ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 8 ปริศนาหลักฐานที่ปรากฏเกี่ยวกับครูบาขาวปี (ต่อ 1)
.....................ตามภาพที่แสดงในกระทู้ก่อน ผมได้เลือกลักษณะเด่น ๆ ของภาพมา
นำเสนอเพื่อให้ท่านผู้อ่านรับรู้ว่า
.....................แม้แต่"ครูบาขาวปี"เอง...ท่านก็น่าจะระลึกได้หรือรู้ตัวว่าท่านเกี่ยวข้อง
กับ "พญาช้างนาฬาคิรี" โดย..อดีตชาติท่านเคยเกิดเป็น"พญาช้างนาฬาคิรี"ที่ถูกเล่า
ขาน...และ....บันทึกลงในเรื่องราวพุทธประวัติ....และถูกกล่าวถึงใน...บทสวดของ....
"พระชัยมงคลคาถา(พาหุง)"
......................ในประวัติเรื่องราวที่ผมเขียนมาไม่ปรากฏมีเรื่องราวของ"ช้าง"ตัวใด
เข้ามาเกี่ยวข้องกับครูบาขาวปีเลย......แต่ทำไม"ภาพถ่าย"ที่ผมนำมาลงแสดงจึงบังเกิด
การสร้างรูป"เศียรช้าง" ขึ้นที่ฐานของ"รูปเหมือนของท่านขณะยืนขึ้น"...เป็นรูปที่สร้างขึ้น
ที่ด้านหน้า"หนึ่งเศียร" ด้านข้างซ้ายและขวา"ด้านละหนึ่งเศียร" ...ส่วนด้านหลังของฐาน
สร้างเป็นรูปคนที่นั่งคุกเข่า"กางร่ม"ให้แก่"รูปเหมือนครูบาขาวปี"
.....................ครูบาขาวปี..ท่านเป็นลูกศิษย์ของ"ครูบาศรีวิชัย" นักบุญแห่งลานนา..
ผู้ที่ได้ชื่อว่า"เป็นพระโพธิสัตว์"มาบังเกิดเพื่อบำเพ็ญบุญบารมี
.....................เคยมีบันทึกเรื่องราวระหว่าง"หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต"กับ"ครูบาศรีวิชัย"
ว่าท่านเคยพบกัน...และต่างก็รู้ถึงความปรารถนาใน"โพธิญาณ"ด้วยกัน
.....................แต่หลวงปู่มั่นได้เห็นภัยในวัฏฏะสงสารและรู้สึกสลดใจที่ระลึกชาติได้
ว่า"ท่านเคยเกิดเป็นสุนัขมาหลายชาติ"
....................ซึ่ง"อย่างที่ผมเคยเขียนถึง"พระโพธิสัตว์"....ว่าไป"ทุคติภูมิ"ได้ตาม
กรรมชั่วที่ทำไว้....ก็ได้บังเกิดกับ....."หลวงปู่มั่นขณะบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยเช่น
กัน"...........ด้วยเหตุนี้หลวงปู่มั่นท่านจึงอธิษฐาน....."ลาพุทธภูมิและบำเพ็ญเพียรทาง
จิตสู่โลกกุตตระ...สำเร็จเป็นพระอรหันต์"......และท่านได้นำความนี้บอกกล่าว
แก่......"ครูบาศรีวิชัย"
.....................ท่านครูบาศรีวิชัยได้กล่าวแก่หลวงปู่มั่นว่า "ขอให้หลวงพี่ไปก่อน..และ
กระผมจะตามไปทีหลัง"
.....................ก็ครูบาศรีวิชัยนี้ก็คือ ....ผู้ที่เอ่ยวาจาว่า..... "จะมีตนบุญมาเกิดที่
ลำปาง"........เสมือนท่านได้"ญาณวิถีหยั่งรู้"การมาเกิดของ"พระอรหันต์"...ซึ่งตนบุญที่
ท่านเอ่ยถึงก็ได้มาบังเกิดขึ้นจริงดังวาจา....ท่านผู้นั้นก็คือ "หลวงปู่เกษม เขมโก"
.....................แล้วครูบาศรีวิชัยจะไม่รู้หรือว่า"ศิษย์รักของท่าน คือ ครูบาขาวปี" เป็น
ผู้ใดมาเกิด.......และท่านจะไม่นำสิ่งที่ท่านรู้บอกเล่าแก่ครูบาขาวปีหรือ
.....................ท่านจะต้องรู้ก่อนครูบาขาวปี ....และได้บอกกล่าวพร้อมทั้งแนะนำข้อ
ปฏิบัติให้ท่านครูบาขาวปีปฏิบัติทางจิตเพื่อให้ได้"ญาณวิถี"ไปรู้อดีตชาติของตน......
.....................แต่เมื่อ"ครูบาขาวปี"..รู้ว่าท่านคือ.."พญาช้างนาฬาคิรี"..ในอดีตท่าน
ไม่เคยป่าวประกาศตัวท่านเอง...จะบอกแก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิดให้ได้รับรู้ถึง"ความยากลำบากที่
ท่านได้รับมาจากเหตุใด"...และยังคงมุ่งหน้าบำเพ็ญตนเป็น"นักบวชตลอดชีวิต"เพื่อสร้าง
บารมียิ่ง ๆ ขึ้นไป....ชีวิตของท่านแม้มีเหตุถูกสึกจากความเป็นพระ"แต่ท่านก็ยังถือว่าท่าน
เป็นพระอยู่"...ซึ่งข้อนี้เล่าลูกศิษย์ย่อมรู้ดี
....................การที่ท่านจะบอกแก่"ศิษย์ผู้ใกล้ชิดเป็นบางคนว่า..ท่านคือ"พญาช้างนา
ฬาคิรี" ........หรือ........"ครูบาศรีวิชัย" ได้บอกกล่าวแก่ "ผู้ใกล้ชิดว่า ครูบาขาวปี คือ
พญาช้างนาฬาคิรี" ย่อมมีอยู่
.....................ดังนั้น "ผู้ที่ล่วงรู้ความนี้"..ก็มีการบอกต่อกันไป....ดังนั้นในการสร้าง
รูปเหมือนของท่านขณะยืน....."จึงได้สร้างเศียรของพญาช้างนาฬาคิรี"....ไว้ที่ฐานเพื่อ
เป็น."อนุสรณ์รำลึกถึงการมาบำเพ็ญบารมีของพญาช้างนาฬาคิรีในร่างของครูบาขาวปี"
จึงบังเกิดรูปปั้นนี้ขึ้น
.....................ในส่วนภาพที่มี"งาช้างขนาดใหญ่วางไว้ข้างรูปเหมือนของท่านที่สถิต
อยู่หน้าโลงศพของท่าน"...ก็เพื่อยืนยันว่า "ท่านคือพญาช้างนาฬาคิรี"
.....................ในส่วนของ แท่นประทับ ฝ่ามือและฝ่าเท้าและรูปวัวอันเป็นปีเกิดได้
สร้างไว้เป็นอนุสรณ์สำหรับท่านที่"พระพุทธบาทผาหนาม"ครับ
.....................จะเห็นว่า"ในพื้นที่ตั้งพระพุทธบาทผาหนาม"...คนพื้นที่จะรู้เรื่องราว
ของท่านกับพญาช้างนาฬาคิรีเป็นอย่างดี...หากท่านใดมีโอกาสลงพื้นที่ลองสอบถามผู้คน
ในพื้นที่ก็จะรู้เรื่องราวได้ดีครับ
.....................สำหรับลำดับเรื่องต่อไปก็คงเป็นเรื่องราวของ..หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง...ที่มาเกี่ยวข้องโดยให้คำรับรองว่า.."ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม
เคยเป็นช้างนาฬาคิริง" ครับ.
พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต
ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.
หน้า 13 ของ 47
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
-
-
-
YJZTU3CAJD96QACAQ2NIU2CANM6ZQ1CAS1ICQ7CA3MDGTXCASJDN1GCATYPJ59CA952ZI8CAO71ARMCATGIQBDCAVJSV4BCA.jpg
- ขนาดไฟล์:
- 3.4 KB
- เปิดดู:
- 1,209
-
-
TKLFAHCAWWZT5MCA9F438SCA5YOBVGCAE5C9PQCAL335GLCAMV5GTSCAEPJUIVCA36XQ2UCALTBQIDCAY2ZM0BCABR08LICA.jpg
- ขนาดไฟล์:
- 3.7 KB
- เปิดดู:
- 1,200
-
-
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
.....................พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชีนีนาถ ทรงเสด็จ
พระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ พระญาณสิทธาจารย์ หรือ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
ณ สำนักสงฆ์ผาปล่อง ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันจันทร์ที่
22 กุมภาพันธ์ 2536
.....................การเสด็จมาพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ด้วยพระองค์
เองทั้งสองพระองค์..ก็คงเป็นข้อยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า "หลวงปู่สิม พุทธาจาโร" ขณะที่มี
ชีวิตอยู่ "หลวงปู่สิมท่านมีความสำคัญและเป็นที่เคารพบูชาของพระองค์ท่านเพียงใด"
.....................ทั้งสองพระองค์ท่านเคารพศรัทธาในหลวงปู่สิมเป็นดั่งพระอาจารย์..ที่
หลวงปู่สิมเคย"ถวายการชี้แนะข้อธรรม"..หรือ"ตอบข้อธรรมให้แก่พระองค์ท่าน"
.....................เช่นเดียวกับ"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร" ก็มีความเคารพรักในพระองค์
ท่านอย่างที่สุด
.....................การแสดงออกของพระองค์ท่าน"ย่อมเป็นสิ่งรับรอง" ได้ว่า ........
"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"..ท่านเป็นพระที่มีศีลและข้อปฏิบัติที่เคร่งครัดบริสุทธิ์ดุจ.....
"พระอรหันต์เจ้า"...สายวัดป่าอันมี...."หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต"...ซึ่งเป็นแม่ทัพธรรมสายวัด
ป่าแห่งแดนอีสาน...ที่ได้รับการเคารพบูชาจาก...ศิษย์พระสายวัดป่าที่"บรรลุธรรมขั้นสูง"
มาแล้วหลายรูป อาทิเช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นต้น.....
.......................แม้แต่"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"..เองก็เป็นศิษย์ของ......"หลวงปู่มั่น
ภูริทัตโต"...ที่ได้รับการรับรองจาก..พระสายวัดป่าหลายรูปว่า"หลวงปู่สิมบรรลุอรหัตตผล"
สำเร็จเป็น"พระอรหันต์"แล้ว........และต่างให้ความเคารพรักในองค์"หลวงปู่สิม"ทุกท่าน
.......................อีกทั้งประชาชนคนใกล้ชิดต่างก็รับรอง"คุณธรรมและเมตตาธรรม"ที่
หลวงปู่มีต่อศรัทธาญาติโยมที่ได้ไปกราบคารวะเยี่ยมเยียนอย่างเสมอภาคกัน
......................."วาจาของหลวงปู่..เป็นวาจาที่เยือกเย็นในกระแสแห่งความเมตตา
เหมือนกับใบหน้าของท่าน........ที่แสดงอาการยิ้มอย่างคนใจดี......เมื่อมีผู้มากราบ
คารวะเยี่ยมเยียน"
......................."หลวงปู่เป็นคนพูดน้อย...แต่พูดแต่คำจริงเสมอ"...ดังนั้นคำพูดของ
หลวงปู่จึงทำให้ศิษย์เคารพยำเกรง......
.......................แม้ขณะที่หลวงปู่สิมปฏิบัติธรรมอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง.........
"พญานาค"ก็ยังเคยจำแลงกายเป็นงูใหญ่เลื้อยเข้ามาหาท่าน...และได้ส่งจิตถึงท่านว่า...
"มาแสดงตนให้ท่านดูเท่านั้น"..
.......................หากกล่าวถึง"วัตถุมงคลของหลวงปู่สิมแล้ว"..ปัจจุบันเป็นที่เสาะ
แสวงหาของผู้คนที่รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทั่วไป...ทำให้วัตถุมงคลของท่านไม่ว่า
จะเป็นเหรียญ... รูปหล่อ..ล็อกเก็ต..ภาพถ่าย...พระกริ่ง..ฯลฯ..ต่างก็มีราคาสูงขึ้น....
.......................ต่อไปจะนำประวัติบางส่วนมานำเสนอต่อครับ....................ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่(ต่อ1)
...............ภาพถ่ายวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่สิม พุทธาจาโร............
................ณ สำนักสงฆ์ผาปล่อง วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2536............ -
......................การน้อมกราบเบญจางคประดิษฐ์..ถือเป็นการแสดงความคารวะอย่าง
สูงสำหรับบุคคลเรา....แม้แต่องค์พระมหากษัตริย์...หากแสดงการน้อมกราบคารวะเช่นนี้..
ต่อบุคคลใด....แสดงให้เห็นว่า...พระองค์ท่านต้องให้ความเคารพรักและศรัทธาต่อผู้นั้น
อย่างสูงสุด
......................ตามภาพที่ผมน้อมนำเสนอมานี้...มีภาพหนึ่งที่"พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถ" ได้น้อมกราบคารวะลงกับพื้น.....ต่อร่างสังขารของหลวงปู่สิม
พุทธาจาโร....ที่ตั้งประดิษฐานอยู่บนเชิงตะกอน...เพื่อเตรียมการพระราชทานเพลิงศพ
......................การน้อมกราบคารวะร่างสังขารของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ..เป็นการ
น้อมกราบคารวะเป็นครั้งสุดท้ายของพระองค์ท่าน...เสมือนการกราบลาจากกันตลอดไป
......................ท่านผู้อ่านมองเห็นภาพคงรับรู้ถึง"ความรู้สึกในพระหทัยของพระองค์
ท่าน" "ว่าพระองค์ท่านมีความอาลัยอาวรณ์หลวงปู่เพียงใด"
......................หากหลวงปู่ไม่ใช่พระอริยเจ้าผู้บริสุทธิ์..หลุดพ้นจากกองกิเลสแล้ว..
และเป็นผู้ประทานถวายข้อธรรมแด่พระองค์ท่าน..บำเพ็ญประโยชน์ในทางพุทธศาสนา
แล้ว.....หลวงปู่จะได้รับ"การเคารพรักและศรัทธาอย่างสูงสุดจากพระองค์ท่านหรือ"
......................ตามภาพที่ผมน้อมนำเสนอยังมีภาพของสมเด็จพระสังฆราชที่เสด็จ
มาในพิธีนี้....และขึ้นทอดผ้าถวายแด่หลวงปู่สิม.....หากหลวงปู่ท่านไม่มีคุณงามความดี..
หรือมีศีลอันบริสุทธิ์..จะได้รับการคารวะจากพระองค์ท่านหรือ
...................นอกจากนี้สมเด็จพระสังฆราชยังได้ประทาน"คุณานุโมทนา" กล่าว
ยกย่องสรรเสริญหลวงปู่สิม พุทธาจาโรไว้ด้วย
.....................สองพระประมุข"ฝ่ายสงฆ์" และ "ฆราวาส" ยังน้อมคารวะหลวงปู่อย่าง
สูงสุดเช่นนี้.....น่าจะเป็นสิ่งที่รับรองในองค์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้เป็นอย่างดีครับ
.....................หลวงปู่สิม พุทธาจาโร..เป็นองค์สำคัญ...ในการชี้ทางรับรองว่า
"ครูบาขาวปีเคยเป็นช้างนาฬาคิริง"..ซึ่งผมจะต้องเขียนถึงการรับรองในองค์หลวงปู่สิม....
ให้ผู้อ่านได้เกิดความเชื่อถือในตัวของหลวงปู่เป็นอย่างดีก่อน..ที่จะวิเคราะห์ต่อไปครับ. -
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องจ.เชียงใหม่(ต่อ2)
.....................การเป็นอยู่ของฐานะบุคคลทางสังคม..หากจะมีการรับรองความ
ประพฤติของบุคคลใดว่าเป็นเช่นใด...เพื่อให้เกิดความเชื่อถือทางสังคมให้รับฟังตาม...
ส่วนใหญ่จะรับฟังจากผู้ปกครองของบุคคลนั้น ๆ ...เช่น...ครูบาอาจารย์ออกหนังสือรับรอง
ความประพฤติของศิษย์ว่าเป็นผู้มีความประพฤติดี.....ผู้บังคับบัญชาออกหนังสือรับรองว่า
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้เป็นผู้มีความประพฤติดี.....หรือ..ผู้ใหญ่บ้านออกหนังสือรับรองว่าลูก
บ้านที่อยู่ในความปกครองของตนเป็นผู้ประพฤติดี ....ฯลฯ
.....................บุคคลที่ได้รับการรับรองจากผู้ปกครองก็จะได้รับความ"น่าเชื่อถือ"....
ว่า"เป็นผู้ประพฤติดี"..ตามคำรับรอง
.....................เมื่อสังคมส่วนใหญ่ตั้งกฏเกณฑ์เช่นนี้...ในส่วนของผมก็ขอน้อมนำ
เสนอสิ่งที่เสมือน"คำรับรอง"ในองค์ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร..มาแสดงเพื่อให้ท่านผู้
อ่านเกิดความเชื่อถือใน..."องค์ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร"..บ้าง
......................ซึ่งเป็นตอนต่อเนื่อง...จากตอนที่ 9 (ต่อ 1) .........ซึ่งผมได้เอ่ย
ถึง.........."คุณานุโมทนา".ที่สมเด็จพระสังฆราชได้ประทานกล่าวยกย่องถวายอนุโมทนา
สาธุการแด่..หลวงปู่สิม พุทธาจาโรไว้...โดยผมเห็นว่า "พระลิขิต"นี้นี่แหละ เปรียบเสมือน
"คำรับรอง"ทางสังคม
.......................สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก..ซึ่งเป็น"พระประมุขแห่ง
สงฆ์ในราชอาณาจักรไทย"...พระองค์เปรียบเสมือนผู้ปกครองพระสงฆ์ในราชอาณาจักร
ไทย......ดังนั้น...."หากพระองค์ได้รับรองพระสงฆ์องค์ใด..ย่อมถือว่า..เป็นการรับรอง
อย่างสูงสุด"...น่าเชื่อถือและน้อมรับฟังเป็นอย่างยิ่ง...
.......................หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้รับพระราชทานพัดยศเลื่อนสมณศักดิ์ที่
"พระญาณสิทธาจารย์" วันที่ 12 สิงหาคม 2535 ....ต่อมาคืนวันที่ 14 สิงหาคม 2535
เวลาประมาณตีสาม ..ได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ สิริอายุได้ 82 ปี 9 เดือน 19 วัน ใน
พรรษาที่ 63
.......................เมื่อเดือนมกราคม 2536 สมเด็จพระสังฆราชได้พระราชทาน
ประกาศ"คุณานุโมทนา" ถวายยกย่องแด่"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร" ความว่า
..............ศีลเป็นสะพานอันเป็นศักดิ์ใหญ่ ศีลเป็นกลิ่นที่ไม่มีกลิ่นอื่นยิ่งกว่า...........
..............ศีลเป็นเครื่องลูบไล้อันประเสริฐ ซึ่งขจรไปทั่วทุกทิศ........................
.......................ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทธาจาโร) เป็นผู้มีศีลงด
งาม บรรดาผู้รู้จักท่านจริงย่อมเห็นชัด ว่าชีวิตของท่านรับรองพุทธศาสนาสุภาษิตที่
อัญเชิญมาไว้เบื้องต้น อย่างชัดเจน
.......................ศีลเป็นสะพานทอดนำไปสู่ฐานะที่สูง คนทั้งหลายไม่ว่าตนเองจะมี
ศีลหรือไม่ ใจก็ย่อมยกย่องนับถือผู้มีศีล ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารณ์เป็นผู้มีศีล
ศีลที่นำท่านสู่ฐานะที่สูงขึ้นเป็นลำดับ ไม่เพียงสูงขึ้นด้วยสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทาน
เลื่อน แต่สูงขึ้นด้วยฐานะในความรู้สึกนึกคิดจิตใจของผู้ที่รู้จักท่าน แม้เพียงโดยกิติศัพท์
โดยชื่อ
........................ศีลมีกลิ่นหอมไกลยิ่งกว่ากลิ่นใดอื่น กลิ่นเครื่องร่ำน้ำหอมหรือกลิ่น
บุปผามาลัยใดก็ตาม ก็มีอยู่ในขอบเขตและกาลสมัยใกล้เคียง แต่กลิ่นศีลหามีเวลาหามี
ขอบเขตไม่ ข้ามน้ำข้ามทวีปข้ามกาลเวลาข้ามยุคข้ามสมัยไกลเท่าไกล ได้ทั้งสิ้น ท่าน
เจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์เป็นผู้มีศีล ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้จักอย่างดียิ่ง ในนาม
หลวงปู่สิมผู้งดงามด้วยความปฏิบัติเคร่งครัดในศีล ขจรไกลไปทั้งในหมู่ผู้ที่ไม่เคยพบเคย
เห็นท่านเลย
.......................ศีลเป็นเครื่องลูบไล้อันดีเลิศ เครื่องประทินทั้งหลายไม่ทำให้เกิดคุณ
ค่าเสมอศีล เพราะเครื่องประทินทั้งหลายย่อมคลายคุณสมบัติได้ในเวลาไม่นาน แต่
ตลอดกาลศีลที่มีประจำใจจะส่งประกายใสสว่างอย่างงดงามครอบคลุมอยู่ ความเป็นผู้
สงบงดงามเป็นปกติด้วยกิริยาวาจานั้น เกิดจากความมีศีลที่ใจ ท่านเจ้าคุณพระญาณ
สิทธาจารย์นั้นเป็นผู้ที่รู้ไกล ว่ามีศีลเครื่องลูบไล้อันประเสริฐ กิริยาท่านสงบเป็นปกติ วาจา
ท่าสงบเป็นปกติ ผู้ได้พบได้เห็นได้สนทนาวิสาสะย่อมประจักษ์แจ้งใจในคุณอันควร
อนุโมทนาสาธุการของท่าน
................................................ขอถวายอนุโมทนาสาธุการ..................
..................................................(สมเด็จพระญาณสังวร)...................
.........................................สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก........
วัดบวรนิเวศวิหาร
มกราคม 2536
....................เนื้อความใน"คุณานุโมทนา"เป็นสิ่งที่รับรอง"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"ได้
เป็นอย่างดี....ก็ในเมื่อท่านเป็นผู้มีศีลที่งดงามและบริบูรณ์เช่นนี้......."วาจาของท่านต้อง
เป็นคำจริง" ครับ
....................ดังนั้น ถ้อยคำวาจาที่ท่านกล่าวว่า "ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผา
หนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง"....ย่อมน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่งครับ.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่(ต่อ3)
.....................ในนิยายธรรม"โกกิลาภิกษุณี"ที่ผมได้น้อมนำเสนอมาในหน้าก่อน ๆ
ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่ง..เป็นเหตุการณ์ขณะที่"พระอานนท์"ได้พบกับ"นางโกกิลาทาสี" เป็น
ครั้งแรก...และได้สนทนากันระหว่างทาง.........จนพระอานนท์ได้เดินทางจนถึงซุ้มประตู
วัดเชตวันฯ ..นางโกกิลาทาสี...ได้ตามพระอานนท์ไปถึงและพระอานนท์บอกให้นางกลับ
ไป...นางจึงตอบว่า
........."ข้าพเจ้าไม่กลับข้าพเจ้ารักท่าน....ข้าพเจ้าไม่เคยพบใคร"ดี"เท่าพระคุณเจ้าเลย"
....................พระอานนท์ได้ตอบอย่างมีเหตุมีผลโดยยกเอาคำพระศาสดาตอบว่า
........."น้องหญิง พระศาสดาตรัสว่าปกติของคนเรา อาจรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน..และ
ต้องอยู่ร่วมกันนาน ๆ ต้องมีโยนิโสมนสิการ และต้องมีปัญญาจึงจะรู้คนนั้นคนนี้มีปกติอย่าง
ไรคือ "ดี" หรือ "ไม่ดี"......ที่น้องหญิงพบเราเพียงครู่เดียว จะตัดสินได้อย่างไรว่าอาตมา
เป็นคนดี........"
....................เรื่องของการตัดสินคนในนิยายธรรมดังกล่าว..ช่างสอดคล้องกับคำพูด
ของ"คุณแม่ผม"...ที่ให้ทำความดีต่อเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง....โดยคุณแม่ผมให้เหตุผล
ว่า..........."คนที่เขาไม่รู้จักเรา...เขาจะไม่รู้หรอกว่า"เราดีหรือไม่ดีอย่างไร"..เวลาเขา
มาหาเรา...เขาก็จะถามเพื่อนบ้านใกล้เคียงของเรา...ว่า"เราเป็นคนอย่างไร".....ถ้าเพื่อน
บ้านของเรา..ไม่รับรองว่า"เราเป็นคนดีเสียแล้ว".......ผู้ที่ไม่รู้จักเราคนนั้นเขาก็จะฟังตาม
นั้น.............แต่ถ้าเพื่อนบ้านของเรารับรองว่า"เราเป็นดี"...ผู้ที่ไม่รู้จักเราคนนั้นก็จะฟัง
ตามนั้นเช่นกัน
....................เพราะเพื่อนบ้านก็คือ"ผู้ที่อยู่ร่วมกันกับเรามาเป็นเวลานาน...เขาย่อม
ซึมซาบความประพฤติของเราว่า...ปกติเราเป็นเช่นไร..เช่นดังคำพระศาสดาที่พระอานนท์
กล่าวถึง.....ในนิยายธรรมโกกิลาภิกษุณีครับ
....................ที่ผมยกเหตุการณ์ทั้งสองอย่างมาไว้...ก่อนที่จะนำเสนอเรื่องราวของ
หลวงปู่สิม พุทธาจาโรต่อไป.... ก็เพราะว่า..จะนำเหตุการณ์ตัวอย่างมาวินิจฉัยถึง......
...................."เพื่อนบ้าน"ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโรบ้างว่า..ท่านมีความเห็นต่อ
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร..ในทัศนะต่าง ๆ อย่างไรบ้าง.....ก็เพื่อนบ้านในความหมายที่ผม
เขียนนั้น.....ก็คือ.."พระอาจารย์ของท่าน"..และ..."พระคุณเจ้าต่างๆที่เป็นสหธรรมของ
ท่าน".....ว่าแต่ละองค์ท่าน..."พูดถึงหลวงปู่สิม พุทธาจาโรเช่นไร"
....................."หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต"..พระอาจารย์ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้
กล่าวไว้ขณะที่หลวงปู่สิมยังเป็นสามเณรอยู่ว่า "เธอเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เมื่อใดเบ่งบาน
แล้วจะหอมกว่าหมู่".....มีความหมายว่า..หลวงปู่สิมหากได้สำเร็จบรรลุธรรมขั้นสูงแล้วจะ
เป็นที่เคารพศรัทธาแก่สาธุชนทั่วไป....ยิ่งกว่าพวกหมู่
......................พระอาจารย์ของท่านยังรับรองเช่นนี้...พระอาจารย์ของท่านองค์นี้คือ
พระโพธิสัตว์ที่ปรารถนา"โพธิญาณ"มาหลายภพหลายชาติ..มีกำลังญาณวิถีและความรู้
ทางธรรมหลายอย่างตามประวัติของท่าน....เมื่อลาจากพุทธภูมิก็บรรลุอรหัตตผลได้
คุณวิเศษหลายประการ....ท่านได้พิจารณาหลวงปู่สิม..ไม่ใช่เพียงแค่ที่เห็นในชาติ
ปัจจุบัน...........แต่ท่านต้องพิจารณาถึง"อดีตชาติ"ของหลวงปู่สิมจนรู้ถึง"อนาคต"ของ
หลวงปู่สิมว่า"มีวิถี"เช่นไร
...................จึงเรียกว่า"หลวงปู่มั่นพระอาจารย์ของท่าน....รู้จักหลวงปู่สิมมาอย่าง
ยาวนาน"...จนให้คำรับรองถึงอนาคตว่า"เธอยังเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เมื่อใดเบ่งบานจะ
หอมกว่าหมู่" -
....................."หลวงปู่แหวน สุจิณโณ" วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ พระอรหันต์แห่ง
เมืองเชียงใหม่ได้กล่าวยกย่องหลวงปู่สิมว่า ..."ท่านสิมนี้เปิ้นบรรลุแล้ว มีคุณธรรมสูงมาก
แท้ ๆ ....ให้คอยตามหลวงปู่สิมให้ดีนะ"
.....................หลวงปู่แหวนก็เป็นพระสุปฏิบันโนรูปหนึ่งที่....ในหลวงของเราให้ความ
เคารพนับถือมาก...พระองค์ท่านเดินทางไปเชียงใหม่.....เพื่อกราบนมัสการหลวงปู่แหวน
และสนทนาธรรมกับหลวงปู่อย่างบ่อยครั้ง.............หลวงปู่แหวนยังกล่าวรับรองว่า
"หลวงปู่สิมได้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว".....ย่อมน่าที่จะเชื่อถือได้
....................."หลวงปู่หลวง กตปุญโญ" วัดป่าสำราญนิวาส จังหวัดลำปาง.......
พระสุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่ง....ที่กล่าวยกย่องถึงหลวงปู่สิมว่า.."หลวงปู่สิมนั้น เปิ้นสำเร็จ
พระอรหัตแล้ว ไปนิพพานแล้ว"
....................."หลวงปู่เกษม เขมโก" สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ได้กล่าว
ยกย่องหลวงปู่สิมว่า "หลวงปู่สิมเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงและมีพลังจิตแก่กล้ามาก"
....................."หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จังหวัด
ลำพูน ได้กล่าวถึงหลวงปู่สิมว่า "อดีตชาติของหลวงปู่สิมนั้น ท่านเป็นพระฤาษีเจ้าผาปล่อง
มาก่อน ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าพระมหาฤาษีที่มีฤทธิ์มากที่สุด ซึ่งมีหน้าที่คอยพิทักษ์รักษาพระ
พุทธศาสนาตราบจนสิ้นภัทกัปโน่นเลยนั้นแหละ.."
....................."หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี ได้กล่าวถึง
หลวงปู่สิมว่า.."อาจารย์สิม ท่านเป็นพระเจ้าทองนะ....ท่านเก่งมากเรื่องการธุดงค์และการ
ปฏิบัติ"
......................พระคุณเจ้าที่ผมยกเอามาเป็นเพียงบางส่วน....จะเห็นว่ามีการรับรอง
ว่า"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร" ..ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว และยังเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์
และญาณวิถีแก้กล้ามากด้วย
......................จึงน่าเชื่อว่า.."หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"..มีวาจาที่เป็นจริงครับ.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
50C1TSCAYOSNU6CAISLWT8CAQ4DY6NCAWHVKTSCARTOK9UCAFYWXW6CAULHNF2CALLBJGMCAMK95D9CAB053QJCA450MLGCA.jpg
- ขนาดไฟล์:
- 3.4 KB
- เปิดดู:
- 1,147
-
-
-
-
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่(ต่อ4)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
............................ประวัติหลวงปู่สิม พุทธาจาโร.....................
................หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สมัยเป็นฆราวาสมีนามว่า "สิม วงศ์เข็มมา" เกิด
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2452 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เป็น
บุตรของ นายสาน วงศ์เข็มมา กับ นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
12 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 5
................ครอบครัวของหลวงปู่สิม เป็นชาวบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม
จังหวัดสกลนคร
................นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา อุ้มทองหลวงปู่สิม.......มาจนถึงคืนก่อนที่หลวงปู่
สิมจะเกิด.... นางสิงห์คำได้ฝันเห็น.."พระภิกษุรูปหนึ่งมีรัศมีกายเปล่งปลั่ง" ...ลอยลงมา
ที่กระต๊อบกลางนา .........และได้เล่าเรื่อง นายสาน วงศ์เข็มมา ฟังในตอนเช้า
................และภายในวันนั้นเอง....มารดาหลวงปู่ก็ได้คลอดหลวงปู่ออกมา...บิดา
จึงตั้งชื่อให้ว่า"สิม" ภาษาท้องถิ่นหมายถึง "โบสถ์"
.................เด็กชายสิมเป็นผู้มีจิตเมตตา.....และฝักใฝ่ทางธรรมมาตั้งแต่เล็ก...ขยัน
ขันแข็ง ... มานะอดทน.... เป็นคนจิตใจดีงาม
.................นายสานโยมบิดามีตำแหน่ง....ในวัดศรีรัตนาราม ...เป็นไวยาวัจกร... อัน
เป็น....วัดประจำหมู่บ้าน...เด็กชายสิมจึงมาวัดและได้ฟังธรรมบ่อยครั้ง
.................พอท่านมีอายุได้ 17 ปี.........ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2469 ....ตรงกับวัน
อาทิตย์แรม 7 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง .......ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม
บ้านบัว.... โดยมีพระอาจารย์สีทอง ...เป็นพระอุปัชฌาย์... เป็น"สามเณรมหานิกาย"
.................ในกาลต่อมา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต..... ได้พากองทัพธรรมเดินทางมาที่
วัดศรีสงคราม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม.....สามเณรสิมได้เดินทางไปฟังธรรม
จาก......หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต...หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ...และ...หลวงปู่ปิ่น ปัญญา
พโล ..พร้อมทั้งได้เห็นการปฏิบัติของพระภิกษุในกองทัพธรรม ....ได้บังเกิดความเลื่อมใส
อย่างมาก....จึงถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น..และขอญัติใหม่เป็น"ธรรมยุติกนิกาย"
...................หลวงปู่มั่นได้กระทำพิธีให้โดยเป็น....ประธาน และมี เจ้าคุณธรรมเจดีย์
(จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัด
นครพนม
...................หลังบวชแล้วสามเณรสิมได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน
จังหวัดนครพนม -
.....................ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2472 ตรงกับ วันอังคารขึ้น 10 ค่ำ
เดือน 8 ปีมะเส็ง ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น.....
สามเณรสิม ....ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ...โดยมี...เจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์(จันทร์
เขมิโย).... เมื่อครั้งเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต........ เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัด
ขอนแก่น ...............เป็น"พระอุปัชฌาย์".......พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
เป็น"พระกรรมวาจาจารย์"...พระปลัดดวงจันทร์ เป็น "พระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า
"พุทธาจาโร"......เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว...........ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าวิเวกธรรม
(วัดป่าเหล่างา) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
.....................ที่วัดป่าเหล่างานี้ หลวงปู่สิม...ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สิงห์
หรือพระอาจารย์สิงห์เป็นเวลา 3 - 4 ปี และ....ได้มีโอกาสรู้จักกับ.......หลวงปู่เทสก์
เทสรังสี .... หลวงปู่ขาว อนาลโย....หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ...หลวงปู่ฝั้น อาจาโร....
หลวงพ่อลี ธัมมธโร...พระอาจารญ์มหาบัว ญาณสัมปันโน.....ฯลฯ
......................ต่อมาในปี 2479 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน ติสโส) วัดบรมนิวาส
กรุงเทพฯ ......ได้เดินทางไปเยี่ยมพระอาจารย์สิงห์ ที่วัดจักราช ....และได้เห็น...พระ
ภิกษุสิม พุทธาจาโร.....ขณะท่านทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้ ..... เกิดเมตตาและชื่นชอบ
พระภิกษุสิม...จึงได้เอ่ยขอตัวหลวงปู่สิมจากพระอาจารย์สิงห์.
..................หลวงปู่สิม...จึงต้องเดินทางไปกับสมเด็จท่าน...และไปจำพรรษาอยู่ที่วัด
บรมนิวาส และเล่าเรียนทางธรรม........ทำให้มีความรู้ทางธรรมวินัยยิ่งขึ้น. -
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องจ.เชียงใหม่(ต่อ5)
.....................มาเล่าเรื่องประวัติของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ต่อจากที่ค้างอยู่ครับ...
.....................หลวงปู่สิมได้เดินทางจากวัดบรมนิวาส เมื่อออกพรรษา..ปีพ.ศ.2480
หลวงปู่ได้เดินธุดงค์..พร้อมกับฝึกจิตภาวนา..อบรมจิตใจให้ตั้งอยู่ในธรรมอย่างมั่นคง...
ท่านเดินธุดงค์เรื่อยมาจนถึง..บ้านบัว..ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัด
สกลนคร ..เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิด...หลังจากที่ได้ฝึกอบรมปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลา
ยาวนานถึง 11 ปี
.....................ชาวบ้านบัวและหมู่บ้านใกล้เคียง..เมื่อรู้ข่าวก็มาเข้าอบรมปฏิบัติธรรม
พร้อมกับฟังธรรม...ต่างก็มีความเคารพเลื่อมใสศรัทธา....ในหลวงปู่เป็นอย่างมาก...
......................ทุกวันพระ......จะมีผู้คนแห่กันมา.....ทำบุญและฟังพระธรรมเทศนา
ของหลวงปู่........หลวงปู่จึงได้ปรึกษาหารือกับพุทธศาสนิกชนว่า.......ประสงค์จะให้มี
การตั้ง.....วัดป่าธรรมยุติกนิกาย....ตามนิกายของหลวงปู่ขึ้น..เป็นวัดแรกในบ้านบัว.......
ญาติโยม.....จึงทำตามประสงค์ของหลวงปู่.....อย่างเต็มใจด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง
......................และในปีนั้น...โยมอาของท่าน.... คือ นางคำไพ ทุมกิจจะ ได้ถวาย
ที่ดินให้สร้างเป็น..สำนักสงฆ์....หลวงปู่จึงได้จำพรรษาที่สำนักสงฆ์แห่งนี้...... เพื่อเป็น
กำลังใจในการสร้างเสนาสนะ.......นอกจากนี้ท่านยังได้.....ช่วยในการบูรณะวัดเดิม...
ของบ้านบัว ....คือ วัดสระพังหิน.. ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ... วัดศรีรัตนาราม..... และ
บูรณะวัดสระพังทอง
......................สำหรับสำนักสงฆ์ที่หลวงปู่จัดตั้งขึ้นมาร่วมกับพุทธาศาสนิกชน
ปัจจุบัน ...คือ "วัดสันติธรรม" -
.....................วัดสันติธรรม ยังมีวัดและสำนักสงฆ์สาขาเกิดขึ้นอีกมากมาย
.....................หลังจากมอบหมายงานสร้างวัด.........,และสำนักสงฆ์ให้พระเณรและ
ญาติโยมที่บ้านบัว....ดำเนินการต่อไป
.....................หลวงปู่ได้เดินออกเดิน....ธุดงค์ปฏิบัติธรรมอีก .........จนถึงวัดป่า
สระคงคาน ...อำเภอหล่มสัก.... จังหวัดเพชรบูรณ์...และ...อยู่จำพรรษาได้ 2 พรรษา...
ก็ออกเดินธุดงค์....ขึ้นเหนือ....จนพบหลวงปู่มั่น... ที่หมู่บ้านแม่ดอย อำเภอพร้าว จังหวัด
เชียงใหม่ ....ก็ได้ฝึกปฏิบัติธรรม....อยู่กับหลวงปู่มั่นระยะหนึ่ง
.....................และแยกตัว....จากหลวงปู่มั่น....เดินธุดงค์ฝึกจิตปฏิบัติธรรมต่อไปจน
ถึงอำเภอสันกำแพง..ได้เข้าพักที่วัดโรงธรรมสามัคคี...ขณะนั้น........ยังเป็นสำนักสงฆ์
ชั่วคราว.....หลวงปู่ได้พักจำพรรษา...เป็นเวลานาน 5 ปี
.....................ในปีพ.ศ.2487.... ได้ย้ายไปจำพรรษาที่..ถ้ำผาผัวะ.. ....อำเภอ
จอมทอง.... พอออกพรรษา....หลวงปู่ก็เสาะหาที่บำเพ็ญเพียรภาวนา...ตามป่าเขาและ
ถ้ำต่าง ๆ....ในเขตจังหวัดเชียงใหม่...ทำให้ธรรมที่หลวงปู่ปฏิบัติเจริญก้าวหน้า
..................ต่อมา ปี พ.ศ.2492 ....หลวงปู่ได้ย้ายจากวัดโรงธรรมสามัคคี... ไปอยู่
ที่ วัดสันติธรรม ....และพำนักเป็นที่มั่นคงถาวร.......การทำกิจต่าง ๆ มีมากขึ้น มีพระเณร
จำพรรษาถึง 38 รูป.....หลวงปู่ปกครองพระเณรด้วยเมตตาธรรม
..................และในปี พ.ศ.2497 ......โยมมารดาของหลวงปู่ถึงแก่กรรม... ท่านจึง
เดินทางกลับไปที่บ้านบัว ..... เพื่อจัดงานฌาปนกิจศพโยมมารดา ...และเมื่อเสร็จงาน..
ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์....ไปจังหวัดนครพนมเพื่อจำพรรษาที่ภูลังกา...แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน
เพราะสภาพการดำรงชีพ....มีความยากลำบาก....หลวงปู่จึงอยู่วิเวกที่ภูลังกาจนกระทั่ง
ออกพรรษา. -
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องจ.เชียงใหม่(ต่อ6)
..................พอถึงปี พ.ศ.2498 ....หลวงปู่สิม พุทธาจาโร .....ได้ธุดงค์เดินทาง
มาจำพรรษาที่วัดสันติธรรม .....และเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2502 ......หลวงปู่สิมได้รับ
พระราชทานพระสมณศักดิ์เป็น... "พระครูสันติวรญาณ" ..... ยังความปลาบปลื้มให้แก่
คณะศิษย์.....และผู้ที่เคารพศรัทธาต่อ....หลวงปู่สิมอย่างที่สุด
...................พอถึงต้นปี พ.ศ.2503..... ได้มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่มากราบเรียน
ต่อ.....หลวงปู่สิมว่า ได้เดินทางไปพบ... "ถ้ำปากเปียง" .....อยู่ที่ตำบลบ้านถ้ำ อำเภอ
เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ .... ซึ่งเป็นสถานที่สงบร่มรื่น ....น้ำท่าอุดมสมบูรณ์........
เหมาะแก่....การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
...................เมื่อทราบความดังนั้น ..... หลวงปู่สิมได้เดินทางไปกับพระลูกศิษย์..
เพื่อสำรวจดูถ้ำดังกล่าว...และได้ทดลอง.....เดินทางมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่...ถ้ำปากเปียง
แต่ท่านรู้สึกว่า..ไม่ถูกจริตกับถ้ำนี้ ...... ด้วยเห็นว่าถ้ำนี้แคบไป....หลวงปู่อยากได้ถ้ำที่
กว้าง....และอยู่ในที่สูง ๆ และ.....ได้สืบค้นหาถ้ำอื่นต่อไป
....................ในที่สุด ก็ค้นพบ "ถ้ำผาปล่อง" .....ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ...........
ของ"ถ้ำหลวงเชียงดาว"..... มีลักษณะแปลกคือ ........ไม่ใช่เป็นถ้ำที่เว้าเข้าไปในตัว
ภูเขาเหมือนถ้ำอื่น ๆ ......แต่ มีทางเดินได้รอบ ๆ .......อันเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม.....
จึงได้มาปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ถ้ำผาปล่องนี้
.....................ต่อมา ปี พ.ศ.2504 "ท่านพ่อลี วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ"
ได้มรณภาพลง.... คณะสงฆ์จึงลงมติให้หลวงปู่รับตำแหน่ง..."รักษาการเจ้าอาวาสวัด
อโศกราม" ..... ท่านจึงต้องทำหน้าที่ดังกล่าว....เพื่อดูแลวัด......และเผยแผ่พระธรรม
ให้แก่พุทธศาสนิกชน
..................ระหว่างนั้นหลวงปู่สิม......ต้องเดินทาง.....ขึ้น-ล่อง..........ระหว่าง
กรุงเทพ ฯ - เชียงใหม่.... จนสุขภาพร่างกายทรุดโทรม
.....................หลวงปู่อาพาธ...ด้วยโรคไตในช่วงปลายปี พ.ศ.2506 ...... จน
กระทั่งปี พ.ศ.2508 ..... อาการของโรคกำเริบขึ้น.............. ท่านจึงขอลาจากวัด
อโศการาม.....ไปพักรักษาตัว....และเป็นเจ้าอาวาสที่วัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ....
ในปี พ.ศ.2509ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9 หลวงปู่สิม พูทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องจ.เชียงใหม่(ต่อ7)
...................ในปี พ.ศ.2510 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร .......มีปัญหาด้านสุขภาพด้วย
โรคภัยเบียดเบียน ......... หลวงปู่สิมจึงลาออก.....จากตำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัดที่ดูแล
อยู่........ และเดินทางไปจำพรรษา......อยู่ที่ถ้ำผาปล่องติดต่อกันหลายพรรษา.....
และ.....พัฒนาถ้ำผาปล่อง......ให้เป็นสำนักสงฆ์.......เพื่อเป็นอาวาสที่อยู่อาศัยของ
ท่านสืบต่อไป
....................ต่อมา ปี พ.ศ.2519-2520 .....หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้ย้ายไปจำ
พรรษาที่....วัดสังติสังฆาราม บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัด
สกลนคร ..... เพื่อสร้างโบสถ์ที่สร้างค้างไว้จนสำเร็จ .....และได้กลับมาจำพรรษา
ที่..."ถ้ำผาปล่อง"...ตลอดมา
....................หลวงปู่ได้....มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมมาตลอดชีวิต...ของท่าน.. และเกื้อกูล
ทำประโยชน์ให้แก่....ชนทั่วไปอย่างเสมอภาค หลวงปู่มุ่งมั่น...สอนอยู่เสมอมิให้ตั้งตน
อยู่ในทางไม่ประมาท... "ทั้งชีวิต...ทั้งวัย...และประมาทต่อความตาย" ...โดยเน้นย้ำให้
เห็นความสำคัญ....ของการปฏิบัติธรรมภาวนาว่า....."เป็นหนทางอันสูงสุดที่จะทำให้คน
หลุดพ้นจากทุกข์"
....................ต่อมาเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535..... หลวงปู่สิมเข้ารับพัดยศเลื่อน
สมณศักดิ์ที่...."พระญาณสิทธาจารย์"
....................และคืนวันที่ 14 สิงหาคม 2535 ...เวลาประมาณ ตีสาม..... หลวงปู่
ได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ สิริอายุได้ 82 ปี 9 เดือน 19 วัน พรรษาที่ 63
....................พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..และ..สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จ
พระราชดำเนิน...พระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ณ สำนักสงฆ์ถ้ำปาปล่อง
ตำบลเชีงดาว จังหวัดเชียงใหม่..... ในวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2536
...................ลำดับต่อไปผมจะน้อมนำ..."พระธรรมที่หลวงปู่ได้แสดงไว้".............
และ......."คำพูดที่มีความหมายบางอย่าง"...มานำเสนอต่อไปครับ.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี
ตอนที่ 9 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องจ.เชียงใหม่(ต่อ8)
.........................พระธรรมเทศนาของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร....................
..................ขอน้อมนำพระธรรมของ "หลวงปู่สิม พุทธาจาโร" อันมีคุณค่าควรแก่การ
น้อมนำ.....มาจดจำยึดถือเป็น...."อุดมคติเตือนใจ".....แก่ผู้อ่านดังนี้ครับ
..................คำว่า"จิต" ได้แก่ ...ดวงจิต ..ดวงใจผู้รู้อยู่ ...ผู้เห็นอยู่ ...ผู้ได้ยินได้ฟัง
อยู่... เราฟังเสียง... ได้ยินเสียง...... ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัว ..ในใจ "นั่นแหละมันอยู่ตรง
นี้" .....ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้... "ตรงจิตใจผู้รู้อยู่"
..................ตาเห็นรูป...ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ...ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป .... เสียใจก็
จิตดวงนี้หลงไป ....เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ..... ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ ..... กลิ่น
รส ...โผฏฐัพพะ ...ธรรมารมณ์... ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง . .........เมื่อจิตดวงนี้เป็นผู้หลง
ผู้เมา .... ไม่เข้าเรื่อง ..... เราก็มาแก้ไข"ภาวนาทำใจให้สงบ" ...... ไม่ให้หันเหไปกับ
อารมณ์ใด ๆ .....เห็นสิ่งต่าง ๆ... ที่เกิดดับอยู่ในตัว... ในใจ... ในสัตว์ ...ในบุคคลนี้ว่า
"มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไป"...... เป็นธรรมดาอย่างนี้
....................การปฏิบัติบูชา... ภาวนานี้ ...เป็นการปฏิบัติภายใน.... เป็นการเจริญ
ภายใน ...พุทโธภายใน ......."ให้ใจอยู่ภายใน ..ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก"
....................การภาวนา....ไม่ไช่เป็นของหนักเหมือนแบกไม้หามเสา ... เป็นของที่
เบาที่สุด ..... นึกภาวนาบทใดข้อใด ..... ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ "จนจิตใจผ่องใส สะอาด
ตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ภายในจิตใจของตน"..... ใจก็สบาย..... นั่งก็สบาย...... นอนก็
สบาย ..... ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น..... ในตัวคนเรานี้ ........ เมื่อจิตใจสบายกาย
ก็พลอยสบายไปด้วย ..... อะไร ๆ ทุกอย่างมันก็สบายไป ... มันแล้วแต่จิตใจ
.....................ทำอย่างไร.....ใจข้าพเจ้าจะสงบระงับ ........มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่
ขี้เกียจนั่นแหละ ..... อุบายมันอยู่ที่ไหน .... อุบายมันอยู่ที่ความเพียร ..... ทำอย่างไร
ข้าพเจ้าจะสู้กับ...กิเลสราคะ โทสะ โมหะ...ในใจได้ ...... ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร
สู้ด้วยความตั้งใจมั่น...... เราตั้งใจลงไปแล้วให้...."มันมั่นคงอย่าไปถอย"
.....................เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่..... มันจะเหลือวิสัย..... ผู้มีความเพียร
ไปไม่ได้.... เพราะว่าบนแผ่นดินนี้ .... ผู้มีความเพียรผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ .....
ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมสำเร็จได้ .... ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า .... เมื่อเห็นแล้ว........ เรา
ต้องตั้งความเพียรลงไป ... ภาวนาลงไป ......เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียร
ก่อนไม่ได้
......................สู้ด้วยการละทิ้ง .... อย่าไปยึดเอาถือเอา.... เขาว่าให้เรา.... เขา
ดูถูกเรา.... เสียงไม่ดีเข้าหู .... ก็เพียรละออกไป ... ให้มันหมดสิ้น ...... มนุษย์มีปาก
ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้.... มนุษย์มีตา ..... ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ .......... มันเป็นเรื่อง
ของโลก .... ท่านจึงตรัสว่า ... ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ .....มันเป็นความร้อน ........
ความร้อน..คือ..กิเลส.... กิเลสเหมือนกับไฟ ..... ไฟมันเป็นของร้อน -
........................พระธรรมเทศนาของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร....................
..................ขอน้อมนำเสนอต่อครับ.......
..................เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม...ไม่มี... มีแต่นอนห่ม
ผ้าให้มันตลอดคืน ..มันจะสำเร็จมรรคผลอะไร...ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ ...กรรมฐานขี้
หมู ...ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน...พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ก็คลานเอา
..................พุทโธในใจ ...หลงไหลทำไม...ไม่ต้องหลง...ไม่ต้องลืม....นั่งก็พุทโธ
ในใจ..นอนก็พุทโธในใจ...ยืนก็พุทโธในใจ...เดินไปไหนมาไหน..ก็พุทโธในใจ...กิเลส
โลเลละให้หมด....โลเลทางตา..โลเลทางหู...โลเลทางจมูก...ทางกลิ่น...โลเลในอาหาร
การกิน..เลิกละให้หมด
..................ไม่ต้องไปรอท่าว่า....เมื่อถึงวันตาย..ข้าพเจ้าจะ........ภาวนาพุทโธเอา
ให้ได้..... อย่างนี้ไม่ได้...เราต้องทำไว้ก่อน...เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนตั้งแต่บัดนี้ ...
เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป
...................ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้...ท่านให้นึกให้น้อม..ให้ได้ว่า..ทุกลม
หายใจเข้าไป..... ก็เตือนใจของตนให้นึกว่า..... นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไป...แล้วออกมาไม่
ได้..เกิดติดขัด..คนเราก็ตายได้...แม้ลมหายใจออกไปแล้ว...เกิดอะไรติดขัดขึ้นมา......
สูดลมหายใจเข้าไม่ได้..คนเราก็ตายได้
...................เราทุกคนทุกดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้...ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ...
อยู่ที่ไหน....กายกับใจอยู่ที่ไหน...ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชา..อยู่บ้านก็ภาวนาได้..อยู่
วัดก็ภาวนาได้...บวชไม่บวช.......ก็ภาวนาได้ทั้งนั้น
...................ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็มในขั้นสมถกรรมฐาน..พร้อมกับวิปัสสนากรรมฐาน ..
ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคน ..เท่านั้นก็พอ...เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคน....ก็ไม่มีอะไร
ติดมา.......... ครั้นเมื่อเราทุกคนตายไปแล้ว..แม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ..ด้วย
เหตุนี้.......จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลส... โลภะ ......อันมันนอนเนื่องอยู่
ให้หมดเสียวันนี้ ๆ....... ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต.... ก็ยังไม่หยุดยั้ง.......
ภาวนาจนวันตายโน้น
....................การภาวนา...ละกิเลสให้หมดไปจริง ๆนั้น..ต้องปฏิบัติดังนี้...เมื่อ
กำหนดรูปร่างกายของเรา...บริกรรมกำหนดลมหายใจ.....จนจิตตั้งมั่นดีแล้ว....ต้อง
กำหนดรูปร่างของเราเอง...นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้...ให้เห็นตาม
ความเป็นจริง....ที่มันตั้งอยู่...และมันเสื่อมไป...ด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย....มีทวารทั้ง 9
เป็นสถานที่ไหลออก......ไหลเข้าซึ่งของไม่งาม. -
......................อันความตายนั้น...จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วย.......สติปัญญาของตน
เอง....ยกจิตใจ....ตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว...เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย.....อยู่ดี
สบายอยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย.....แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้....เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่น
ช่วยไม่ได้...ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย...ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้.....อยู่ที่การ
ละกิเลส...ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น
......................วันคืนเดือนปี....หมดไป...สิ้นไป...แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมด
ไป...วันคืนไม่หมด...ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป...มันหมดไปทุกลมหายใจเข้า
ออก....ฉะนั้น..ภาวนาดูว่า....วันคืนล่วงไป...เราทำอะไรอยู่...ทำบุญหรือทำบาป..เราละ
กิเลสได้หรือยัง....เราภาวนาสงบหรือยัง
.......................ทุกข์อยู่ที่ไหน...ทุกข์อยู่ในใจยึดมั่นถือมั่น...ยึดมั่นถือมั่นในชาติ
ตระกูล....ในตัว...ในตน...ในสัตว์ในบุคคล....ความยึดอันนี้แหละที่ยึดให้มีทุกข์ไม่ให้มี
ความสุข.....มันเป็นไปไม่ได้...เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่...ก็แก่เรื่อยไป....ต้องรู้ว่าแก่
เพราะอะไร...ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ....เมื่อจิตมายึดถือ...จิตจึงมาเกาะอยู่ ..มาเกิด...มา
แก่ชรา....เจ็บไข้ได้พยาธิ..ผลที่สุดก็ถึง....ซึ่งความตาย
..................บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น...ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ...ก็เป็นอุบายธรรม
อันดีทั้งนั้น....ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น...ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น....มี
เสื่อมลงเป็นธรรมดา...ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า....การรวมจิตเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว....เป็น
ความสงบสุขเยือกเย็นอย่างแท้จริง....ก็ให้ทุกคนตั้งใจ...ปฏิบัติบูชาภาวนา..อย่าได้มี
ความท้อถอย....เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้ว...ก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้....
เพราะคนเรามี....ใจเป็นใหญ่....เป็นประธาน...สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น
......................ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้...จะเอาที่ไหนไม่มี....ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่า
ทัน...รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยวาง....อย่าเข้าไปยึดถือ....อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู....ตัวของ
ข้า....ตัวของเรา....เราเป็นนั้นเป็นนี่...ตัวเราของเราไม่มี.....มีแต่ธาตุดิน..น้ำ...ไฟ...
ลม..มีแต่หลักอนิจจัง..ทุกขัง...อนัตตาทั้งโลก
......................ให้ทานข้าวของ...วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ...แต่ยังไม่ลึกซึ้งให้ทำบุญ
ภายในใจให้เป็นบุญอยู่เสมอ...ภาวนาพุทโธ...นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่
ภายใน....นี่แหละบุญภายใน. -
..........................พระธรรมเทศนาของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร..................
...................ขอน้อมนำเสนอต่อครับ........
...................อวิชชา แปลว่า ไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ ....จิตจึงได้วน
เวียน..หลงไหล..เข้าใจผิดว่า...โลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่....ความจริงแล้ว...ในมนุษย์
โลกก็ดี...เทวโลกก็ดี...พรหมโลกก็ช่าง....ล้วนแล้วตกอยู่ในกองทุกข์ ...กองภัย....ต้อง
มีภัยอันตรายรอบด้าน
....................ชีวิตของคนเราไม่นาน....ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด...เวลาเรายังไม่ตาย...ก็ได้
ข่าวคนนั้นว่าตาย.....ที่เขาเอาไปฝังทิ้ง..หรือ..เอาไปเผาไฟ...เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็น
จมูกเขาต่างหาก.....เราต้องพิจารณา....ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา.....ทำไมพระ
พุทธเจ้า....พระอริยเจ้าทั้งหลาย...ท่านจึงเกิดอสุภะ...เห็นแจ้งในจิตในใจได้....เห็นคนก็
เห็นก้อนอสุภะกรรมฐาน....เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น
......................สงบแต่ปาก ...ใจไม่สงบก็ไม่ได้...ต้องใจสงบ...ใจสงบคือว่า....
เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่น...ก็ให้คอยระวัง....นึกน้อมสอนใจตนเองด้วยว่า....ความเกิด
เป็นทุกข์...เกิดมาแล้ว...เป็นทุกข์อย่างนี้แหละ....จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก....ที่ไหนมัน
ทุกข์เท่า ๆ กัน...เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง
.......................เวลาความตายมาถึงเข้า.....กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้...เรียกว่า
แยกกันไป.....จิตทำบาปไว้...ก็ไปสู่บาป.....จิตทำบุญไว้..ก็ไปสู่บุญ....จิตละกิเลส ..
ราคะ..โทสะ..โมหะ..ได้..ก็ไปสู่นิพพาน....จิตละไม่ได้ก็เวียนตายเวียนเกิด....วุ่นวายอยู่
อย่างนี้....พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลก....มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก....ยิ่งใน
ปัจจุบันนี้...ยิ่งมากกว่า....ในสมัยก่อนมันเกิดมาจากไหน....ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย
อวิชชา-ความไม่รู้...ตัณหา-ความดิ้นรน...ไม่สงบตั้งมั่น...ก็สร้างตัวขึ้นมา...ในแต่ละ
บุคคล...แล้วก็มาทุกข์...มาเดือดร้อน....วุ่นวายอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างนี้แหละ
...................ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน....กิเลสนี้แหละ..ทำให้คนเราเดือด
ร้อนวุ่นวายอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด...กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ....ความโกรธ..ความโลภ...
ความหลง... 3 อย่างเท่านี้....ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้น...ไปทุกภพทุกชาติ...
ทำไมหนอ...ใจคนเราจึงไม่ยอมละ...การละก็ไม่หมดสักที....ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ...ทั้ง
พระเณร..และญาติโยม..ทั้งหลาย....ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม..ถ้าไม่โกรธ
ไปตามมัน....จะตายเชียวหรือ....ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอ.....ว่าคนเราละความโกรธ...
ให้หมดสิ้นไป...ในเวลาเดี๋ยวนี้..อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี.......มีการักษา
ศีล 5... ศีล 8...ศีล 10...ศีล 227...พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา.....ฆ่ากิเลส
ตัณหาให้หมดไป...ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน -
........................พระธรรมเทศนาของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร....................
...................ขอน้อมนำเสนอต่อครับ.............
...................ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก.........เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น..จิต
ของผู้ภาวนาก็สูง.....คำว่า"สูง" ก็เหมือนเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำลำคลอง...หรือที่
มหาสมุทร..ก็คือ..."จิตมันอยู่เหนือน้ำ"
....................จิตอยู่เหนืออารมณ์...เหมือนเรืออยู่เหนือน้ำ...มันไม่ทุกข์ไม่ร้อน...จึง
จำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มี....."ความอดทน"
.....................เวลาความสุขมาถึงเข้า.....เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยิน
ยอ...มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว...แต่เราหารู้ไม่ว่า..."ความสุขมีอยู่ที่ไหน.ความทุกข์ก็มีที่นั้น"
.....................มรณกรรมฐานนี้เป็นยอดกรรมฐาน...คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัว
เมาไม่ได้มองเห็นภัย..อันตรายจะมาถึงตน..คิดเอาเอง...หมายเอาเอง...ว่าเราคงไม่
เป็นไรง่าย ๆ เราสบายดีอยู่...เรายังเด็ก..ยังหนุ่มอยู่...ความตายคงไม่กร้ำกรายได้ง่าย ๆ
อันนี้เป็นความประมาทมัวเมา
......................ถ้ามองเห็นความตายทุกลมหายใจเข้าออก...สบายไปเลย...กูก็จะ
ตาย...สูก็จะตาย...จะมากังวลวุ่นวายกันทำไม....
..............................................................................................
....................หลวงปู่สิม พุทธาจาโร เกิดมาเพื่อ.....ทำที่สุดแห่งทุกข์ให้กับตนเอง.
และใช้ชีวิตที่เหลือ.....ในการเกื้อกูลมหาชนอย่างแท้จริง...หลวงปู่พร่ำสอนเสมอ ๆ มิให้
ตั้งตนในทางที่ประมาท........ ทั้งความประมาทในชีวิต...... ความประมาทในวัย และ
ความประมาทในความตาย..หลวงปู่เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญ.......ของการปฏิบัติภาวนา
ว่าเป็น.....หนทางอันสูงสุดที่จะทำให้คนพ้นทุกข์....... ดังคำสอนตอนหนึ่งว่า
................. "ทางพระสอนให้ละชั่วทำความดี..แต่ไม่ให้ติดอยู่ในความดี..ให้บำเพ็ญ
จิตให้ยิ่งขึ้น....จนถึงไม่ติดดีติดชั่ว...จึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้....เพราะแม้คุณความดีจะ
ส่งผลให้เป็นสุข...ไปเกิดสุคติโลกสวรรค์เป็นเทพ.....อินทร์...พรหม..ก็ตาม.....แต่เมื่อ
กำลังของกุศลกรรมความดีนั้น ๆ หมดลง...ก็ย่อมต้องกลับมา...เวียนว่าย..ตายเกิดอีก...
ทางพระจึงมุ่งสอนให้มุ่งภาวนา....ทำจิตให้รวมระวังตั้งมั่น...ทำจิตให้มีปัญญารู้ตามความ
จริงด้วยตนเอง....จนถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ ออกเสีย....จึงจะเป็นไป
เพื่อความสิ้นภพสิ้นชาติ..หมดทุกข์หมดยากโดยแท้จริง"
....................หลวงปู่ได้ทำหน้าที่ครูอาจารย์ไว้โดยสมบูรณ์ยิ่งแล้ว...ทั้งด้านเทศนา
ธรรม..และด้วยการประพฤติปฏิบัติ..เป็นแบบอย่างที่ดี...หลวงปู่เป็น.......ผู้มีใจหนักแน่น
มั่นคง...ไม่หวั่นไหว..ในโลกธรรม..ทั้งหลาย...ซึ่งพวกเราจักยึดถือปฏิบัติตาม........ได้
โดยสนิทใจ...หลวงปู่จากไปอย่าง.....ผู้ที่พร้อมรับต่อความตายทุกขณะ....... สมดังที่
หลวงปู่ได้พร่ำสอนอยู่เสมอครับ....ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พี่ชายครับ เดี๋ยวจะนำภาพยันต์เชือกคาดเอวของหลวงพ่อมาลงครับ
รบกวนพี่ชายช่วยอธิบายเรื่องยันต์หน่อยครับ และก็อักขระครับ เนื่องจากยังไม่มีความรู้เรื่องนี้ครับ
อธิบายเท่าที่ทราบก็ได้ครับ
หน้า 13 ของ 47