิชานี้ โดยเรียกค่าสอนเป็นเงิน เมื่อศิษย์ผู้ใดเรียนสำเร็จวิชาแล้วจะต้องทดลองวิชาให้อาจารย์ดู เพื่อให้เป็นที่แน่ใจก่อนจะออกไปหากิน ครั้นอยู่มวันหนึ่งมีผู้มาแจ้งกับท่านอาจารย์โยคีว่าบ่าย 3 โมงเย็นวันนี้ เขาจะทดลองวิชาวูดูและนัพนาพีกัน โดยใช้ยินหมแกไปกินคน อาจารย์โยคีได้ติดตามคณะทดลองไปสังเกตการณ์ด้วยว่าจะเป็นความจริงเพียงไร ปรากฏว่าเกจิอาจารย์คณะนั้นได้เดินทางร่วมกันด้วยกันรวม 4 คน อาจารย์ 1 ศิษย์ 3 ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านกำลังเกี่ยวข้าวกันอยู่อย่างชุลมุนทั้งหญิงและชายสรวมใส่เสื้อผ้าหลากสี ตัวอาจารย์ใหญ่ทำทีเป็นนั่งพักผ่อนใต้โคนต้นไม้ห่างจากผู้คนประมาณ <st1:metricconverter ProductID="10 เมตร">10 เมตร</st1:metricconverter> พอนั่งลงเรียบร้อยเกจิอาจารย์ก็ชี้มือไปยังชายผู้หนึ่งสรวมเสื้อโพกศรีษะขาว ให้ศิษย์ผู้หนึ่งทดลองวิชา ศิษย์คนหนึ่งในคณะเริ่มบริกรรมมนต์ประมาณ 10 นาที ชายผู้นั้นก็ร้องโอ๊ยแล้วล้มลงสิ้นใจตาย และเขาให้ศิษย์อีก 2 คน ทดลองวิชากับหญิงและเด็กผู้ชายอย่างละคน ศิษย์คนที่ 2 และคนที่ 3 ก็ลงมือปฏิบัติการอย่างศิษย์คนแรก ปรากฏว่าต่อจากนั้นประมาณ 15 นาที ปรากฎว่าหญิงคนหนึ่งและเด็กชายคนหนึ่งได้ล้มขาดใจตายเช่นเดียวกับชายคนแรก ครั้นทดลองเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์แล้ว อาจารย์ก็อนุมัติให้ไปทำมาหากินโดยลำพังได้<O:p</O:p
    แผ่นดินจีนนอกกำแพงใหญ่มีการนับถือศาสนามุสลิมกันมาก ประกอบด้วยชนหลายเผ่าแย่งที่ทำกิน แย่งทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงปศุสัตว์ในทะเลทราย ( กล่าวในสมัยโบราณ ) แน่นอนที่สุดอวิชาชนิดนี้ย่อมเกิดมีขึ้น และแพร่กระจายไปในหมู่ชนชาวนักเลง ชิงความเป็นใหญ่ด้วยมิจฉาทิฐิ ฆ่าฟันกันไม่มีการหยุดผู้ชนะคือผู้อยู่ผู้แพ้คือผู้ตาย จึงเกิดมีทั้งวิชามารและวิชาฝ่ายธรรมะ นับแต่ประเทศจีนตอนใต้จากบู่ซัว หรือสิงสองยอด ( คือสิบสองเจ้าไทย ) ไปจรดแคว้นซินเกียงภาคเหนือและทิเบต ภิกษุนักพรตทุกสำนักต่างฝึก.......วิชาป้องกันตัวโดยจัดเป็นหลักสูตร ไมยกเว้นแม้ในพงไพรป่าลึกและเกาะในทะเลที่ห่างไกลผู้คน หากจะการศึกษาของการฆ่าคนยกตัวอย่างให้ดู นับว่าไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะใช้ได้ เพราะการศึกษามีกำหนดเป็นขั้นตอนถึง 10 ขั้นตอน ฝึกฝนตั้งแต่เยาววัยจนถึงระยะเวลา 20 ปี จัดอยู่ในขั้นที่ 2-3 หากเป็นวิชาขั้นสูงอาจยังไม่ได้ขั้นที่ 1 ด้วยซ้ำไป ฝึกกันจนถึง 60 ปี จัดเป็นขั้นปรมาจารยหรือหัวหน้าสำนัก และยิ่ง......นี้ยังมีอีก การฝึกของสำนักมาตรฐานเช่นนักพรตช่วนจินก้า หรือนักพรตบู๊ตึงซัว นิยมใช้พลังลมปราณดาวเหนือเป็นมาตรฐาน นอกนั้นใช้วิชากสิณฝึกปรือเป็นวิชาพิเศษเช่นการฝึกเตโชกสิณทำให้เกิดความร้อนจนสามารถเผาไหม้วัตถุหรือทำอันตรายผู้คนได้รังสีที่แผ่ออกเป็นสีแดงขั้นต่ำสุดเรียกฝ่ามือทรายแดง สูงสุดเรียกสุริยันสยบฟ้า ถ้าฝึดด้วยโลหิตกสิณเรียกฝ่ามือโลหิต ถ้าฝึกจากความร้อยระอุของทะเลทรายเรียกฝ่ามือสุริยัน ถ้าสถานที่ฝึกมีอากาศหนาวเย็นจัดเช่นการฝึกของลานะในทิเบตเรียกลุ้ยเท้งอิ้นหรือประทับหัตถ์ใหญ่ จะมีรอยดำเกรียมสำหรับผู้ถูกกระทำร้าย นอกนั้นก็ดัดแปลงเอาจะเป็นนฝ่ามือเย็นเช่นยินหมอกก็ใช้นิลกสิณออกพลังสีเขียว พวกที่อยู่ในดินแดนที่หนาวจัดฝึกได้ผลมาก พลังหยุ่นหลังดึงดูด พลังผลักดัน จนถึงพลังรีลักษณ์คือเพ่งจนเป็นสูญยากาศอากาศเกิดช่องว่างเมื่อดึงพลังกลับคืนอากาศที่ล้อมอยู่ภายนอกจะหมุนตัวและบีบทำลายวัตถุต่าง ๆ จนมีสภาพเป็นผุยผง สำหรับการฝึกของสำนักเส้าหลินมักใช้พลังร้อนเป็นหลัก ส่วนฝ่ายมารฝึกโดยวิธีลัดจากฝ่ามือพิษต่าง ๆ เช่นฝ่ามือซากอสุภะ มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ฝ่ามือพิษโดยสะพิษร้ายต่าง ๆ มาสะสมในกายตัวทีละน้อยจนเกิดการต้านทางอยู่ได้ มีรังสีดำและใช้ทำร้ายศัตรูขนาด......ออกจากทวารทั้ง 7 เช่นกันต่อมาวิชาที่ว่านี้เสื่อมลงปราศจากการถ่ายทอด และหมดลงเมื่อสงครามฝิ่นเรียกว่ากบฏอกเซอร์ หรือกบฏมวย จะเอฝ่ามือไปสู้ปืนใหญ่ของอังกฤษมันสู้ไม่ไหวแน่ เอากันว่าของเช่นนี้มีจริง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สงวนลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    (เป็นความเชื่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 13072008115.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131.2 KB
      เปิดดู:
      56
    • 13072008116.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.9 KB
      เปิดดู:
      109
    • 13072008120.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.8 KB
      เปิดดู:
      149
    • 13072008122.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.3 KB
      เปิดดู:
      118
    • 13072008124.jpg
      ขนาดไฟล์:
      121.9 KB
      เปิดดู:
      135
    • s11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.8 KB
      เปิดดู:
      43
    • s12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.7 KB
      เปิดดู:
      39
    • s13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80 KB
      เปิดดู:
      39
    • s14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.3 KB
      เปิดดู:
      56
    • s15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.6 KB
      เปิดดู:
      35
  18. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
    งั้น ผมจะนัดเจอกันนอกรอบก่อนนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    มีครับ แต่ไม่ใช่ไอติมมหาชัยครับ

    (good)
     
  19. sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องแรก ที่แม้แต่ผู้ที่บวชพระ ส่วนใหญ่องค์พระอุปัชฌาย์ท่านสอนเรื่องแรกก็คือ การภาวนา 5 คำ กลับไปกลับมา เกสา(ผม) โลมา(ขน) นะขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตะโจ(หนัง) เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสมาธิขึ้นได้ และเป็นการพิจารณาในสิ่งต่างๆ ได้ดีครับ

    .
     
  20. :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ยินดีต้อนรับครับ คาดว่าน่าจะอ่านไปได้กว่า ๒๐ % แล้วนะครับ ขอให้มีความสุขในการอ่าน ร่วมเก็บเกี่ยวประสบการณ์พระวังหน้า...
     

แชร์หน้านี้