พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ............."น้องชาย"..ความเพียรพยายามสูงมาก..."พี่ชาย"ตามดูกระทู้อยู่

    แล้วครับ......เชือกคาดเอวของหลวงพ่อถักลายเป็นสายละเอียดมาก...ไม่

    สามารถแก้ช่วงไหนได้เลย...ต้องใช้มีดคมกริบตัดออกเท่านั้น...แล้วจะ

    ต้องกรีดเป็นแนวยาวตลอดสายเชือก...จึงจะเห็นผ้ายันต์ในนั้น

    .............."พี่ชาย"ก็จะพยายามอ่านอักขระขอม....ในตัวยันต์ให้ได้...ว่า

    ท่านลง"หัวใจของยันต์อะไร" ......แล้วจะตอบอย่างละเอียดครับ"น้องชาย"
     
  2. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 9 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องจ.เชียงใหม่(ต่อ9)


    ...................สำหรับตอนต่อที่ 9 นี้..........คงเป็นตอนสุดท้าย......ของเรื่องราว

    "หลวงปู่สิม พุทธาจาโร" ซึ่งตอนต่อไปก็จะ....................นำเสนอเรื่องราวของ

    "ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์(เจิม คุณบุตร)วัดเกตุมดี จังหวัดสมุทรสาคร" มานำเสนอต่อซึ่ง ..

    ท่านพ่อก็เคยบอกเล่าไว้ว่า.."ท่านเคยเกิดเป็นช้างนาฬาคิรีมาก่อน"...ซึ่งสิ่งที่ท่านกล่าวมา

    ก็ย่อม.........ต้องมี.."เหตุผล"...ของท่านในการกล่าวเช่นนั้น

    ....................การที่จะนำเอาเรื่อง"กรรม"อันเป็นผลกระทบ......ที่พญาช้างนาฬาคิรีได้ทำไว้...

    และ...ได้รับผลกรรม....มาเอ่ยถึงเป็น..............หลักการในการวิเคราะห์

    เหมือน..."ครูบาขาวปี" .........ในส่วนของท่านพ่อก็คงใช้ไม่ได้...และจะนำหลักการที่

    มี"พระอรหันต์"...เอ่ยรับรองในการวิเคราะห์เหมือน"ครูบาขาวปี"....... ในส่วนของท่าน

    พ่อก็อาจใช้ไม่ได้.......แต่จะใช้หลักใดวิเคราะห์.....ในส่วนของ"ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์"เพื่อ

    ให้เห็นว่า"ท่านเคยเกิดเป็นช้างนาฬาคิรีหรือไม่"..ก็จะนำเสนอในตอนต่อไป

    .....................แต่ก็จะขอกล่าวถึง......หลวงปู่สิม พุทธาจาโร.... ในส่วนที่ท่านเคย

    เอ่ย"วาจา" ถึง... "พระอริยะองค์อื่น" .......และ "รอยพระพุทธบาท"..... ที่มีบันทึกไว้

    ว่า"ท่านพูดเช่นใด".....เพื่อยืนยันการรู้จริงตามญาณวิถีของท่าน

    .....................เคยมีพระอริยะและบุคคลหลายคน...... ที่พบเห็นหลวงปู่สิม......และ

    สัมผัสกับ....องค์หลวงปู่กล่าว.....โดยรวมว่า"หลวงปู่เป็นผู้มีคุณธรรมสูง ......มีศีลอัน

    บริสุทธิ์ ....กล่าวแต่คำจริง .....มีญาณวิถีที่แม่นยำและเที่ยงตรง ....มีพลังจิตแก่กล้าถึง

    ขนาดใช้พลังจิต....ขยับพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ให้ขยับเขยือนได้"

    .....................ในบันทึกหนังสือของ"หลวงปู่จาม มหาปุญโญ" ....ระบุไว่ว่า......

    "ชาติหนึ่งของหลวงปู่สิมนั้น...เคยเกิดเป็น"พระเจ้าโกศล"พระราชบิดาของ"พระเจ้าปเสนทิ

    โกศล"ในสมัยพุทธกาล...และเคยกลับชาติมาเกิดเป็น"เจ้าหลวงนครพิงค์(เชียงใหม่)"ใน

    กาลต่อมาอีกด้วย"

    .....................พระเจ้าปเสนทิโกศล .......ก็คือ พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็น .....พระ

    พุทธเจ้าในอนาคตองค์ที่ 3.... "พระธรรมราชาพุทธเจ้า"

    .....................เคยมีลูกศิษย์ฆราวาสของ"หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่"..........และเป็น

    ลูกศิษย์ของ"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"....ด้วย....มีความคิดถึงหลวงปู่ทิมมาก......อยาก

    ทราบว่า.....หลวงปู่ทิมหลังจากมรณภาพแล้วไปอยู่ภพภูมิใด....จึงเรียนถามหลวงปู่สิมว่า

    "หลวงปู่ครับ....หลังจากหลวงปู่ทิมมรณภาพ........แล้วท่านไปอยู่...ภพภูมิไหนขอรับ

    หลวงปู่".........หลวงปู่สิมตอบโดยทันทีว่า "พรหมสุทธาวาส" ..........อันเป็นภพภูมิ

    ของ"พระอนาคามี"...... ซึ่งจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในพรหมชั้นนั้นเลย.....ไม่ต้องกลับ

    มาเกิดในภพภูมิใดอีก

    ....................ไม่เคยมีพระรูปใดที่เอ่ยถึง"แบบรู้เกี่ยวกับภพภูมิของหลวงปู่ทิม"มาก่อน

    เลย.....แต่หลวงปู่สิมสามารถรู้ได้ในทันทีที่เอ่ยถาม....เป็นที่น่าเชื่อถือในญาณวิถีของ

    ท่านครับ

    .....................นอกจากนี้"รอยพระพุทธบาท"ที่กล่าวถึงก็คือ.."รอยพระพุทธบาทสี่

    รอย" จังหวัดเชียงใหม่.....หลวงปู่สิมเคยกล่าวรับรองว่า "รอยพระพุทธบาทสี่รอย..เป็น

    รอยพระพุทธบาทจริงที่พระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์มาประทับรอยไว้..ให้พากันไปกราบ

    เสีย.....เพราะไปกราบครั้งเดียวเหมือนได้กราบพระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์..มีผลานิสงส์

    มากมาย..."

    ......................พระพุทธเจ้า 4 พระองค์ที่กล่าวถึง ก็คือ พระกกุสันโธพุทธเจ้า.......

    พระโกนาคมนพุทธเจ้า...พระกัสสปพุทธเจ้า..และพระโคดมพุทธเจ้า

    ......................ก็ญาณวิถีของ หลวงปู่สิมรู้ไกลไปถึงขนาดพระกกุสันโธมาประทัยรอย

    แรกเอาไว้..และพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆมาก็มาประทับรอยซ้ำไว้ถึงเพียงนี้.......ดังนั้นเรื่อง

    ราวความเป็นไปของ...."พญาช้างนาฬาคิรี"ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสมัย"พระโคดมพุทธเจ้า".....

    ท่านจะไม่รู้เห็นหรือ....ท่านจะต้องรู้เห็นแล้วตามดูจนรู้ได้ว่า"พญาช้างนาฬาคิรีได้มาเกิด

    เป็นครูบาขาวปี".....จึงได้เอ่ยวาจาขึ้นว่า "ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็น

    ช้างนาฬาคิริง"

    .......................ก็เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือในองค์"ครูบาขาวปี"องค์หนึ่ง...............

    ที่"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร".......ท่านรับรองเช่นนี้.....การรับรองเช่นนี้มีความหมายไป

    ถึง..."ครูบาวขาวปี" ก็คือ....พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งซึ่งเคยเกิดเป็น.... "พระธรรมเสน"..ใน

    อดีตชาติ...........และจะได้ตรัสรู้เป็น.."พระติสสะพุทธเจ้า".....พระพุทธเจ้าในอนาคต

    องค์ที่ 9 ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. หลงบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +101
    อนุโมทนา สาธุ กับทุกๆ ข้อความด้วยค่ะ เป็นความรู้มากๆ เพราะบางอย่างเคยอ่านเคยได้ฟังมาบ้าง แต่ก็ยังลืมค่ะ.
     
  4. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโฑธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 10 ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ (เจิม คุณาบุตร) วัดเกตุมดี สมุทรสาคร


    .............."สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะ

    ยิโก ปัจจัตตัง เวิทิตัพโพ วิญญูหิติ"

    ..............แปลถอดความได้ใจความว่า.."พระธรรม..เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส

    ไว้ดีแล้ว...เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง...เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้...และให้

    ผลได้ไม่จำกัดกาล...เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด...เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้า

    มาใส่ตัว....เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน"

    ....................บทสวดนี้เป็นบทสวด...."บทสรรเสริญพระธรรมคุณ" มีมาคู่กับ....

    "บทสรรเสริญพระพุทธคุณ" ...และ..... "บทสรรเสริญพระสังฆคุณ"

    ....................บทสวดทั้ง 3 นี้.."ถูกส่ง" มาจากบรรพชนในอดีตกาลอันยาวนาน..มา

    สู่ปัจจุบัน..และจะมีต่อไปภายในอนาคต...ตราบที่พุทธศาสนายังดำรงอยู่

    ....................แต่ผมยกมาเพียงแค่.."บทสรรเสริญพระธรรมคุณ"..ดังข้างต้น...แต่ก็

    จะขอกล่าวรวมกันถึง.....สิ่งที่บรรพชนในอดีตกาล....ได้ดำรงรักษา...และส่งผ่านต่อมา

    ยังชนรุ่นหลัง ๆ จาก...รุ่น..สู่...รุ่น...เรื่อยมา....จนพวกเรามาได้ยินได้ฟังกันในปัจจุบัน

    นี้..."ไม่แปลกใจหรือ..ว่ามีการรักษาสวดกัน...เป็นประเพณีมาจนถึงพวกเรา..ทำไม"

    ....................กล่าวถึง"ลักษณะความรู้สึกของพวกเราในปัจจุบันนี้"..เมื่อเรามีลูกเกิด

    มา....เราจะมีความรู้สึกว่า..รักเขา..มีเมตตาและผูกพันอยู่กับเขา..เป็นห่วงเป็นใยเขา..

    แทบไม่อยากจากพวกเขาไปเลย

    ....................และเมื่อลูกของเรา...มี"ลูกขึ้นมา"...ซึ่งเรียกว่า.."หลานของเรา"....

    ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่.....เราก็จะรู้สึกเพิ่มขึ้นมาอีก..ว่า"เรารักหลาน..ห่วงใยหลาน..และ

    เมตตาเอ็นดูหลานเรายิ่ง ๆขึ้นไปอีก"......และเมื่อ...หลานเรา.."มีลูกขึ้นมา"ซึ่งเราเรียก

    ว่า"เหลน"..ความรู้สึกมันก็จะเกิดขึ้นไปเรื่อย......

    .....................เพราะ "เรา" ...รู้ตัวเองว่า "เราต้องตาย" ...และจากพวกเขาไป...เรา

    จึงคิดว่า..ทำอย่างไรเราจะให้...สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขา...และอยู่คู่กับ....เขาไปตลอดกาล....

    แม้เมื่อเราลาจากโลกไปแล้ว....มันก็ยังคงอยู่คู่โลก....เพื่อให้....ลูก...หลาน....เหลน...

    โหลน....หรือลูกของพวกหลาน..เหลน...โหลน..ของเราได้รับ

    .....................โลกนี้มันสับสนวุ่ยวายนัก...และให้ทุกข์แก่เราเป็นระยะ ๆ..ดำเนินชีวิต

    ด้วยความลำบาก...แต่เราก็ไม่อยากให้พวก...ลูกหรือหลาน..เหลน..โหลน....ของพวก

    เรามาลำบากเช่นเรา

    ......................ตอนใดที่เราลำบากแก้ไขวิถีชีวิตได้สำเร็จ..เราก็อยากให้เขารู้วิธีแก้ไข

    นี้..เพื่อให้ชีวิตพวกเขาได้อยู่รอด...เราจึงสั่งสอนแนะวิธีแก้ไขการดำเนินชีวิตแก่เขา...

    เป็นเสมือน.."คัมภีร์เดินทางของชีวิต"

    ......................"บรรพชนในอดีตกาลของพวกเรา" ..พวกท่านทั้งหลายคิดไม่แตก

    ต่างจากพวกเราหรอก....สิ่งที่ท่านให้ไว้เตือนใจ....และแก้ไขวิถีชีวิตนี้.....ก็ยังมีอยู่มาให้

    เรา...มันคือ"สิ่งใดหรือ"

    ......................คำตอบก็คือ..."บทสุภาษิต"...ที่พวกท่าน........."คิดค้นให้มีคำ

    ประโยคความสั้น ๆ ได้ใจความ"...ให้เรานำเป็นเข็มทิศแก้ไข....ปัญหาชีวิตและเตือนใจใน

    แต่ละขณะ ๆ ที่พวกเราประสบกับปัญหา....ซึ่งบทสุภาษิตถูกส่งมาจาก"อดีตของบรรพชน

    เรารักษามาสู่พวกเราในยุคปัจจุบัน"

    .......................เช่น .."น้ำขึ้น..ให้รีบตัก"...(เพราะท่านรู้แล้วว่า..น้ำ..มันไม่ขึ้นได้

    ตลอดไป..วันหนึ่งมันต้องลดลง....ก็ให้เราตักน้ำเก็บรักษาไว้ใช้ยามมันลด...เปรียบได้กับ

    เมื่อเราทำมาค้าขึ้น..ก็ต้องเก็บหอมรอมริดไว้...เพราะภายหน้ามันอาจขายไม่ดี...แล้วจะ

    ไม่มีเงินใช้ถ้าไม่เก็บรักษาไว้ ... เป็นต้น)

    ....................ในเมื่อ"บทสุภาษิต"...เป็นปัญญาแนะแนวทาง....ถูกส่งมาจากบรรพ

    ชนในอดีตเป็น....สิ่งของมีค่าให้พวกเรา...ก็เป็นแบบเดียวกับบทสวดนี้...ที่พระสงฆ์เจ้าใน

    อดีตได้แต่งบทสวดไว้ให้พวกเรา...และบรรพชนในอดีตได้เห็นค่า.....และรู้ค่าของสิ่งนี้ก็

    จดจำท่องสวดกันมา......ทั้งพระสงฆ์และบรรพชนเก็บรักษาไว้ให้พวกเรา

    ......................แล้วมีอะไรในบทสวด"พระธรรมคุณ"...เกี่ยวข้องอย่างไรกับ "ท่านพ่อ

    บัณฑูรสิงห์...แล้วผมจะมาเขียนต่อในลำดับต่อไปครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่10ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์(เจิมคุณาบุตร)วัดเกตุมดีสมุทรสาคร(ต่อ1)


    ....................ก่อนพระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน...พระพุทธองค์ได้กล่าวว่า

    "อานนท์เอย..พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า...ธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว.......

    บัญญัติแล้ว...ขอให้ธรรมวินัยอันนั้น..จงเป็นศาสดาของพวกเธอ"แทนเรา"ต่อไป...เธอทั้ง

    หลายจงมี..."ธรรมวินัยเป็นที่พึ่งเถิด"...อย่าได้มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย"

    ....................พระโอวาทครั้งนี้เป็นเหตุและจุดเริ่มต้น..ประกอบกับมีการจาบจ้วงธรรม

    วินัย...และเหตุต่าง ๆอีกหลายอย่างประกอบกัน.......หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไป

    แล้ว...พระอรหันต์ได้ปรึกษาหารือกันที่จะทำการสังคายนาพระธรรมวินัย..อันมี..พระมหา

    กัสสป..พระอุบาลี...พระอานนท์..เป็นผู้นำในการดำเนินการดังกล่าว

    ....................ผลการทำสังคายนาดังกล่าว....ทำให้ได้.."พระไตรปิฎก"..อันเป็นสิ่ง

    สูงค่า....ที่ปรากฎมีขึ้นอยู่จนถึงปัจจุบันนี้.....พระไตรปิฎก..........แทบจะเรียก.......

    ว่า........"คัมภีร์ชี้ทางเดิน"..ให้กับ....ทั้ง"พระและฆราวาส"...ผู้ปรารถนาทางหลุดพ้น...

    หรือปรารถนา...ที่จะเดินทาง.......ใช้วิถีชีวิตอย่างปลอดภัยในวัฏฏสงสาร...หรือในโลก

    มนุษย์ที่วุ่นวายอยู่ได้เป็นอย่างดี....

    ....................เพราะเห็นประโยชน์สูงสุดของพระธรรม...บรรพชนแห่งสงฆ์ในอดีต..

    รวมทั้งบรรพชนของพวกเรา..ต่างก็เก็บรักษามา...เป็นเวลานานถึง 2554 ปีแล้ว.......จน

    มาสู่ถึงมือพวกเรา......ทั้งมีการแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องอย่างที่ควรเป็น

    ....................ก็ด้วยความรักห่วงใย..เมตตาสงสารพวกเรา....ที่ไม่รู้เส้นทางที่แท้

    จริง.....นอกจากถูกกิเลส.....และตัณหาหลอกนำทางเรามา...นมนานเหลือเกิน

    ....................เพราะไม่มีหลักสูตร....ในการสอนพระไตรปิฎก.....ปลูกฝังให้แก่เด็ก

    หรือเยาวชนในหลักสูตรการเรียน.....เด็กนักเรียนผู้ที่กำลังจะเติบโต..จึงหลงทาง...และ

    เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่...ก็ไม่มีหลักในการเดินทางวิถีชีวิตที่ถูกต้อง...ก็คิดเอากฏเกณฑ์ของ

    อารมณ์ในขณะนั้น...มาตั้งขึ้นเป็นหลักในวิถีชีวิตเรื่อยมา....จนไกลจากพระไตรปิฎกไป

    เรื่อย ๆ....... จนไม่เห็นความสำคัญว่า...."สิ่งนี้คือคัมภีร์เดินทางของวิถีชีวิตแห่งคน".....

    เปรียบเหมือนมี.."ตัวแทน"..แห่ง.."พระพุทธองค์มาตั้งมั่นสั่งสอน"..ดังคำตรัสว่า"ให้เอา

    ธรรมวินัยเป็นที่พึ่งเถิด...เพราะธรรมวินัยที่เรา...แสดงแล้ว..บัญญัติแล้ว...จะเป็นศาสดา

    ของพวกเธอแทนเรา"

    .....................ในเรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์..ที่ผมจะกล่าวต่อไป....ก็มีคำพูด

    ของหลวงพ่อรุณ วัดช้างเผือก อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสาคร.....ซึ่งท่านสร้างบารมี

    เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้กล่าว...ในหมู่สงฆ์ในตอนที่ "ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์"บวชอยู่และ

    ปฏิบัติธรรมกับท่านว่า... "คุณเจิม รู้ธรรมแล้ว"

    ......................ก็สิ่งใดเหล่าที่ท่านรู้...ตามคำของหลวงพ่อรุณบอก.....เราก็คงมาทำ

    ความเข้าใจบางอย่างใน...สิ่งที่ผมยกเอา"บทสรรเสริญพระธรรมคุณ"ขึ้นมาข้างต้นที่จะ

    กล่าวในลำดับต่อไปครับ.
     
  6. สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ผมเคยไปวัดเกตุม แถวๆพระรามสองใช่ป่าวครับพี่ชาย

    เห็นรูปปั้นฆารวาส ก็ไม่ทราบว่ามีความสำคัญเช่นไร นึกในใจว่าพระสงฆ์องค์เจ้ามีมากมายไม่ยอมสร้าง มาสร้างฆารวาสทำไม จนป่่านนี้ก็ยังไม่ทราบว่าสำคัญไฉน
     
  7. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ................น้องชาย..พี่ชายเองก็ยังไม่เคยไปเลยครับ.........แต่ก็ศึกษาข้อมูล

    อยู่.....ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์หลังจากสึกจากพระก็เป็นฆราวาสที่บำเพ็ญเพียรเป็น

    พระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิ..และสร้างบูรณะวัดเกตุมดี.....จึงมีการสร้างรูปปั้น

    ท่านไว้เป็นอนุสรณ์..ประดิษฐานอยู่ครับ.....
     
  8. สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ผมไปวัดเกตุมดี ไม่ค่อยถูกกับจริตครับ มีเรื่องเล่าเล็กน้อย

    ตอนนั้นไป ก็ทำบุญหยอดตู้บ้าง บูชาพระบรมสารีริกธาตุบ้าง หลายเงินเลยครับ ทำอะไรก็แล้วแต่ เก็บเงินหมดทุกอย่าง เวียนเทียนในนั้นก็เสีย พอผมหยอดไปเยอะแล้วเงินเศษก็หมด แล้วก็ไปเซียมซี จะไปหยิบใบเซียมซี เจอแม่ชีใจโหด บอกว่า ให้เอาเงินมาด้วย ต้องจ่ายเงินน่ะ ผมก็บอกว่า ผมหยอดแทบทุกตู้แล้วเนี่ย จนเงินหมดแล้ว ขอแค่กระดาษใบเดียวนี่ไม่ได้หรอ แม่ชีใจโหด ก็บอกว่า ไม่ได้ ต้องจ่ายเพราะถือเป็นธรรมเนียม ผมก็เดินออกมาแบบเสียความรู้สึก กระดาษใบเซียมซีมันจะเท่าไหร่กันเชียว เราหยอดไปตั้งหลายร้อยแล้ว แค่่นี้ก็ไม่ได้ ผมไปวัดระฆัง ไม่เคยต้องเสียเงินเยอะขนาดนี้เลยครับ ชื่นใจดีกว่าอีกครับ ก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

    จากนั้นผมไม่เคยเข้าไปวัดนี้อีกเลย พุทธพาณิชย์เกินไป หมดเลยครับกับศรัทธา
     
  9. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................บรรพชนเคยกล่าวคำสอนทิ้งไว้ในโลกใบนี้ว่า

    ......."บ้านเรือนใด..เจ้าของบ้านและคนในบ้าน.....ได้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน..

    ด้วยน้ำใจอันดีงาม....มีความเมตตาโอบอ้อมอารีย์..กับแขกผู้มาเยือนนั้น..ขึ้นชื่อ

    ว่าได้สร้าง.."ความเป็นมงคลให้เกิดกับบ้าน"......เพราะแขกผู้มาเยือนนั้น..เมื่อไป

    จากบ้านหลังนั้นแล้ว...เขาย่อมกล่าวถึง.....ความดีของบ้านหลังนั้น....พร้อมกับ

    เจ้าของบ้านและคนในบ้านหลังนั้น...กับผู้อื่นหรือคนทั่วไป....ด้วยการยกย่อง

    สรรเสริญ"

    ..........."แต่บ้านเรือนใด...เจ้าของบ้านและคนในบ้าน...มิได้ต้อนรับแขกผู้มา

    เยือนด้วยน้ำใจอันดีงาม..ไม่มีความเมตตาโอบอ้อมอารีย์......กับแขกผู้มาเยือน

    นั้น......ขึ้นชื่อว่าได้สร้าง.."ความอัปมงคลให้เกิดกับบ้าน"......เพราะแขกผู้มา

    เยือนนั้น...เมื่อไปจากบ้านหลังนั้นแล้ว...เขาย่อมกล่าวถึง...ความไม่ดีของบ้าน

    หลังนั้น..พร้อมกับ...เจ้าของบ้านและคนในบ้านหลังนั้น...กับผู้อื่นหรือคนทั่วไป..

    ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี"

    ................เหตุการณ์ของ"น้องชาย"....ช่างตรงกับ......ที่บรรพชนกล่าวสอน

    ไว้เลยครับ.

    .......ขอกราบขอบพระคุณบรรพชนที่ทิ้งคำสอนนี้ไว้ให้พวกเราจดจำเรียนรู้........


    ...................ก็อยากบอกกับ"น้องชาย"ว่า...อย่าเก็บความทรงจำที่ทำร้ายจิต

    ใจของเราเอาไว้....ทะนุถนอมใจเราไว้....ให้อยู่กับความทรงจำที่ดีงามไว้ครับ.
     
  10. สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    น้อมรับคำแนะนำครับพี่ชาย

    ตรงไหนไม่สบายใจ ก็ไม่ไปครับ จะได้ไม่ปวดร้าว อิอิอิ

    วัดดีๆยังมีให้ทำบุญอีกเยอะครับ
     
  11. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่10ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์(เจิมคุณาบุตร)วัดเกตุมดีสมุทรสาคร(ต่อ2)


    ..................บทสรรเสริญพระธรรมคุณ...ที่มีมานานเมื่อก่อนเป็นภาษาบาลี..พวกเรา

    ยังไม่รู้คำแปลหรือความหมาย....พอบอกว่าเป็นบทสรรเสริญพระธรรมคุณ..เราก็เข้าใจว่า

    เป็นเรื่องของการสรรเสริญพระธรรมคุณโดยเฉพาะ

    ..................แต่ปัจจุบันนี้มีคำแปลหรือความหมาย..เป็นภาษาไทยให้พวกเราได้อ่าน..

    เราจะเห็นว่าในคำสรรเสริญนั้น...มีการอธิบาย....."คุณลักษณะของพระธรรมให้พวกเราได้

    รู้จักรวมอยู่ด้วย"

    ..................ไล่ตามลำดับของคำบาลีและคำแปลดังนี้

    ......"สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม" แปลว่า ......พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า

    ตรัสไว้ดีแล้ว.....

    ......"สันทิฏฐิโก" แปลว่า....เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง....

    ......"อะกาลิโก" แปลว่า....เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้..และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล.....

    ......"เอหิปัสสิโก" แปลว่า....เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด....

    ......"โอปะนะยิโก"แปลว่า....เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว....

    ......"ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ" แปลว่า...เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน...

    ..................จะเห็นว่า....มีการกล่าวถึงคุณสมบัติ....ลักษณะของพระธรรมโดยรวมอยู่

    ด้วย......พระธรรมยังจำแนกไปตามลำดับ....และลักษณะของการปฏิบัติ.....และการรู้..

    แต่มีสิ่งหนึ่ง....ที่เป็นลักษณะที่ผู้อื่นไม่อาจรู้ตามได้... "คือเป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน"

    ..................สิ่งที่หลวงพ่อรุณกล่าวถึง.....ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ขณะเป็นบรรพชิตอยู่

    ว่า .."คุณเจิม รู้ธรรมแล้ว"....ก็ให้น่าคิดว่า.."ท่านรู้ธรรมอันใด"

    ...................แต่ในเมื่อสิ่งแรก....ที่จะต้องวิเคราะห์ถึงว่า........ท่านเป็น........

    "พระโพธิสัตว์หรือไม่"..โดยยังไม่นำประเด็นเรื่อง"พญาช้างนาฬาคิรี"....เข้ามาวินิจฉัย...

    ก็คือ..ต้องนำคุณธรรมของ..พระโพธิสัตว์ทั้งแปดประการมารองรับในตัวท่าน..เพื่อวินิจฉัย

    ว่า"ท่านคือพระโพธิสัตว์หรือไม่"

    ..................ซึ่งในคุณธรรมของพระโพธิสัตว์ทั้งแปดประการ......ก็มีอยู่ในกระทู้ของ

    คุณเจนพัฒน์....ซึ่งท่านผู้อ่านลองติดตามอ่านดู....เพราะผมจะนำเอาหลักธรรมดังกล่าว

    มาวิเคราะห์กับ.....ประวัติของท่านและจริยาวัตร....ของท่านต่อไปครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่10ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์(เจิมคุณาบุตร)วัดเกตุมดีสมุทรสาคร(ต่อ3)


    ...................ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2434 ตรงกับวันอาทิตย์

    ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ.. ที่หมู่ 8 ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทราสาคร.....

    ที่หมู่บ้านชื่อ "บ้านบน" .......เพราะอยู่เหนือศูนย์กลางคือวัด..ขึ้นไปข้างบน

    ...................ท่านเป็นบุตรคนที่ 2 .....ของ นายแพ และ นางนุ่น คุณาบุตร .... มีพี่

    น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน.....ทั้งหมด 6 คน คือ

    ...................1.นางสาวเจือ คุณาบุตร

    ...................2.ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์(เจิม คุณาบุตร)

    ...................3.นางเจียม คุณาบุตรหรือบุญเลี่ยม

    ...................4.นายแถบ คุณาบุตร(โยมบิดาของหลวงพ่อวัดเกตุมดี)

    ...................5.นายพ้อง คุณาบุตร

    ...................6.นายยอด คุณาบุตร

    ...................เมื่อเด็กชายเจิม คุณาบุตร...เกิดมาและเติบโตจนรู้เดียงสา..มีลักษณะ

    นิสัยสงบเสงี่ยม......และสามารถอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยม

    ...................เมื่ออายุได้ 11 ปี ได้เรียนหนังสือ.......อยู่กับหลวงพ่อเพชร เจ้าอาวาส

    วัดตรีจินดา(วัดสามจีน) สมุทรสาคร......พออายุได้ 14 ปี ....ได้ย้ายไปเรียนหนังสืออยู่

    กับ....หลวงพ่อสมุห์เทศ วัดใหญ่บ้านบ่อ สมุทรสาคร...เพื่อให้มีความรู้สูงขึ้น

    ...................ต่อมาเมื่อมีอายุได้ 15 ปี.... ได้บวชเป็นสามเณร ..หลวงพ่อเห็นว่า..

    สามเณรเจิม....เป็นคนดีมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าเพื่อน........สอนจนหมดภูมิรู้ที่

    หลวงพ่อจะสอนต่อไป....จึงได้แนะนำให้มาเรียนศึกษา...ต่อกับอาจารย์ทองดี(เปรียญ)

    ที่วัดบางพลีใหญ่ ......ซึ่งอยู่เหนือบ้านเกิดขึ้นไปอีกตำบลหนึ่ง....สามเณรเจิมได้ศึกษา

    ภาษามคธ-บาลี ทั้งเรียนหนังสือขอมไปด้วย

    ....................และเมื่อมีอายุได้ 20 ปีบริบูรณ์ ............บิดามารดาจึงได้จัดการ

    อุปสมบทเป็น...พระภิกษุ ณ วัดบางพลีใหญ่นั่นเอง....โดยมี....... หลวงพ่อนิล วัดตึก

    สมุทรสาคร เป็น พระอุปัชฌาย์.............หลวงพ่อเทศ ...หลวงพ่อนิตย์ วัดใหญ่บ้านบ่อ

    เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ....................เมื่อท่านอุปสมบทแล้ว ...ญาติโยมได้นิมนต์ให้มาอยู่ที่......สำนักสงฆ์

    บางโทรัด..... เพราะใกล้บ้าน..โปรดญาติโยมได้สะดวก....ซึ่งสำนักสงฆ์บางโทรัดนั้น...

    นายแพ...และนางนุ่ม คุณาบุตร บิดามารดาของท่านเป็นผู้สร้าง...จึงต้องการให้ท่านมา

    ดูแลและบูรณะให้ดีขึ้น

    .....................เมื่อท่านย้ายมาอยู่ตามความประสงค์......ของโยมบิดามารดาแล้ว...

    พบว่ามีพระภิกษุอยู่เพียง 2 - 3 รูปเท่านั้น...สภาพกุฏิก็โย้เย้จะพังมิพังแล....โบสถ์ที่จะใช้

    ทำสังฆกิจก็ไม่มี............ท่านจึงได้ซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรม...ให้ดีขึ้นและใช้การ

    ได้ต่อไป

    .....................และเมื่อท่านอยู่ได้ 3 พรรษา........... ก็ทำหน้าที่เป็นรหัวหน้าหรือ

    เจ้าสำนัก.....ดำเนินการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา......และได้สร้างพระอุโบสถขึ้น เป็น

    แบบเรือนไทยเตี้ย ๆ สำเร็จ......พร้อมทั้งปรับปรุงกุฏิที่โย้เย้ให้ดีเหมือนเดิมจนใช้การได้...

    .....................นับตั้งแต่นั้นมา..ก็มีโบสถ์ ....สำหรับสงฆ์ทำสังฆกิจได้ในวัด ......

    โดยไม่ต้องไปอาศัยวัดอื่น...... ทั้งศาลาการเปรียญและเสนาสนะอื่น ๆ.....ก็สร้างและ

    ซ่อมให้ดีขึ้น.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่10ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์(เจิมคุณาบุตร)วัดเกตุมดีสมุทรสาคร(ต่อ4)


    .................ต่อมาพระภิกษุเจิมท่าน.....ได้ไปเรียนปฏิบัติกรรมฐาน...กับ หลวงพ่อรุณ

    วัดช้างเผือก อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม .... และขอปฏิบัติธรรม.....เดินธุดงค์

    ร่วมกับ....หลวงพ่อรุณทุกปี...จนการปฏิบัติธรรมของท่าน....เจริญขึ้นเป็นลำดับ

    .................ปีหนึ่ง....ท่านได้ปฏิบัติธรรม....เข้าอยู่ปริวาสกรรม.......ก่อนเดินธุดงค์

    เพื่อขัดเกลาจิตใจ....ให้ใสสอาดตั้งมั่นอยู่....ในการบำเพ็ญเพียรทางธรรม....จิตของท่าน

    ได้เห็นร่างกายของตนเอง....โปร่งใสชัดเจนเหมือนกระจกแก้วไปทั้งร่างกาย....ท่านรู้สึก

    แปลกใจ.....ในธรรมที่ปฏิบัติได้...และได้พบเห็นทางจิต...ท่านได้เก็บความรู้สึกไว้..และ

    ปฏิบัติธรรม....เพื่อตรวจสอบการเห็น...ของท่านทุกคืนที่นั่งกรรมฐาน...จนแน่ใจชัดเจนว่า

    จิตของท่านสามารถเห็นได้จริง

    .................ท่านจึงลองตรวจสอบ.....ดูที่ดินตรงหน้าของท่าน....ขณะปฏิบัติธรรมนั่ง

    กรรมฐานอยู่..ก็เห็นในพื้นดินว่ามีอะไรอยู่ชัดแจ้งไปหมด....สงสัยที่ตรงไหนเมื่อตรวจดูก็

    เห็น....ไม่มีสิ่งใดปิดบังได้เลย

    ..................เมื่อท่านเข้าหมู่สงฆ์รวมกับคณะ...หลวงพ่อรุณได้ตรวจสอบ........การ

    ปฏิบัติธรรมของหมู่พระภิกษุ......โดยการใช้ญาณวิถีสอดส่องดูก็ทราบว่า..พระภิกษุเจิมได้

    ธรรมบางอย่าง..จึงกล่าวยกย่องท่าน....ท่ามกลางหมู่สงฆ์ว่า "คุณเจิมรู้ธรรมแล้ว" ..ซึ่ง

    ปกติของหลวงพ่อรุณ.....ท่านจะไม่พูดหรือสอนมากได้แต่บอกวิธีปฏิบัติให้........เมื่อใคร

    ปฏิบัติดีท่านก็ยกย่องขึ้น...หลวงพ่อรุณบำเพ็ญเพียรสร้างบารมี........เพื่อเป็นพระปัจเจก

    พุทธเจ้า

    ...................ต่อมาพระภิกษุเจิมปฏิบัติธรรม......ได้พัฒนาขึ้นไปอีก...จึงได้ลองใช้

    ญาณวิถีของท่านตรวจสอบ........พิจารณาว่าท่านได้เกิดมากี่ชาติ......สร้างบารมีอะไร

    มา....ท่านจึงได้ตั้งมั่นอธิษฐานจิต..และนั่งกรรมฐานตรวจสอบดูตนเอง.....อยู่เป็นเวลา

    นาน....และท่านได้ระลึกชาติ.........แต่หนหลังว่าท่านเกิดมาแล้ว 92 กัลป์ (บางประวัติ

    กล่าวว่า 29 กัลป์)

    ...................ท่านตรวจพบว่า..ท่านเคยอธิษฐานสร้างบารมี.....เป็นพระโพธิสัตว์มา

    ตลอด........ครั้งหนึ่งท่านเคย..."เกิดเป็นช้างนาฬาคิริง" และ........ได้รับพยากรณ์จาก

    พระสมณโคดมพุทธเจ้าว่า..... จะได้ตรัสรู้เป็น........"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต

    องค์ที่ 10" .......โดยท่านจะเกิดมาในตระกูลสามัญชน.........อีกเพียงชาตินี้เท่านั้น..

    ต่อไป......ก็จะไปเกิดเมื่อ"พระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"...

    ท่านจะเป็น...."พระพุทธอุปัฏฐาก"...บำรุงอยู่ตลอดจน....พระศรีอาริยเมตไตรยดับขันธ์

    ปรินิพพาน...ตัวท่านดับขันธ์ไปจะไป....บังเกิดอยู่ดุสิตเทวโลก....และจะรออยู่จนกว่าถึง

    สมัยที่ท่าน....จะมาตรัสรู้เป็น"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ 10 ในอนาคต".......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    วัดเกตุมผมเคยไปเที่ยวครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองไปกับคุณพ่อ เจดีย์พระธาตุวัดท่านงดงามมาก
    บ่อน้ำทิพย์ก็ดูแล้วให้รู้สึกน่ากลัวว่ามีพญานาครักษาอยู่
     
  15. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่10ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์(เจิมคุณาบุตร)วัดเกตุมดีสมุทรสาคร(ต่อ5)


    ....................พระภิกษุเจิมบวชและฝึกฝนปฏิบัติธรรมมาได้ 5 พรรษา ...ก็พิจารณา

    ว่าในเมื่อเราบำเพ็ญเพียรเป็น..."พระโพธิสัตว์"...มีความปรารถนา.."โพธิญาณ"......เป็น

    ที่สุด......พร้อมกับได้รับพยากรณ์จาก......."พระโคดมพุทธเจ้า"........สมัยเกิด

    เป็น........."ช้างนาฬาคิรี"ว่า.."จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตองค์ที่ 10".......

    ดังนั้น......การที่จะบวชถือเพศบรรพชิตต่อไป...ก็คงบำเพ็ญบารมีในด้านอื่นต่อไปไม่ได้

    ....................ท่านคิดจะเร่งสร้างบารมีทางด้านอื่นต่อไป...และการสงเคราะห์ญาติ

    โยมด้วยอาการที่ผิดวินัย...ก็จะทำให้พระธรรมวินัย.......ของพระพุทธองค์แปดเปื้อนเป็น

    มลทิน......ทั้งจะทำให้ผู้ที่ปรามาสท่าน.....ต้องบาปกรรมเป็นโทษต่อเขา....ด้วยความ

    เมตตาแม้แต่ผู้ที่คิดไม่ดีต่อท่าน...ท่านเลยปลงจิตลาสิกขาบท......จากสมณเพศมาเป็น

    ฆราวาสธรรมดา.......ที่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมรักษาศีล 5 เป็นปกติ.......ในวันพระก็จะรับศีล

    อุโบสถเป็นประจำ.....และก็ประกอบอาชีพทำนาเกลือ..และปลูกข้าวตามแบบบรรพบุรุษ

    ของท่าน.....ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง

    ....................ต่อมาบิดามารดาของท่าน.......ต้องการให้ท่านครองเรือน..ได้สู่

    ขอ......."นางเรียบ รสทอง"..ให้แต่งงานกับท่านอยู่กินแบบบุคคลทั่วไป..เมื่อตอนอายุได้

    30 ปี......แต่ท่านก็ยังปฏิบัติธรรมของท่านอยู่...และได้เก็บเรื่องราวที่......"ท่านได้รู้เห็น

    อะไรทางธรรมไว้"..... โดยไม่ยอมบอกใคร

    ....................ท่านทำนาเกลือเมื่อหน้าแล้ง....พอเข้าฤดูฝนท่านก็ข้ามฝั่ง........มา

    ทำนา.......ที่บริเวณวัดเกตุมดีในปัจจุบัน....แต่สมัยก่อนยังอยู่ในป่า....ห่างจากบ้านเดิม

    ประมาณ 2 กิโลเมตร...ท่านได้แผ้วถางที่บริเวณพระธาตุองค์เก่า.......ของวัดที่เหลือแต่

    ซากหักพังบริเวณใกล้ ๆ....ที่ท่านปลูกข้าว.....ท่านปลูกข้าวปีหนึ่ง ๆได้ข้าวพอสมควร...

    แต่มักจะมีฝูงนกใหญ่ ๆ .....มากินข้าวในนาของท่าน......ท่านไม่เคยไล่นก..และห้ามไม่

    ให้ใครไล่นก...ท่านบอกว่าให้นกกินข้าว..."เป็นทาน"

    ....................ต่อมาท่านเลิกทำนาปลูกข้าว..แต่จะมานั่งพักตรงที่ทำนา..เพื่อนั่งสมาธิ

    ปฏิบัติธรรม....และใช้ญาณวิถีของท่านตรวจดูสถานที่แห่งนั้นให้แน่นอนว่า..."เป็นที่สร้าง

    บารมีของท่านมาก่อนหรือไม่"

    ....................และเมื่อท่านมีอายุได้ 35 ปี..ท่านได้ไปกราบบิดามารดาของท่านแทบ

    เท้า..แล้วกราบเรียนว่า........"ท่านได้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่บวชเป็นพระภิกษุแล้ว....ได้รู้เห็น

    ธรรมบางอย่าง.....พร้อมกับรู้อดีตชาติของตนว่า...."ได้บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์มา

    หลายชาติ....เพื่อปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า"...บัดนี้ท่านจะขอสร้าง

    บารมีให้ยิ่ง ๆขึ้นต่อไปอีก...ขอให้บิดามารดาช่วยเหลือโดย......"ตั้งทุนขึ้นเพื่อสร้างเสริม

    องค์พระธาตุเก่าแก่นี้ก่อนเป็นคนแรก......เมื่อบูรณพระธาตุขึ้นแล้ว...ได้ให้บิดามารดา

    ปลูกต้นโพธิ์อธิษฐานไว้....ข้างองค์พระธาตุคนละต้น...(ต่อมาได้มีการขยายพระธาตขึ้น

    จึงได้ตัดออกไป...แต่ก็มีส่วนที่แตกออกจากรากลอดองค์พระธาตุ....ซ้อนองค์พระธาตุ

    ข้างที่ทรุดไว้...ปัจจุบันนี้ต้นโพธิ์ส่วนที่แตกออกมานี้ก็ยังอยู่)

    ....................ท่านได้สอนกรรมฐานตามแบบที่เรียนมาจาก..หลวงพ่อรุณ วัดช้าง

    เผือก.......มีทั้งพระและฆราวาสมารับ.....การสอนปฏิบัติธรรมจากท่าน....กรณีฆราวาส

    มาปฏิบัติธรรม..ท่านจะให้สมาทานศีล5.....และถือสัจจะ....เลือกที่จะรักษาศีลข้อใดข้อ

    หนึ่งไว้ตลอดชีวิต...แล้วท่านจะบอกกรรมฐานต่อไป

    .....................ต่อมาท่านได้บูรณะวัดบางโทรัด..แล้วเปลี่ยนชื่อ.........เป็น......

    "วัดบัณฑูรสิงห์"...ในปัจจุบัน....ท่านได้สร้างสืบต่อจากบิดามารดา..และบูรณเปลี่ยน

    แปลงต่อเติม.....จากที่เป็นไม้ก็เปลี่ยนเป็นคอนกรีต...และได้สอนกรรมฐานปฏิบัติธรรม

    บำเพ็ญบารมีมาโดยตลอด.....และวัดเกตุมดีนี้......ท่านตั้งให้เป็น"สำนักปฏิบัติธรรม"..

    ของลูกศิษย์ที่มุ่งสู่ความสงบ..และบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม

    ....................ท่านได้สร้างบารมีโดยตลอด.....จนถึงอายุ 72 ปี ได้ถึงแก่กรรม....

    เมื่อ พ.ศ.2506...คงเหลือไว้แต่.."พระธาตุเกตุมวดีย์"......ที่ท่านอธิษฐานจิตเป็นสัจจะ

    ไว้ว่า
    ....................1.ผู้ใดเคยเป็นญาติของท่านมาแต่อดีต..เมื่อเกิดขึ้นมาบนโลกนี้..ขอจง

    มาสร้างกุศลบารมีอธิษฐานบารมีต่อไป ณ สถานที่นี้

    ....................2.ผู้ใดได้ทำบุญสร้างกุศลมามาก..ขอจงมาสร้างบารมีและอธิษฐานต่อ

    ไป ณ สถานที่นี้

    ....................3.ผู้ใดได้สร้างบารมีอธิษฐานเป็น"พระโพธิสัตว์" เมื่อเกิดขึ้นแล้ว... ขอ

    จงอธิษฐานสร้างบารมีต่อไป ณ สถานที่นี้.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ............อนุโมทนาบุญกับท่านด้วยครับ.....สิ่งที่ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์

    อธิษฐานบารมีไว้ที่"เจดีย์พระธาตุ"..คงเกี่ยวพันกับตัวท่านด้วย...ถึงมี

    บุญไปยัง"สถานที่นั้น"....ลองอ่านสิ่งที่ท่านพ่ออธิษฐานไว้นะครับ..ผม

    เพิ่งเขียนเสร็จครับ......
     
  17. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    นันทชาดก...ข้าทาสเก่าผู้ข่มนาย


    ....................ก่อนที่ผมจะวิเคราะห์เรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ต่อไป...ผมขอนำ

    พระชาดก...ที่จะกล่าวถึงอาการของบุคคลที่...."ประพฤติตนไม่แน่นอน"....มาเขียนให้

    ฟัง..เป็นเรื่องที่แปลก ๆของท่าน....แล้วศึกษาดูครับว่ามาจากสาเหตุใด

    ....................ในสมัยพุทธกาล.....มีเรื่องเกี่ยวกับพระสารีบุตรพระอัครสาวกเบื้องขวา

    ของพระพุทธโคดมพุทธเจ้า.....ท่านมีลูกศิษย์มากมาย...แต่ท่านก็เอาใจใส่อบรมสั่งสอน

    ลูกศิษย์ของท่านอย่างดี

    ....................ส่วนศิษย์ของท่านก็มี...ความเคารพท่านเป็นอย่างยิ่ง...................

    ....................อยู่มาคราวหนึ่ง...พระสารีบุตรได้ทูลลาพระพุทธองค์...เพื่อไปเผยแผ่

    พระพุทธศาสนาในที่ห่างไกล.....โดยมีพระภิกษุผู้เป็นศิษย์...ซึ่งมีความประพฤติเรียบร้อย

    ติดตามไปรับใช้ด้วย

    .....................ครั้นเดินทางมาถึงเขตชนบทหนึ่ง...อันเป็นบ้านเก่าที่คุ้นเคยของพระ

    ลูกศิษย์...พระลูกศิษย์ของท่านกลับมี...ความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป...โดยประพฤติตน

    กระด้างกระเดื่อง....ไม่เชื่อฟังพระสารีบุตรผู้เป็นพระอาจารย์

    .....................แต่เมื่อทั้งพระสารีบุตรและพระลูกศิษย์ผู้นั้น....กลับมาถึง..วัดเชตวัน

    มหาวิหารอีกครั้ง....พระลูกศิษย์ผู้นี้....ก็กลับมีนิสัยอ่อนโยนเรียบร้อยเหมือนเดิม

    .....................พระสารีบุตรจึงได้ทูลถาม......ถึงพฤติการณ์เช่นนี้ของลูกศิษย์ท่าน

    .....................พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า.."ดูก่อนสารีบุตร...มิใช่แต่ปัจจุบันเท่านั้นที่..

    ภิกษุรูปนี้ประพฤติตนดังที่กล่าวมา....แม้ในชาติก่อนก็เป็นศัตรูกับนายเสีย"

    ....................แล้วพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเล่าเรื่อง "นันทชาดก" ให้ฟังดังนี้

    ....................ในอดีตชาติหนึ่ง..ยังมีชายชราฐานะร่ำรวยคนหนึ่ง...อยู่กินกับภริยาสาว

    รุ่น..จนเกิดบุตรชายหนึ่งคนซึ่งเยาว์วัยอยู่

    ....................เมื่อชายชราคิดคำนึงถึงตนเองว่า...อายุมากแล้ว...นึกเป็นห่วงลูกที่

    กำลังเติบโต...จึงคิดนำสมบัติเก็บฝังไว้ให้ลูก...จึงได้เรียก "นายนันทะ"ทาสเก่าแก่ซึ่งตน

    ไว้วางใจที่สุดมาหา...แล้วชวนกันไปฝังสมบัติไว้ในป่า...แล้วทำเครื่องหมายไว้พร้อมกับ

    สั่งว่า.."นันทะเอ๋ย...เมื่อบุตรเราโตขึ้น..จงมาขุดเอาเงินทองนี้ให้เขา...ทำทุนค้าขายเถิด"

    ....................นายนันทะรับคำเจ้านาย....ต่อมาไม่นาน..ชายชราสิ้นชีวิตลง..ฝ่าย

    ภริยาก็เลี้ยงดูลูกน้อย.....จนกระทั่งเติบใหญ่

    ....................วันหนึ่งเมื่อได้เวลาอันควร...นางได้กล่าวกับลูกซึ่งเติบใหญ่ว่า

    ......................"เจ้าจงไปขุดทรัพย์สมบัติที่พ่อเจ้าฝังไว้..นำมาสร้างฐานะในภายหน้า

    เถิด"

    ....................ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้น..จึงไปหานายนันทะ..เพื่อขอให้พาไปยังที่ฝัง

    สมบัติ......นายนันทะรีบกุลีกุจอ..นำจอบและเสียม....ไปยังป่าที่ฝังสมบัติไว้โดยกริยา

    ของทาส

    ....................แต่พอไปถึงจุดที่ฝังสมบัติ...นายนันทะกลับเปลี่ยนกริยา..หันมาตะคอก

    ใส่ชายหนุ่มผู้เป็นนาย...พูดจากระทบกระแทก.ถือตัวเป็นสำคัญต่าง ๆ โดยกล่าวว่า

    ......................"ในเมื่อเป็นเจ้านาย..กลับต้องมาพึ่งพาข้าทำไมล่ะ".................

    ....................ชายหนุ่มเห็นท่าไม่ดี..จึงชวนนายนันทะกลับบ้าน..ครั้นถึงบ้านแล้ว..

    นายนันทะกลับพูดจาอ่อนโยนเหมือนเดิม

    ....................ต่อมาอีกสองสามวัน...ชายหนุ่มเห็นนายนันทะมีอารมณ์ดี...จึงชวนไป

    ขุดสมบัติในป่าอีก..นายนันทะรีบไปด้วยความเต็มใจ....

    ....................แต่ครั้นไปถึงที่ฝังสมบัติ..ก็กลับพูดจาเย่อหยิ่ง..และโยนจอบเสียมทิ้ง..

    ชายหนุ่มจึงได้ชวนกลับบ้านเช่นคราวก่อน..พร้อมทั้งรู้สึกแปลกใจในอาการของนายนันทะ

    ....................ชายหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่า...บิดามีเพื่อนเก่าอยู่คนหนึ่ง...ซึ่งนับถือว่าเป็น

    บัณฑิต...ชายหนุ่มจึงเดินทางไปพบเพื่อนเก่าของบิดา...แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังเพื่อ

    ปรึกษาหารือหาทางแก้ไข...เพื่อให้รู้ที่ฝังสมบัติของบิดา

    ....................บัณฑิตผู้เฒ่าสืบสาวราวเรื่องแล้ว...พอจะเข้าใจได้ว่า"นายนันทะผู้เป็น

    ทาสนี้..เมื่อไปถึงที่ฝังสมบัติคงเกิดมานะถือตัวว่า..ตนผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ที่ฝังทรัพย์..นายจะ

    ต้องพึ่งพาอาศัยตน...เพราะความลำพองใจจนลืมตัวเช่นนี้..จึงกล่าววาจาข่มขู่นาย...แต่

    ครั้นมาถึงบ้านที่ตนอาศัยเขาอยู่อย่างทาสรับใช้..ก็บังเกิดความคุ้นเคย..แสดงตนเป็นทาส

    ดังเดิม"

    ...................คิดดังนี้แล้ว...บัณฑิตเฒ่าจึงกล่าวกับชายหนุ่มว่า.......................

    ....................."หลานเอ๋ย..หากนายนันทะบุตรของนางทาสี..ยืนกล่าวคำหยาบต่อเจ้า

    อยู่ตรงไหน..ก็แสดงว่าตรงนั้นแหละ...เป็นที่ฝังทรัพย์สมบัติของพ่อเจ้า..เจ้าจงขุดขึ้นมา"

    ...................วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มจึงชวนนายนันทะเข้าป่าไปขุดสมบัติอีก...เมื่อไปถึง

    บริเวณเดิม...นายนันทะก็ด่าว่าชายหนุ่มเช่นเคย...แต่คราวนี้ชายหนุ่มชิงออกคำสั่งให้...

    นายนันทะขุดสมบัติ ณ ที่เขายืนอยู่นั้นขึ้นมา.....และก็พบว่ามีสมบัติอยู่จริง

    ...................เมื่อขุดสมบัติขึ้นมาได้จึงสั่ง.....ให้นายนันทะแบกกลับบ้าน.....ซึ่งเมื่อ

    นายนันทะกลับมาถึงบ้าน..ก็กลายเป็นคนสุภาพอ่อนโยนเช่นเคย

    ...................นายนันทะทาส ได้มาถือกำเนิดเป็น..พระภิกษุลูกศิษย์พระสารีบุตร

    ...................ชายหนุ่ม ได้มาถือกำเนิดเป็น..พระสารีบุตร

    ...................บัณฑิตเฒ่า เสวยพระชาติเป็น...พระพุทธองค์

    ...................ข้อคิดที่ได้..ไม่ควรถือตนเวลานายต้องพึ่งพา..เพราะสิ่งนี้ย่อมทำให้เห็น

    ถึงความไม่จริงใจของตนครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images219.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.4 KB
      เปิดดู:
      943
    • P-2451.gif
      ขนาดไฟล์:
      114.8 KB
      เปิดดู:
      536
  18. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 11 วิเคราะห์การประพฤติธรรมท่านพ่อเพื่อเปรียบเทียบธรรมที่รู้


    ...................."ความฝัน" ของแต่ละบุคคล....จะเป็นเรื่อง"เฉพาะตัวของบุคคล"

    ที่บุคคลที่ขณะกำลังฝันอยู่เท่านั้น.....ที่ได้รู้เห็นความฝันของตนเอง.....ไม่มีผู้ใดมารู้เห็น

    ขณะที่ผู้นั้นกำลังฝันได้

    ....................ถ้าหากบุคคลผู้ที่ฝัน...ไม่บอกแก่ผู้อื่นว่า...เขาฝันเห็นอะไร..มี

    เหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในความฝัน...ลักษณะอาการในความฝันเป็นอย่างไร....และเขารู้สึก

    อย่างไรขณะที่กำลังฝัน....ผู้อื่นนั้นก็ไม่อาจรู้เรื่องราว......ความฝันของผู้ที่ฝันได้

    ....................หรือแม้แต่ผู้ที่ฝัน....ได้บอกเล่าความฝัน...ให้แก่ผู้อื่นฟัง....ผู้อื่นก็รับรู้

    ได้เพียงบางอย่างเท่านั้น.....ไม่สามารถรู้เห็นความฝันของคนผู้นั้น...และความรู้สึกของ

    คนผู้นั้นขณะกำลังฝัน.......ได้ตามความเป็นจริง

    ....................เช่นเดียวกับ"ความคิด"ของแต่ละบุคคล....ก็เป็นเรื่องเฉพาะตนของแต่

    ละบุคคล.....ที่บุคคลอื่นไม่อาจรู้เห็นได้ขณะที่ผู้คิดกำลังคิดอยู่....แม้จะบอกเล่าความคิด

    ให้ฟัง..ก็ไม่อาจรู้เห็นตามความเป็นจริงได้

    ...................."สองตัวอย่างข้างต้น"...นั้นเป็นลักษณะที่ผมเทียบเคียง.....ให้เห็น

    ภาพชัด...ในการเปรียบเทียบ......ลักษณะของ "ปัจจัตตัง"....ใน"บทสวดสรรเสริญพระ

    ธรรมคุณ" ที่ผมนำเสนอมาแต่ต้นของตอนที่ 10 นี้ ...ว่า.."พระธรรม"..ที่ผู้ประพฤติปฏิบัติ

    ได้.."เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน"

    ...................."ปัจจัตตัง"..เป็น"สิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน".........ไม่มีผู้ใดมารู้แทน

    ได้....."พระธรรม".....ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ก็เช่นกัน......ที่อยู่ในข้อกำหนดที่ว่า......

    "รู้ได้เฉพาะตน"..หรือ.."ปัจจัตตัง" ...

    ....................เพราะทั้ง.."ความฝัน"..."ความคิด"..."พระธรรม"..นั้นมาจากจิต..เป็น

    อาการรู้เห็นทางจิต......ของแต่ละบุคคล....การรู้เห็นธรรม...และ....บรรลุธรรมก็เห็น

    ที่.."จิต"....บรรลุที่.."จิต"..ของแต่ละบุคคล...เพราะ..จิตของแต่ละบุคคล.........ก็

    คือ"ผู้รู้"ของแต่ละบุคคล

    ....................แต่การรู้เฉพาะตัว..ก็สามารถบอกเล่าลักษณะอาการ..ให้ผู้อื่นรับรู้ไว้เป็น

    ทางพิจารณาได้...แม้ว่าผู้อื่นนั้นจะไม่ได้รู้เห็นตามความเป็นจริงก็ตาม...การบอกเล่าไม่ได้

    ทำให้ผู้ฟังบรรลุธรรมตามได้...แต่ก็เป็น"ความรู้"

    ....................ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์.."รู้ธรรมเห็นธรรม"..ใด....พวกเราที่เป็นคนอื่นไม่

    สามารถรู้ได้...เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของท่าน....แต่เราสามารถพิจารณาได้..........

    จาก...."การประพฤติปฏิบัติธรรมของท่าน"....ที่ให้พวกเราได้เห็น....ว่าท่านปฏิบัติธรรม

    ข้อใด....เพื่อเทียบเคียงให้เห็นว่า"ท่านมีธรรมข้อนั้นอยู่ในใจหรือจิต"...และ..จากสิ่งบอก

    เล่าทางผลการปฏิบัติที่ท่านได้รู้เห็นเช่นใด.....เพื่อนำมาวิเคราะห์เกี่ยวกับท่านต่อไปครับ.

    ....................
     
  19. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ค้นหาตามรอยภพภูมิพระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี

    ตอนที่ 11 วิเคราะห์การประพฤติธรรมท่านพ่อเพื่อเปรียบเทียบฯ(ต่อ1)


    ....................ข้อน้อมนำหลักธรรมคุณสมบัติ 8 ประการแห่งพระโพธิสัตว์........

    ที่"คุณเจนพัฒน์"ได้สรุปย่อเขียนไว้.....ในกระทู้ของท่านในห้อง"พุทธภูมิ-พระโพธิสัตว์"นี้

    เพื่อนำมาวิเคราะห์.......ความเป็น.."พระโพธิสัตว์"..ที่ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์...ได้เอ่ยขึ้น

    อันเป็นสิ่งที่ท่าน.......พบเห็นในญาณวิถีของท่าน...แต่พวกเราไม่อาจรู้ได้....นอกจากรับ

    ฟัง...และ..."เชื่อหรือไม่เชื่อ"...ตามเท่านั้น

    ....................แต่สิ่งที่พวกเราพบเห็นได้.......คือ "การประพฤติธรรมของท่าน" เป็น

    อันดับแรก.....ที่เราจะมาวิเคราะห์พิจารณา....เป็นข้อแรก

    ....................ในคุณสมบัติ 8 ประการแห่งพระโพธิสัตว์ ......ได้กล่าวคุณธรรมไว้

    สำหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ.........ในแนวทางของพระโพธิสัตว์ไว้ว่า

    ...................."ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์..... พระโพธิสัตว์จำจักต้องสำเร็จในธรรมอันเป็น

    คุณสมบัติ 8 ประการ..... จึงสามารถดำเนินจริยาโปรดสัตว์.....ในสหโลกธาตุนี้ได้ ......

    โดยมิแปดเปื้อนมลทินโทษ ........ คุณสมบัติต่าง ๆ มีดังนี้

    ....................1.พระโพธิสัตว์จักต้อง...บำเพ็ญตนให้เป็นคุณประโยชน์......ต่อปวง

    สัตว์..โดยไม่ปรารถนา.........รับผลตอบแทนจากสัตว์ทั้งหลายใด ๆ

    ....................2.พระโพธิสัตว์......สามารถเสวยสรรพทุกข์แทนสรรพสัตว์ได้...โดยมิ

    บ่นหรือย่อท้อ

    ....................3.พระโพธิสัตว์....สร้างคุณงามความดีไว้มีประมาณเท่าไร...ก็สามารถ

    อุทิศให้แก่....สัตว์ทั้งหลาย ....ไม่หวงแหนตระหนี่ไว้

    ....................4.พระโพธิสัตว์....ตั้งจิตอยู่ในสมณธรรมอันสม่ำเสมอ.....ในปวงสัตว์

    ไม่เลือกที่รักผลักที่ชั่ง .... ถ่อมตนไว้ไม่ลำพอง....โดยปราศจากความข้องขัดใด ๆ

    ....................5.พระโพธิสัตว์....เห็นพระโพธิสัตว์ทุก ๆ องค์ ..... ปานประหนึ่งเห็น

    พระพุทธองค์ ..... อนึ่งพระสูตรใด....ยังมิเคยได้สดับตรับฟัง......ครั้นได้มีโอกาสสดับ

    ตรับฟังแล้ว ..... ก็ไม่บังเกิดความคลางแคลงกังขาอย่างไร.....ในพระสูตรนั้น

    ....................6.พระโพธิสัตว์....ไม่หันปฤษฎางค์ให้กับธรรม.......ของพระอรหันต์

    สาวก......แต่สมัครสมานเข้ากับธาตุดังกล่าว

    ....................7.พระโพธิสัตว์.....ไม่เกิดความริษยาในลาภยศสักการะ...อันบังเกิด

    แก่ตนเอง......... สามารถควบคุมจิตของตนไว้ได้

    ....................8.พระโพธิสัตว์......จักต้องหมั่นพิจารณาโทษของตนเองอยู่เป็นนิตย์

    ไม่เที่ยวเพ่งโพทนาโทษของผู้อื่น ...... ตั้งจิตมั่นคงเด็ดเดี่ยวในการสร้างบารมี

    ....................ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ .....เป็นคุณสมบัติ 8 ประการของพระโพธิสัตว์ซึ่ง

    เป็นคุณธรรม.....ที่ยากนักที่บุคคลธรรมดาจะปฏิบัติได้........และเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ที่

    สามารถก้าวเข้ามาอยู่....ในธรรมปฏิบัติเหล่านี้ ...... จึงไม่ต้องสงสัยในเรื่องบารมีความ

    ศักดิ์สิทธิ์ของพระโพธิสัตว์ ......ท่านว่าจริงอย่างที่พูดหรือไม่....
     
  20. สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    พี่ชายไม่โพสต่อหรอครับ

    หายไปนานเลยพี่
     

แชร์หน้านี้