ทุกคนเคยเกิดเป็นทุกอย่างมาแล้ว เหล่านี้ล้วนเป็นสมมติ การที่ท่านทำปัจจุบันให้ดีที่สุดอย่างนี้ ย่อมสมควรแก่การยกย่อง
ขอให้ท่านสำเร็จในทางธรรมตามที่ปราถนาและเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐแก่โลกต่อไปด้วยเทอญ
พระแจ๊สทิ้งอดีตเข้าร่มกาสาวพัสตร์ มุ่งมั่นตามรอยพระตถาคต
ในห้อง 'บันเทิงและศิลปวัฒนธรรม' ตั้งกระทู้โดย 2499, 17 พฤษภาคม 2013.
หน้า 2 ของ 3
-
"พระพุทธเจ้าบอกว่า
บาตร 1 ใบ บริหารท้อง จีวร 1 ผืน บริหารกาย
ให้มีแค่นั้น ไม่ให้มีอะไรมาก "
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ -
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับท่านพระแจ๊สด้วย เมื่อบุญเก่าที่ท่านเคยสะสมไว้มาถึง ท่านจึงได้รับผลบุญในการเข้าถึงบารมีธรรมอย่างแท้จริง
-
อนุโทนาสาธุ ท่านได้พบหนทางสว่างแห่งชิวิตแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ
-
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับท่านภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์แห่งบุญด้วยค่ะ
-
อ่านแล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง กระผมก็กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจเลยที่เดียว
-
องคุลีมาล ยิ่งกว่าพระแจ๊สหลายเท่า เป็นโจรกลับใจ ฆ่าคนมามากมายแล้วมาบวช
ส่วนพระแจ๊ส เป็นกระเทยกลับใจ เป็นอดีตมิสทิฟฟานี แล้วมาบวช
เคยเป็นบุคคลสาธารณะ เลยต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าคนอื่น ต่อไปพระแจ๊สอาจจะออกเทศนา เป็นที่พึ่งทางใจทางธรรม เป็นที่ปรึกษาของเหล่าผู้ญิงข้ามเพศ เมื่อยามทุกข์ใจก็ได้ คนที่เคยเป็นกระเทยมาก่อน ย่อมเข้าใจหัวอกชีวิตจิตใจของกระเทยได้ดีกว่า และอาจจะมีผู้หญิงข้ามเพศอีกหลายคน มาบวชอีก ใครจะไปรู้ได้
-
เคยอคติในใจ ขอขมากรรมต่อด้วย
-
อ่านสัมภาษณ์ของท่านแล้ว หากว่าวาจาของท่านออกมาจากใจ
ขออนุโมธนาสาธุ ครับ พระแจสไปไกลแล้ว
อย่ามัวจับผิดท่านรีบตามพระท่านไปเถอะครับ.... -
ยินดีในเส้นทางธรรมของท่านด้วยจริงๆครับ ขออนุโมทนาบุญครับ สาธุุ ๆๆ
-
ขออนุโมทนาด้วยครับ ท่านได้พบสิ่งที่ถูกต้อง และถูกทางแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ
-
ขออนุโมทนากับพระแจ๊สด้วยและเจริญในธรรมจนหลุดพ้นตามที่ตั้งใจครับๆๆ สาธุๆๆ
-
ไม่ได้ต้องอะไรมากเลย ได้แต่อนุโมทนาสาธุในใจ
พอได้อ่านที่นักข่าวสัมภาษณ์ท่านมา คำพูดแต่ละคำ แบบกินใจมาก
อนุโมทนาด้วยจริงๆค่ะ ขอให้ท่านบรรลุธรรมอย่างที่ท่านตั้งใจค่ะ อนุโมทนาค่ะ -
"จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าสอนเหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบัญญัติมาเหมือนกัน ศีลมีศีลเหมือนกัน วินัยบัญญัติเหมือนกัน ธรรมะก็มีเหมือนกันใช้ทั่วโลก"
"อยู่กับที่ ศึกษาธรรมะตรงนี้ ศึกษาตัวเอง เจอแล้ว ทีนี้เอาธรรมะ เน้นเดินตามพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่เดินตามคำครหาของใคร"
“พระได้ศึกษาธรรมะบทหนึ่ง กล่าวว่า 2 อย่างง่ายๆ เลยที่เราต้องทำ คือ เจริญอานาปานัสสติ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่าง คู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติ หายใจเข้ายาว มีสติรู้ชัดหายใจเข้ายาว หายใจออกยาว มีสติรู้ชัดหายใจออกยาว หายใจเข้าสั้น มีสติรู้ชัดหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น มีสติรู้ชัดหายใจออกสั้น นั่นก็คืออยู่กับลมหายใจ ลมหายใจเรามีค่าที่สุด”
"ก่อนจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ถ้ามีคนเดินหิ้วกระเป๋าบรรจุเงินร้อยล้าน แล้วมาบอกโยมว่าขอซื้อหน่อยเถอะ เอาเงินร้อยล้านซื้อลมหายใจ แล้วโยมก็เป็นแค่กายเปล่าๆ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีชีวิต เอามั้ย? เงินมีแต่ตายไปก็ไม่ได้ใช้ ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบัน"
“ท่านอุปมาการปั้นหม้อเหมือนการชี้โทษ ถ้าผิดก็ชี้ว่าผิด ผิด ผิด ไม่มีชื่นชมให้หลง ให้เห็นในผิด นั่นหมายความว่า ใครจะตำหนิอะไร พูดอะไร โทษอะไร ผู้นั้นแหละชี้ขุมทรัพย์เราแล้ว ยิ่งหาข้อผิดในตัวเรา นั่นแหละเป็นการให้คุณแก่เราแล้ว เพราะถ้าเรามองไม่เห็นผิดเป็นโทษในตนเอง เราจะมองไม่เห็นทางที่สว่างเลย”
สาธุ...ในบุญทุกอย่างกับท่านด้วย...สาธุ สาธุ สาธุ -
สาาาาาาาาาธุ
-
ผมอาจจะขัดหลายๆคนนะครับ
แต่พระอาจารย์ผมบอกว่าพวกกระเทยตุ๊ดบวชไม่ได้(จำไม่ได้ละว่าเพราะอะไร)
อต่ก็ขออนุโมทนาบุญครับ -
ขออนุโมทนา สาธุ
ดีใจด้วยเป็นอย่างมาก ถึงมากที่สุดค่ะ -
คงยังมี คนสงสัย ว่าผู้ชายคนนี้ บวชได้ไหม ในตามพระวินัยแล้ว มีการตีความไว้อย่างละเอียดดีงามขอให้ท่านที่มีความสงสัย ได้มาอ่านบทความนี้แล้วท่านจะเข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตา ไม่เคยดูถูก ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีแต่ มนุษย์ด้วยกันเองที่ดูถูกกันเอง กฏข้อบังคับพระวินัยถูกวางไว้แบบมีเหตุผลดีงามขอให้ท่านที่สงสัยจงศึกษาให้ดี เพื่อความมงคล สืบไป
พระพุทธองค์ได้บัญญัติพระวินัย <1> ไว้ว่า
ปณฺฑโก ภิกฺขเว อนุปสมฺปนโน น อุปสมฺปาเทตพฺโพ
อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพติ ฯ
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์
ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย
-----------------------------------------------------------
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบาย <2> ไว้ว่า บัณเฑาะก์ ที่พระพุทธองค์
ห้ามบวชนี้ มุ่งหมายถึง ผู้ที่ไม่มีอวัยเพศปรากฏ (นปุงสกปณฺฑก)
และผู้ที่ถูกตอนแล้ว (โอปกฺกมิยปณฺฑก)
โดย บัณเฑาะก์อาจแบ่งออกได้ ๕ จำพวก คือ
๑ อาสิตฺตปณฺฑก ๒ อุสุยฺยปณฺฑก ๓ โอปกฺกมิยปณฺฑก
๔ ปกฺขปณฺฑก ๕ นปุงสกปณฺฑก
ผมจะสรุปความหมายให้สั้นกระทัดลง ดังนี้นะครับ
๑ อาสิตตบัณเฑาะก์ ได้แก่ ชายที่มีกิจกรรมทางเพศกับชาย
๒ อุสุยยบัณเฑาะก์ ได้แก่ ชายที่ไม่ถึงกับมีกิจกรรมแต่พอใจที่จะดู
กิจกรรมทางเพศ โดยตัวเป็นชายแต่ก็ไปชอบใจในชายที่ดูอยู่นั้น
๓ โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ได้แก่ บุคคลผู้ที่ถูกตอนไปแล้ว เช่นขันที
๔ ปักขบัณเฑาะก์ ได้แก่ บุคคลบางคนข้างแรมเกิดความกำหนัด
ยินดีกระวนกระวายด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม เมื่อถึงข้างขึ้น
ความกระวนกระวายนั้นก็หายไป
๕ นปุงสกับบัณเฑาะก์ ได้แก่ ผู้ที่ไม่มีเพศหญิงเพศชายไม่ปรากฏทั้ง ๒ เพศ
มีแต่ช่องที่สำหรับถ่ายปัสสาวะเท่านั้น
ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น
อาสิตตบัณเฑาะก์ และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา,
โอปักกมิยบัณเฑาะก์ นปุงสกับบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชา
ส่วน ปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น.
ในกรณีของ บัณเฑาะก์ สองประเภทที่ว่าบวชได้นั้น หมายถึง
เป็นบัณเฑาะก์ก็แต่เมื่อก่อนบวช แต่เมื่อมาบวชแล้วต้องรักษาวินัย
และสละความประพฤติเบี่ยงเบนนั้นออกให้หมด
-----------------------------------------------------------
หลายๆท่าน มักจะเข้าใจว่า บัณเฑาะก์ แปลว่า กระเทย, เกย์ หรือ ตุ๋ด
ความเข้าใจเช่นนี้อาจจะยังไม่ตรงซะทีเดียว
อันที่จริง คำว่า บัณเฑาะก์ มาจาก ภาษาบาลีว่า ปณฺฑก ดังวจนัตถะ ♥> ว่า
ปฑติ ลิงฺคเวกลฺลภาวํ คจฺฉตีติ ปณฺฑโก
ผู้ที่มีเครื่องหมายแห่งบุรุษและสตรีขาดตกบกพร่องไป
ผู้นั้นชื่อว่า บัณเฑาะก์ ได้แก่บัณเฑาะก์ ๕ จำพวก
สำหรับวจนัตถะนี้ หมายเอาพวก
นปุงสกบัณเฑาะก์ เป็นการแสดงโดยตรง (มุขยัตถนัย)
บัณเฑาะก์ที่เหลือ ๔ พวก เป็นการแสดงโดยอ้อม (สทิสูปจารัตถนัย)
-----------------------------------------------------------
มีคำถามว่า คำว่า "หญิงบัณเฑาะก์" ที่พบในพระไตรปิฎก <4>
ในที่นี้มีหมายความว่าอย่างไร
อาศัยวจนัตถะที่แสดงไว้ในบทก่อน
ว่าโดยนัยยะโดยตรง (มุขยัตถนัย) โดยทั่วไปจะหมายถึง
"หญิงที่ไม่ปรากฏอวัยวเพศ"
ส่วนกรณีหญิงชอบหญิง ก็จัดเข้าเป็นบัณเฑาะก์ได้โดยอ้อม (สทิสูปจารัตถนัย) -
ขออนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ บทสัมภาษณ์นี้ได้แสดงถึงภูมิปัญญายิ่งแล้วครับ
หน้า 2 ของ 3