พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ตอนที่ 85 ดอกทานตะวันสัญญลักษณ์แห่งบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์




    ....................เณรฟังเรื่องราวที่ภูผาเล่าเขาคิดพิจารณาตรึกตรองตามอย่างพินิจพิจารณา

    โดยข่มอาการตื้นเต้นอย่างมีสติ..พลางคิดว่า จากการที่โนรีมีลักษณะเช่นนี้....นางอาจมีปัญหาใน

    การดำเนินชีวิตตามมา..ด้วยการพยายามที่จะปกปิดซ่อนตัวในลักษณะเช่นนี้..แต่นางจะทำได้เพียง

    ใด..การปกปิดลักษณะของตนเอง.....ในข้ออื่นของลักษณะนางอาจแก้ไขได้โดยการหลีกเลี่ยง...เช่น

    หลีกเลี่ยงจากการกระทบแสงจันทร์เพ็ญในคืนจันทร์เพ็ญ...แต่เหตุการณ์ที่นางพออายุได้ 20 ปีจะไม่มี

    วันแก่เฒ่าเลย...ในขณะที่แม่ของนางหรือน้องสาวของนาง...และคนรุ่นราวคราวเดียวกันกลับแก่เฒ่า

    ชราไปเลย.....นางจะปกปิดความผิดปกติเช่นนี้ได้อย่างไร.....

    ....................เณรคิดถึงคำบอกเล่าของตี๋เล็ก..เรื่องที่โนรีเดินผ่านทุ่งดอกทานตะวันแล้ว...ดอก

    ทานตะวันทั้งทุ่งกลับหันหน้าดอกมาหานาง....โดยละทิ้งดวงอาทิตย์ที่หันหน้าดอกเข้าหาอยู่เดิม

    ไป......บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์ที่เขารำพึงรำพันชื่อขึ้นมากับดอกทานตะวัน...เณรคิดแคลงใจ

    อะไรบางอย่าง...ที่เขาอยากจะบอกภูผาซึ่งเป็นเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญนอกเหนือจากที่ภูผาได้รับรู้

    ....................เณรจึงเอ่ยกับภูผาขึ้น

    ............................."เจ้าเคยเห็นทุ่งดอกทานตะวันไหม"

    ....................ภูผาแปลกใจที่อยู่ ๆ เณรเปลี่ยนเรื่องราวกระทันหัน

    ............................."เจ้าถามทำไม..ถ้าเป็นดอกทานตะวันที่ปลูกอยู่รวมกันไม่เกิน 20 ต้นข้า

    เคยเห็น..แต่ถ้าเป็นทุ่งกว้างข้าไม่เคยเห็น"

    ............................."ข้าเองก็ไม่เคยเห็น...เป็นแต่เพียงตี๋เล็กเคยบอกข้าว่า..มีทุ่งดอกทานตะวัน

    ที่กว้างใหญ่ซ่อนตัวอยู่หลังป่าทางทิศตะวันตกติดภูเขา.."

    ............................."ที่เจ้าพูดนี้หมายความว่าเจ้าอยากไปดูความสวยงามของทุ่งดอก

    ทานตะวันหรือ"

    ....................เณรส่ายหน้าแล้วเอ่ยตอบ

    ............................."มันเกี่ยวกับโนรีต่างหาก...และข้าคิดความหมายปริศนาของมันแล้วข้า

    อยากไปดู...ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น...เมื่อไปถึงแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง"

    ............................."พรุ่งนี้เช้าหรือ"

    ............................."ใช่พรุ่งนี้ข้ากับเจ้าจะออกเดินทางไปตามหามัน"

    .....................หลังจากจบสนทนาเณรและภูผายังคงอยู่ที่ในฮวงจุ้ย........เพื่อชมบรรยากาศ

    ความวังเวงน่ากลัวของป่าช้า..พร้อมกับดูดวงดาวและดวงจันทร์บนท้องฟ้าโดยไม่มีอาการหิวโหยผ่าน

    เข้ามา......และคืนนั้น..ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเพลงขลุ่ยที่โนรีเป่าขึ้น...เณรรีบชี้ให้ภูผาดูอาการของต้น

    แอปเปิ้ลทั้งสอง...ภูผาเห็นต้นแอปเปิ้ลโยกตัวไปมาตามเสียงขลุ่ย.......เขารู้สึกทึ้งว่านอกจากตัว

    โนรีแล้ว...เสียงขลุ่ยของโนรียังมีพลังทำให้ต้นแอปเปิ้ลทั้งสองรับรู้เสียงขลุ่ยของนางอีกด้วยหรือ......



    ................"เสียงขลุ่ยข้าล่องลอยไกล..พาดวงใจไปตามเสียง...ตามหาผู้ร่วมเคียง...ฟัง

    สำเนียงพร่ำเรียกหา....คอยเจ้าร่วมทางมา....นานนักหนาชั่วนิรันดร์"



    .....................เสียงขลุ่ยที่แว่วแผ่วมาดังสท้านเข้าไปในขั้วหัวใจของสองหนุ่ม..ที่นั่งนิ่งเหมือน

    ต้องมนต์สะกด...จนเสียงนั้นลาลับไป....ทั้งคู่จึงเดินทางไปพักผ่อนหลับนอนที่กุฏิของเณร





    .....................รุ่งเช้าวันใหม่..เณรและภูผาปลดม้าจากเกวียนและควบม้าไปคนละตัวมุ่งหน้าไป

    ค้นหาทุ่งดอกทานตะวันตามคำบอกเล่าของตี๋เล็ก.....

    .....................ทั้งคู่เดินทางไปไกลจากวัดโนรีนรารามมาก...จนพบป่าตามคำบอกเล่าของตี๋

    เล็ก...เณรลงจากหลังม้าพร้อมกับภูผา...และเดินจูงม้าผ่านป่านั้นไป...และในที่สุดเขาทั้งคู่ก็พบกับทุ่ง

    ดอกทานตะวันที่สวยงามและกว้างใหญ่ไพศาลไปจนติดภูเขา

    .....................เณรและภูผาเดินผ่านทุ่งดอกทานตะวันทุ่งแรกเข้ามาจนถึงกระท่อมของพ่อเฒ่า

    จง...ซึ่งเจ้าของไม่อยู่..เขาทั้งคู่ผูกม้าไว้ที่หลักไม้หน้ากระท่อม.และเดินสำรวจมองดูไปรอบ ๆ.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 79561_6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.4 KB
      เปิดดู:
      52
    • 79561_7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.8 KB
      เปิดดู:
      57
    • 79561_8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.4 KB
      เปิดดู:
      63
    • 01113_007.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104 KB
      เปิดดู:
      63
    • s_h03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.5 KB
      เปิดดู:
      46
    • A5437681-20.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.5 KB
      เปิดดู:
      54
  2. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เณรยืนพิจารณาดอกทานตะวัน.....ที่กำลังหันหน้าดอกไปสู่ดวงอาทิตย์หรือ

    ดวงตะวันในยามบ่ายทางทิศตะวันตก..โดยมีภูผาเดินตาม...เขาเดินไปจับหน้าดอกทานตะวันเบน

    หันหน้าดอกไปทางทิศตะวันออก.......พอปล่อยมือสักพักดอกทานตะวันก็หันหน้าดอกกลับไปสู่กับ

    ดวงตะวัน....เณรมองไปรอบ ๆทุ่งดอกทานตะวันทั้งทุ่งก็เห็นเป็นอาการเดียวกันทั้งหมด......

    .....................เณรนึกถึงภาพตามคำพูดของตี๋เล็ก..ว่าดอกทานตะวันทั้งทุ่งต่างหันหน้าดอก

    เข้าหาโนรีโดยละทิ้งดวงตะวันยามโนรีเดินผ่านไปทั้งท้องทุ่ง.....ดุจทหารกองเกียรติยศไล่

    ลำดับ.....ทำความเคารพผู้บังคับบัญชาที่เดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ...เณรเริ่มเห็น

    ภาพตามที่ตี๋เล็กเล่าเมื่อได้มาอยู่ในสถานที่เดียวกับตี๋เล็ก..เขาจึงเข้าใจตี๋เล็ก..ทำไมตี๋เล็กจึง

    เล่าให้เขาฟังด้วยอาการตื่นเต้นตกใจในภาพที่เห็น.....ก็เพราะภาพที่เขาเห็นและผู้ที่อยู่ใน

    เหตุการณ์ได้เห็นมันเป็นภาพที่"ยิ่งใหญ่ตระการตาสำหรับพวกเขา...เพราะเป็นเป็นเรื่องความ

    ความมหัศจรรย์ตื่นเต้นปนไปกับความสวยงาม....ที่หญิงงามตระการตาเดินผ่านทุ่งดอก

    ทานตะวันอันสวยงาม...และดอกทานตะวันทั้งท้องทุ่งหันหน้าดอกอันสวยงามเขาหานาง

    ทุกดอก..เณรอยากเห็นเหตุการณ์จริงเช่นนี้มาก...เพราะเพียงแค่นึกภาพตาม..มันได้เพียง

    แค่จินตนาการตามเท่านั้น......

    .....................ภูผาเอ่ยถามเณรว่าทุ่งดอกทานตะวันนี้เกี่ยวกับโนรีอย่างไร

    ............................."เณรทุ่งดอกทานตะวันมันยิ่งใหญ่และสวยงามมากเลยนะ..ข้าเพิ่งเห็นเป็น

    ครั้งแรกนี่แหละ...แต่มันเกี่ยวข้องกับโนรีอย่างไรหรือ"

    ............................."มันเกี่ยวข้องอย่างมากทีเดียว..ตามที่ตี๋เล็กเล่าให้ข้าฟัง..โนรีเดินผ่านทุ่ง

    ทานตะวันแห่งนี้...เจ้ารู้ไหมว่าดอกทานตะวันทั้งท้องทุ่งต่างหันหน้าดอกเข้าหาโนรี..ผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญที่เจ้าบอกข้าว่านางจะมีแสงจันทร์เพ็ญออกจากร่างกายอยู่ตลอดเวลา..โดยละ

    หน้าดอกจากดวงตะวัน...เจ้าลองคิดดูสิว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร"

    .....................ภูผาได้ยินเณรพูดเช่นนั้น..เขารู้สึกตื้นเต้นถึงกับเอ่ยอุทาน

    ............................"หา...เจ้าว่าอย่างไรนะ...เจ้าบอกว่า..ดอกทานตะวันทั้งทุ่งนี้เลยหรือ

    ที่หันหน้าดอกเข้าหาโนรี..โดยละทิ้งดวงตะวัน"

    ............................"ถูกแล้วล่ะ...นางทำให้ดอกทานตะวันมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง

    ธรรมชาติของมันที่ต้องหันหน้าดอกเข้าหาดวงอาทิตย์"

    ............................"มันเป็นเรื่องประหลาดอัศจรรย์ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญอีกเรื่องหนึ่ง..ที่

    พ่อเฒ่ามูซาไม่เคยเอ่ยแก่ข้าฟังเลย"

    ............................."ข้าว่าบางทีพ่อเฒ่ามูซาอาจไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ

    ทั้งหมดก็เป็นได้...พ่อเฒ่าน่าจะรู้แต่เพียงในตำนานของพ่อเฒ่าที่บอกไว้สืบต่อกันมาเท่านั้น"

    ............................."ก็อาจเป็นอย่างเจ้าว่า..เป็นไปได้ไหมที่แสงจันทร์เพ็ญของนางเป็น

    สื่อดึงดูดดอกทานตะวันให้เข้ามาหานาง"

    ............................."ข้าก็คิดอยู่เช่นนั้นเหมือนกัน...และกำลังคิดไปถึงพฤติกรรม

    ของดอกทานตะวันอยู่"

    ............................."เจ้าคิดว่าอย่างไร"

    ............................."ข้าคิดว่า.......พฤติกรรมของดอกทานตะวันจะคล้อยตามดวง

    ตะวันไปอยู่ตลอดเวลา...แต่ในอีกนัยหนึ่งหรืออีกมุมมองหนึ่งข้าคิดว่ามันกำลังสู้กับดวง

    อาทิตย์หรือดวงตะวันอยู่"

    ............................."เจ้ากำลังหมายถึงสิ่งใด"

    ............................."ข้ากำลังคิดว่า..ในเมื่อมันเป็นอาการของการสู้กับดวงอาทิตย์...มัน

    น่าจะมีสัญญลักษณ์แห่งบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์อยู่"

    .....................ภูผาคิดตามที่เณรพูดก็รู้สึกคล้อยตาม..จึงเอ่ยขึ้น

    ............................."เจ้าพูดได้เข้าท่าทีเดียว..และมีคำอธิบายอื่นอีกไหม"

    ............................."ข้าไม่รู้หรอกว่าบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์จะต่อสู้อย่างไรกับดวง

    อาทิตย์...แต่เชื่อว่าเขาต้องเคยสู้กันในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง...พ่อเฒ่าบอกเจ้าว่าเขาคือ

    ดาวราหู.....หรือบุรุษดาวราหู..คู่ปรปักษ์ของเขาก็คือดวงอาทิตย์และดวงจันทร์"

    ............................."ใช่"

    ............................."เป็นไปได้ไหมว่า..แท้จริงแล้วดอกทานตะวันนี่แหละคือดอกไม้ของ

    ดาวราหูที่ไม่เคยมีใครคิดถึงมาก่อน...มันหลอกล่อผู้คนด้วยสีเหลืองเปรียบเช่นดวงตะวันให้

    คนหลงผิด...คิดว่ามันคือดวงตะวัน..แต่อาการของมันคือการต่อสู้กับดวงตะวัน..มันคือ

    สัญญลักษณ์แห่งบุรุษดาวราหูหรือบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์ที่พ่อเฒ่าบอกแก่เจ้า...ว่าเขาคือคู่

    ปรปักษ์กับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"

    ............................."แล้วเจ้าคิดอะไรได้อีกหรือ"

    ............................."ข้าคิดว่า.......หลังเกิดปรากฎการณ์สุริยคราสหรือจันทคราสขึ้นใน

    ท้องถินนี้....เขาน่าจะปรากฎกายขึ้นที่ทุ่งดอกทานตะวันแห่งนี้แหละ"

    ....................ภูผาคิดตามด้วยอาการนิ่งแล้วเอ่ยถาม

    ............................."ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น"

    ............................."อาการของดอกทานตะวันว่องไวต่อการรับแสงและดึงดูดแสง...

    เช่นแสงอาทิตย์.หรือแม้แต่แสงจันทร์เพ็ญในตัวโนรี...ข้าเชื่อว่าดอกไม้แห่งสัญญลักษณ์ของ

    บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์จะดึงดูดเขามาที่นี่.....หากเกิดสุริยคราสหรือจันทคราสขึ้นในท้องถิ่น

    นี้...ข้าหรือเจ้าจะต้องมาที่นี่เพื่อมาดูให้รู้ว่าเขาคือใคร"

    .....................เณรและภูผาเริ่มแน่ใจ..ในสิ่งที่คิดและพฤติการณ์ต่าง ๆที่ปรากฎจนได้ข้อสรุปว่า...

    ทุ่งดอกทานตะวันแห่งนี้จะต้องปรากฎร่างของบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์หรือบุรุษดาวราหูอย่างแน่

    นอน.....

    .....................เณรและภูผาเดินตามทางผ่านท้องทุ่งไปยังเชิงเขา..และเขาก็พบกับที่ฝังศพ

    ของ...แม่เฒ่ารักนิรันดร์ที่มีป้ายเขียนไว้และบนหลุมฝังศพยังปรากฎต้นดอกทานตะวันปลูกไว้

    พร้อมกับบริเวณรอบ ๆหลุมศพ

    .....................เณรพิจารณาตามความรู้สึกก็รู้สึกว่า...ผู้ตายน่าจะรักและผูกพันกับต้นดอก

    ทานตะวันอย่างมาก...จึงได้สร้างทุ่งดอกทานตะวันแห่งนี้ไว้ประดับขุนเขากลางป่าแห่งนี้..

    เณรอ่านป้ายชื่อออกเสียง

    ............................"แม่เฒ่ารัก นิรันดร์"

    .....................เณรอ่านและก็เกิดความรู้สึกอันเดียวกันกับภูผา..ว่า..ช่างเป็นชื่อและนามสกุลที่งด

    งามในทางใจเหลือเกิน..."คำว่า รัก นิรันดร์" แปลได้ความในลักษณะก็คือ "รักอมตะ" หรือ รัก

    ที่ไม่มีวันตาย"นั่นเอง...เขาทั้งสองเชื่อว่า โนรีต้องมาที่หลุมศพนี้...และเมื่อนางพบเห็นคำที่มี

    คุณค่าของชื่อแม่เฒ่า...จะต้องกระทบจิตใจที่ดีงามของนางอย่างแน่นอน....ในส่วนของเณร

    นั้นพอจะจับทางอาการของโนรีได้ว่า...หากนางพบอะไรที่เป็นอารมณ์สู่จิตใจ..นางจะเป่า

    ขลุ่ยตามอารมณ์แห่งจิตใจของนางได้อย่างไพเราะเพาะพริ้งมาก.....โดยเฉพาะการเป่าขลุ่ย

    ท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวันและขุนเขาเช่นนี้....น่าจะเป็นเสียงขลุ่ยที่ก้องกังวานดังไปไกล

    แสนไกลมาก

    .....................ซึ่งเณรคิดได้ถูกต้องทีเดียว...เสียงขลุ่ยในวันนั้นก้องกังวานไพรมีความ

    หมายไพเราะเพาะพริ้งและกินใจมาก



    ...................."ตะวันใกล้ลับดับไป...โลกไร้ซึ่งแสง...แต่รักนั้นมีแรง

    .............................สร้างแสงแห่งรัก...แม้ชีวิตดับแลลับไป

    ............แต่รักมิสิ้นใย...ด้วยดวงใจภักดิ์...ฝากสื่อแห่งรัก...เป็นดอกไม้..........มีนาม

    คล้าย...แสงแรงกล้า...ดวงตะวันมิใช่จันทรา......

    ................................งามสง่าเปล่งแสงจับดวงใจ...................

    ..................อดีตยังคงงดงาม...สถิตท่ามกลางดวงหทัย...รักนั้นมิอาจลืม

    ได้....................ขอฝากไว้กับ..ดอกทานตะวัน............."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เณรพาภูผาเดินสำรวจท้องทุ่งดอกทานตะวัน..และสังเกตดูอาการของมัน

    ตลอดเวลา...พลางคิดว่า..โนรีนางคงจะต้องคอยหลบต้นดอกทานตะวันเพื่อกันคนสังเกตเห็นอาการ

    ผิดปกติของนาง...นางคงรู้ตัวดีเกี่ยวกับว่า"นางคือใคร"

    .....................ทั้งคู่พากันเดินกลับมาที่กระท่อมพ่อเฒ่า......และนั่งรออยู่ที่แคร่หน้ากระท่อม

    นั้น...เณรพลางเอ่ยกับภูผาพร้อมกลับหันกลับไปมองที่ทุ่งดอกทานตะวัน

    ............................."ข้าอยากพบกับพ่อเฒ่าเจ้าของกระท่อมนี้..เพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง"

    ............................."เจ้าต้องการรู้เรื่องอะไรจากพ่อเฒ่าหรือ"

    ............................."พ่อเฒ่าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่ง..และพ่อเฒ่าไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไร

    ขึ้นกับโนรี..รวมทั้งตี๋เล็กและหมวยเล็ก...ยกเว้นเพียงโมลี...ที่เด็กน้อยต้องรู้ว่าพี่สาวของตนเป็นอะไร

    และเกิดอะไรขึ้น...ข้าอยากรู้ว่าพ่อเฒ่ารู้สึกอย่างไรและเข้าใจอย่างไรกับสิ่งที่พบเห็น.......ประการ

    สำคัญจะให้พ่อเฒ่าบอกกับผู้ใดไม่ได้ว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น..ข้าจึงอยากขอร้องพ่อเฒ่า

    ให้เก็บเป็นความลับ"

    ............................"พ่อเฒ่ารู้แต่เพียงดอกทานตะวันหันหน้าเข้าหาโนรี..แต่ถ้าพ่อเฒ่ารู้ถึงขนาด

    โนรีเปล่งแสงจันทร์เพ็ญออกจากร่างกายยามต้องแสงจันทร์เพ็ญ..ข้าคิดว่าเรื่องคงไปกันใหญ่...พ่อ

    เฒ่าอาจหวาดกลัวต่อโนรี"

    ............................"เป็นไปไม่ได้หรอกภูผา..จะไม่มีใครหวาดกลัวต่อโนรี..เจ้าเป็นคนบอกเอง

    ไม่ใช่หรือว่าได้ฟังพ่อเฒ่ามูซาเอ่ยว่า..ผู้หญิงจันทร์เพ็ญจะมีความรักและความเมตตาต่อทุกคนไม่ว่าคน

    หรือสัตว์คนดีหรือคนชั่ว....ความรักและความเมตตาที่ผู้คนสัมผัสได้จากนางรวมทั้งแสงที่ออกมา

    จากร่างกายและไม่มีผู้ใดเห็น...จะทำให้ไม่มีใครหวาดกลัวโนรี....โดยเฉพาะความเมตตา..เป็น

    ธรรมข้อหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า..ผู้ใดเจริญเมตตาอยู่เป็นนิจ..จะเป็นผู้ที่มีแต่คน

    รักแม้แต่เทพพรหมและสัตว์ทั้งหลาย...ผู้ที่เจริญเมตตาอยู่อันตรายใดหาได้ทำร้ายได้ไหม...นี่

    คือสัจธรรมโดยย่อจากพระพุทธองค์"

    .....................ภูผาคิดตามและเอ่ยขึ้น

    ............................."เมตตาอีกแล้วหรือ...เจ้าช่างจดจำเรื่องทางธรรมมาประยุกต์ใช่

    ปะปนกับทางโลกได้สอดคล้องต้องกันโดยแท้...ข้ายิ่งอยู่กับเจ้านานข้ายิ่งคิดว่าข้าคิดผิดที่

    บอกเจ้าตอนอยู่ในป่าเมืองปัตตานีว่า...เมื่อเจ้าออกมาอยู่ทางโลกแล้วความรักจะผูกมัดเจ้า

    จนเจ้าไม่สามารถไปใช้ชีวิตอย่างนักบวชได้อีก..เพราะตอนนี้ข้าเริ่มคิดได้แล้วว่า..เจ้านั้นมี

    ธรรมที่เจ้าประพฤติอยู่คุ้มครองเจ้าอยู่ตลอดเวลา...ไม่ว่าเจ้าจะคิดอ่านอะไรก็น้อมไปทางธรรม

    ที่เจ้าเรียนรู้มาทั้งสิ้น..ข้าเชื่อว่าเจ้าคงต้องเลือกกลับไปเป็นนักบวชอย่างแน่นอน"

    ....................คำพูดของภูผาตามความรู้สึกครั้งนี้เป็นดุจดังคำทำนายที่แม่นยำ...เพราะจิตที่รับรู้

    อะไรบางอย่างของคนที่คุ้นเคยกัน....จนอยู่ในขั้นวิสัยที่มองทางได้...มักจะพูดออกมาได้ตรงกับความ

    จริงในอนาคตของคนที่คุ้นเคยได้ถูกต้องเสมอ...เพราะกาลต่อมาเณรได้กลับไปบวชเป็นพระภิกษุที่

    เคร่งครัดในธรรมเดินธุดงค์ออกโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยธรรมที่เขาได้เรียนรู้และปฏิบัติมา

    ตลอด....ชีวิตของเณรนั้นไม่เหมาะสมที่จะใช้วิถีชีวิตแบบทางโลกเลย....แต่เพราะการที่เขาได้มาใช้

    ชีวิตอย่างทางโลก..ทำให้เขาเห็นสัจจธรรมที่เปรียบเทียบธรรมชาติอันเป็นความจริงได้ถูกต้อง

    .....................เณรและภูผารอพ่อเฒ่าจนเย็นก็ไม่มีวี่แววว่าพ่อเฒ่าจะกลับมา...เขาทั้งสองจึงเดิน

    ทางกลับโดยควบม้าแข่งกันกับความมืดมุ่งสู่วัดโนรีนรารามอย่างเร็ว




    .....................เมื่อมาถึงวัด..ภูผาได้เอ่ยกับเณรว่า

    ............................."พรุ่งนี้..ข้าจะไปเยี่ยมโนรีที่บ้าน"

    .....................เณรยิ้มด้วยเห็นอาการญาติผู้พี่ดีขึ้น..พลางเอ่ยตอบ

    ............................."แล้วเจ้าต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อนด้วยไหมเล่า"

    ............................."เจ้าต้องไปกลับข้าอยู่แล้ว..เพราะเจ้าคือพี่ชายที่นางไว้ใจ"

    ............................."ถ้าเจ้าจะเจอโนรี...เจ้าต้องไปตลาดในเมืองกับข้าเพราะพรุ่งนี้สองพี่น้อง

    จะต้องนำผลไม้ไปส่งที่ตลาด"

    ............................."ดีข้าไม่เคยไปตลาดเมืองสุราษฎร์มาก่อนเลย..จะได้ดูอะไรให้มันแปลกตา

    แปลกใจบ้าง" ภูผากล่าวอย่างอารมณ์ดี..ก่อนทั้งคู่จะกลับเข้ากุฏิที่พัก...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 86 อยู่อย่างทรายในน้ำลึกที่ไม่มีใครเหยียบย่ำ.....




    ....................รุ่งเช้าโนรีและโมลีสองพี่น้อง.....ได้นั่งเกวียนขนผลไม้ไปนำส่งป้าตันหยงที่

    ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี....นางคิดว่า..วิถีชีวิตของนางเริ่มสับสนและยุ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ...นางไม่เคยรับ

    รู้มาก่อนเลยว่าเมื่อถึงวัย 20 ปี นางจะไม่มีวันแก่เฒ่าชราเลย..ด้วยพ่อเฒ่ามูซาผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่เคย

    เล่าคุณลักษณะข้อนี้ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญให้นางฟัง....ผู้หญิงจันทร์เพ็ญช่างมีอะไรมากมายที่ปรากฏ

    แก่นางเป็นระยะ ๆ จนนางรู้สึกว่า..นางอาจรับต่อไปไม่ได้...นางอยากเกิดเป็นเช่นคนธรรมดามากกว่า

    เป็น"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"..หรือเกิดเป็นสิ่งที่ไร้ชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไขไม่มีผู้ใดรบกวนความเป็นอยู่ของ

    ชีวิต.....

    .....................เกวียนสองพี่น้องถึงตลาด...โนรีและโมลีขนผลไม้ไปส่งที่ร้านป้าตันหยง..โนรีคิด

    จะเดินไปหาตี๋เล็กที่ร้าน..ด้วยทราบว่าตี๋เล็กไม่ได้ไปขายเร่มาสองสามวันแล้ว...แต่ก็คิดอีกที

    ว่า..."เหตุการณ์ในวันที่อยู่ในท้องทุ่งดอกทานตะวันอาจทำให้ตี๋เล็กซักถามนาง..แล้วนางตอบไม่ได้

    ด้วยต้องปกปิดเรื่องราวของผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่นางเป็นอยู่เอาไว้"

    ....................โมลีน้องสาวเป็นผู้รับรู้ความรู้สึกของพี่สาวได้ดี..ว่า พี่สาวของตนกำลังไม่สบาย

    ใจเกี่ยวกับตัวเองหลายเรื่อง..นางจึงอยากชวนพี่สาวไปเที่ยวยังที่อื่นบ้าง..."ลำน้ำตาปี"ที่

    ไหลผ่านเมืองสุราษฎร์ธานีเป็นสิ่งที่โมลีอยากไป...ด้วยต้องการ.."ดินเหนียวจำนวนมากมา

    ฝึกฝนการปั้นรูปหุ่นต่าง ๆ..ซึ่งโมลีเคยคิดจะชวนพี่เณรให้ขับเกวียนพาไปลำน้ำตาปีและช่วย

    ขุดดินเหนียวจำนวนมากบรรทุกเกวียนกลับมาบ้านเพื่อหมักดินไว้เตรียมปั้นรูปปั้น"



    .....................เณรและภูผาขับเกวียนมาตามหาโนรีและโมลีที่ตลาดตามที่นัดหมายกันไว้...และก็

    เห็นเกวียนของโนรีจอดอยู่ข้างร้านป้าตันหยงแม่ค้าผลไม้..จึงรีบนำเกวียนไปจอดคู่..แล้วเอ่ยถามป้า

    ตันหยงจากด้านหลังทันที

    ............................"ป้าตันหยง..น้องโนรีกับโมลีไปไหนเสียเล่า"

    .....................ป้าตันหยงหันหลังกลับมาจึงเอ่ยทักพร้อมกับตอบ

    ............................"อ้าวเณร..ป้าเห็นสองพี่น้องเดินไปทางมุมตลาดด้านโน้น"

    .....................เณรรับทราบและสกิดญาติผู้พี่ให้ไหว้ป้าที่ตนเคารพนับถือ

    ............................"ภูผานี่คือป้าตันหยง"

    .....................ภูผารับทราบแล้วไหว้ตามเณรบอก..และตนเองก็ได้มองหาโนรีและโมลีในตลาดที่

    พลุกพล่านไปด้วยผู้คน

    .....................ป้าตันหยงนึกได้ว่าเณรไม่ได้มาช่วยโนรีขนผลไม้มาตลาดนานแล้วจึงเอ่ยถาม

    ............................"เดี๋ยวนี้เณร..ไม่ได้มาช่วยน้องแล้วหรือ"

    ............................"พ่อท่านให้ข้าทำงานเร่งด่วนในวัด..จึงไม่มีเวลา"

    ............................"งานที่วัดคงเยอะมาก"

    ............................"พ่อท่านตั้งใจให้วัดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม..เพื่อให้ผู้คนมาบวชนุ่งขาวห่ม

    ขาว...ไม่แต่เฉพาะวันพระเท่านั้น"

    ............................"พ่อท่านตั้งใจเผยแพร่ธรรมจริงจังเลยนะ"

    ............................"พ่อท่านบอกว่า..ต่อไปคนจะห่างวัดไปเรื่อย..ยิ่ง พ.ศ.เพิ่มจำนวนมากขึ้น

    เท่าใด..คนก็ไกลจากพระพุทธเจ้าและศาสนาไปมากขึ้น...ท่านต้องประคองคนรุ่นนี้ให้ตั้งมั่นในหลัก

    ธรรมจนกระจายไปถึงลูกหลานศาสนาจะอยู่มั่นคงถึง 5,000 ปี" เณรเล่าความุม่งมั่นของพ่อท่าน

    ............................"ป้าอนุโมทนาด้วยจริง ๆ...แล้วพวกคนจีนไปวัดบ่อยไหม"

    ............................"มีอยู่ประปราย..เพราะพวกเขาสนใจการทำมาค้าขายมากกว่าสิ่งอื่น" เณร

    พูดตามที่ตนเห็น

    ............................"จริงของเณร..ดูตัวอย่างตี๋เล็กกับหมวยเล็กมันสิ..มันออกค้าขายเร่ตั้งแต่

    เล็กเลย...โตขึ้นคงค้าขายเก่งกว่าเตี่ยของมัน"

    .....................เณรหัวเราะอย่างชื่นชม..และก็รู้สึกว่ามือของผู้ที่อยู่ข้าง ๆกำลังสะกิดให้ดูอะไร

    บางอย่าง............

    .....................เณรหันไปมองตามก็เห็นโนรีกับโมลีกำลังเดินมา...เมื่อโมลีเห็นหน้าพี่เณรพร้อมกับ

    ภูผา..เด็กน้อยก็วิ่งนำหน้าพี่สาว..ด้วยดีใจว่า.."ความคิดของตนที่จะไปเอาดินเหนียวที่ลำน้ำตาปี

    จะสำเร็จโดยพลัน...ด้วยมีคนขุดดินเหนียวถึงสองคนยืนรออยู่ที่ร้านป้าตันหยง"

    ............................"พี่เณรมาถึงเมื่อไร..และพี่ภูผามาจากปัตตานีเมื่อไรกัน" เด็กน้อยถามอย่าง

    เหนื่อยหอบ

    ............................"พี่มารอน้องโมลีตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว" ภูผาเอ่ยตอบ

    ............................"แล้วพี่ภูผามาธุระอะไรหรือ..หรืออยากเห็นโนรี" โมลีพูดถูกใจดำโดยการ

    ดักคอ...ด้วยรู้สีกลึก ๆว่าพี่ภูผานั้นกำลังชอบพี่สาวตนอยู่

    .....................ภูผาแทบจะหัวเราะในความแสนรู้ของเด็กน้อยที่พูดถูกใจ..แต่ก็พูดแก้เก้อ

    ............................"พี่ภูผาอยากมาฟังน้องโมลีพูดต่างหาก..จึงได้มาหา"

    .....................โนรีเดินมาถึงจึงเอ่ยทักทาย

    ............................"พี่ภูผามีธุระกับพ่อท่านหรือจ๊ะ"

    ............................"พี่แค่มาเยี่ยมเยียนพ่อท่านและเณรเท่านั้นเอง"

    .....................โนรีรับรู้และหันไปทางพี่เณร

    ............................"พี่เณรพักนี้ไม่ยอมไปเที่ยวบ้านบางเลยนะจ๊ะ"

    ............................"พี่เณรกำลังงานยุ่งอยู่ในวัด..จึงไม่ค่อยมีเวลา"

    ............................"แล้ววันนี้ทำไมมีเวลาได้" โมลีน้องเล็กพูดสวนออกมา

    ............................"ก็วันนี้ว่าง..จึงพาภูผามาหาน้องโมลีไง"

    ............................"ถ้าพี่ทั้งสองว่างก็สมใจหนูแล้ว...เพราะวันนี้หนูจะให้พี่ทั้งสองไปกับ

    หนูที่ลำน้ำตาปี"

    .....................เณรและภูผาต่างแปลกใจ..ที่ทำไมต้องไปลำน้ำตาปี..เณรจึงเอ่ยถาม

    ............................."น้องโมลีจะไปทำอะไรที่ลำน้ำตาปี"

    ............................."ไปขุดดินเหนียวจำนวนมาก ๆ ขนขึ้นเกวียนไปบ้าน"

    ............................."แล้วจะเอาดินเหนียวมาก ๆไปทำอะไร"

    ............................."หนูจะอาไปปั้นรูปปั้นและหุ่นต่าง ๆ"

    ............................."ปั้นรูปปั้น" เณรและภูผาเอ่ยพร้อมกัน

    ....................เด็กน้อยโมลีผู้มีพรสวรรค์ในทางจดจำเป็นเลิศ และยอดศิลปะกำลังเริ่มงานศิลป์อีก

    อย่างหนึ่งให้ปรากฎขึ้นบนดินแดนภาคใต้แทบนี้..ก็รูปปั้นของโนรีขณะกำลังเป่าขลุ่ยอยู่ที่ฮวงจุ้ย

    บริเวณหลุมฝังศพของโนรีและต้นแอปเปิ้ล...ที่ปรากฎขึ้นในปัจจุบันนี้ก็คือ...การปั้นรูปของพี่

    สาว....ของโมลีผู้เป็น.."สตรีหนึ่งเลิศแห่งความจำและยอดศิลป์"..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............กำลังเขียนถึงเรื่อง บุรุษดาวราหู จันทรคราสและสุริยคราส พร้อมกับดอกทานตะวันที่สู้กับดวงอาทิตย์อยู่เลย.....ก็เกิดจันทรคราสขึ้นชนิดเต็มดวงเมื่อคืนนี้พอดีเลย....ก็แปลกดีนะครับ......
    ............เกิดจันทรคราสขึ้นเมื่อใด..จะเกิดบุรุษดาวราหูขึ้นที่..ทุ่งดอกทานตะวัน............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"แต่พี่เณรไม่ได้เตรียม จอบหรือเสียมมาขุดดินเหนียวด้วยนะน้องโมลี" เณร

    ทักท้วงโมลี

    ............................"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง..เดี๋ยวหนูไปขอยืมหมวยเล็กที่ร้านก่อนแล้วพวกเราไป

    กัน" โมลีจัดการปัญหา

    .....................พูดเสร็จเด็กน้อยก็วิ่งไปหาหมวยเล็ก..สักพักหนึ่งก็เดินถือจอบและเสียมมาที่

    เกวียน...ทำให้ทุกคนเห็นการเอาจริงเอาจังของโมลี...และไม่มีใครทักท้วงอีก

    .....................เกวียนสองเล่มเคลื่อนที่ตามกันไป มุ่งหน้าสู่ลำน้ำตาปี..โดยมีโนรีและโมลีขับ

    เกวียนอยู่ข้างหน้า...ภูผารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนเริงร่าออกหน้าออกตาด้วยได้เห็นและอยู่ใกล้ชิดกับโนรีทำ

    ให้เขารู้สึกมีความสุข..ทำให้เณรได้เห็น...ซึ่งเณรเดาใจภูผาก็รู้จึงเอ่ยเป็นทำนองหยอกล้อแก่ญาติผู้พี่

    ............................"เมื่อสองวันก่อน..ข้าเห็นเจ้าเหมือนกำลังจะตาย..แต่วันนี้ไม่รู้ว่าได้ยาดี

    อะไรจึงสดชื่นกระปี๋กระเป่า..เหมือนกับดอกทานตะวันเจอกับดวงอาทิตย์อย่างนั้นแหละ"

    ............................"เจ้าพูดไม่ถูกเณร...มันต้องเหมือนดอกทานตะวันพบเจอกับผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญต่างหาก" ภูผาพูดแกมกระซิบด้วยกลัวได้ยินถึงเกวียนเล่มหน้า

    ............................"หายจากอาการป่วยทางใจ..ก็มีคำพูดแปลกหูดีนะ..ยังกับเคยเห็น"

    ............................"แค่เจ้าบอกว่าตี๋เล็กเล่าเรื่องดอกทานตะวันกับโนรีให้ฟังแล้ว...ข้าได้ไปเห็น

    สถานที่จริง ๆ..ข้าก็จินตนาการได้แล้ว...ว่าดอกทานตะวันมันชอบผู้หญิงจันทร์เพ็ญมากกว่าดวง

    อาทิตย์อีก"

    ....................เณรฟังอย่างอารมณ์ดีแล้วเอ่ยถาม

    ............................"เจ้าเคยมาที่ลำน้ำตาปีบ้างไหม"

    ............................"ข้าไม่ได้อยู่ที่เมืองสุราษฎร์นี่...จะได้เห็นและรู้จักมัน"

    ............................"มันเป็นลำน้ำที่ลึกมาก...แต่ในส่วนที่ใกล้ชายหาดทรายก็ตื้นเป็นธรรมดา"

    ............................"แล้วหาดทรายมันจะมีดินเหนียวให้พวกเราขุดให้น้องโมลีได้อย่างไร"

    ............................"ถ้าแถวริมน้ำไม่มีจริง ๆ สงสัยเจ้ากับข้าคงต้องดำน้ำไปขุดที่ใต้น้ำลึกนั่น

    แหละ"

    ............................"กี่เที่ยวถึงจะพอ"

    ............................"น่าจะเต็มเกวียนสองเล่มนี้แหละ..น่าจะพอรูปปั้นตัวคน"

    .....................ภูผาพยักหน้าแทนคำตอบ


    .....................ในส่วนของเกวียนเล่มหน้านั้นโนรีรู้สึกมีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย..ด้วยเห็นทิวทิศน์ที่

    ปรากฎตามรายทาง...อันเป็นการสมประสงค์ของโมลีผู้น้องอีกความประสงค์หนึ่งที่ต้องการให้พี่สาว

    ของตนคลายความวิตกกังวลกับตัวเอง.....

    .....................ในที่สุดเกวียนสองเล่มก็ได้มาถึงหาดทรายของลำน้ำตาปี..โมลีและโนรีลงจาก

    เกวียน...โดยมีเณรและภูผาเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ....หาดทรายที่ขาวสอาดพร้อมกับสายน้ำที่ดูแล้วเย็น

    ชุ่มฉ่ำ..ทำให้จิตใจของคนเมื่อรับรู้ธรรมชาติในส่วนนี้เข้าไว้ในจิตใจก็จะเกิดความสุขและผ่อนคลาย

    ตาม....

    ......................ทั้งสี่มองดูไปรอบ ๆริมแม่น้ำในจุดที่น่าจะมีดินเหนียวอยู่...แต่แล้วสายตาของ

    ทั้งสี่ก็มองไปเห็นต้นดอกทานตะวันราว 20 ต้นที่กำลังหันหน้าดอกเข้าสู่ดวงอาทิตย์....ทั้งที่

    ดอกทานตะวันอันสวยงามไม่ได้มีความน่ากลัวแต่อย่างใด...แต่ทั้งสี่กลับสะดุ้งตกใจและ

    หวาดกลัวอย่างพร้อมเพรียงกัน......

    .......................โนรีและโมลีนั้นตกใจอย่างมาก..ด้วยรู้ว่าหากโนรีเดินผ่านไปที่ต้นดอก

    ทานตะวันกลุ่มนั้น..ดอกทานตะวันจะหันหน้าดอกเข้าหาโนรีทันที..อันจะทำให้พี่เณรและภูผา

    รู้ถึงสิ่งผิดปกติในตัวโนรี...ความรู้สึกของโนรีที่กำลังจะสบายใจอยู่เปลี่ยนแปลงเป็นเศร้าและ

    หวาดระแวงทันที...ด้วยไม่เคยรู้เลยว่า"ทั้งเณรและภูผานั้นรู้เรื่องราวของตนเองแล้ว"

    ....................ส่วนเณรและภูผาที่สะดุ้งตกใจเพราะว่า..พวกตนเองรู้อยู่แล้วว่า หากโนรีเดิน

    ผ่านต้นดอกทานตะวันกลุ่มนั้น..ดอกทานตะวันจะหันหน้าดอกเข้าหาโนรี..ซึ่งนางกำลังปกปิด

    ความลับนี้อยู่...และเมื่อนางมีความหวาดระแวงเช่นนี้นางจะมีความสุขกับธรรมชาติอันสวย

    งามของลำน้ำตาปีได้เช่นใด...

    .....................ดอกทานตะวันกลุ่มนั้นอยู่ริมตลิ่งสุดขอบชายหาดไปทางทิศใต้ที่คาดว่าน่า

    จะมีดินเหนียวจำนวนมากอยู่ที่นั่น.........

    .....................โมลีได้สติก่อนจึงเอ่ยบอกกับพี่สาวและพี่ชายทั้งสองขึ้น

    ............................"หนูว่าเราไปทางริมตลิ่งด้านทิศเหนือของลำน้ำก่อนดีกว่านะ..ดินที่เหนือ

    ชายหาดจะเป็นดินเหนียวที่ดี"

    ......................คำพูดของโมลีทำให้ความตึงเครียดในกลุ่มลดลง..ที่โนรีจะไม่ต้องเดินผ่านต้น

    ดอกทานตะวันไปทางทิศใต้ของลำน้ำ.....โนรีถอนหายใจซึ่งทั้งพี่เณรและภูผาก็เห็นอาการนี้..และเดา

    ความรู้สึกของหญิงสาวออกได้....ทั้งสี่จึงเดินทางขึ้นไปหาดินเหนียวด้านทิศเหนือทันที............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เณรและภูผาเดินนำหน้าโนรีและโมลี..ผ่านหาดทรายสีขาวสอาดตาขึ้นไปทาง

    เหนือลำน้ำตาปี..โมลีเดินจูงมือพี่สาวเดินเคียงคู่กันไป....ขณะที่เดินผ่านหาดทรายสีขาวอันสวยงาม..

    โนรีรู้สึกว่าเวลานางเหยียบย่ำไปบนพื้นทรายเท้าของนางที่สัมผัสกับพื้นทรายดูช่างนุ่มนวลเสียจริง...

    นางสังเกตเห็นว่า..บนพื้นทรายนั้นมีทั้งรอยเท้าคนและสัตว์เดินผ่านเหยียบย่ำไปมาเต็มไปหมด....สัก

    ครู่ก็มีสายลมแรงพัดพาหอบเอาทรายสีขาวปลิวหมุนขึ้นไปบนฟ้าและตกลงมาสู่พื้นดิน.......

    ....................โนรีเห็นพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว..นางได้คิดและรำพึงรำพันอยู่ในใจว่า"ทรายเอ๋ย..

    เจ้าเป็นทรายสีขาวสอาดตาที่สวยงาม...กลับถูกเหยียบย่ำบนตัวเจ้า..อีกทั้งสายลมยังหอบ

    พัดพาเจ้าไป...เมื่อสายลมนั้นไม่ต้องการเจ้าแล้ว..ก็ทิ้งเจ้าลงสู่พื้นดิน..อนาถใจจริง...หาก

    เจ้ามีชีวิตคงทุกข์ใจไม่น้อย..เป็นอยู่อย่างหาความสงบไม่ได้เลย....เปรียบเช่นตัวข้ายามนี้

    กำลังถูกความเป็นผู้หญิงจันทร์เพ็ญพัดพาข้าไปตามวิถี...ข้าไม่อาจบังคับได้...เช่นเดียวกับที่

    เจ้าถูกกระแสลมพัดพาไป....เจ้าและข้าควรมีชิวิตเช่นไร..จึงจะสงบและเกิดสันติสุขอย่างแท้

    จริง"

    .....................นางกำลังคิดอยู่เพลิน ๆ โมลีก็ได้พูดขึ้น

    ............................"เป็นอะไรไปหรือเปล่าโนรี...ทำไมนิ่งไป"

    ............................"ไม่มีอะไรหรอก..พี่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆอยู่...รีบตามพี่เณรกับพี่ภูผาไป

    เถอะ"

    .....................เดินผ่านมาจนสุดหาดทรายสีขาว...เณรก็พบกับดินเหนียวบริเวณดังกล่าว...ภูผา

    และเณรจึงได้ช่วยกันขุดดินเหนียวบริเวณริมชายหาดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก..เข่งผลไม้ที่ว่างเปล่าเป็น

    สิ่งที่เตรียมไว้ใส่ดินเหนียวจำนวนนั้น...เณรจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"น้องโนรีกับน้องโมลี..พี่เณรว่าไปเอาเกวียนสองเล่มมาจอดใกล้กับดิน

    เหนียวนี้ดีกว่า...พี่จะได้เอาดินเหนียวใส่เข่งให้เต็มทั้งหมดแล้วขนขึ้นเกวียน"

    .....................สิ้นคำพูดของพี่เณร..สองพี่น้องก็เดินกลับไปที่เกวียนเพื่อขับมาจอดตามที่พี่เณร

    สั่ง...โมลีขับเกวียนตนเอง..ส่วนโนรีขับเกวียนของภูผามาอย่างช้า ๆ เพราะทรายนั้นจะดูดเท้าม้าและ

    ล้อเกวียนให้หนืดช้าลง...กว่าจะผ่านหาดทรายนี้ไปได้ก็ใช้เวลานานทีเดียว.....

    ......................โนรีมองไปที่กลางลำน้ำตาปีที่กำลังถูกสายลมพัดพาเป็นระลอกคลื่นอย่างแรง....

    ในขณะที่คลื่นพัดอยู่นี้..นางเกิดความคิดหนึ่งที่เป็นคำถามเข้ามาว่า"ทรายบนหาดทรายถูกลมพัด

    พาปลิวขึ้นบนท้องฟ้า...แล้วทรายใต้น้ำลึกเป็นเช่นใด.....ทรายใต้น้ำลึกลมไม่สามารถพัดพา

    ขึ้นมาได้..เพราะมีน้ำลึกคุ้มครองไม่ให้ถูกต้องทราย...แต่คลื่นที่ปรากฎทำอะไรกับทรายใต้น้ำ

    ลึกได้ไหม"

    ....................โนรีรีบพาเกวียนมาจอดเพื่อให้พี่เณรและภูผา..ขนดินเหนียวใส่เข่งขึ้น

    เกวียน..ซึ่งมีโมลีช่วยอยู่...แต่โนรีนางกลับยืนสงบนิ่งอยู่ที่ริมตลิ่ง..ในที่สุดนางก็คิดจะทำบาง

    สิ่งบางอย่างจึงได้เอ่ยขึ้นกับ..โมลีและพี่ทั้งสอง

    ............................"พี่ทั้งสองและโมลี..รอพี่อยู่นี่ก่อนนะ"

    .....................โนรีพูดเสร็จนางก็เดินผ่านหาดทรายกลับไปทางที่มาและเดินไปที่ริมน้ำตา

    ปี...โนรีดึงขลุ่ยออกมาจากเอวที่ติดตัวมา...แล้วนางก็เดินลงไปยังน้ำลึกเข้าไปเรื่อย ๆ

    ......................เณรสังเกตเห็นโนรีดังนั้น..เขาจึงหยุดเอามือกอบดินเหนียวใส่กระบุง..และ

    มองดูโนรีว่ากำลังทำอะไร...ทำให้โมลีและภูผาต้องหยุดกอบดินเหนียวพร้อมกับมองไปที่โนรี

    ตามเณร..อย่างสนใจว่าโนรีกำลังทำอะไร.....

    ......................และแล้วภาพที่ทั้งสามได้เห็นก็คือ..โนรีนั้นเดินไปจนน้ำลึกระดับคอ...แล้ว

    นางก็กลั้นใจอย่างเต็มที่และดำลงไปในลำน้ำตาปีทันที....

    ............................."อะไรกันนะ" เสียงภูผาอุทาน

    ......................ในขณะที่เณรรีบวิ่งตามมาที่ชายหาด..โดยมีโมลีและภูผาวิ่งตามมาดู..ทั้ง

    สามตกใจแต่ก็รอดูสังเกตการณ์อยู่ชายหาดจุดที่ห่างจากโนรีดำน้ำราว 10 เมตร..เพื่อดูว่า

    โนรีกำลังทำอะไรและรอนางโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.7 KB
      เปิดดู:
      48
    • 1115378716.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.3 KB
      เปิดดู:
      43
  8. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โนรีดำน้ำลึกแหวกว่ายไปใต้น้ำผ่านกระแสน้ำไหลอันเย็นเฉียบของฤดู

    หนาว..นางลืมตาขึ้นมองภายใต้ผิวน้ำแหวกว่ายผ่านฝูงปลาที่ว่ายสวนทางมาหานาง..นางจ้องมองดู

    ธรรมชาติของฝูงปลาอย่างมีความสุข...แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านสายน้ำลงไปใต้พื้นน้ำถึง..หาด

    ทรายน้ำลึกที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้พื้นน้ำของลำน้ำตาปีนับเป็นเวลาหลาย ๆร้อยปี..ที่ทรายสีขาว

    กองเรียงเป็นพื้นราบสงบนิ่ง..โดยที่ไม่มีรอยเหยียบย่ำของคนหรือสัตว์ให้ปรากฏเหมือนหาด

    ทรายที่อยู่บนพื้นดินเลย...นางจ้องมองดูหาดทรายบริเวณใต้น้ำตื้นก็พบว่ายังมีร่องรอยของ

    การถูกเหยียบย่ำหรือถูกคลื่นซัดเป็นคลื่นทรายคล้ายลูกระนาด....

    ....................หาดทรายภายใต้น้ำลึกไม่มีร่องรอยของคลื่นซัดให้มันเป็นลูกระนาด..มัน

    ราบเรียบขาวสะอาดตาเหมือนกับพรมสีขาวที่ถูกปูลาดไว้ใต้พื้นน้ำ..โนรีกดหัวลงต่ำปลายเท้า

    ชี้เอียงเป็นมุม 45 องศา..เพื่อแหวกว่ายไปให้ถึงพื้นทรายใต้น้ำลึกอันสวยงามนั้น....และแล้ว

    มือของนางก็ได้สัมผัสกับพื้นทรายขาวใต้ลำน้ำลึกของแม่น้ำตาปี...นางก็ค่อยทรงตัวประคอง

    นั่งคุกเข่าที่พื้นทรายใต้น้ำลึก....และแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าตรงจุดที่ดวงอาทิตย์ส่อง

    แสงอยู่...นางเห็นมันได้ชัดเจนด้วยพลังแห่งแสงสว่างของดวงอาทิตย์..ที่มีพลังแผ่มาถึงใต้

    พื้นน้ำ

    ....................โนรีนั่งทบทวนพฤติการณ์การแหวกว่ายของนาง..พร้อมกับคุณสมบัติของ

    ทรายใต้น้ำลึก...ข้อแรกตัวนางกว่าจะมาถึงทรายน้ำลึกนี้...นางต้องก้มหัวหรือมุดหัวแหวก

    ว่ายจนลงมาถึง....และสิ่งแรกที่สัมผัสกับทรายน้ำลึกกลับไม่ใช่เท้าที่เป็นอวัยวะต่ำสุดของร่าง

    กาย...แต่เป็นมือต่างหาก..การจะมาให้ถึงทรายใต้น้ำลึกนี้ต้องแสดงอาการก้มหัวลงอย่าง

    นอบน้อม...และแสดงอาการแหวกว่ายน้ำเหมือนกับการร่ายรำเข้ามาหาทรายนี้....ใครจะมา

    หาทรายน้ำลึกก็ต้องเป็นแบบนี้...นางรู้สึกทึ้งและคิดต่อไป.....

    ....................พื้นทรายน้ำลึกนี้ช่างอยู่อย่างสงบจริงหนอ..ไร้ผู้เหยียบย่ำและรบกวน...แต่

    ก็ไม่เดี่ยวดายด้วยมีสัตว์น้ำ เช่นปลาแหวกว่ายร่ายระบำไปมาดูให้เพลิดเพลินจำเริญใจ.....

    อะไรคือสิ่งที่คุ้มครองให้ทรายน้ำลึกได้อยู่อย่างสงบร่มเย็น...ปกป้องความเป็นอยู่ของทราย

    น้ำลึกมาเป็นเวลาหลาย ๆร้อยปี....มันคือกระแสน้ำแห่งลำน้ำตาปี...ที่ปกป้องเม็ดทรายเอา

    ไว้...ลมบนพื้นโลกไม่อาจพัดพามันขึ้นไปได้....แม้กระแสลมจะเพียรพยามจะพัดพาเอาทราย

    น้ำลึกขึ้นไป..ก็จะถูกผิวน้ำต้านปกป้องไม่ให้เข้าถึง...กระแสลมทำกับผิวน้ำได้เพียงเป็น

    คลื่น...แต่ไม่อาจไปหมุนวนทรายน้ำลึกนี้ขึ้นมาได้......

    ....................นางนั่งคิดรำพึงรำพันอย่างสงบและมีความสุขขณะนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

    ทรายใต้น้ำลึกแห่งลำน้ำตาปี...การเป็นอยู่ที่มีสิ่งปกป้องคุ้มครองเป็นสิ่งที่ดีทีเดียวตามความ

    คิดของนาง.....เช่นเดียวกับทรายน้ำลึกที่มีกระแสน้ำปกป้องคุ้มครอง.......โนรีเปรียบเทียบ

    กับตัวนางว่า.......นางถูกความสับสนทางความคิดกระทบใจเหมือนกับ..หาดทรายบนพื้นดิน

    ถูกเหยีบย่ำและถูกลมพัดพาไป...เพราะนางไม่มีสิ่งปกป้องคุ้มครองใจของนางเอาไว้........

    ....................นางคิดว่า..นางควรหาอะไรที่ปกป้องคุ้มครองใจของนาง..ให้อยู่อย่างสงบ

    และเป็นสุขเช่นเดียวกับทรายน้ำลึก...นางนั่งสงบอยู่ครู่หนึ่ง "นางก็รำลึกถึงคำว่าที่

    พึ่ง".........และคำสอนของพระพุทธองค์.......และก็คิดได้...ว่าควรเอาธรรมของพระ

    พุทธองค์เป็นสิ่งที่คุ้มครองใจของนาง...........

    ....................แต่ ณ เวลานี้ นางมีความสุขอย่างสงบดังเช่นเม็ดทรายในน้ำลึก....นางจึง

    อธิษฐานบนพื้นทรายใต้น้ำลึกว่า.."หากนางดับและลับไป..ขอนางมาเกิดอยู่เป็นทรายใต้น้ำ

    ลึกอยู่อย่างมีความสุข..ที่ไม่มีใครเหยียบย่ำหรือรบกวน.."

    ....................สิ้นคำอธิษฐานของนาง..ปรากฎว่า น้ำตรงที่นางนั่งคุกเข่าอย่างสงบ...ได้

    หมุนวนขึ้นเป็นเกลียวแหวกช่องขึ้นไปบนพื้นน้ำและเกิดเสียงระเบิดของน้ำขึ้นอย่างดัง.....

    ..............................................."ตูม"..................................................

    .....................เณร ภูผา และโมลี ที่คอยสังเกตการณ์อยู่บนชายหาดริมแม่น้ำเห็น

    เหตุการณ์เกิดขึ้นดังนั้น...เณรรีบทิ้งจอบแล้วกระโจนลงน้ำดำว่ายไปใต้พื้นน้ำด้วยความ

    ห่วงใยโนรีว่าจะเกิดอันตรายขึ้น...ภูผาเห็นเช่นนั้นก็ทิ้งเสียมกระโดดน้ำตามเณรดำลงไปอีก

    คนหนึ่ง...ปล่อยให้โมลีเด็กน้อยที่ว่ายน้ำไม่เป็นรออยู่บนฝั่งอย่างตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่

    เกิดขึ้น........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. JolieAcidus สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +20
    อนุโมทนาสาธุ พระเมตตาของพระพุทธองค์หาที่เปรียบมิได้เลย เกินคำว่าเสียสละไปแล้ว
     
  10. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการอธิษฐานของโนรี..เหมือนดังพระแม่คงคา

    แห่งลำน้ำตาปีผู้ปกป้องคุ้มครองดูแลพื้นทรายน้ำลึกมาเป็นเวลานับร้อย ๆปี..จะรับรู้ถึงคำ

    อธิษฐานนั้น..และได้เป็นพยานในคำอธิษฐานนั้น..เคลื่อนตัวเป็นน้ำวนหมุนล้อมรอบตัว

    นางอย่างแรง..และน้ำนั้นได้พุ่งขึ้นเป็นเกลียวสู่ท้องฟ้า...

    ....................เณรและภูผาดำน้ำแหวกว่ายมามุ่งตรงมาตรงจุดที่โนรีนั่งอยู่บนพื้นทราย

    และกำลังเห็นโนรียกขลุ่ยขึ้นกำลังเป่า...เณรและภูผาไม่อาจว่ายเข้าหาโนรีได้...เนื่อง

    จากกระแสน้ำวนที่วนล้อมรอบตัวโนรีไว้...ไม่อาจทำให้ผู้ใดเข้าถึง...เณรและภูผาตกตะลึงทำ

    อะไรไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโนรี.....นอกจากแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำมองดูสังเกตการณ์

    โนรีที่อยู่ในวงเกลียวของน้ำนั้น...

    ....................ขณะที่นางกำลังยกขลุ่ยขึ้นเป่านางได้คิดทบทวนและได้ข้อสรุปเป็นปรัชญา

    ใต้น้ำลึกที่นางค้นพบเกี่ยวกับทรายในน้ำลึกว่า

    ...................."ทรายที่ออกมาอยู่ภายนอกในสถานที่ไร้สิ่งคุ้มครอง..ย่อมถูกเหยียบย่ำ

    รบกวนและถูกสายลมพัดพาไป...เหมือนกับ..จิตใจที่ส่งออกมาสู่ภายนอก..ย่อมถูกความเป็น

    ไปของโลกเหยียบย่ำและพัดพาไป......

    .....................ทรายที่อยู่ใต้น้ำลึกอยู่ในสถานที่ที่มีน้ำคุ้มครองอยู่..ย่อมเป็นอยู่อย่างสงบ

    สุขปราศจากการเหยียบย่ำและรบกวนหรือถูกพัดพาไป...เหมือนกับ..จิตใจที่อยู่ภายกระแส

    แห่งธรรม..ย่อมได้รับความคุ้มครองจากธรรมให้สงบสุขอยู่ภายในจิตนั้น..."

    .....................ซึ่งปรัชญาแนวคิดของโนรีหรือผู้หญิงจันทร์เพ็ญเกี่ยวกับทรายภายใต้น้ำลึกนี้..เป็น

    การแสดงการเป็นอยู่ของจิตทั้งทางโลกและทางธรรม...ซึ่งแตกต่างไปจากแนวคิดทางปรัชญาของ

    "เมือง มีสุข"บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์หรือบุรุษดาวราหู..ที่แนวคิดของเขาเป็นเรื่องของ"การครอบ

    ครอง"หรือ"การยึดถือ"..ซึ่งมุ่งเข้าไปสู่กระบวนการทางโลกอย่างล้วน ๆ แต่เป็นการมองการ

    ครอบครองในความกว้างไกล นั่นคือ

    ...................."การครอบครองยึดถืออะไรด้วยมือมันช่างได้น้อยสิ่งนักเหมือนกับที่ข้าถือ

    ได้เพียงขวดใบนี้.......แต่การครอบครองยึดถืออะไรด้วยสายตา ข้าสามารถครอบครองมันได้

    เท่าที่สายตาของข้าจะมองไปได้ไกลแสนไกล..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้ใด"

    ....................แต่แนวคิดของโนรีเทียบเคียงกับ...."คำปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่"...ของ

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ความว่า

    ......................"จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย(เหตุให้เกิดทุกข์)

    ......... ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์(ความไม่สบายกายไม่สบายใจ)

    .......................จิตเห็นจิต เป็นมรรค(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์)

    ..........ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ(ความดับทุกข์)"

    .....................เมื่อเปรียบเทียบคำปรัชญาและคำปรารภของหลวงปู่ดูลย์ดังกล่าวแล้ว..แม้

    จะไม่เหมือนกันทีเดียวแต่ก็ดูสอดคล้องต้องกันดี..กล่าวคือ

    .....................เปรียบเทียบให้เห็นว่าจิตที่ส่งออกนอกเป็นดุจทรายบนพื้นดินที่โนรีได้พบ

    เห็นสภาพการถูกคนและสัตว์เหยียบย่ำและถูกกระแสลมพัดพาไป..จึงเป็นเหตุให้เกิดความไม่

    สงบ...กระแสลมที่พัดพาทรายไปอาจเทียบกับกิเลสที่นำพาจิตไป...การถูกเหยียบย่ำบนพื้น

    ทรายเทียบได้กับ ..จิตถูกกระทบด้วยโลกธรรม..อันได้แก่ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ได้ลาภ

    เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ.....

    ....................จิตเห็นจิต คือ การที่มีสติเฝ้าระวังดูจิตของตน..จิตจึงเหมือนได้รับการคุ้ม

    ครองโดยองค์ธรรมของมรรค(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์)..เทียบจิต คือ เม็ดทราย..ที่อยู่

    ภายใต้น้ำลึกมีกระแสน้ำลึกคอยคุ้มครองจึงไม่อาจถูกรบกวนเหยียบย่ำหรือพัดพาไป...ทำให้

    เกิดความสงบ..เทียบเคียงอาจไม่ถึงความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง..แต่ก็ผ่อนปรนความทุกข์ให้เบา

    บางจนเกิดความสงบสุขแบบทางโลกได้

    .....................เสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าได้ดังอยู่ภายใต้น้ำลึกนั้น..มีสื่อให้เณรและภูผาได้ยินคือ

    สายน้ำ..มิใช่สายลมเช่นบนบก....กระแสน้ำได้พัดพาเสียงขลุ่ยเข้ากระทบโสตปราสาทของ

    สองหนุ่มภายใต้พื้นน้ำนั้น...แต่กับบนพื้นน้ำที่ปรากฏแก่โมลีเด็กน้อยที่ยืนตกตะลึงบนชาย

    ฝั่ง....ด้วยพลังของขลุ่ยฟ้าผ่า...เสียงขลุ่ยนั้นได้ระเบิดขึ้นมาบนผิวน้ำเป็นระยะ ๆ.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A5437681-33.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.5 KB
      เปิดดู:
      55
    • 012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.8 KB
      เปิดดู:
      54
    • Qki1A_397908-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.3 KB
      เปิดดู:
      52
  11. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .........ท่านได้กล่าว"สัจจะวาจา..และสรรเสริญคุณของพระ

    พุทธองค์ไว้"..เป็นความดีที่ติดตัวของท่านไปตลาดกาล..อานิ

    สงฆ์จะทำให้ท่านพูดจาสิ่งใดมีแต่คนเชื่อถือ..และจะมีฟันที่เรียง

    เป็นระเบียบสวยงาม..เรียวปากที่สวยได้รูป..พร้อมกับคำพูดที่มี

    น้ำเสียงไพเราะครับ....

    .........ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรมครับ
     
  12. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เสียงขลุ่ยบรรเลงใต้พื้นน้ำลึกแห่งลำน้ำตาปีที่ผู้หญิงจันทร์เพ็ญขับเป่าออก

    มาด้วยหัวใจปลื้มปิติภายในวังน้ำวนใต้น้ำลึกที่หมุนรอบนาง......เป็นปรากฏการณ์อันยืนยัน

    ได้ว่า..ผู้หญิงจันทร์เพ็ญมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน


    ............................"ฤดู..หนาว..ค้น..พบ..ทราย..สงบ..สุข..สันต์..ใต้..น้ำ..ลึก..แห่ง..

    ตา..ปี..มี..ชี..วิต..หมุน..เวียน..พัน..ลึก..นั่ง..ลง..ตรึก..นึก..คิด..จิต..แจ่ม..ใส..นาน..

    เท่า..นาน..ไม่..เคย..พบ..เจ้า..สงบ..อยู่..เป็น..ร้อย..ปี..มี..สี..สันต์..ใต้พื้น..น้ำ..ลึก..

    ช่าง..สงบ..สุข..จริง..หนอ..นาน..เท่า..นาน..โปรด..จง..รอ..โนรี..ขอ..อยู่..ด้วย..เจ้า..

    เม็ด..ทราย......"


    .....................นางเป่าขลุ่ยอยู่ด้วยสายตาอ่อนโยนและอารมณ์แห่งความสุข..ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า

    บุรุษทั้งสองที่เกือบจะหมดลมที่..กลั้นหายใจไว้...ว่ายวนไปรอบนาง...แต่โนรีกับมิได้หมดลมที่นาง

    กลั้นใจไว้แต่อย่างใด...หรือว่าดวงจันทร์เพ็ญที่มีพลังดึงดูดน้ำขึ้นและน้ำลงตามหลังธรรมชาติ

    ของวิทยาศาสตร์..เกี่ยวพันกับผู้หญิงจันทร์เพ็ญกระนั้นหรือ....

    ....................เณรว่ายวนและชี้นิ้วขึ้นไปเหนือศีรษะเพื่อบอกให้ภูผาดำขึ้นไปบนผิวน้ำ..ด้วยทั้งคู่

    กำลังจะหมดลม..เพื่อไปสูดอากาศบนผิวน้ำ...เมื่อทั้งคู่ขึ้นมาบนผิวน้ำก็พบปรากฏการณ์ของผิว

    น้ำที่ระเบิดขึ้นมาเป็นระยะตามทำนองเพลงขลุ่ย..ด้วยอานุภาพของเสียงขลุ่ยที่ระเบิดแทรก

    น้ำขึ้นไปกับสายลม....

    ....................เณรกวาดสายตามองไปที่โมลีที่อยู่ชายฝั่งก็พบว่า..โมลีเด็กน้อยกำลังสะอื้น

    ร่ำไห้..ด้วยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพี่สาวของตน....เณรจึงเอ่ยกับภูผา

    ............................"ภูผาเจ้าดำลงไปดูโนรีใต้พื้นน้ำก่อน..ข้าจะว่ายไปหาน้องโมลี"

    ....................เณรพูดจบก็ว่ายน้ำฝ่าน้ำที่ระเบิดเพราะเสียงขลุ่ยฟ้าผ่าอยู่รอบ ๆกายเข้าไป

    หาโมลี...พร้อมกับภูผาก็สูดอากาศเต็มที่แล้วดำดิ่งลงไปใต้พื้นน้ำทันที


    ............................."ฮือ..ฮือ...ฮือ" เสียงโมลีเด็กน้อยร่ำไห้เอามือปาดน้ำตาอยู่บนริม

    น้ำตาปี..ด้วยความกลัวและความรักห่วงใยพี่สาวของตน

    ....................เณรว่ายไปถึงแล้วตรงเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าเด็กน้อยพร้อมกับบอกว่า

    .............................."น้องโมลี..พี่สาวของหนูไม่เป็นอะไร..นางเป่าขลุ่ยอยู่บนพื้นทราย

    ใต้น้ำลึก...โมลีลองฟังเสียงระเบิดของน้ำดูสิ"

    ....................โมลีเช็ดน้ำตาแล้วเงี่ยหูฟังตามพี่เณรบอก..ปรากฎว่า หลังจากที่น้ำได้ระเบิด

    ขึ้น.......อานุภาพของขลุ่ยฟ้าผ่ากับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..........ได้ทำปรากฏการณ์อัน

    มหัศจรรย์ขึ้นบนโลกใบนี้...เสียงน้ำที่ระเบิดแล้ว......กลับมีเสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าแหวกสายน้ำ

    ผุดขึ้นมา...กระทบกับสายลมนำมาให้โมลีได้ยินเสียงขลุ่ยทันที......เด็กน้อยคลายความวิตก

    กังวล.....

    ....................เณรมองตาโมลีแล้วเอ่ยขึ้นกับเด็กน้อยที่กำลังสะอื้นอยู่อย่างจริงจังว่า

    ..........................."น้องโมลี...โนรีพี่สาวของหนู..มีอะไรผิดปกติอยู่ใช่ไหม"

    .................โมลีเด็กน้อยรับรู้มาโดยตลอดว่าโนรีคือ."ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"แล้วจะเกิด

    ปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้นกับตัวนางไม่หยุดหย่อน..ยากที่จะปกปิดคนใกล้ชิดไม่ให้รับรู้

    ถึงความผิดปกตินี้ได้..โดยเด็กน้อยไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่เณรก็พบความประหลาดหลายอย่างนี้

    มานานแล้ว....และด้วยความรักพี่เณรเป็นเสมือนพี่ชายของนาง...ที่ปกป้องดูแลพวกนางมา

    ตลอด....โมลีจึงสะอื้นร่ำไห้และพยักหน้าให้กับเณร....เณรดึงโมลีเด็กน้อยเข้ามากอดอย่าง

    ปลอบใจด้วยความรักและเมตตาพลางพูดว่า

    ............................"ไม่เป็นไร...พวกเราจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดไป....จะไม่ให้

    ใครรู้...แล้วน้าบันตารู้เรื่องนี้ไหม"

    .....................โมลีพยักหน้าแทนคำตอบ

    ............................"แล้วมีใครรู้เรื่องนี้อีกไหม" เณรเอ่ยถาม

    ............................"พ่อเฒ่ามูซาบอกโนรี..คือ ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"

    .....................เด็กน้อยบอกความจริงแก่เณรแต่ไม่ได้อธิบายอย่างไร...เณรพยักหน้า...

    แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."พี่เณรจะดำลงไปหาโนรี...น้องโมลีรอพี่อยู่นี่ก่อนนะ"

    ......................เณรละจากอ้อมกอดโมลี..และกระโดดลงน้ำและดำแหวกว่ายไปดูโนรีทันที...

    ......................โนรียังคงเป่าขลุ่ยอย่างสงบอยู่ใต้น้ำ....เณรเอามือไปแตะภูผาแล้วนั่งลงที่พื้น

    ทรายใต้น้ำลึกรอบนอกของน้ำวนเพื่อสังเกตการณ์ดูโนรีต่อไป......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • liu06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.5 KB
      เปิดดู:
      48
    • images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      186
    • light-chakras-border.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.1 KB
      เปิดดู:
      50
    • A4764877-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24 KB
      เปิดดู:
      43
  13. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................โนรีเป่าขลุ่ยจนจบ..พร้อมกับการหยุดระเบิดบนพื้นผิวน้ำ....นางเก็บขลุ่ยเสียบไว้

    ที่เชือกผูกเอว..แล้วค่อย ๆประคองมือทั้งสองข้างกอบทรายใต้น้ำลึกที่นางได้อธิษฐานไว้..ใส่กระเป๋า

    เสื้อด้วยแววตาที่สุขใจ...พลางมองฝ่าน้ำวนเห็น...พี่ชายทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นทรายนอกวังน้ำวนนั่งดู

    นางอยู่....นางยื้มให้กับเขาทั้งสองอย่างสุขใจ..เป็นขณะที่วังน้ำวนได้หยุดหมุน.....นางแหวกว่ายเขา

    มาหาเณรและภูผาพร้อมชี้มือขึ้นด้านบน...อันเป็นการแสดงสัญญาณให้กลับขึ้นไปบนผิวน้ำพร้อม

    นาง......

    ....................โนรีขึ้นมาบนผิวน้ำตามด้วยเณรและภูผา...เห็นโมลีกำลังสะอื้นร่ำไห้อยู่..นางรีบ

    ว่ายเข้าหาฝั่งตรงไปยังโมลี...เด็กน้อยเห็นพี่สาวขึ้นจากน้ำได้ก็วิ่งตรงเข้าไปกอดพี่สาวด้วยความรัก

    และห่วงใยทันที..พลางเอ่ยอย่างสะอื้น

    ............................"โนรี..โนรี..หนูกลัว.ทำไมเป็นอย่างนี้"

    ............................"พี่ขอโทษ..พี่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร...พี่ค้นพบสิ่งที่สงบและเยือกเย็น

    อยู่ใต้น้ำลึกนั้น....มันคือเม็ดทรายใต้ลำน้ำตาปี..ที่ไม่มีคนเหยียบย่ำหรือรบกวน..พี่นำมันติดตัวมา

    ด้วย..โมลีดูสิ"

    .....................โนรีพูดพลางพร้อมกับกำเม็ดทรายให้น้องสาวดู....

    ............................"หนูไม่เคยเห็นทรายใต้น้ำลึกมาก่อนเลย..มันมีสภาพเป็นอย่างไร"

    ............................"มันเป็นเม็ดทรายที่ราบเรียบสีขาวดุจพรมปูลาด..มันซ้อนตัวอยู่ในน้ำลึกน่า

    จะเป็นร้อย ๆปี..โดยที่ไม่มีใครรบกวนมัน...พี่จึงได้ความคิดบางอย่างแล้ว"

    ............................"โนรีคิดอะไรหรือ"

    ............................"ในโลกนี้ไม่ว่าเราจะเป็นอยู่อย่างไร..เราจะต้องมีผู้คุ้มครองคอยช่วยเหลือ

    เรา...เราจึงเกิดความสงบสุขได้..เหมือนกับทรายภายใต้น้ำลึก..ที่ใต้ลำน้ำตาปีแห่งนี้ปกป้องคุ้ม

    ครองอยู่นานนับร้อย ๆปี"

    ............................."หมายความว่าอย่างไร"

    ............................."ในเรื่องของจิตใจเราต้องอาศัยธรรมของพระพุทธองค์เป็นเครื่องคุ้มครอง

    เรา...แต่การเป็นอยู่ทางโลกเช่นพี่ต้องอาศัยคนที่ไว้ใจได้คุ้มครองเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าพี่เป็นอะไร"

    ............................."หนูบอกกับพี่เณรว่าพ่อเฒ่ามูซาบอกว่าโนรีคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"

    .....................โนรียิ้มให้กับน้องสาวอย่างอ่อนโยนโดยที่ไม่มีทีท่าของความกังวลว่าเณรหรือภูผา

    จะรู้ความลับของนางว่า นางคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...เหมือนกับว่าทรายภายใต้น้ำลึกนั้นได้สร้าง

    ปรากฏการณ์ทางจิตและวิญญาณให้นางขึ้นมาใหม่..นางเอ่ยกับน้องสาว

    ............................"เราไม่สามารถปกปิดพี่เณรได้อีกแล้วล่ะ...ปรากฎการณ์ที่เขาเห็นพี่...มัน

    ผิดปกติจากคนธรรมดาไปมากมายเหลือเกิน...ต่อแต่นี้พี่เณรนอกจากจะเป็นพี่ชายของเราแล้ว...เขา

    จะต้องมีหน้าที่ปกป้องพี่ไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าพี่เป็นอะไร"

    .....................โมลีฟังพี่สาวพูดอย่างเข้าใจ...เป็นขณะที่เณรและภูผาเดินมาถึงพอดีและได้เอ่ย

    ขึ้น

    ............................"พี่จะปกป้องคุ้มครองโนรีตลอดไป...รวมทั้งภูผาถ้าเขายังอยู่ที่นี่เขาก็จะทำ

    หน้าที่เช่นเดียวกับพี่เณร...พวกเรารู้แล้วว่า โนรีคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีก...พี่

    ก็จะอยู่ข้างโนรีตลอดไป"

    ....................ภูผาจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

    ............................."พี่ภูผารู้แล้วว่าโนรีคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..จากที่พ่อเฒ่ามูซาได้บอกพี่ที่

    แดนมลายูก่อนพี่จะมาที่นี่...พ่อเฒ่าได้บอกสิ่งที่เป็นห่วงในตัวโนรีกับพี่"

    ....................โนรีแปลกใจที่ภูผาได้พบกับมูซา..และยังรู้สึกดีใจอย่างลึก ๆที่ได้ยินเรื่องราวของ

    อาจารย์ของตน...พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"พ่อเฒ่าได้บอกสื่งใดกับพี่ภูผาหรือจ๊ะ"

    ............................"พ่อเฒ่าเตือนเรื่องบุรุษดาวราหูหรือบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์ที่จะทำให้

    ธรรมชาติในตัวเจ้าเปลี่ยนไป"

    ............................"ข้อนั้นพ่อเฒ่าก็เตือนหนูอยู่เหมือนกันจ้ะ"

    .....................ภูผาพยักหน้ารับรู้

    ............................"พี่ทั้งสองจงตามหนูไปที่ต้นดอกทานตะวันกลุ่มนั้นเถิดจ้ะ"

    .....................โนรีพูดพร้อมกับเดินนำหน้าประคองโมลีที่ไหล่ไป..ผ่านหาดทรายสีขาวไปทางทิศ

    ใต้จุดที่ต้นดอกทานตะวันกำลังหันหน้าดอกสู่ดวงอาทิตย์อยู่...พอนางเดินเข้าไปใกล้...เณรและภูผาก็

    ได้เห็นปรากฏการณ์นี้อย่างเต็มตาหลังจากที่ได้แต่คิดถึงคำบอกเล่าของตี๋เล็กและจินตนาการขึ้นเพียง

    อย่างเดียว

    ......................ดอกทานตะวันทั้งกลุ่มได้ละจากการหันหน้าดอกเข้าสู่กับดวงอาทิตย์และ

    หันเข้าหาโนรี...อย่างช้า ๆ..และไม่ว่าโนรีจะเดินหันทางไหน..ดอกทานตะวันก็หันตาม......

    ......................เณรและภูผารู้สึกทึ้งในความแปลกประหลาดที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

    หนึ่ง...หลังจากที่ประสบกับปรากฏการณ์ภายใต้น้ำลึกมาแล้ว...เณรอุทานพร้อมกับมอง

    โนรี...ที่มีสีหน้าไร้ความกังวล

    ............................"เป็นไปได้หรือนี่...อัศจรรย์จริง ๆ"

    ......................โนรีจึงเอ่ยในสิ่งที่ตนคิด

    ............................"นี่คือสิ่งที่พี่ทั้งสองจะต้องคุ้มครองโนรี...ไม่ให้เข้าใกล้ต้นดอก

    ทานตะวัน...ให้เหมือนกับที่ลำน้ำตาปีคุ้มครองเม็ดทรายในน้ำลึกตลอดมา"

    .......................คำพูดที่นางค้นพบและเปรียบเทียบ..เณรและภูผารู้สึกทึ้ง..และคิดว่า...

    ภายใต้น้ำลึกนี้..โนรีจะต้องค้นพบและคิดอะไรได้อย่างมากมายแน่นอน...จึงทำให้นางเปลี่ยน

    ไปจากอาการกังวล..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เณรและภูผาพร้อมกับโนรีและโมลี..ต่างทยอยยกตะเข่งหรือกระบุ้งที่เคยใส่ผล

    ไม้....แต่บัดนี้กลายเป็นที่ใส่ดินเหนียวจนเต็มหลายกระบุ้ง...และก้อนดินเหนียวอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้

    บรรจุใส่อะไรไว้แต่กองไว้บนเกวียนทั้งสองเล่ม.....และเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างสุขใจ....

    ....................เณรและภูผายังคงเป็นผู้ขับเกวียนตาม...โนรีและโมลี...บุรุษทั้งสองคลายความ

    วิตกกังวลในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..ด้วยพอจะปรับจิตใจเตรียมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับโนรี...

    เขาทั้งสองต้องใช้สมองและปัญญาคอยตรวจตราการกระทำของโนรีและสิ่งที่จะเกิดกับโนรีต่อไป....ถึง

    จะมีความกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย...แต่ก็รู้สึกสุขใจที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องดูแลคนที่ตนรัก.....เณรตั้งคำ

    ถามถามภูผา

    ............................"เจ้าคิดจะอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปปัตตานี"

    ............................"สำหรับตอนนี้...ข้าขออยู่ต่ออีกสักระยะหนึ่ง" ภูผาตอบอย่างไม่ต้องคิด

    ด้วยภูมิใจในหน้าที่ที่จะคอยดูแลคุ้มครองโนรี

    ............................"แต่เจ้าต้องหาเหตุผลกราบเรียนพ่อท่านให้รู้..ถึงที่เจ้าประสงค์จะอยู่ที่นี่"

    ............................"ข้าคิดไว้แล้ว..เรื่องที่พ่อท่านกำลังดำเนินการสร้างสำนักสำหรับฝึกอบรม

    การปฏิบัติธรรม...ข้าจะคอยช่วยงานท่านด้านนี้อยู่ต่อไปก่อน"

    ............................"แล้วเจ้าจะส่งข่าวบอกพ่อของเจ้าว่าอย่างไร"

    ............................"ข้าบอกพ่อข้าก่อนไปเมืองมลายูว่า..ข้าจะไปหาประสบการณ์ของชีวิต...

    และก่อนมาข้าก็บอกกับเจ้าดำให้บอกกับพ่อข้าว่า..ข้าจะมาหาพ่อท่าน...เมื่อพ่อข้ารู้ว่าข้ามาหาพ่อ

    ท่านย่อมมีเรื่องดีเกิดขึ้น...บางทีการได้รับการฟังธรรมจากพ่อท่านอาจทำให้ข้ารู้ซึ้งถึง ความรักอย่าง

    เมตตามากขึ้นก็ได้"

    ............................"เจ้าพูดเข้าท่า..ส่วนข้าสัมผัสกับมันจนรู้แล้วว่ารักเช่นนี้เป็นของสูงส่ง...มี

    อยู่ที่บุคคลใดก็จะทำให้คนนั้นอยู่ในฐานะที่สูงส่งทางจิตใจมากขึ้น"

    ............................"เฉกเช่นโนรี..ที่มีความรักเช่นนี้คู่อยู่กับจิตใจของนางใช่ไหม"

    ............................"โนรีมีความรักประเภทนี้แทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนาง..ข้าไม่เคยเห็น

    นางแสดงความรังเกลียดผู้ใด"

    ............................"แต่ถ้าบุรุษปริศนาผู้นั้นเข้ามาในชีวิตของนาง...นางอาจมีธรรมชาติที่

    เปลี่ยนไปตามคำบอกเล่าของพ่อเฒ่ามูซา"

    ............................"ข้าไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงโนรีได้"



    ....................ย้อนมาที่เกวียนเล่มหน้า..เด็กน้อยมองหน้าพี่สาวที่กำลังยิ้มแย้มอย่างมี

    ความสุข..พลางเอ่ยถาม

    ............................"โนรีกลั้นใจอยู่ในน้ำได้นานได้อย่างไร"

    ............................"พี่อธิบายไม่ได้หรอก..มันเป็นสิ่งแปลกที่พี่รู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น"

    ............................"ขลุ่ยของพ่อเฒ่าที่โนรีเป่าออกมาใต้น้ำลึก..เสียงของมันแทรกใต้น้ำขึ้นมา

    บนพื้นน้ำ...และมันระเบิดแตกออกมาเป็นเสียงขลุ่ยได้อีก"

    ............................"พี่ไม่เห็นมันตอนเสียงมันขึ้นมาบนผิวน้ำ..ถ้ามันเป็นอย่างที่โมลีว่า...แสดง

    ว่าขลุ่ยฟ้าผ่าของพ่อเฒ่ามีพลังมาก"

    ............................"ใช่...แล้วเราจะบอกแม่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไหม"

    ............................"เราต้องบอกแม่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น..รวมทั้งต้องบอกแม่ว่าพี่เณรและพี่ภูผารู้

    เห็นเหตุการณ์ด้วย...เพื่อแม่จะมีอะไรบอกกับพี่ทั้งสองให้ช่วยเหลือเรา"

    ............................"หนูก็คิดอย่างกับที่โนรีพูดนั่นแหละ"

    ............................"อืม....แล้วดินเหนียวที่โมลีจะปั้นรูปหุ่นโมลีจะปั้นรูปอะไรหรือ"

    ............................"หนูจะปั้นรูปโนรีตอนเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินของฮวงจุ้ยในวันแห่ศพ"

    ....................โนรีแปลกใจ..จึงเอ่ยถาม

    ............................."ทำไมต้องปั้นรูปพี่..ในตอนนั้นด้วยละจ๊ะ"

    ............................."โนรีรู้ไหม..ว่าในวันที่โนรีเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินที่ฮวงจุ้ยวันแห่

    ศพ...โนรีอยู่ในชุดสีขาวและสวยงามอย่างกับเทพธิดาเลย"

    .....................โนรีได้ยินน้องสาวเอ่ยชมเช่นนั้น..นางถึงกับมองหน้าน้องสาวอย่างปลื้มปิติ

    แล้วหัวเราะเบา ๆ..ก่อนที่จะใช่ริมฝีปากอันงดงามหอมเบา ๆที่แก้มของน้องสาวอันเป็นการ

    แสดงความรักความเอ็นดูที่มีต่อน้องสาวของนาง.....

    .....................ในที่สุดเกวียนทั้งสองเล่มก็ถึงที่บ้าน...เณรและภูผาขนดินเหนียวลงมาไว้ที่ข้าง

    เรือนเพาะชำ....จนหมดและเดินทางกลับวัดทันที........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................ตอนที่ 87 รูปปั้นโนรีขณะเป่าขลุ่ย...............




    ....................บันตาผู้เป็นแม่..เห็นโมลีเตรียมการฝึกปั้นรูปด้วยดินเหนียว..นางถามลูกสาวคน

    เล็กว่าจะปั้นรูปใดขึ้นมา..โมลีตอบว่าต้องการฝึกปั้นรูปหลาย ๆอย่าง..โดยเฉพาะจะปั้นรูปของโนรีตอน

    เป่าขลุ่ยในวันแห่ศพ..ด้วยรู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำอันสวยงามของพี่สาวที่เด็กน้อยจดจำจนติดตา...

    บันตาอธิบายว่า การจะปั้นรูปของคนให้เหมือนและอยู่คงทน....ให้โมลีไปดูรูปปั้นของยักษ์ที่ถือ

    กระบองอยู่ในวัดโนรี..โมลีจึงไปดูจึงรู้ว่า..รูปปั้นนั้นใช้ปูนปั้นและแกะต่างหาก...ไม่ได้ใช้ดินเหนียว

    อย่างที่เด็กน้อยคิด....

    ....................บันตาและลูกสาวทั้งสองจึงได้ปรึกษาหารือกัน..ให้โมลีฝึกปั้นรูปด้วยดินเหนียวไป

    ก่อน....และจำเป็นจะต้องเก็บดินไว้เฉพาะต่างหากจากเรือนเพาะชำ.......ดังนั้น บันตาจึงจำเป็นต้อง

    สร้างโรงเรือนขึ้นมาโดยเฉพาะ....ให้โมลีอีกโรงเรือนหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับโรงเรือนเพาะชำ.....

    ....................รุ่งเช้า..โนรีและโมลีจึงได้ไปตามพี่เณรและภูผามาช่วยสร้างโรงเรือนขึ้นที่ข้างเรือน

    เพาะชำ...โดยบันตาได้เตรียมไม้ระแนงไว้จำนวนมากเพื่อตีเป็นฝาระแนงระบายลมแบบเรือนเพาะชำทั่ว

    ไป.....

    ....................เมื่อมาถึงที่ก่อสร้าง..เณรและภูผาต่างก็ขุดหลุมฝังเสาของโรงเรือน..ในขณะที่โนรี

    ออกไปเก็บผลไม้มาให้พี่ชายทั้งสองไว้กิน....โดยมีโมลีอยู่ช่วยในการสร้างโรงเรือน....โมลีนึกถึงวัน

    วานที่โนรีพี่สาวของตนเป่าขลุ่ยอยู่ใต้น้ำลึกลำน้ำตาปีว่านางมีลักษณะเช่นไร...ด้วยไม่ได้เห็น...เห็น

    เพียงแต่ปรากฎการณ์ที่น้ำหมุนเป็นเกลียวพุ่งขึ้นฟ้า..กับตอนน้ำระเบิดเพราะเสียงขลุ่ยฟ้าผ่าเท่านั้น...

    ด้วยเด็กน้อยต้องการบันทึกความทรงจำเป็นภาพวาดเหมือนอย่างเคย..พร้อมกับเขียนปรากฏการณ์และ

    บทเพลงขลุ่ยที่ตนเองจำได้ลงในภาพวาด.....

    ....................โมลีจึงได้ถามพี่เณรขณะกำลังขุดหลุมอยู่ว่า

    ............................"พี่เณร..เมื่อวานตอนที่พี่เณรดำลงไปใต้พื้นน้ำ..พี่เณรเห็นโนรีกำลังทำ

    อย่างไร"

    .....................ภูผาที่กำลังขุดหลุมอีกหลุมหนึ่ง..ได้ยินคำถามของโมลีที่ถามเณรก็แปลกใจจึงเงี่ย

    หูฟัง...เณรก้มลงกรุยดินในหลุมออกแล้วมองหน้าโมลีอย่างใจเย็นพลางเอ่ยตอบ

    ............................"พี่ว่าถ้าน้องโมลีดำน้ำลงไปกับพี่...จะเห็นสิ่งที่สวยงามภายใต้น้ำลึกนั้น..

    โดยเฉพาะโนรี"
    ............................"เป็นอย่างไรหรือพี่เณร..หนูอยากรู้"

    ............................"ตอนที่ลำน้ำตาปีหมุนเป็นเกลียวขึ้นสู่ท้องฟ้า..พี่เณรดำไปหาโนรี...เห็นพี่

    สาวของหนูกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นทรายสี่ขาวใต้น้ำลึก..และน้ำวนที่หมุนเป็นเกลียวพุ่งขึ้น

    ท้องฟ้านั้น...ภายใต้น้ำลึกมันได้หมุนวนรอบตัวของโนรี..โนรีดูเหมือนกำลังมีความสุข...นาง

    จ้องมองทรายสีขาวและกอบทรายขึ้นมาดู...พร้อมกับหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่า...แปลกที่เสียงขลุ่ย

    นั้นกลับเป็นบทเพลงภายใต้น้ำลึกแห่งลำน้ำตาปีได้..และมันยังระเบิดขึ้นมาบนผิวน้ำแตกออก

    เป็นเสียงเพลงให้น้องโมลีได้ยินพร้อมพี่เณรเมื่อวานนี้ไง..มันเป็นเรื่องอัศจรรย์เกินบรรยาย"

    ............................."หนูต้องการรู้ว่าโนรีกำลังนั่งอยู่ท่าไหน...เพื่อวาดภาพของโนรีตอนอยู่ใต้

    น้ำออกมา...หนูจินตนาการไม่ได้หรอก...ถ้าหนูวาดภาพแล้วจะเอาไปให้พี่เณรดูว่าเหมือนกับที่พี่เณร

    เห็นไหม"

    .............................."ได้สิ..ถ้าอยากให้ชัดเจนน้องโมลีควรให้พี่ภูผาดูด้วย" เณรพูดพร้อมกับ

    ยิ้มแล้วหันไปมองภูผา..ทำให้โมลีมองตาม..ก็เห็นภูผากำลังขุดดินอย่างอารมณ์ดีที่ได้ฟังเณรและโมลี

    สนทนากัน....

    .............................."พี่ภูผาจำได้จนติดตาเลยล่ะน้องโมลี...พี่สาวของหนูช่างงดงามมาก

    ตอนอยู่ใต้น้ำลึกนั้น" ภูผาเอ่ยแสดงความเห็นบ้าง

    .............................."งามจนเจ้าเก็บเอาไปฝันอีกหรือเปล่า"...เณรสัพยอกพร้อมกับหัวเราะ..

    ทำให้โมลีซึ่งรู้ความในต้องนั่งอมยิ้มดู

    .............................."เรื่องปั้นรูปโนรี..น้าบันตาบอกกับโมลีว่าอย่างไรหรือ"

    .............................."แม่บอกหนูว่า..ให้ดูแบบของรูปปั้นยักษ์ที่วัด..ว่าเขาใช้อะไรปั้น...หนูจึงรู้

    ว่าต้องใช้ปูนเท่านั้นจึงจะคงทนและทาสีได้"

    .............................."ถูกต้องแล้วล่ะ...เพราะว่าดินเหนียวเมื่อตากแดดถูกความร้อนจัด..มันก็

    จะกรอบและแตก...แต่ดินเหนียวถ้าได้หมักและปั้นเป็นเครื่องปั้นดินเผา..พี่เณรว่ามันน่าจะใช้ได้ดีนะ"

    .............................."ถ้าอย่างนั้นหนูจะลองทำตามพี่เณรบอก..ไม่รู้จะออกมาดีไหม"

    .............................."ถ้าเราฝึกหัดไปหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับงานปั้นพี่ว่าต่อไปน้องโมลีจะเชี่ยว

    ชาญด้านนี้มากนะ"

    .....................โมลีพยักหน้ารับรู้..พร้อมกับมองไปที่หน้าต่างห้องนอนของตนและพี่สาว..ที่มีต้น

    กล้วยไม้"เณรีนรา"แขวนอยู่ที่หน้าต่าง...เณรจึงหยุดกอบดินขึ้นจากหลุมและมองตามไปที่โมลีมอง...

    และเมื่อเณรพบว่าสิ่งที่โมลีมองคือ กล้วยไม้เณรีนราที่เขาปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ในป่าเมืองปัตตานีไปเก็บมา

    ให้สองพี่น้อง..........และโนรีได้ตั้งชื่อให้มันว่า "เณรีนรา" ซึ่งมีความหมายถึง..เณรพร้อมกับโนรีและ

    โมลี........มันเป็นความลึกซึ้งทางจิตใจ.....ที่ทำให้เณรหวนคิดถึงวันนั้นขึ้นมา.....ในขณะที่ภูผาก็

    มองตามไปที่กล้วยไม้..ก็ให้รู้สึกว่า..อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นรองเณร...เพราะสองพี่น้องทั้งรักและไว้ใจ

    พี่ชายที่ชื่อเณรมาตลอดตั้งแต่เล็กจนเริ่มโตขึ้น.....

    ....................โมลีเดินขึ้นไปบนบ้านและห้องนอน...เด็กน้อยไปหยิบขลุ่ยของตนขึ้นมา...เป็นขลุ่ย

    ที่วางไว้คู่กับขลุ่ยฟ้าผ่าของโนรี...เด็กน้อยเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ..และจำเพลงขลุ่ยที่โนรีเป่าต่อ

    หน้านางหรือที่นางได้ยินทั้งหมดได้....จึงได้บรรจงเป่าเพลงขลุ่ยที่โนรีเป่าขึ้นแต่ไม่มีความทรงจำของ

    บทเพลง...พวกนี้หลงเหลืออยู่เลย....ให้แก่พี่ชายทั้งสองฟัง......

    ....................เณรนั้นเมื่อได้ยินเสียงเพลงขลุ่ยก็ให้รำลึกได้ว่าเสียงขลุ่ยที่ได้ฟังนี้...คือเสียงขลุ่ยที่

    โนรีเคยเป่า...เด็กน้อยเป่าได้ไพเราะและเหมือนพี่สาวมาก....แต่ขลุ่ยเลานี้ไม่มีเสียงประสานเหมือน

    ขลุ่ยของโนรีเท่านั้นเอง......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A4764877-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24 KB
      เปิดดู:
      56
    • c_6_s.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      160
    • Qki1A_397908-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.3 KB
      เปิดดู:
      46
  16. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สามวันต่อมา..โรงเรือนสำหรับเก็บดินเหนียวและฝึกปั้นรูปได้สำเร็จเสร็จสิ้น..เด็ก

    น้อยได้ใช้เวลาฝีกหัดปั้นรูปต่าง ๆ..เป็นเวลาหลายวันก่อนที่จะนำดินเหนียวทดลองปั้น.รูปของพี่สาว

    ตอนเป่าขลุ่ยที่ฮวงจุ้ยในวันแห่ศพ..และจะได้นำปูนมาปั้นต่อไป....

    ....................สำหรับรูปภาพที่โนรีเป่าขลุ่ยอยู่ใต้น้ำลึกของลำน้ำตาปีนั้น..โมลีได้วาดภาพขนาด

    ใหญ่...โดยเด็กน้อยได้วาดภาพตามที่ตนเห็นเหตุการณ์ที่ปรากฎอยู่บนผิวน้ำ..คือ..เกลียวน้ำวนของ

    ลำน้ำตาปีช่วงบริเวณกลางน้ำได้หมุนพุ่งขึ้นสู่อากาศบนท้องฟ้า..และภาพของการระเบิดของ

    พื้นผิวน้ำที่เกิดจากเสียงขลุ่ยภายใต้น้ำลึก..แทรกตัวจากสายน้ำระเบิดขึ้นมาเป็นเสียงขลุ่ย..

    โดยมีทิวทัศน์อันสวยงามของฤดูหนาวของลำน้ำตาปีประกอบเป็นปรากฎการณ์จริงที่เด็กน้อย

    เห็น...สำหรับภาพของโนรีผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นทรายสีขาวภายใต้น้ำลึก

    ของลำน้ำตาปี.....และกำลังเป่าขลุ่ยนั้น..เด็กน้อยจำคำบอกเล่าของพี่เณรที่เล่าให้ฟังขณะที่

    เณรดำไปเห็นเหตุการณ์ภายใต้น้ำลึกถึงกริยาอาการของโนรี...โดยน้อยวาดภาพพร้อมกับ

    แสดงให้เห็นภาพของปลาน้อยใหญ่และสัตว์น้ำที่ว่ายวนอยู่รอบวังน้ำวนที่โนรีอยู่ภายในน้ำวน

    นั้น...พร้อมกับวาดภาพของพี่เณรและพี่ภูผาที่กำลังแหวกว่ายดูโนรีซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บน

    พื้นทรายน้ำลึกและเป่าขลุ่ยเป็น....บทเพลงขุล่ยอันไพเราะภายใต้น้ำลึกของลำน้ำตาปี...


    .....................เมื่อโมลีเด็กน้อยนำไปให้พี่เณรและภูผาดู..เขาทั้งคู่ถึงกับตกตะลึงที่เด็กน้อยไม่ได้

    เห็นเหตุการณ์ใต้น้ำลึกนั้นเลย..แต่กลับวาดภาพถึงเหตุการณ์ใต้น้ำลึกได้อย่างเหมือนกับตาเห็น...และ

    สวยงามมาก...ภาพนี้เป็นภาพที่มีความหมายและเป็นภาพที่แสดงเหตุการณ์อันอัศจรรย์ซึ่ง

    ปรากฎบนโลกใบนี้...ที่มองดูแล้วมันมีอะไรหลาย ๆอย่างในภาพนี้...ทั้งบทเพลงขลุ่ยภายใต้

    น้ำลึกเด็กน้อยก็ได้เขียนอักษรประกอบบทเพลงตีความให้ผู้อ่านหรือผู้ดูได้เข้าใจ.....

    .....................โมลีนำภาพกลับไปให้บันตาผู้เป็นแม่ดู..พร้อมกับโนรี..หญิงทั้งคู่เมื่อเห็น

    ภาพอันเป็นปรากฎการณ์อัศจรรย์ เช่นนั้น..ก็ให้รู้สึกทึ้ง โดยเฉพาะบันตาผู้เป็นแม่มีอาการขน

    ลุกตั้งชัน...นางรำพึงรำพันอยู่ในใจว่า.."โนรีลูกแม่..หนูยังจะมีเหตุการณ์อันใดมาปรากฏ

    อีก.....เกี่ยวกับตัวหนูหรือ...ผู้หญิงจันทร์เพ็ญช่างมีความลึกล้ำและอัศจรรย์เกินกว่าที่พ่อเฒ่า

    มูซาเล่าให้ฟังมากมายนัก"....


    .....................โนรีชื่นชมภาพวาดของน้องสาวซึ่งเด็กน้อยเพิ่งให้ตนดูเป็นภาพแรก...โดย

    ที่ภาพที่วาดไว้ก่อนหน้านั้นเด็กน้อยเก็บไว้ไม่ให้ผู้ใดดูนอกจากเพื่อนสนิทที่ชื่อ"หมวยเล็ก"..

    ที่ได้ดูตอนนำสีมาให้โมลีวาดภาพ......

    ......................โนรีเห็นอักษรบทเพลงที่ภาพ......ก็ให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเกี่ยวกับ

    เพลงขลุ่ยที่นางเป่าแล้วจำไม่ได้...จึงถามน้องสาวว่า.."มันเป็นอักษรเกี่ยวกับอะไร"...โมลี

    ต้องเตือนว่า.."หากโนรีต้องการจะเป่าขลุ่ยไร้ความทรงจำต่อไป..ก็จงอย่าได้จดจำสิ่งที่เด็ก

    น้อยเขียน..เพื่อรักษาวิธีการเป่าขลุ่ยไร้ความทรงจำของพ่อเฒ่ามูซาเอาไว้...เพราะโนรีเป็น

    คนเดียวที่อยู่บนโลกใบนี้ที่..รู้วิธีการเป่าเพลงขลุ่ยนี้...และกำลังรักษามันไว้ให้คงอยู่บนโลก

    ใบนี้...หากโนรีมีความทรงจำตอนเป่าขลุ่ย...วิชานี้จะหายสาบสูญไปในโลกใบนี้ทันที...จะไม่

    มีใครเป่าขลุ่ยนี้ได้อีก..แม้แต่พ่อเฒ่ามูซา..ซึ่งก็เป็นคนที่มีความทรงจำขณะเป่าขลุ่ยไปแล้ว."

    ....................สำนักปฏิบัติธรรมที่วัดโนรี..เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง..และเป็นรูปธรรมขึ้นมากเมื่อมีคนเริ่ม

    เข้ามาปฏิบัติธรรมในเฉพาะวันพระเท่านั้น...พ่อท่านจะจัด"บวชเนกขัมมะ"หรือที่เรียกว่า"บวชชี

    พราหมณ์" ..เป็นการบวชเพื่อรักษาศีล 8 และปฏิบัติธรรม...จากอุดมคติและปรัชญาของโนรีที่ว่านาง

    ต้องมี.."ธรรมคุ้มครองจิตใจเหมือนกับ..ทรายน้ำลึกที่มีแม่น้ำตาปีคุ้มครอง"..นางจึงเข้าบวช

    และปฏิบัติธรรมกับพ่อท่านเพื่อซึมซาบธรรมของพระพุทธองค์ที่พ่อท่านเทศสั่งสอน..ทำให้

    นางมีความรู้ทางธรรมเพื่อคุ้มครองใจมากขึ้น......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      766
    • 37.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      191
    • A4764877-21.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      193
    • A4764877-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      195
  17. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................โมลีฝึกหัดปั้นและขึ้นรูปอยู่นาน..ในที่สุดเด็กน้อยก็ใช้ปูนปั้นรูปพี่สาวขนาดเท่าคนจริงขึ้นใน

    โรงเรือนนั้น..และใช้เครื่องแกะ..แกะปูนขณะที่มันยังไม่แห้ง..โดยเด็กน้อยอาศัยความทรงจำเกี่ยวกับหน้าตาและท่าทาง

    ของพี่สาวในวันนั้น..โดยไม่ต้องให้พี่สาวมานั่งเป็นแบบในการปั้นเหมือนช่างศิลป์ปั้นรูปทั่วไป.........ซึ่งเด็กน้อยบรรจง

    แกะได้เหมือนและสวยงาม...รอแต่เพียงการทาสีหรือระบายสีให้เหมือนจริงเท่านั้น...

    .....................โนรีมาเดินสำรวจดูผลงานของน้องสาวของตนเองทุกวัน...และก็พบว่า"จิตและวิญญาณในความ

    พากเพียรในการปั้นรูปนี้ของโมลีน้องสาวของตน..ช่างงดงามด้วยคุณธรรมแห่งความเพียร"........"นางได้วินิจฉัยตาม

    องค์ธรรมที่นางได้ฟังมาจากการเทศนาของพ่อท่านที่นางได้ไปปฏิบัติธรรม...ถึงองค์ธรรมแห่งความสำเร็จหรือคุณ

    เครื่องให้สำเร็จความประสงค์ 4 อย่าง อันได้แก่ อิทธิบาทสี่..ได้แก่..ฉันทะ คือ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น...วิริยะ คือ

    เพียรหมั่นประกอบในสิ่งนั้น...จิตตะ คือ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ไม่วางธุระ...วิมังสา คือ หมั่นตริตรองพิจารณา

    เหตุผลในสิ่งนั้น...

    .....................โนรีวินิจฉัยพฤติกรรมของโมลีน้องสาวว่า..โมลีนั้นมีคุณธรรมที่ประพฤติอยู่ตลอดเวลา ใน

    ข้อ อิทธิบาทสี่..โดยเด็กน้อยก็ไม่ได้รู้จักข้อธรรมอันนี้ ..แต่จิตและวิญญาณของเด็กน้อยได้ประพฤติปฏิบัติ

    ธรรมข้อนี้โดยไม่รู้ตัว...

    ......................ในเบื้องแรกนั้น น้องสาวของนางมีฉันทะ คือ พอใจรักใคร่ในการปั้นรูปที่นางมีเป้า

    หมายอย่างแน่นอนที่คิดจะทำด้วยความพอใจรักใคร่..เบื้องต่อมา โมลีมีวิริยะ คือ..ความเพียรพยายามตลอด

    ในการที่ผสมปูนให้มีความอ่อนนุ่ม..ไม่เหลวเกินไปและไม่แข็งเกินไป..จนได้ส่วนในการปั้นและแกะรูปปั้น..

    และน้องสาวของนางมีความเพียรพยายามมาโดยตลอด...เบื้องต่อมา..โมลีมีจิตตะ..คือเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น

    หรือการปั้นรูปโดยไม่วางธุระ..เด็กน้อยสนใจอยู่ตลอดเวลา..โดยกินอาหารเช้าเสร็จเด็กน้อย..ก็จะรีบมาที่งาน

    ปั้นทันทีและคลุกอยู่กับการปั้นรูป...เบื้องสุดท้าย..วิมังสา..คือ หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้นหรืองาน

    ปั้น...น้องสาวของนางแก้ไขและแก้ไขอีก..และพิจารณาตรวจตราดูงานปั้นอยู่ตลอดเวลา...แก้ไขให้ดีขึ้น.....

    จนในที่สุดงานปั้นของโมลีก็เสร็จสมบูรณ์รอเพียงการระบายสีเท่านั้น...แต่เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับเด็ก

    น้อยที่ถนัดเรื่องการระบายสีอยู่แล้ว.....

    ....................โนรีรู้สึกซึมซาบในธรรมของพระพุทธองค์ที่ทรงชี้ข้อธรรมแนวทางแห่งความสำเร็จไว้ให้แก่

    ปุถุชนบนโลก....ให้ถือหลักในการปฏิบัติเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงานของตนและอื่น ๆ.....

    ....................ผลงานของโมลีคือสิ่งที่ยืนยันข้อธรรม...ของพระพุทธองค์ที่ผู้ใดยึดถือแล้วปฏิบัติตามย่อม

    ได้รับผลของการปฏิบัตินั้น...แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าสิ่งที่ตนเองประพฤติและปฏิบัติคืออะไรมาก่อน

    เช่น..โมลี...

    ....................วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ..ไม่อาจหวนคืนกลับมา...สองปีต่อมา..โนรีมีอายุ 16 ปีเศษ..ส่วน

    โมลีน้องสาวก็มีอายุตามมาเป็น 12 ปีเศษ...ส่วนเณรและภูผาก็ย่างเข้าเป็น 18 ปีเศษ.....

    ....................ความสวยงามของผู้หญิงจันทร์เพ็ญงดงามขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวี่แววจะจืดจางหายไป..อีกทั้ง

    คุณธรรมของนางที่ได้รับการอบรมจากพ่อท่าน.....และการประพฤติธรรมก็เด่นเป็นสง่า..ขับเคลื่อนให้นาง

    เป็นผู้งดงามทั้งร่างกายและจิตใจ...

    ....................ความงามอันเด่นชัดตามขึ้นมาของเด็กน้อยผู้น้องก็ส่อแววที่มีความสวยน่ารักและฉลาด..มี

    ประกายแห่งความทรงจำเป็นเลิศ...

    ....................ตลอดสองปีที่ผ่านมาเสียงเพลงขลุ่ยของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ไม่เคยจางหายไปจากเมือง

    สุราษฎร์ธานีเลย...บางครั้งก็มีเสียงขลุ่ยของผู้น้องที่คิดค้นเพลงใหม่ ๆเป่าขึ้นมาอันเป็นความไพเราะที่มี

    ลักษณะของเสียงเพลงโดดที่แตกต่างไปจากเสียงขลุ่ยฟ้าผ่าที่เป่าคราใดเหมือนมีขลุ่ยหลายเลาประสานเสียง

    กัน...

    ....................บางเวลาเสียงขลุ่ยทั้งสองเลาก็ขับเป่าประสานเสียงไล่ตามกันเป็นระลอกคลื่น..หลาย ๆลูกที่

    วิ่งกันเข้าหากระทบฝั่ง............ทำให้เมืองสุราษฎร์ธานีหรือ"เมืองคนดี"..เป็นอยู่ไปด้วยความสุขสันต์ตาม

    ภาษาชาวชนบท....

    ....................กล่าวฝ่ายตี๋เล็กและหมวยเล็กก็มีอายุตามขึ้นมาเป็น 16 ปีเศษและ 12 ปีเศษ สองพี่น้องก็ยัง

    คงตระเวณค้าขายเร่และปรับปรงุการขายไปแบบใหม่ ๆเรื่อยไป.....และยังคงไปมาหาสู่กับสองพี่น้องตระกูล

    นราอยู่...

    ....................ภูผาเดินทางกลับไปปัตตานีและก็ยังไป ๆมา ๆ อยู่ระหว่าง......สุราษฎร์ธานีกับปัตตานีอยู่..

    จนรู้สึกว่าหนทางสองเมืองนี้มันใกล้ขึ้นด้วยความเคยชินในการเดินทาง......

    .....................พวกเขาที่รู้เรื่องราวของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...รอปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้น..คือ "เมื่อบุรุษดาว

    ราหูหรือบุรุษผู้สู้ดวงอาทิตย์..ย่างกรายเข้ามาเผชิญหน้ากับผู้หญิงจันทร์เพ็ญเท่านั้น...ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ

    ไป"........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 88 ภาพถ่ายผู้หญิงจันทร์เพ็ญจากกล้องถ่ายรูป....




    ...................ย้อนกลับไปดูที่ตอนนำเรื่อง"อนุสรณ์ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ"

    หน้า 28 จะกล่าวถึงภาพของโนรีภาพหนึ่งที่อยู่ที่หลุมฝังศพของนาง....บริเวณหินอ่อนขนาด

    กว้าง 5 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว ลักษณะของสาวนั้นมีอายุราว 16 - 17 ปี รูปร่างสวยน่ารักผิวพรรณดั่งสีทอง

    ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ และมีประกายแห่งความเย็นปรากฎอยู่..นอกจากนั้นยังมีประกายสีทองของแสง

    จันทร์เพ็ญปรากฎกระจายอยู่รอบตัวนาง....

    ....................ประวัติความเป็นมาของภาพนี้ กำลังจะถูกเปิดเผยในตอนนี้..ซึ่งจะเป็นตอนสุดท้าย

    ในเรื่องราว "เบื้องต้น" ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..โดยการเขียนเล่าบันทึกนี้..ได้มุ่งไปที่องค์

    ประกอบ"เกี่ยวกับความทรงจำที่ปรากฎอยู่ที่หลุมศพ" เช่น.... ต้นแอปเปิ้ล..กล้วยไม้เณรีนรา..รูปปั้น

    โนรีนีเป่าขลุ่ย..ซึ่งเขียนไว้แล้ว...ยังมีเหลืออีกหลายอย่างที่ต้องมีปรากฎการณ์ประกอบ...แต่ในเวลา

    นี้..อยู่ในช่วงปี พ.ศ.2464 ที่โนรีมีอายุ 16 ปีเศษ...

    ....................ซึ่งที่มาที่ไปของรูปสัญญลักษณ์เหล่านี้..มารวมปรากฎอยู่ที่บริเวณหลุมศพอย่าง

    ไร...ก็จะทยอยเขียนไปเรื่อย ๆ..ไม่ว่า "ต้นกล้วยไม้เณรีนรา"มาอยู่ที่ต้นแอปเปิ้ลที่มีผลสีเหลืองดุจดวง

    จันทร์เพ็ญได้อย่างไร...รูปปั้นโนรีตอนเป่าขลุ่ยมาตั้งอยู่ที่เหนือหลุมศพโนรีและใต้ต้นแอปเปิ้ลได้อย่าง

    ไร....และบทจารึกที่เป็นบทกลอนหรือเพลงที่..ออกมาจากใจของโนรีมอบให้แก่ เมือง มีสุข ..เป็นมา

    อย่างไรต้องเป็นเรื่องที่เมือง มีสุข หรือบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์..ได้มาพบเจอกับโนรีนราในเวลาต่อ

    มา....

    .....................กล่าวถึงเรื่องภาพถ่ายจากกล้องถ่ายรูปนั้น.."กล้องถ่ายรูป" คือ กล้องของซันชิ

    โร่พ่อของโนรีและโมลี..ซึ่งตอนเรือสินค้าของซันชิโร่ถูกกองกำลังเรือบรบของฝรั่งเศสยิงจม

    นั้น...สิ่งที่ซันชิโร่รักและรักษาไว้ได้เพียงสิ่งเดียวคือ กล้องถ่ายรูป...ที่เขาชอบถ่ายภาพตาม

    เมืองต่าง ๆที่เขาไปมาและนำกลับไปให้บิดามารดาญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงดู..และก่อนที่ซันชิ

    โร่จะกลับไปที่ญี่ปุ่นก่อนที่โมลีจะเกิดก็ได้ทิ้ง"กล้องถ่ายรูปนี้ไว้"ที่บ้านให้บันตาภริยาเก็บรักษา

    ไว้....

    .....................มันเป็นกล้องถ่ายภาพ"โพรารอยด์"..ที่เมื่อถ่ายแล้วสามารถดูภาพได้

    ทันที.........

    .....................และเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่โนรีสวมใส่ในวันถ่ายภาพ..ก็ต้องย้อนไปถึงวันที่พ่อ

    เฒ่ามูซา..นำผ้า 3 ชิ้นมาให้บันตาไว้เพื่อนำไปตัดเสื้อผ้า..เมื่อตอนโนรีมีอายุเพียง 12 ปีเศษ

    และโมลีอายุเพียง 7 ปีเศษ..และพ่อเฒ่ามูซานำขลุ่ยมาให้เลือกพร้อมกับสอนการเป่าขลุ่ยให้

    กับสองพี่น้อง.....บันตาเห็นว่า..ขณะนั้นลูกทั้งสองของตนยังเล็กอยู่จึงได้เก็บผ้าทั้งสามชิ้น

    ไว้...ตัดเสื้อผ้าให้แก่ลูกทั้งสองตอนโตขึ้นหน่อย....

    ......................และบัดนี้ 4 ปีผ่านไปเมื่อโนรีอายุ 16 ปีเศษโมลีย่างเข้า 12 ปี รูปร่างและ

    สัดส่วนของเด็กทั้งสองโตขึ้น...บันตาจึงได้นำเสื้อผ้าที่เก็บไว้นำมาตัดเสื้อผ้าให้แก่ลูกสาวทั้ง

    สองคน.....

    ......................เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งในปีพ.ศ.2464 บันตาได้เดินไปที่ตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ในบ้าน...และ

    นางได้หยิบกล้องถ่ายรูปของสามีนางขึ้นมาดู...นางรู้ว่าซันชิโร่รักกล้องนี้มาก..เพราะใช้งานมาหลายปี

    และนำติดตัวเดินทางไปหลายประเทศหลายเมือง...ขนาดเรือกำลังจะจม..ซันชิโร่หยิบกล้องถ่ายรูปอัน

    นี้ติดตัวมาและกระโดดลงทะเลปล่อยให้เรือ......และทรัพย์สินอื่นจมหายไปต่อหน้าต่อตา...นางนั่ง

    มองกล้องที่ถืออยู่ในมือพร้อมกับยิ้มให้กับกล้อง....พลางคิดว่าสามีของนางคิดอย่างไร...ในเมื่อชีวิต

    ตนกำลังจะอยู่ในภาวะอันตรายและยากลำบาก..กลับมาห่วงเพียงกล้องตัวนี้.......

    ....................บันตาเปิดตู้ที่เก็บเสื้อผ้า...นางก็พบกับผ้าสามชิ้นที่มูซาให้ไว้ยังพับอยู่อย่างเรียบ

    ร้อย...ความจริงนางลืมไปแล้ว...พอมาเปิดดูพบเห็นผ้า..จึงคิดที่จะออกแบบตัดเสื้อผ้าเป็น

    ชุดกระโปรงให้กับลูกสาวทั้งสอง.....และในที่สุดนางก็คิดแบบของเสื้อผ้าได้..นางจึงเรียกลูกสาวทั้ง

    สองเข้ามาวัดตัวในวันต่อมา.....

    ............................"โนรีพาน้องมาหาแม่หน่อย...แล้วเอาสายวัดตัวที่จักรเย็บผ้ามาด้วย" บันตา

    เอ่ย

    ....................โนรีและโมลีเดินเข้าไปหาบันตาในห้องพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"มีอะไรหรือจ๊ะแม่...แม่จะเอาสายวัดตัวทำอะไร" โนรีเอ่ย

    ....................ในขณะที่โมลีเหลือบไปเห็นผ้าสามชิ้นทีมูซาให้ไว้จึงเอ่ยขึ้น

    ............................"นี่เป็นผ้าของพ่อเฒ่าให้ไว้นานแล้วนี่แม่..แม่จะทำอะไรหรือ"

    ............................"แม่จะตัดเสื้อชุดกระโปร่งให้หนูสองคนไงจ๊ะ"

    ............................"แม่ออกแบบอย่างไรหนูขอดูก่อน"

    ....................บันตาส่งภาพร่างดินสอที่ออกแบบไว้ในกระดาษให้ลูกสาวทั้งสองดู

    ............................."โอ้โห..นี่แม่ไปดูแบบจากที่ไหนมา...ที่หมู่บ้านเราไม่มีชุดกระโปร่งอย่างนี้

    ใส่นะ..แล้วหนูจะใส่ได้หรือ"

    ............................."ใส่ได้สิจ๊ะ..แม่ว่าเคยเห็นเสื้อผ้าแบบที่เขียนนี้จากภาพถ่ายของพ่อที่ถ่าย

    พวกฝรั่งมาให้ดู..ก่อนเอาภาพพวกนี้กลับไปญี่ปุ่น"

    .....................โนรียิ้มเมื่อเอ่ยถึงพ่อ...แล้วจึงเอ่ยถาม

    ............................."แม่จำได้หรือจ๊ะ..ว่ามันเป็นแบบนี้"

    ............................."มันไม่ใช่ทีเดียวหรือลูก...แต่แม่ดัดแปลงมัน..ให้ต่างจากพวกฝรั่งใส่...ให้

    เหมาะกับคนสยามร่างเล็ก..ใส่แล้วสวยน่ารักอีกต่างหาก"

    ......................โมลีตาลุกวาว..เมื่อได้ยินคำว่าใส่แล้วสวยน่ารัก

    .............................."จริงหรือแม่...ถ้าอย่างนั้นแม่รีบตัดให้หนูเร็ว ๆนะ...ให้เสร็จก่อนของโนรี

    นะแม่"

    .............................."มันต้องเสร็จพร้อมกันต่างหาก...เพราะแม่ต้องการถ่ายภาพของหนูสอง

    คนจากกล้องถ่ายรูปของพ่อที่ทิ้งไว้"

    .............................."กล้องถ่ายรูป" โนรีอุทานพร้อมเอ่ยต่อ

    .............................."แล้วแม่ถ่ายรูปจากกล้องของพ่อได้หรือจ๊ะ"

    .............................."ได้สิลูก...พ่อของหนูเป็นคนสอนแม่ถ่ายภาพเอง"

    ....................โมลียิ้มที่เล่าเรื่องพ่อ..เด็กน้อยวาดจินตนาการตามด้วยไม่เคยเห็นหน้าพ่อ

    มาก่อนเลย....แต่โนรีรู้สึกแปลกใจว่าพ่อไปสอนแม่ถ่ายภาพตั้งแต่เมื่อไรด้วยไม่เคยเห็น

    .............................."พ่อไม่เคยให้หนูได้จับกล้องนี้เลยนะจ๊ะแม่..แล้วหนูก็ไม่เคยเห็นพ่อ

    สอนพ่อถ่ายภาพด้วย"

    .............................."ก็เพราะพ่อเขารักกล้องนี้มาก..และโนรียังเด็กอยู่ตอนนั้น...พ่อ

    กลัวหนูจับกล้องแล้วจะทำกล้องตกเสียหาย...ส่วนเรื่องถ่ายภาพพ่อเขาสอนแม่ตั้งแต่หนูยังไม่

    เกิดอีก"

    .....................สองพี่น้องเข้าใจในเรื่องเล่า..แล้วได้ถามว่าเสื้อผ้าที่แม่จะตัดเมื่อไรเสร็จ....

    บันตาตอบประมาณสองอาทิตย์..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s_z003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.6 KB
      เปิดดู:
      50
    • 466804b6ea0e6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      61
    • 4355564.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.1 KB
      เปิดดู:
      50
  19. naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,574
    อนุโมทนาสาธุบุญกับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้าทุกๆองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุก องค์ ครับผม สาธุ
     
  20. อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................บันตาได้ใช้จักรเย็บผ้าที่น่าจะเป็นจักรหลังแรกของเมืองสุราษฎร์ธานี..ที่ซัน

    ชิโร่ผู้เป็นสามีได้ซื้อจากพ่อค้าเรือจากต่างประเทศที่นำเข้ามาขายที่ท่าเรือ..และซันชิโร่เป็นผู้สอนบัน

    ตาให้เรียนรู้การใช้จักรนี้มาตลอด....บันตาเพียรพยายามตัดเสื้อผ้าให้ลูกสาวทั้งสองอย่างปราณีตและดู

    ทันสมัย...จนสองอาทิตย์ต่อมาเสื้อผ้าที่เป็นชุดกระโปร่งอันสวยงามแบบหญิงยุโรปก็สำเร็จขึ้น......

    .....................สองพี่น้องเห็นชุดดังกล่าวที่มารดามอบให้ต่างก็ดีใจ..ตรงเข้าสวมดอกบันตาผู้เป็น

    มารดาอย่างรักใคร่...และลองสวมชุดดังกล่าวทันที.....

    .....................เครื่องสำอางที่มีอยู่สองพี่น้องต่างก็นำมาเขียนบรรจงตกแต่งใบหน้าให้เข้ากับชุด

    ดังกล่าวอย่างงดงาม......

    .....................เมื่อสองพี่น้องแต่งตัวเสร็จเป็นเวลาพอดีกับพี่เณรและภูผา..นั่งเกวียนมาถึงเพื่อ

    บอกพิธีจัดบวชเนกขัมมะที่วัดโนรีที่จะมีขึ้นอีก 7 วัน....ชายหนุ่มทั้งสองเห็นโนรีและโมลีก็ถึงกับตะลึง

    ในความงามแบบสมัยใหม่ที่ตนทั้งสองไม่เคยเห็นมาก่อน....บันตาถึงกับยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ...ใน

    ผลงานที่ตนเองมอบให้แก่ลูกสาวทั้งสอง....

    .....................เณรและภูผาจึงเอ่ยชวนสองพี่น้องให้ไปเที่ยวตลาดเพื่อทดสอบสายตาของชาว

    ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี..และฟังดูคำชมหรือวิจารณ์....ทำให้สองพี่น้องตื่นเต้นและดีใจ..พร้อมกับเห็น

    ด้วยที่จะตามพี่ชายทั้งสองไปมุ่งสู่ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้