โดย อาจารย์ปราโมทย์ ศรีอุทัย
พระศรีอาริย์ .. ใช่อิมามมะฮฺดีหรือเปล่า ?
ข้อความข้างต้น คือคำถามที่ผมได้รับจากเพื่อนสนิทบางคน ......... เขาอ้างเหตุผลว่า พิเคราะห์ดูคุณสมบัติและพฤติการณ์ตามที่มีเล่ามาทั้งในศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามของเราแล้ว น่าจะใช่เป็นคนๆเดียวกัน ............ เพราะทั้งสองท่านนั้น จะปรากฏตัวขึ้นมาในโลกนี้ เพื่อสร้างความสันติสุข และความสงบสุขให้แก่ชาวโลกเหมือนๆ กัน ..........
ผมตอบเขาไปว่า อย่านำเรื่องนี้มาคิดตีความอะไรให้มันสับสน ...... พระศรีอาริย์ ก็คือ พระศรีอาริย์ ... ท่านมะฮฺดี ก็คือ ท่านมะฮฺดี ........ เป็นคนละคนกันแน่นอน ! ........... เหนือสิ่งอื่นใด เราควรจะให้เกียรติและไม่บังควรจะไป “ก้าวก่าย” ในสิ่งที่เป็นความเชื่อและความศรัทธาของศาสนิกอื่น เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างกันได้ ...... ที่สำคัญที่สุด พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. พระผู้เป็นเจ้าของเรา ก็ได้ทรงกำชับไว้แล้ว ในโองการที่ 6 อันเป็นโองการสุดท้ายของซูเราะฮ์ อัล-กาฟิรูน ว่า .....
[ لَكُمْ دِيْنُكُمْ وَلِيَ دِيْنِ ]
“สำหรับพวกท่าน ก็คือ ศาสนา (หรือแนวทาง) ของพวกท่าน และสำหรับฉัน ก็คือ ศาสนา (หรือแนวทาง) ของฉัน” .........
ความหมายของโองการนี้ก็คือ พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงกล่าวแก่ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม (ซึ่งก็รวมทั้งพวกเราที่เป็นอุมมะฮ์ของท่านด้วย) ว่า ในเรื่องที่เป็นกิจการของศาสนาแล้ว ให้ปฏิบัติเฉพาะในส่วนที่เป็นศาสนาของเราเท่านั้น ... ห้ามล่วงล้ำ หรือกระทำการใดๆอันจะนำไปสู่การละเมิดในสิทธิหรือสิ่งอันเป็นหลักการและความเชื่อของศาสนาอื่น ........... และคนศาสนิกอื่น ก็ไม่ควรล่วงล้ำหรือก้าวก่าย ในสิ่งที่เป็นสิทธิหรือหลักการอันเกี่ยวกับความศรัทธาของมุสลิม ........
นี่คือ แนวทางที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดเอาไว้ เพื่อให้ประชาคมโลกทั้งหลายอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข .......
แล้วผมก็อธิบายให้เขาฟังว่า ข้อพิสูจน์ความแตกต่างระหว่าง 2 ท่านนั้นก็คือ.....
ท่านมะฮฺดี ตามหลักการของอิสลาม .... จะมาปรากฏกายและสร้างสันติสุขแก่ชาวโลก ในยุคสุดท้ายก่อนวันกิยามะฮ์ไม่นาน ....... ส่วนพระศรีอาริย์ มิใช่เช่นนั้น ....... ตรงนี้ ผมขออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมนิดหนึ่งก่อน.....
ท่านผู้อ่าน เคยได้ยินคำว่า “กัป-กัลป์” ไหมครับ ? เชื่อว่า แทบทุกคนคงตอบว่า เคยได้ยิน แต่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายสักเท่าไหร่ ...... รู้แต่เพียงว่า นานมากเท่านั้น.......... ผมจึงขอถือโอกาสนี้ อธิบายเพิ่มเติมให้ท่านผู้อ่านได้รับฟัง(ผิดหรือถูกก็ไม่รู้)ว่า คำว่ากัปกัลป์นี่ หมายถึงระยะเวลาในระหว่างการสิ้นโลกในแต่ละยุคตามความเชื่อของชาวพุทธ ซึ่งก็คงจะเป็นเวลานานมาก....... แต่จะนานมากเท่าไร ? ... ไม่ทราบเหมือนกัน .....
ตามคัมภีร์บอกว่า .. เมื่อสิ้นกัปสิ้นกัลป์ในแต่ละครั้ง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ จะมีไฟบรรลัยกัลป์ มาล้างผลาญทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอันสกปรกโสมมใบนี้ จนมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี ...... ต่อจากนั้น ก็จะมีน้ำบ่ามาท่วม เพื่อชำระโลกให้สะอาดหมดจด..... พอโลกนี้สะอาดสะอ้านดีแล้ว ก็จะเกิดมีดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้น หมุนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป............ โลกนี้ ผ่านการเกิดและดับมาแล้ว หลายกัปหลายกัลป์
กัปหรือกัลป์ ที่พวกเรามีชีวิตอยู่ขณะนี้ มีชื่อว่า “ภัทรกัป” จะมีพระพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์รวม 5 องค์ด้วยกัน ....... พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระสมณโคดม ถือเป็นองค์ที่ 4 มีอายุศาสนา 5 พันปี ....... ตอนนี้ ผ่านมาแล้ว 2548 ปี ชาวพุทธเริ่มต้น “เคาท์ ดาวน์” คือ นับถอยหลังอีก 2452 ปี ก็จะถึงยุคของพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายของกัปนี้ ..... คือพระศรีอาริยเมตไตรย หรือที่ชาวพุทธเรียกกันติดปากว่า พระศรีอาริย์ ... (เนื้อหาข้างต้นนี้ ผมนำมาจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันเสาร์ ที่ 22 มกราคม 2548 จากคอลัมน์ “ชักธงรบ” ของคุณกิเลน ประลองเชิง) .........
พระศรีอาริย์ จึงเป็น “อนาคตพุทธ” ที่มิใช่เป็นองค์สุดท้ายจริงๆ ....... เพราะหลังจากสิ้นกัปของท่าน และเกิดมีกัปใหม่แล้ว (หรือสมมุติว่าจะเป็น “กัป” เดียวกันก็ตาม) ... ก็จะมีอนาคตพุทธหลังจากท่าน (ดังที่มีรายงานจากหนังสือรุ่นหลังๆ นี้) อีก 9 องค์ด้วยกัน คือ อุตตมะ รามะ ปเสนทิโกสละ. อภิภู ทีฆโสนิ สังกัจจะ สุภะ โตเทยยะ และนาฬาคิริปลิเลยยะ...... พระศรีอาริย์ จึงมิใช่ท่านมะฮฺดีของเราด้วยประการฉะนี้ .........
วันก่อน ผมไปลองค้นดูในตู้ตำราภาษาไทยของผม ก็บังเอิญไปเจอหนังสือ “พุทธศาสนา : ทัศนะและวิจารณ์” ของอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ซึ่งผมซื้อไว้นานแล้ว และชอบอ่านมาก ... ที่ชอบอ่าน เพราะลีลาและสำนวนการเขียนของท่าน อ่านแล้ว มันเป็นบ้า ........ และบังเอิญ (อีกครั้ง) ที่ในหนังสือเล่มนี้ มีเรื่องราวของพระศรีอาริย์อยู่ด้วย ซึ่งท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ได้เขียนชี้แจงตอบโต้การ “โมเมชั่น” ของบาทหลวงศาสนาหนึ่งที่บังอาจไปตู่ว่า พระศรีอาริย์ (ที่ยังไม่เกิด) ของชาวพุทธ ก็คือศาสดาของพวกเขานั่นเอง .........
ผมเห็นว่าข้อเขียนเรื่องนี้ของท่านอาจารย์เสถียรพงษ์มีประโยชน์มาก เพราะอย่างน้อย ก็จะเป็นการสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของชาวพุทธจริงๆ ว่า มีความรู้สึกอย่างไร เมื่อศาสนาที่พวกเขานับถือต้องถูกแทรกแซง หรือก้าวก่ายจนบิดเบี้ยวไปอย่างน่าเกลียดจากศาสนิกอื่น .......... ผมจึงขออนุญาตต่ออาจารย์เสถียรพงษ์ในการนำเอาบางส่วนของเรื่องนี้มาลงเป็น “ภาคผนวก” ในหนังสือเล่มนี้ของผม เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่บางคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ... จะได้มีความสำรวมตน และเคารพใน “กรอบ” อันดีงามระหว่างศาสนา เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขตลอดไป ........ และก็ต้องขออนุญาตคัดลอกมาคำต่อคำ เพราะหากผมเขียนเอง ก็จะทำให้เสียอรรถรสจากข้อเขียนอันสมบูรณ์แบบและทรงคุณค่าของท่าน ..............
ข้อเขียนของท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก เรื่อง “พระศรีอาริยเมตไตรยกับบาทหลวงคาทอลิก” จากหนังสือ “พุทธศาสนา : ทัศนะและวิจารณ์” ตั้งแต่หน้า 48-51 มีดังนี้ .......
แต่การที่เดียรถีย์นอกพุทธศาสนาเอาพระศรีอาริย์มาอ้าง โดยยกคัมภีร์จอมปลอมจากไหนไม่ทราบ อ้างเป็นพุทธทำนายรับสมอ้างว่า ศาสดาของตนเป็นพระศรีอาริย์ที่โลกรอคอยนั้น ถึงพระศรีอาริย์ท่านไม่ว่า แต่ชาวพุทธอย่างผม “ติดใจ” ครับ ขอต่อว่าหน่อย และขอร้องด้วยความเคารพว่า
วิธีการปลอมปนคำสอนของศาสนาอื่นเพื่อประโยชน์ของตัวอย่างบัดซบเช่นนี้ ขอให้เลิกทีเถอะครับ อย่าได้กระทำอีกต่อไปเลย
ท่านยังคงจำได้ว่า ในบทที่แล้ว ผมได้แฉกโลบายย่ำยีพุทธศาสนาของบาทหลวงคาทอลิก ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามพระพุทธเจ้า และปลอมแปลงหลักคำสอนของพุทธศาสนา ไปรับใช้ศาสนาของตนอย่างไรบ้าง การกระทำเหล่านี้ เป็นนโยบายลับที่รับมาโดยตรงจากวาติกัน ดังเอกสารลับ (วารสารแถลงกิจ) ที่แจกเฉพาะบิชอพทั้งหลายผู้รับนโยบาย และกำชับไว้ว่า
“เป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดทั้งเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน (ของคริสตศาสนจักรโดยรวม) และเพื่ออนาคตของวารสารแถลงกิจนี้เอง ที่ทุกๆ ท่านจะต้องตระหนักไว้จงดีว่า วารสารแถลงกิจนี้เป็นเอกสารลับ สงวนเฉพาะสำหรับบาทหลวง ตั้งแต่ชั้นบิชอพขึ้นไป และสำหรับบุคคลบางท่านที่เหล่าบิชอพหรือทางสำนักเลขาธิการนี้ ได้กำหนดหมายตัวไว้สำหรับทำงานเสวนาไดอาลอกเท่านั้น ถ้าหากว่าท่านบิชอพทั้งหลายเห็นประโยชน์ที่จะคัดลอกพิมพ์ใหม่ ซึ่งบทความหรือข่าวสารใดๆ ไม่ว่าเป็นเพียงบางส่วนหรือตลอดทั้งเรื่องนั้นๆ ก็ดี ก็ให้ตีพิมพ์ได้ แต่ต้องไม่ระบุแหล่งที่มา อีกประการหนึ่ง ด้วยเหตุที่ว่า วารสารนี้เป็นเอกสารลับ จึงมิพึงบอกแจ้งให้สื่อมวลชนล่วงรู้”
ท่านอยากรู้ไหมว่า เขาวางนโยบายทำลายล้างพุทธศาสนาให้สิ้นซาก แล้วเอากางเขนมาประดิษฐานแทน รับช่วงกันทำเป็นทอดๆ อย่างไร มาดูเอกสารที่ผมได้
มีผู้ไปถามเรื่องนี้กับอดีตบาทหลวงที่ผมเอ่ยถึงใน แมกกาซีน ฉบับก่อน ท่านปฏิเสธว่า “ลับเลิบอะไร ไม่มี ทางเราไม่มีนโยบายลับอะไรดังที่ว่ากัน” ก็ขอความกรุณาให้คำอธิบายได้ไหมว่า ถ้าทุกอย่างในเอกสารเหล่านี้ไม่เป็นเรื่องลับ แล้วทำไมจึงกำชับนักกำชับหนาอย่าได้แพร่งพรายเป็นอันขาด ใครจะพิมพ์ซ้ำหรือคัดลอกบางตอน ก็อย่าบอกแหล่งที่มาว่าพิมพ์ที่ไหน อย่างนี้ไม่ลับหรือครับ
หนังสือเป็นหลักฐาน มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม เขาระบุสำนักพิมพ์กันทั้งนั้น นอกจากหนังสือโป๊
บาทหลวงพวกนี้เขาสารภาพในหมู่ตนว่า ศาสนาของตนไม่มีหลักคำสอนลึกซึ้งพอที่จะทนการพิสูจน์ของปัญญาชนได้ คำสอนของพระเยซูไม่มีอะไรมาก ตลอดชีพก็สรุปได้เพียงว่าให้รักพระเจ้าและให้รักเพื่อนบ้านเท่านั้นเอง จะเทียบกับศัพท์ทางพุทธศาสนาก็ว่า สอนแค่เมตตากรุณา ไม่มีอะไรลึกซึ้งถึงขั้นปรมัตถสัจจธรรม
พวกเขาบอกย้ำกันเองว่า “คริสต์ศาสนาไม่มีปรัชญาของตนโดยเฉพาะ หากรับเอาปรัชญาที่พบว่า เหมาะสมมาอธิบายข่าวดีของพระเยซูมาตลอด ในอดีต ในตะวันตกใช้ปรัชญากรีกอธิบายคำสอน เมื่อเข้ามาในประเทศที่มีวัฒนธรรมและนับถือพุทธศาสนา จึงควรใช้คำสอนของพุทธศาสนาแทนปรัชญากรีก”
หลังจากปู้ยี่ปู้ยำปรัชญากรีกแล้ว ก็หันมาจับพุทธศาสนายำเล่นตามชอบใจ ว่างั้นเถอะ
เมื่อตั้งเป้าไว้อย่างนี้แล้ว ก็จัดบาทหลวงในคราบปัญญาชนให้ศึกษาพระไตรปิฎก เพื่อหาว่ามีช่องไหนมุมไหนที่จะหยิบฉวยเอามาบิดเบือนหรือบิดเบี้ยว ให้มารับใช้ศาสนาของตนได้บ้าง โดยไม่คำนึงว่า จะเกิดความเสียหายแก่ศาสนาอื่นหรือไม่
จากนั้น ก็เกิดงานวิจัยอัปลักษณ์อย่าง “ปรัชญาอินเดีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธปรัชญา) สำหรับชาวคริสต์” และ “พระไตรปิฎกสำหรับชาวคริสต์” ได้บิดเบือนพระพุทธวัจน ตีความเข้าข้างตัวอย่างปัญญาอ่อน หลอกชาวบ้านว่า คริสตศาสนาของฉันก็มีคำสอนเรื่อง อริยสัจ อนัตตา นิพพาน ปฏิจจสมุทบาท เหมือนกันนะ
ก็พูดอยู่หยกๆ ว่า คริสตศาสนาไม่มีปรัชญาอะไรลึกซึ้งเป็นของตัว พระเยซูแกก็สอนแค่ความรัก แล้วยังจะมาอาจเอื้อมพูดธรรมสูงๆ เช่นอนัตตา นิพพาน ปฏิจจสมุทบาท ของพุทธศาสนา
อาดัมกับอีวาเปลือยกายนั่น ก็เป็นอนัตตานะ เห็นไหม อนัตตาก็มีในคริสตศาสนา ทุเรศแค่ไหนขอให้วิญญูชนไตร่ตรองดู
นอกจากสองเล่มนั้น ผมก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือถ่อยอีกเล่มหนึ่ง ชื่อ “เราคือ ผู้ที่โลกรอคอย” ผู้เขียนคือ สมร เรืองชาญ สำนักพิมพ์ตู้ ป.ณ. กลาง 127 กรุงเทพฯ อ้างพุทธทำนายเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรย จากคัมภีร์ปลอมที่ไม่เคยปรากฏในสารบบคัมภีร์พุทธศาสนา พุทธพจน์ที่อ้างมานั้น ล้วนแต่ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ผมขอคัดมาให้ดูดังนี้
“เมื่อพระพุทธเจ้าเดินเที่ยวสัญจรเป็นตัวตนอยู่ในโลกนี้ มีพราหมณ์เฒ่าองค์หนึ่งนุ่งขาวห่มขาว เข้ามาทูลพระพุทธเจ้าว่า มนุษย์และพราหมณ์ทั้งหลายจะจำศีลกันนานเท่าใดจึงจะรอดพ้นบาปได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาดแม้นว่าท่านทั้งหลายให้ทานทอดกฐิน ถือศีล 5 ศีล 10 ศีล 227 เก้าล้านพันโกฏิ ยกมือไหว้บูชาเผาตัวถวายเป็นเครื่องบูชา หรือภาวนาวันละ 5 ครั้ง ก็ไม่อาจจะรอดพ้นได้ ทำอย่างนี้ทุกวันก็จะได้ผลบุญเพียงเท่าเส้นผมของเด็กอ่อนที่อยู่ในท้องแม่มาตั้ง 8 อสงไขย จะเข้าประตูสวรรค์ยังไม่ได้เลย... พราหมณ์เฒ่าองค์นั้นทูลถามต่อไปว่า ดังนั้นจะให้ข้าฯ ทั้งหลายทำอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ท่านทั้งหลายแสวงหาพระอีกองค์หนึ่งจะมาโปรดโลกนี้ ช่วยท่านทั้งหลายภายหน้า พระองค์นั้นชื่อ พระศรีอาริยะเมตไตรย พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระศรีอาริยะเมตไตรย มีอุ้งมืออุ้งเท้าเป็นกงจักรกลมมน ที่สีข้างมีรอยถูกแทงเป็นแผล หน้าผากเต็มไปด้วยรอยตำหนิ พระองค์นั้นแหละจะเป็นสำเภาทองลำใหญ่ จะพาท่านทั้งหลายข้ามวัฏสงสาร”
เสร็จแล้ว นักบิดเบือนก็อ้างว่า ลักษณะอย่างนี้ ตรงกับพระเยซู ดังบันทึกพระธรรมลูกาดังนี้
“ดังนั้นพวกทหารจึงทุบขาของคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ แต่เมื่อเขามาถึงพระเยซูคริสต์และเห็นว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เขาจึงมิได้ทุบขาพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงสีข้างของพระองค์ และโลหิตและน้ำไหลออกมาทันที”
แล้วก็สรุปว่า รอยแผลที่สีข้างของพระเยซูเป็นรอยแผล ตรงกับคำทำนายของพระพุทธเจ้า และที่ว่าพระศรีอาริย์หน้าผากมีรอยแผลเป็น ก็เหมือนพระเยซูอีก เพราะตามตำนานเล่าว่า ก่อนพระเยซูตาย ทหารโรมันเอามงกุฎหนามมาครอบศีรษะ มงกุฏหนามได้ทิ่มแทงศีรษะพระองค์จนเป็นรอยตำหนิ อุ้งมือเป็นกงจักร ก็เป็นผลของตาปูที่ตอกตรึงก่อนตาย
หนังสือถ่อยเล่มนี้ ผู้เขียนอ้างว่า คัดมาจากพระธรรมมูลปัญหาคัมภีร์ขอมจากพระธรรมไตรปิฎก
ขอเรียนว่า คัมภีร์นี้ไม่มี พระไตรปิฎกที่อ้างนั้นก็ไม่มีพุทธทำนายอย่างนี้ เป็นการแอบอ้างปลอมแปลงอย่างเห็นได้ชัด ท่านไม่ต้องดูอื่นไกล เอาแค่เรียกพราหมณ์ว่า “องค์” เท่านั้นก็ฟ้องอยู่ในตัวแล้ว ชาวพุทธที่เขารู้เรื่องของศาสนาดี เขาก็รู้แล้วว่า พราหมณ์เป็นเพศฆราวาส ไม่ได้บวช จะเรียกรูปเรียกองค์เหมือนพระหาได้ไม่ ยิ่งเกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าตรัสว่า รักษาศีล ไม่ว่าศีลระดับไหน ไม่ได้บุญกุศล ไม่สามารถให้รอดพ้นได้ก็ยิ่งเลอะใหญ่ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องศีลสมาธิ ปัญญา ใครๆ ก็รู้ และการเผาตัวตายนั่นเป็นบาปมหันต์ไม่ใช่วิธีทำบุญ ถ้าเป็นพระปรับอาบัติปาราชิกเชียวนะคุณ
นี่กระมังที่อดีตบาทหลวงกีรติ บุญเจือ บอกพวกว่า ต้องช่วยกันวิจัยพระไตรปิฎก เพื่อหาลู่ทางนำเอาไปอธิบายคริสตศาสนา ถ้าหากหาไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะต้อง “เขียนอรรถกถาคัมภีร์ (ปลอม) เล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นใหม่เพื่อรับใช้ศาสนาคริสต์”
อรรถกถาคัมภีร์ปลอมถ่อยเล่มนี้ เกิดขึ้นแล้วตามเจตนารมณ์ของเขา บิดเบือนอย่างปัญญาอ่อน อ้างพระศรีอาริย์คือพระเยซู พระพุทธเจ้ายืนยัน เพราะสีข้างเป็นแผลเป็นเหมือนกัน จะบอกให้เอาบุญ พระศรีอาริย์ ขณะที่ยังรอมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ไม่เคยมาเกิดเป็นคนให้ใครเขาแทงสีข้างตายดังอ้าง จะมีก็แต่ “พระสี (ข้าง) อาน” เพราะถูกทหารโรมันแทงเท่านั้นแหละ คนละองค์ครับ
ก็ได้แต่หวังว่า เรื่องนี้คงจะเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับนักวิเคราะห์ผู้ชอบ “แส่” ในเรื่องศาสนาอื่นทั้งหลาย .............. เดี๋ยวก็วิเคราะห์ว่า พระพุทธเจ้าเป็นรอซู้ลบ้างละ ..... เดี๋ยวก็วิเคราะห์ว่า พระศรีอาริย์ คืออิมามมะฮฺดีบ้างละ ........... ถ้าเราอยากจะให้เขาให้เกียรติเรา เราก็ต้องรู้จักให้เกียรติเขาบ้าง อะไรควร อะไรไม่ควร ... โตๆ ด้วยกันแล้วทั้งนั้น
ที่สำคัญ อย่านึกเพียงว่า ศาสนาพุทธเท่านั้นที่จะถูกบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ของศาสนาของพวกเขาโดยไม่อายฟ้าดิน ...... ดังตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ จากข้อเขียนที่ท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก นำมาตีแผ่ข้างต้นนี้ ......... ศาสนาอิสลามของพวกเราเองก็เถอะ เฉลียวคิดบ้างไหมว่า แม้กระทั่งเรื่องของท่านมะฮฺดีที่มันบิดเบี้ยวไปจากหลักฐานที่แท้จริง จนกลายเป็นนิยายอาหรับราตรีไปแล้วนั้น ........ จริงๆแล้ว เกิดขึ้นจากน้ำมือชีอะฮฺ หรือเกิดขึ้นจากน้ำมือของใคร ?
[ وصلى اللـه على سـيدنا محمد، وعلى الـه وصحـبه وسـلم ]
ปราโมทย์ ศรีอุทัย
พระศรีอาริย์ .. ใช่อิมามมะฮฺดีหรือเปล่า ? หามาให้อ่านกัน
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย HolloMan, 21 พฤษภาคม 2009.
-
อนุโมทนา ครับ เดี๋ยวนี้ ศาสนาบาไฮ ยังอุตส่าห์เอาพระ บาไฮศาสดาของเค้า ตู่ว่าเป็นพระสีอานอีกแย้ว .... นรกๆๆๆๆๆๆๆ
-
หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี
*** โลกธรรมเดียวกัน ****
หนึ่งโลก เดียวกัน
หนึ่งรูปสังขาร มนุษย์เหมือนกัน
หนึ่งศาสนศาสตร์ นำพาสัตว์โลกพ้นทุกข์
เส้นแดน เผ่าพันธุ์ ศาสนา มนุษย์ไปแยกกันเอง
- " หนุมาน ผู้นำสาร " -
โอยช่วยด้วย
วิงเวียนศรีษะจัง(รึเราจะตั้งครรภ์)
ขอเซียงเพียวอิ้วขวดหนึ่ง
-
-
-
คือใคร ไม่เข้าใจ งง
-
ธรรมสายตรงที่สืบต่อตามพงศาธรรม และ ถ่อยทอดวิถีจิตให้โดยตรง ไม่คงสภาวะความเป็นหนึ่ง เดียวกับต้นกำเนิดเดิม ก่อนที่จะแยกมา มีต้นกำเนิดจากศูนย์พลังองค์ธรรมเดียวกัน
-
อ้างอิง ๑. กัปหรือกัลป์ ที่พวกเรามีชีวิตอยู่ขณะนี้ มีชื่อว่า “ภัทรกัป” จะมีพระพุทธเจ้ามาโปรดสัตว์รวม 5 องค์ด้วยกัน .......พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระสมณโคดมถือเป็นองค์ที่ 4 มีอายุศาสนา 5 พันปี ....... ตอนนี้ ผ่านมาแล้ว 2548 ปี ชาวพุทธเริ่มต้น “เคาท์ ดาวน์” คือนับถอยหลังอีก 2452 ปี ก็จะถึงยุคของพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายของกัปนี้ .....คือพระศรีอาริยเมตไตรย หรือที่ชาวพุทธเรียกกันติดปากว่า พระศรีอาริย์ ... (เนื้อหาข้างต้นนี้ ผมนำมาจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันเสาร์ ที่ 22 มกราคม 2548 จากคอลัมน์ “ชักธงรบ” ของคุณกิเลน ประลองเชิง) .........
<O:p</O:p
ความเห็นที่๑. ไม่รับรองว่า ถูกต้องนะครับลองฟังดู.....เมื่อสิ้นสุด ๒๔๕๒ ปี ตามที่ว่าจึงนับได้ว่า เป็นการสิ้นสุดพระศาสนาในสมัย ของ พระสมณ โคดม...และ ทั้งโลกนี้..ตอนนั้นคนเหลือน้อยลงมากแล้ว...แต่ยังคงมี พระศาสนาอยู่...ต่อไปเป็นเวลา หลายหมื่นปี จึง จะ เริ่มต้น ศาสนาธรรมในยุค พระศรีอารย์ หลังจากนั้น สิ้นยุคของพระองค์ ซึ่งจะกินเวลาไม่นานเลย...ก็ สิ้นภัทรกัป และต้องยาวนานมากๆ จึงจะขึ้น ศาสนกัปใหม่.....ทำไมยุคของพระศรีอารย์ จึงสั้นมากๆ..ทิ้งไว้ให้ขบคิด กัน...
<O:p</O:p
...การที่เราได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ พระศรีอารย์ ระยะนี้ ...บางท่านกล่าวว่า เป็นเพียง การช่วยพยุงพระศาสนาในสมัยพระสมณโคดม ให้ยาวนานขึ้นไปถึง ระยะเวลาที่ว่า...คือ ๕,๐๐๐ ปี และ การมาของพระองค์ จริงๆแล้ว ไม่มีใครทราบ ว่า จะมาอย่างไร และ เมื่อไร...มีแต่ตำนานที่เล่าขานถึง บุคคลผู้หนึ่ง ที่ จะเป็นผู้ นำโลก และ ผู้คนไปสู่ สันติสุขอย่างแท้จริง อย่างน้อย ก็ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง....แต่ในสิ่งที่ผมรู้..มันมีอะไรที่สำคัญมากๆกว่านี้...
<O:p</O:p
อ้างอิง ๒. พระศรีอาริย์จึงเป็น “อนาคตพุทธ” ที่มิใช่เป็นองค์สุดท้ายจริงๆ ....... เพราะหลังจากสิ้นกัปของท่าน และเกิดมีกัปใหม่แล้ว (หรือสมมุติว่าจะเป็น “กัป” เดียวกันก็ตาม) ... ก็จะมีอนาคตพุทธหลังจากท่าน (ดังที่มีรายงานจากหนังสือรุ่นหลังๆนี้) อีก 9 องค์ด้วยกัน คือ อุตตมะ รามะ ปเสนทิโกสละ. อภิภู ทีฆโสนิ สังกัจจะ สุภะโตเทยยะ และนาฬาคิริปลิเลยยะ......พระศรีอาริย์จึงมิใช่ท่านมะฮฺดีของเราด้วยประการฉะนี้ .........
<O:p</O:p
ความเห็นที่ ๒. .... เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาเหมือนกัน เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้า ๙ พระองค์ในกัปต่อไป แต่ ไม่ได้ ติดใจตรงนี้ มากนัก เพราะ เป็นเรื่อง ที่ ยัง อีก นานแสนนาน....เพียงแต่ สำหรับ คนบางคน ข้อมูล นี้ จะ ใช้ ในการตรวจสอบ ความถูกต้อง ของความรู้ ที่ได้รับ...
<O:p</O:p
อ้างอิง ๓. วันก่อนผมไปลองค้นดูในตู้ตำราภาษาไทยของผม ก็บังเอิญไปเจอหนังสือ “พุทธศาสนา :ทัศนะและวิจารณ์” ของอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ซึ่งผมซื้อไว้นานแล้ว และชอบอ่านมาก ... ที่ชอบอ่าน เพราะลีลาและสำนวนการเขียนของท่าน อ่านแล้ว มันเป็นบ้า ........และบังเอิญ (อีกครั้ง) ที่ในหนังสือเล่มนี้ มีเรื่องราวของพระศรีอาริย์อยู่ด้วยซึ่งท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ได้เขียนชี้แจงตอบโต้การ “โมเมชั่น” ของบาทหลวงศาสนาหนึ่งที่บังอาจไปตู่ว่า พระศรีอาริย์ (ที่ยังไม่เกิด) ของชาวพุทธก็คือศาสดาของพวกเขานั่นเอง .........
<O:p</O:p
ความเห็นที่ ๓ .....ธรรมดา อยู่แล้ว ...ไม่เห็นจะต้องไปโกรธใคร...พ่อค้า..จะไปขายของให้ใคร ที่ใหน ก็ ย่อม ศึกษาความต้องการ และ ค่านิยม ของ ลูกค้าเสียก่อน...เพราะมันง่ายในการแสวงหาการยอมรับ.. แต่ หาก มีคนบางคนแย้งไปว่า..งั้น ทำไม พวกคุณที่ชอบอ้างเช่นนี้ ไม่ เปลี่ยนชื่อศาสดาของคุณ เป็น ชื่อของ พระศรีอารย์ และ ศาสนาของคุณ ก็ เปลี่ยน เป็นศาสนาพุทธ เสียเลยล่ะ.... แบบนี้...รับรอง เป็นเรื่อง.....
<O:p</O:p
...เรื่องแบบนี้..มีมานานแล้ว...ตั้งแต่สมัย ศาสนาฮินดูโน่น...ไปๆมาๆ กลายเป็นความเชื่อที่ว่า.....พระพระพุทธเจ้า ก็ เป็นภาคหนึ่ง ของ พระนารายณ์ .....
สรุป.
.....พระ, นักบุญ และ ศาสดา ท่านใด จะ เป็นบุคคล คนเดียว กัน หรือ ไม่...ก็ ไม่สำคัญ มากไปกว่า มนุษย์ ที่เคารพนับถือในคำสอนในศาสนานั้นๆ...ยังคง ทำตัวเองให้ เป็นคนดีของศาสนาแห่งตนไม่ได้...ทะเลาะกันเอง ในระหว่าง ครอบครัว ในระหว่างชุมชน ในระหว่างสังคมท้องถิ่น ในประเทศ และ ในระหว่างประเทศ ซึ่ง หมายถึง ในโลกโดยรวม อยู่หรือไม่.....ถ้ายัง เป็นอยู่...ก็ อย่ามาสนใจ ในเรื่องของ พระศาสดาเลย...กลับไป ปรับปรุงตนเสียใหม่ ใครนับถือ ศาสนาอะไร ศาสดาพระ องค์ใด ก็ ตั้งมั่นเช่นนั้น และ อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงโลก ด้วยการยัดเยียด สิ่งที่ตนเองว่าดีเลิศ... แก่คนอื่นๆ.....ที่แล้วมา...มันก็ ยุ่ง และ รบราฆ่าฟันกันมากอยู่แล้ว.. ก็ เพราะ ของฉ้นดีกว่าของเธอ ดังนั้น เธอจง ใช้ของ หรือ เป็นแบบเดียวกับ ฉัน นั่นแหล่ะ......ยุ่งจริงหนอ
<O:p</O:p
อ้างอิง ๔....... ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับนักวิเคราะห์ผู้ชอบ “แส่” ในเรื่องศาสนาอื่นทั้งหลาย .............. เดี๋ยวก็วิเคราะห์ว่าพระพุทธเจ้าเป็นรอซู้ลบ้างละ ..... เดี๋ยวก็วิเคราะห์ว่า พระศรีอาริย์คืออิมามมะฮฺดีบ้างละ ...........ถ้าเราอยากจะให้เขาให้เกียรติเราเราก็ต้องรู้จักให้เกียรติเขาบ้างอะไรควร อะไรไม่ควร ... โตๆด้วยกันแล้วทั้งนั้น
ที่สำคัญ อย่านึกเพียงว่าศาสนาพุทธเท่านั้นที่จะถูกบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ของศาสนาของพวกเขาโดยไม่อายฟ้าดิน ...... ดังตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ จากข้อเขียนที่ท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปกนำมาตีแผ่ข้างต้นนี้ .........ศาสนาอิสลามของพวกเราเองก็เถอะเฉลียวคิดบ้างไหมว่าแม้กระทั่งเรื่องของท่านมะฮฺดีที่มันบิดเบี้ยวไปจากหลักฐานที่แท้จริงจนกลายเป็นนิยายอาหรับราตรีไปแล้วนั้น ........จริงๆแล้วเกิดขึ้นจากน้ำมือชีอะฮฺ หรือเกิดขึ้นจากน้ำมือของใคร ?
[ وصلى اللـهعلى سـيدنا محمد، وعلى الـه وصحـبه وسـلم ]
ปราโมทย์ ศรีอุทัย<O:p></O:p>
ความเห็นที่ ๔ ...อนุโมทนา....ก็ เกิดจาก กิเลส นั่นแหล่ะ -
เอาความคิดนี้มาจากไหนฟะ ลมหายใจของพระพรหมละมั้ง -
เรื่องการมาปรากฏกายของพระเจ้าจักรพรรดิ์
(ตามที่มีบันทึกเอาไว้ในทุกศาสนา)
ภาพประกอบจาก www.dmc.tv
ศรีอาริยวงศ์กลางศาสนา
(จากบันทึกทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน)
เมื่อพระศรีอาริย์มาปรากฏเป็นพระบรมจักรพัตราธิราช ในท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ พระอิศวรผู้เป็นเจ้าประกาศิตให้เทวดาลงมารักษาพระราชวังถึง 50,000 องค์ ยักษ์อีก 50,000 ตน นาคและครุฑก็จะเป็นมิตรกัน และจะมารักษาปราสาทราชวังด้วยเป็นจำนวนมาก เชื้อพระวงศ์ของพระศรีอาริย์ จะอุปถัมภ์ยกยอพระพุทธศาสนาสืบๆ ต่อกันไปจนอีก 1,309 ปี คือลุ พ.ศ. 3850 ปีเศษ จึงสิ้นเชื้อสายพระศรีอาริย์คนสุดท้ายมีนามว่า “ เสารรัญญา” หรือ “ พยาเสารราช”( ศรีอาริยวงศ์ 1,000 ปี ในเล่มนี้ ไปตรงกับแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูจะกลับมาปกครองโลกอยู่ 1,000 ปีเหมือนกัน เรียกว่า Millennium ภาษาอังกฤษเรียกว่า ศรีอารยะ (Sriaraya) ภาษาบาลีเรียกว่าสิริอริยะ (Siriariya) แม้กระนั้นก็มีเทวดา, นาค, ครุฑ เฝ้าปราสาทราชมณเฑียรอยู่มาก
เมื่อพ้นจากพญาเสารราชไปแล้ว พระเสื้อเมืองทรงเมืองทั้งหลาย ก็ละทิ้งบ้านเมืองหลบหนีเข้าป่าไปหมดสิ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันนี้ เพราะอธรรมทั้ง 3 และ อคติทั้ง 4 เข้าครอบงำสันดานประมุขและรัฐบุรุษ จนบ้านเรือนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า มหาภัย 10 ประการ ก็คุกคามประชาชนพลเมืองอยู่ทั่วไป ครั้นแล้วก็จะบังเกิดพญาธรรมิกราชองค์ที่ 4 มายอยกพระพุทธศาสนาอีก และจะเกิดที่นครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) จะทรงเกียรติขนาดอโศกราช หาใช่บรมจักรพัตราธิราชดั่งเช่น พระศรีอาริย์ในท่ามกลางพุทธศาสนานี้ไม่
ในตำนานมันดาเลของพม่านั้นกล่าวว่า พระราชวังของพระศรีอาริย์ธรรมิกราชนั้นจะมีประตู 80 ประตู จะมีฝูงเทวดาและยักษ์รักษาแน่นขนัด จะเข้าออกได้แต่มนุษย์ที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น ปราสาทราชวังนั้นจะสว่างรุ่งโรจน์ด้วยแสงแก้วมณีโชติ กลางคืนจะกลับกลายเป็นกลางวัน จะผิดกันก็แต่ว่า ความสว่างของแสงแก้วนั้นจะเย็นตาเย็นกาย ไม่ร้อนระอุเหมือนแสงอาทิตย์ในเวลากลางวันอย่างธรรมดา
พิษณุเทพบุตร จะไปนำเอาผลมะม่วงกาซอ (ผลไม้โรทันตี) จากสวรรค์มาถวายพระศรีอาริย์ธรรมิกราช เมื่อเสวยแล้วรูปร่างก็กลับกลายเป็นหนุ่มเหมือนอายุ 20 เศษ จะมีพระมหาเถระ 24 รูป เดินทางมาจากทิศต่างๆ เพื่อชมบารมีพระศรีอาริย์ธรรมิกราช พระศรีอาริย์ธรรมิกราชจึงเอามะม่วงกาซอ (มะม่วงลอกคราบ) เข้าถวายพระผู้เฒ่าทั้ง 24 รูป พระผู้เฒ่าทั้งหมดเมื่อฉันแล้วก็ง่วงนอน และหลับไปด้วยความสบาย ครั้นตื่นขึ้นแล้วผิวพรรณก็กลับกลายเป็นหนุ่มไปหมดทั้ง 24 รูป รู้สึกว่ากระกระเปร่าแข็งแรงขึ้นอย่างผิดธรรมดา
พระศรีอาริย์จึงเอาเมล็ดมะม่วงลอกคราบนั้นปลูกลงในดินริมปราสาท ก็พลันงอกงามเป็นต้นเป็นลำและแตกกิ่งก้านสาขาขึ้นในทันที ประกอบด้วยช่อและดอกออกผลเต็มไปหมด โดยไม่ต้องรอเวลาหรือฤดูกาลใดๆ เลย ฝูงมนุษย์ก็จะไหลมาเทมาเพื่อบริโภคมะม่วงลอกคราบอันวิเศษนั้น ครั้นแล้วคนแก่ก็จะกลายเป็นหนุ่ม คนที่มีผิวพรรณไม่งามก็จะงาม คนอ่อนแอก็จะแข็งแรงไปทั่วทุกรูปทุกนาม โลกจะถึงความเป็นสวรรค์ทั้งในด้านผิวพรรณและโภคทรัพย์ ฯลฯ และจะมีต้นไม้กาลปพฤกษ์ทิพย์ถึง 1,600 ต้น (โรงทาน) ทั่วทั้งโลก
อนึ่ง พระมหานครอันบรมสุข จะได้ถูกก่อสร้างตึกรามขึ้น 36,000,000 หลัง จะเป็นที่อยู่ของพลเมืองที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งสิ้น และว่าในยุคนั้น จะมีผู้หญิงมากผู้ชายน้อย เพราะผู้ชายไปตายในกองทัพถึง 3 ใน 4 ส่วน ผลสุดท้ายผู้ชายคนเดียวจะมีภรรยา 9 คน 10 คน ผู้หญิงจึงหาสามีที่โสดๆไม่ได้ง่ายนัก จริงเท็จอยู่กับตำรา (แจ้งอยู่ในใบลาน 3-4 ผูก)
ที่มา หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก โดยรหัสยญาณ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ ครั้งที่ 2
(จากบันทึกในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์)
1. เมื่อพระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงสอนเหล่าสาวกของพระองค์ให้อธิษฐานขอราชอาณาจักรของพระเจ้า. ราชอาณาจักรคือรัฐบาลซึ่งมีกษัตริย์เป็นประมุข. ราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นรัฐบาลพิเศษ. ราชอาณาจักรนี้ถูกตั้งขึ้นในสวรรค์และจะปกครองเหนือแผ่นดินโลกนี้. ราชอาณาจักรนี้จะทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ หรือทำให้ศักดิ์สิทธิ์. ราชอาณาจักรนี้จะทําให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสําเร็จบนแผ่นดินโลกเช่นเดียวกับที่สำเร็จแล้วในสวรรค์.—มัดธาย 6:9, 10.
2. พระเจ้าทรงสัญญาว่า พระเยซูจะทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระองค์. (ลูกา 1:30-33) เมื่อพระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์พิสูจน์ว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้ปกครองที่กรุณา, ยุติธรรม, และสมบูรณ์. เมื่อพระองค์เสด็จกลับสู่สวรรค์ พระองค์ไม่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าทันที. (เฮ็บราย 10:12, 13) ในปี 1914 พระยะโฮวาได้พระราชทานอำนาจแก่พระเยซูตามที่ได้ทรงสัญญาไว้. นับแต่นั้นมา พระเยซูทรงปกครองในสวรรค์ในฐานะกษัตริย์ที่พระยะโฮวาทรงแต่งตั้ง.—ดานิเอล 7:13, 14.
3. พระยะโฮวายังได้ทรงเลือกมนุษย์ชายหญิงที่ซื่อสัตย์บางคนจากแผ่นดินโลกให้ไปสวรรค์ด้วย. พวกเขาจะปกครองมนุษยชาติร่วมกับพระเยซูในฐานะกษัตริย์, ผู้พิพากษา, และปุโรหิต. (ลูกา 22:28-30; วิวรณ์ 5:9, 10) พระเยซูทรงเรียกผู้ร่วมปกครองเหล่านี้ในราชอาณาจักรของพระองค์ว่า “ฝูงเล็ก.” พวกเขามีจำนวน 144,000 คน.—ลูกา 12:32, ล.ม.; วิวรณ์ 14:1-3.
4. ทันทีที่พระเยซูได้เป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงเหวี่ยงซาตานกับทูตสวรรค์ชั่วช้าฝ่ายมันออกจากสวรรค์ลงมาที่บริเวณของแผ่นดินโลก. นั่นคือสาเหตุที่สิ่งต่างๆ บนแผ่นดินโลกนี้กลับกลายเลวร้ายเหลือเกินตั้งแต่ปี 1914. (วิวรณ์12:9, 12) สงคราม, การขาดแคลนอาหาร, โรคระบาด, การละเลยกฎหมายทวีขึ้น—ทั้งหมดนี้เป็นส่วนของ “สัญลักษณ์” ที่แสดงว่าพระเยซูทรงปกครองอยู่และระบบนี้อยู่ในสมัยสุดท้ายของมัน.—มัดธาย 24:3, 7, 8, 12; ลูกา 21:10, 11; 2 ติโมเธียว 3:1-5.
5. อีกไม่นานพระเยซูจะทรงพิพากษาผู้คน โดยแยกพวกเขาออกจากกันเหมือนผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ. “แกะ” คือคนซึ่งได้พิสูจน์ตัวว่าเป็นราษฎรที่ภักดีของพระองค์. พวกเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก. “แพะ” คือคนที่ได้ปฏิเสธราชอาณาจักรของพระเจ้า. (มัดธาย 25:31-34, 46) ในอนาคตอันใกล้นี้ พระเยซูจะทรงทำลายคนเยี่ยงแพะทั้งสิ้น. (2 เธซะโลนิเก 1:6-9) หากคุณอยากเป็นคนหนึ่งใน “แกะ” ของพระเยซู คุณต้องรับฟังข่าวสารราชอาณาจักรและลงมือทำตามที่คุณเรียนรู้.—มัดธาย 24:14.
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width=260 align=right border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>[SIZE=-1]ภายใต้การปกครองของพระเยซู จะไม่มีความเกลียดชังหรือความลำเอียงอีกเลย[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>
6. ปัจจุบันนี้แผ่นดินโลกถูกแบ่งแยกเป็นหลายประเทศ. แต่ละประเทศมีรัฐบาลของตนเอง. ประเทศเหล่านี้ต่อสู้กันบ่อยๆ. แต่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาแทนที่รัฐบาลทั้งปวงของมนุษย์. ราชอาณาจักรนี้จะปกครองในฐานะรัฐบาลเดียวเท่านั้นเหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น. (ดานิเอล 2:44) จากนั้นจะไม่มีสงคราม, อาชญากรรม, และความรุนแรงอีกเลย. ประชาชนทั้งปวงจะอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขและมีเอกภาพ.—มีคา 4:3, 4.
7. ระหว่างรัชสมัยพันปีของพระเยซู มนุษย์ที่ซื่อสัตย์จะกลายเป็นคนสมบูรณ์ และทั่วทั้งแผ่นดินโลกจะกลายเป็นอุทยาน. พอถึงสิ้นพันปี พระเยซูจะทรงทําให้สําเร็จทุกสิ่งตามที่พระเจ้าประสงค์ให้พระองค์ทํา. ครั้นแล้วพระองค์ก็จะทรงมอบราชอาณาจักรคืนแก่พระบิดาของพระองค์. (1 โกรินโธ 15:24) คุณน่าจะบอกให้เพื่อนๆ และคนที่คุณรักทราบเรื่องที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะทำมิใช่หรือ?
ที่มา ราชอาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร? - เว็บไซต์ทางการของพยานพระยะโฮวา
ยุคทองของพระมะฮุดี
(จากบันทึกในศาสนาอิสลาม)
การมาของมะฮฺดีจะมีผลกระทบอย่างไรบ้างต่อมวลมนุษย์และโลก ?
เราจะมาหาคำตอบสำหรับคำถามนั้นในภาพยนตร์ของเรา เราจะมาดูกันว่าจะมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นในโลกบ้าง หลังจากการมาปรากฏกายของมะฮฺดี และมาสำรวจดูลักษณะของช่วงเวลาที่ถูกเรียกว่า “ยุคทอง” กัน ยุคทองคือช่วงเวลาที่มะฮฺดีทำให้หลักคำสอนอันมีคุณค่าจากอัล-กุรอานแพร่หลายออกไป และประชาชาติได้มาพบกับการศรัทธาที่แท้จริง การพัฒนาทั้งสองด้านนี้จะทำให้เกิดผลทางกายอย่างมากมายขึ้นในยุคทอง ความปลอดภัย ความมั่นใจ และความยุติธรรมจะถูกสถาปนาขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ มวลมนุษย์จะทิ้งความเสียหายทางเศรษฐกิจเอาไว้ข้างหลัง จะไม่มีใครขัดสนและยากจนอีกต่อไป และผู้ที่ขอจะได้รับมากกว่าที่เขาขอ จะมีความอุดมสมบูรณ์อย่างชนิดที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน และสินค้าจะถูกแจกจ่ายไปให้แก่ผู้ที่ขอทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องคำนวณนับเลย
ลักษณะที่เด่นอีกอย่างของเวลานี้คือ สงครามและความขัดแย้งจะจบสิ้นลง บรรยากาศแห่งความสงบสุขและมิตรภาพจะพัฒนาขึ้น ระหว่างชุมชนที่เป็นศัตรูกัน ในช่วงเวลานี้มนุษย์จะได้รับประโยชน์จากคุณค่าของเทคโนโลยีทั้งหมด และการพัฒนาทางเทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้เพื่อความสะดวกง่ายดาย เพื่อความสนุกสนานและการพักผ่อนของมนุษย์ จะมีการเปิดศักราชใหม่ในวงการแพทย์ การเกษตร การสื่อสาร เทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมและการขนส่ง นับเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่สำหรับมุสลิมทุกคน ที่ได้รับรู้ข่าวอันน่ายินดีแห่งช่วงเวลาเป็นสุขนี้ ยุคที่เจริญรุ่งเรืองจะผ่านมาด้วยการมาของมะฮฺดี และหลักธรรมคำสอนอันประเสริฐที่จะเผยแพร่ไปทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าหลักคำสอนนั้น คือ หลักคำสอนจากอัล-กุรอาน
ที่มา http://www.freethailand.com/indexsit...at=8970&act=mc
กัลกิยาวตาร
(จากบันทึกในศาสนาฮินดู)
กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร(พระนารายณ์ อวตารเป็นมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว หรือ กัลกี)เป็นอวตารที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการทำนายอนาคตไว้ว่า ในยามที่เป็นปลายแห่งกลียุค ที่เมื่อผู้คนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก และนำธรรมะกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อโลกเยือนย่างเข้า กลียุค
บาปบั่นบุญบี้บุก ทั่วหล้า
ทั่วถิ่นทุกทางทุกข์ เหลือหลาย
เกิดก่อกิเลสกล้า มล้างมลายธรรม
ยามทรามลามสุดแล้ว ฉันใด
จักเกิดท่านเทพไท้ จากฟ้า
อวตารดับเภทภัย พาพ้น
ปาฏิหารย์ประจักษ์หล้า แต่ต้องหวังขลัง
วิษณุเทพผู้ รักษา
ซึ่งหมั่นธำรงโลกา จากร้าย
ปางสิบเสด็จมา ยามยาก
มามุ่งพามารร้าย ดับสิ้นโสมม
เป็นบุรุษขี่ม้า สีขาว
มีดาบเชิดชูวาว แกว่งแกล้ว
แต่ต้องจัก รอยาว เมื่อมา
ปราบบาปให้คลาดแคล้ว ชื่อนั้น"กัลกี"
จงตั้งตัวตั้งมั่น ไว้เถิด
สักวันจักก่อเกิด ประจักษ์หล้า
ครานั้นบาปจักเตลิด แพ้พ่าย
จากบาปให้คลาดแคล้ว ทั่วทั้งสากล
โปรดทำดีอย่าท้อ พวกเรา
ยามบาปบุกมัวเมา อย่าใกล้
ใครมัวหมุ่นปลุกเขา ช่วยเถิด
เพราะว่าท่านเทพไท้ จักได้เสด็จมา
บทกวีโดย ขาว-กรมท่า<!--test-->
****************************************************
-
หนึ่งรูปสังขาร มนุษย์เหมือนกัน
^
^
ตรงนี้เห็นด้วยครับ
-------------------------------------------
หนึ่งศาสนศาสตร์ นำพาสัตว์โลกพ้นทุกข์
เส้นแดน เผ่าพันธุ์ ศาสนา มนุษย์ไปแยกกันเอง
^
^
ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วยนะ การมีหลายศาสนา
มันคือ เสรีภาพ และ สีสรรของมนุษยชาติ
มันไม่ใช่ปัญหา ตัวปัญหาคือ การเรียนรู้ที่จะ
อยู่รวมกันอย่างสงบสุขต่างหากนะครับ
จริงอยู่ที่ใครๆ ก็ต้องคิดว่าศาสนาตนถูกที่สุด
แล้วอะไรจะเป็นตัวตัดสินว่าศาสนาไหนถูกต้อง
เรื่องนี้เราควรโยนให้วิทยาศาสตร์เป็นผู้ตัดสิน
และ เมื่อถึงเวลาที่วิทย์ตัดสินได้แล้ว ผมหวังว่า
มนุษย์ทุกคนควรยอมรับในคำตัดสินนั้น -
อนุโมทนากับทุกๆกระทู้ครับ จากการค้นคว้ามาหลายปี พอสรุปได้ว่า ในพุทธันดรแห่งศรีอาริยะเมตไตรพุทธเจ้านั้น ศาสนจักร์ของพระองค์จะปราศจากพวกเดียรถีย์ทั้งปวง (ปราศจากศาสนาอื่น)มีแต่ศาสนาพุทธซึ่งมีพระบรมศาสดาอาริยะเมตรไตรเป็นจอมศาสดาเท่านั้น และจะมีเทวดาและมนุษย์หลุดพ้นนับประมาณมิได้หรือประมาณ100000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000โกฏครับ ส่วนพวกเดียรถี หรือพวกซาตานต่างๆ หรือสัตว์ที่อยู่ในภพภูมิที่ต่ำ จะไม่ได้มาจุติเกิดเป็นมนุษย์ในยุคนั้นเลยครับเรียกว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันเลยทีเดียว วรรณะพราหมณ์ในสมัยนั้นจะไม่นับถือฮินดูครับ จะนับถือพุทธหมดครับ ทุกๆวรรณะจะนับถือพุทธศาสนาหมดครับ และปราศจากศาสนาและลัทธิใดๆนอกจากพุทธโดยประการทั้งปวงครับ ศาสนจักรของพระองค์จึง ปราศจาก เสี้ยนหนาม(ขออนุญาติใช้คำนี้) ผู้คนทั้งโลกใบนี้ทุกๆประเทศทุกๆมุมซอกหลืบโลก จึงมุ่งแต่ความหลุดพ้นจากพระธรรมอันเป็นคำสอนแห่งพระองค์ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เพียงแต่ว่าหากท่านได้ไปเกิดไปฟังธรรมในยุคนั้น ท่านจะหลุดพ้นได้โดยง่ายเพราะบารมีท่านสุขงอมแล้ว เหมือนสมัยพุทธกาลใครที่ได้พบเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาก็ล้วนแต่ตั้งปณิธานและบำเพ็ญกุศลกรรมบท10มานานตั้งแต่อดีตแล้วครับ เพราะการที่ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นของยากครับถ้ากุศลไม่ถึงจริงๆ คุณก็จะได้พบเพียงพระธรรมซึ่งเป็นตัวแทนของพระองค์เท่านั้นครับ
-
ศาสนาคริสเหมือนกิ้งก่าเลย(ที่รู้มาก็หลายเรื่องแล้ว)
ปล.กิเลศผมหนาจริงๆหยุดมือไม่ได้ ผมมันยังหยาบนัก -
ถาม จขกท.
1.อัลลอฮได้กล่าวถึงการสร้างมนุษย์ต่างดาวหรือไม่
2. หากศาสนาอิสลาม กล่าวว่า ไม่มีผี แล้วการถูกผีเข้ากับการมีหมอผี ในชาวมุสลิม
ภาคใต้เกิดได้อย่างไร (มีเพียงจิน และมลาอิกะห์)
สุดท้าย...หลักธรรมของศาสนาอิสลามนั้นประเสริฐจริง ผมยอมรับโดยดุษฎี
แต่ดูเหมือนมนุษย์เองที่จะเอาหลักดีๆมาทำให้บิดเบือน
ผมเชื่อว่า อัลลอฮ์ มีจริง นบีมูฮัมมัดได้รับสาส์นจากอัลลอฮ์จริง แม้จะอ่านไม่ออก
เขียนไม่ได้ (กรณีนี้เกิดขึ้นกับแม่ชีหลายท่านที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่ได้รับบทสวด
ภาษาบาลีมาเพียงชั่วข้ามคืน)
แต่ถ้าถามว่า อัลลอฮ ประเสริฐและรู้จริงที่สุดในจักรวาลหรือไม่
ผมยังเคลือบแคลงและสงสัยตามคำถามขั้นต้นสองข้อ
สำหรับ -
2. หากศาสนาอิสลาม กล่าวว่า ไม่มีผี แล้วการถูกผีเข้ากับการมีหมอผี ในชาวมุสลิม
ภาคใต้เกิดได้อย่างไร (มีเพียงจิน และมลาอิกะห์)
ถามด้วยๆ -
อนุโมทนากับทุกๆกระทู้ครับ จากการค้นคว้ามาหลายปี พอสรุปได้ว่า ในพุทธันดรแห่งศรีอาริยะเมตไตรพุทธเจ้านั้น ศาสนจักร์ของพระองค์จะปราศจากพวกเดียรถีย์ทั้งปวง (ปราศจากศาสนาอื่น)มีแต่ศาสนาพุทธซึ่งมีพระบรมศาสดาอาริยะเมตรไตรเป็นจอมศาสดาเท่านั้น และจะมีเทวดาและมนุษย์หลุดพ้นนับประมาณมิได้หรือประมาณ100000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000โกฏครับ ส่วนพวกเดียรถี หรือพวกซาตานต่างๆ หรือสัตว์ที่อยู่ในภพภูมิที่ต่ำ จะไม่ได้มาจุติเกิดเป็นมนุษย์ในยุคนั้นเลยครับเรียกว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันเลยทีเดียว วรรณะพราหมณ์ในสมัยนั้นจะไม่นับถือฮินดูครับ จะนับถือพุทธหมดครับ ทุกๆวรรณะจะนับถือพุทธศาสนาหมดครับ และปราศจากศาสนาและลัทธิใดๆนอกจากพุทธโดยประการทั้งปวงครับ ศาสนจักรของพระองค์จึง ปราศจาก เสี้ยนหนาม(ขออนุญาติใช้คำนี้) ผู้คนทั้งโลกใบนี้ทุกๆประเทศทุกๆมุมซอกหลืบโลก จึงมุ่งแต่ความหลุดพ้นจากพระธรรมอันเป็นคำสอนแห่งพระองค์ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เพียงแต่ว่าหากท่านได้ไปเกิดไปฟังธรรมในยุคนั้น ท่านจะหลุดพ้นได้โดยง่ายเพราะบารมีท่านสุขงอมแล้ว เหมือนสมัยพุทธกาลใครที่ได้พบเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาก็ล้วนแต่ตั้งปณิธานและบำเพ็ญกุศลกรรมบท10มานานตั้งแต่อดีตแล้วครับ เพราะการที่ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นของยากครับถ้ากุศลไม่ถึงจริงๆ คุณก็จะได้พบเพียงพระธรรมซึ่งเป็นตัวแทนของพระองค์เท่านั้นครับ<!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พระศรีอารย์ดอทคอม<!-- google_ad_section_end -->
ทำไมถ้าซาตานกลับตัวได้และมุ่งหน้าหาพระธรรมพวกท่านจะไม่ให้เขาได้รับธรรมเลยหรือ มนุษย์ก็ดีแต่ต้องฆ่าและทำลายทำไมไม่ให้โอกาสคนชั่วมั่งล่ะอย่างองคุลีมาไง ถ้าทำเช่นนั้นนี้ที่ต้องฆ่าและทำลายคงไม่ใช่ยุคที่แท้จริงของธรรมะ เพราะไม่ให้อภัยเหล่าสัตว์นรกให้ได้บรรลุธรรม เขาก็มีจิตใจเหมือนพวกคุณ สิ่งไหนมีจิตสิ่งนั้นย่อมมี2ด้าน แม้แต่เชื้อรา ก็มีทั้งดีและร้าย
ให้โอกาสพวกเขา ถึงแม้จะเป็นซาตานเขาก็มีจิตที่ดี(ผมเชื่อยังงั้น) มีหลายครั้งที่ผมกรวดน้ำไปให้ซาตาน พญามารและเหล่าสัตว์นรกขอให้เขาได้รับบุญและมีปาฎิหารย์ทำให้เขากลับตัวกลับใจได้ด้วยเถิด
ไม่ลองก็ไม่รู้ ดีกว่านั่งรอสงครามขั้นแตกหักหรือนั่งดูให้พวกเขาถูกเหวั่ยงลงบึงไฟกำมะถัน แล้วความสุขก็จะมา
เพราะพวกคุณต้องคิดว่าการทำร้ายสิ่งที่ชั่วคือการรอคนที่มีบุญมากมาทำลายให้สิ้นสูญด้วยวิธีการที่มนุษย์ทำแบบเดียวกัน แต่ทำอยู่ด้านเดียว ทำไมไม่ลองเอาอีกด้านให้พวกเขาเห็นธรรมตั้งแต่แรก ถึงทำตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วเพราะพวกโจรมันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังมีทางแก้อยู่ เริ่มทำซะ อย่างน้อยอนาคตก็จะได้ไม่มีโจรเพิ่มขึ้นอีก
เทพสังหรณ์...ที่ทำอะไรก็ผิด...บอกสิ่งดีๆให้คนปลอดภัยก็ถูกลบไอดี ...อย่านึกนะว่าจะหยุดผมได้คุณลบผมก็สมัคใหม่...คุณหยุดโครงการดีๆที่ผมมีไม่ได้หรอกgm