พระสมเด็จฯที่ได้จาก “ผีบอก”

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 9 ตุลาคม 2015.

  1. pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    พ.ต.อ.ไผ่พนากับวจี..กรรมฤทธิ์อยู่เหนืออิทธิฤทธิ์
    พ.ต.อ.ไผ่พนา เพชรเย็นกับวจี.. กรรมฤทธิ์ อยู่เหนือ อิทธิฤทธิ์ และบุญฤทธิ์ : พระเครื่องคนดัง เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู
    “ผมถูกวางระเบิดบ้านพัก รถพลิกคว่ำ รวมทั้งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมานั้นครั้งไม่ถ้วน อาจจะมีหลายเหตุผลแต่เหตุผลนึ่ง คือ ปาฏิหาริย์จากพระเครื่อง” นี่เป็นคำยืนยันจากปากของ พ.ต.อ.ไผ่พนา เพชรเย็น ผู้กำกับการ กองกำกับการ ๔ กองบังคับการตำรวจทางหลวงขอนแก่น

    พ.ต.อ.ไผ่พนา เล่าให้ฟังว่า พ่อ (นายลักษณ์ เพชรเย็น) เป็นนักเลงพระมาก่อน ท่านเป็นคนสมุทรปราการ โดยสะสมพระเครื่องมาตั้งแต่อายุ ๑๔ ปี ตอนนี้ท่านอายุ ๗๐ ปีแล้ว ท่านมีพระสมเด็จวัดระฆังอยู่ ๑ องค์ แต่เป็นพระที่แตกหักออกเป็น ๗ ชิ้น ด้วยฐานะของพ่อแม่ยากจนมากเคยมีเซียนพระมาขอซื้อในราคา ๗๐๐ บาท ซึ่งขณะนั้นทองคำราคาบาทละไม่กี่ร้อยแต่ท่านไม่ขาย

    มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อพายเรือไปตวัดเอาสายสร้อยกระเด็นตกลงไปในน้ำที่ลึกเสมอแนวอก พื้นดินก็เป็นดินเลน เมื่อพระหล่นลงไปแยกออกเป็น ๗ ชิ้น งมอย่างไรก็คงหาไม่เจอ สุดท้ายพ่อจุดธูป ๓ ดอกตั้งจิตอธิษฐานแล้วลงไปงมใหม่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อพ่อพบพระครบทั้ง ๗ ชิ้น

    วันที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้ขอพระสมเด็จองค์ดังกล่าวจากพ่อ โดยเอาไปเลี่ยมทองอย่างดี ระหว่างออกไปตรวจเวรนอกสถานี กลับมาเห็นมีร่องรอยการรื้อโต๊ะ ในใจคิดอยู่ว่าคนไม่ได้ตั้งใจมาขโมยพระ แต่เห็นสร้อยคอทองคำหนักประมาณ ๓ บาท จึงคิดว่า ได้ทองมีพระติดไปด้วย ซึ่งทุกวันนี้ยังตามหาพระองค์นี้อยู่ โดยมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือ หัก ๗ ชิ้น

    ในครั้งนั้นโดนพ่อบ่นด่าอยู่เป็นปีว่า “เป็นตำรวจภาษาอะไรจึงรักษาพระเอาไว้ไม่ได้” ได้แต่นึกอยู่ในใจว่า “โจรมันขโมยสร้อยทองไปขายมากกว่าที่ตั้งใจจะขโมยพระ” ในขณะเดียวกันก็คิดได้ว่า “เริ่มเป็นคนเกเร พระจึงไม่อยู่กับเรา หรือไม่มีบุญบารมีที่จะครอบครองท่านั้นเอง

    พ.ต.อ.ไผ่พนา เล่าต่อว่า ในช่วง ๕ ปีให้หลังมานี้เริ่มป่วยหนักโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อได้อ่านหนังสือธรรมะมากๆ ทำให้หวนคิดได้ว่า มาจากผลของการกระทำ หรือ ที่เรียกว่า กรรม เพราะเมื่อครั้งเป็นนักสืบ ซึ่งต้องเล่นบทบู๊กับผู้ร้ายในหลายโอกาส ป่วยหนักลุกไม่ขึ้นโดยแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้ สุดท้ายต้องพึ่งพระพึ่งธรรมะ พร้อมกับการปฏิบัติ อาการของโรคอยู่ก็หายโดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน

    อย่างไรก็ตามด้วยสายเลือดการสะสมพระที่ได้จากพ่อ เมื่อเห็นพระสวยพระดีก็จะเช่าเก็บไว้จำนวนมาก โดยเพิ่งเริ่มเก็บมาในช่วงที่ป่วย เพราะมีเวลาได้อ่านหนังสือธรรมะ ประวัติพระเถระ รวมทั้งพระเกจิอาจารย์ ขณะเดียวกันก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระเครื่องด้วย เมื่อมีเวลาก็จะไปหาเช่าเริ่มหาเก็บ

    “คำว่า อิทธิฤทธิ์เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากผู้ทรงศีล ส่วนบุญฤทธิ์เกิดจากการปลุกเสกโดยพระเถระ แต่เหนือสิ่งอื่นใด อิทธิฤทธิ์ และบุญฤทธิ์ ต้องอยู่ภายใต้กรรมฤทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นคนมีบุญมาจากไหนแต่เมื่อทำบาปทำกรรม อิทธิฤทธิ์ และบุญฤทธิ์ก็ไม่คุ้มครอง ตั้งแต่จับผู้ร้ายมาผมไม่เคยเห็นว่าผู้ร้ายคนไหนรอดเลยสักคน ผมเชื่อว่าพระไม่คุ้มครองคนชั่ว” พ.ต.อ.ไผ่พนา กล่าว

    ผมซื้อพระด้วยตา และใช้เงินของตัวเอง เป็นธรรมดาที่ต้องโดนของเก๊ ขณะเดียวกันก็ได้พระดีอยู่ไม่น้อย โดยมีความตั้งใจว่าเมื่อเกษียณอายุราชการจะบวชเป็นพระ ก็จะนำออกแจกญาติโยมที่ร่วมทำบุญสร้างวัด

    สำหรับพระเครื่องที่นิมนต์ขึ้นคอนั้น พ.ต.อ.ไผ่พนา จะเลือกแขวนองค์ที่ชอบเท่านั้น บางวันก็จะนิมนต์ พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี มาขึ้นคอ สลับกับพระสมเด็จ วัดระฆัง และพระหลวงปู่ทวด พ.ศ.๒๔๙๗

    ทั้งนี้ พ.ต.อ.ไผ่พนา พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า “ทุกวันมีความสำคัญเท่ากันหมด มีคนบอกว่าอดีตนั้นแก้ไขไม่ได้ แต่ความจริงแล้วเราทำอดีตให้ดีได้ ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด เมื่อพรุ่งนี้มาถึงวันนี้ก็จะกลายเป็นอดีตที่ดีได้”

    ซีอีโอพระเครื่อง
    "นายอรรถภูมิ บุณยเกียรติ" ผู้อำนวยการสถาบันโบราณศิลป์ หรือ "เสี่ยติ" บอกว่า เรื่องพุทธคุณทำให้พระเครื่องมีราคา เพราะพุทธคุณเป็นเรื่องของความเชื่อกับความศรัทธา ส่วนเรื่องพุทธศิลป์นั้นน้อยคนนักที่จะเข้าใจ การเช่าเพราะความงามในพุทธศิลป์นั้นเกือบจะไม่มี ส่วนใหญ่เพราะความศรัทธาและความเชื่อ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า พระเครื่องที่ออกมาใหม่ๆ หากมีพุทธคุณเด่นชัด ราคาจะขึ้นอย่างรวดเร็ว

    การเล่นพระของ พ.ต.อ.ไผ่พนา นั้น ท่านเล่นพระแบบไม่เปิดตัวว่าเป็นนายตำรวจใหญ่ ท่านเล่นพระแบบคนเล่นพระทั่วๆ ไป คือ เอาพระมาโชว์ผ่านเฟซบุ๊ก เพื่อรับฟังคำวิจารณ์ต่างๆ นานา ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ พระสมเด็จที่ท่านออกมาโชว์นั้น เป็นพระสมเด็จพิมพ์เดียวกับองค์ขุนศรี จึงได้เชิญท่านมาออกรายการโทรทัศน์ "ซีอีโอพระเครื่อง" เหตุผลหนึ่งที่เชิญ พ.ต.อ.ไผ่พนา มาร่วมรายการและนำพระมาโชว์ คือ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าการศึกษาพระเครื่องผ่านหนังสือพระ ผ่านสื่อออนโลน์ สามารถที่จะเรียนรู้กันได้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องเห็นพระองค์จริง ที่สำคัญ คือ ตลาดพระบนโลกออนไลน์นับวันจะมีการซื้อขายมากขึ้นตามลำดับ

    ในฐานะผู้ดำเนินรายการ "ซีอีโอพระเครื่อง" เสี่ยติพูดไว้อย่างน่าคิดว่า “ซื้อพระแท้พันองค์ไม่เท่ากับเพียงองค์เดียว การได้ดูพระแท้ถือว่าเป็นครู แต่เป็นได้เพียงครูน้อย ถ้าจะเป็นครูใหญ่ ต้องมีประสบการณ์ซื้อพระปลอม เพราะจะเป็นบทเรียนใหญ่ให้เราต้องจดจำไปตลอดชีวิต การเล่นพระไม่ใช่ดูแต่พระแท้อย่างเดียวต้องศึกษาเรื่องพระปลอมด้วย พระแท้อย่างไรก็แท้อยู่วันยังค่ำ แต่การทำพระปลอม ทุกวันนี้มีการพัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ การได้เห็นทั้งพระแท้และพระปลอมทำให้ได้เกิดการเทียบเคียงได้ง่าย” เสี่ยติกล่าว
    ราการโทรทัศน์ "ซีอีโอพระเครื่อง" จะออกทางช่องโชคดี PSI ๑๕๑ เวลา ๑๘.๐๐-๑๙.๐๐ น. เป็นรายการสด ออกอากาศทุกวันศุกร์-เสาร์ เริ่มออกอากาศวันแรก วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗ เป็นรูปรายการพระเครื่องที่หลากหลาย มีความชัดในทุกเนื้อหา ตอบโจทย์ได้ทุกเรื่อง

    พระสมเด็จฯที่ได้จาก “ผีบอก”

    สำหรับที่มาของพระสมเด็จองค์สุดรักสุดหวง พ.ต.อ.ไผ่พนา เล่าว่า เมื่อครั้งที่ย้ายไปเป็น ผกก.สภ.เมืองสกลนคร ได้ไปทำคดีสังหารโหดพระครูศรีสกลกิจ รองเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร และเจ้าอาวาสวัดศรีสุมังคล์ ซึ่งเป็นคดีที่สะเทือนขวัญชาวพุทธ ซึ่งท่านเป็นพระที่ชอบสะสมพระเครื่องอยู่เช่นกัน ในวันที่ไปตรวจสถานที่นั้นได้เห็นรูปพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ติดโชว์ไว้ที่ข้างฝา จึงตั้งขอสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าชิงพระ แต่ความจริงแล้วเป็นข้อขัดแย้งในวงการสงฆ์เรื่องเงินทอง

    ในครั้งนั้นได้เข้าไปกราบศพของท่าน พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานว่า ต้องจับฆาตกรมาลงโทษให้ได้ ทั้งนี้ได้มีการเชิญผู้มีจิตสูงมานั่งสมาธิ เพื่อสอบถามดวงวิญญาณ ซึ่งได้ข้อมูลเชิงลึก สมารถนำมาใช้เป็นข้อมูลในการสอบสวนได้เป็นอย่างดี สุดท้ายก็สามารถคลี่คลายคดีได้ สามารถล้างมาเฟียวงการสงฆ์ในจังหวัดสกลนครให้แตกกระจายได้ แต่ยังไม่หมดเสียเลยทีเดียว

    นอกจากนี้แล้วดวงวิญญาณของท่านยังบอกด้วยว่า ที่กุฏิมีพระสมเด็จอยู่องค์หนึ่ง อยากยกให้แต่ต้องไปหาเอาเอง วันแรกหาเท่าไรก็หาไม่เจอ จึงไปกราบศพท่านใหม่แล้วตั้งจิตขอท่านอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในย่ามของท่านทั้งๆ ที่มีการรื้อค้นนับสิบๆ ครั้ง

     

แชร์หน้านี้