ตอนที่ 85 ดอกทานตะวันสัญญลักษณ์แห่งบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์
....................เณรฟังเรื่องราวที่ภูผาเล่าเขาคิดพิจารณาตรึกตรองตามอย่างพินิจพิจารณา
โดยข่มอาการตื้นเต้นอย่างมีสติ..พลางคิดว่า จากการที่โนรีมีลักษณะเช่นนี้....นางอาจมีปัญหาใน
การดำเนินชีวิตตามมา..ด้วยการพยายามที่จะปกปิดซ่อนตัวในลักษณะเช่นนี้..แต่นางจะทำได้เพียง
ใด..การปกปิดลักษณะของตนเอง.....ในข้ออื่นของลักษณะนางอาจแก้ไขได้โดยการหลีกเลี่ยง...เช่น
หลีกเลี่ยงจากการกระทบแสงจันทร์เพ็ญในคืนจันทร์เพ็ญ...แต่เหตุการณ์ที่นางพออายุได้ 20 ปีจะไม่มี
วันแก่เฒ่าเลย...ในขณะที่แม่ของนางหรือน้องสาวของนาง...และคนรุ่นราวคราวเดียวกันกลับแก่เฒ่า
ชราไปเลย.....นางจะปกปิดความผิดปกติเช่นนี้ได้อย่างไร.....
....................เณรคิดถึงคำบอกเล่าของตี๋เล็ก..เรื่องที่โนรีเดินผ่านทุ่งดอกทานตะวันแล้ว...ดอก
ทานตะวันทั้งทุ่งกลับหันหน้าดอกมาหานาง....โดยละทิ้งดวงอาทิตย์ที่หันหน้าดอกเข้าหาอยู่เดิม
ไป......บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์ที่เขารำพึงรำพันชื่อขึ้นมากับดอกทานตะวัน...เณรคิดแคลงใจ
อะไรบางอย่าง...ที่เขาอยากจะบอกภูผาซึ่งเป็นเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับผู้หญิง
จันทร์เพ็ญนอกเหนือจากที่ภูผาได้รับรู้
....................เณรจึงเอ่ยกับภูผาขึ้น
............................."เจ้าเคยเห็นทุ่งดอกทานตะวันไหม"
....................ภูผาแปลกใจที่อยู่ ๆ เณรเปลี่ยนเรื่องราวกระทันหัน
............................."เจ้าถามทำไม..ถ้าเป็นดอกทานตะวันที่ปลูกอยู่รวมกันไม่เกิน 20 ต้นข้า
เคยเห็น..แต่ถ้าเป็นทุ่งกว้างข้าไม่เคยเห็น"
............................."ข้าเองก็ไม่เคยเห็น...เป็นแต่เพียงตี๋เล็กเคยบอกข้าว่า..มีทุ่งดอกทานตะวัน
ที่กว้างใหญ่ซ่อนตัวอยู่หลังป่าทางทิศตะวันตกติดภูเขา.."
............................."ที่เจ้าพูดนี้หมายความว่าเจ้าอยากไปดูความสวยงามของทุ่งดอก
ทานตะวันหรือ"
....................เณรส่ายหน้าแล้วเอ่ยตอบ
............................."มันเกี่ยวกับโนรีต่างหาก...และข้าคิดความหมายปริศนาของมันแล้วข้า
อยากไปดู...ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น...เมื่อไปถึงแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง"
............................."พรุ่งนี้เช้าหรือ"
............................."ใช่พรุ่งนี้ข้ากับเจ้าจะออกเดินทางไปตามหามัน"
.....................หลังจากจบสนทนาเณรและภูผายังคงอยู่ที่ในฮวงจุ้ย........เพื่อชมบรรยากาศ
ความวังเวงน่ากลัวของป่าช้า..พร้อมกับดูดวงดาวและดวงจันทร์บนท้องฟ้าโดยไม่มีอาการหิวโหยผ่าน
เข้ามา......และคืนนั้น..ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเพลงขลุ่ยที่โนรีเป่าขึ้น...เณรรีบชี้ให้ภูผาดูอาการของต้น
แอปเปิ้ลทั้งสอง...ภูผาเห็นต้นแอปเปิ้ลโยกตัวไปมาตามเสียงขลุ่ย.......เขารู้สึกทึ้งว่านอกจากตัว
โนรีแล้ว...เสียงขลุ่ยของโนรียังมีพลังทำให้ต้นแอปเปิ้ลทั้งสองรับรู้เสียงขลุ่ยของนางอีกด้วยหรือ......
................"เสียงขลุ่ยข้าล่องลอยไกล..พาดวงใจไปตามเสียง...ตามหาผู้ร่วมเคียง...ฟัง
สำเนียงพร่ำเรียกหา....คอยเจ้าร่วมทางมา....นานนักหนาชั่วนิรันดร์"
.....................เสียงขลุ่ยที่แว่วแผ่วมาดังสท้านเข้าไปในขั้วหัวใจของสองหนุ่ม..ที่นั่งนิ่งเหมือน
ต้องมนต์สะกด...จนเสียงนั้นลาลับไป....ทั้งคู่จึงเดินทางไปพักผ่อนหลับนอนที่กุฏิของเณร
.....................รุ่งเช้าวันใหม่..เณรและภูผาปลดม้าจากเกวียนและควบม้าไปคนละตัวมุ่งหน้าไป
ค้นหาทุ่งดอกทานตะวันตามคำบอกเล่าของตี๋เล็ก.....
.....................ทั้งคู่เดินทางไปไกลจากวัดโนรีนรารามมาก...จนพบป่าตามคำบอกเล่าของตี๋
เล็ก...เณรลงจากหลังม้าพร้อมกับภูผา...และเดินจูงม้าผ่านป่านั้นไป...และในที่สุดเขาทั้งคู่ก็พบกับทุ่ง
ดอกทานตะวันที่สวยงามและกว้างใหญ่ไพศาลไปจนติดภูเขา
.....................เณรและภูผาเดินผ่านทุ่งดอกทานตะวันทุ่งแรกเข้ามาจนถึงกระท่อมของพ่อเฒ่า
จง...ซึ่งเจ้าของไม่อยู่..เขาทั้งคู่ผูกม้าไว้ที่หลักไม้หน้ากระท่อม.และเดินสำรวจมองดูไปรอบ ๆ.....
พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต
ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.
หน้า 34 ของ 47
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
....................เณรยืนพิจารณาดอกทานตะวัน.....ที่กำลังหันหน้าดอกไปสู่ดวงอาทิตย์หรือ
ดวงตะวันในยามบ่ายทางทิศตะวันตก..โดยมีภูผาเดินตาม...เขาเดินไปจับหน้าดอกทานตะวันเบน
หันหน้าดอกไปทางทิศตะวันออก.......พอปล่อยมือสักพักดอกทานตะวันก็หันหน้าดอกกลับไปสู่กับ
ดวงตะวัน....เณรมองไปรอบ ๆทุ่งดอกทานตะวันทั้งทุ่งก็เห็นเป็นอาการเดียวกันทั้งหมด......
.....................เณรนึกถึงภาพตามคำพูดของตี๋เล็ก..ว่าดอกทานตะวันทั้งทุ่งต่างหันหน้าดอก
เข้าหาโนรีโดยละทิ้งดวงตะวันยามโนรีเดินผ่านไปทั้งท้องทุ่ง.....ดุจทหารกองเกียรติยศไล่
ลำดับ.....ทำความเคารพผู้บังคับบัญชาที่เดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ...เณรเริ่มเห็น
ภาพตามที่ตี๋เล็กเล่าเมื่อได้มาอยู่ในสถานที่เดียวกับตี๋เล็ก..เขาจึงเข้าใจตี๋เล็ก..ทำไมตี๋เล็กจึง
เล่าให้เขาฟังด้วยอาการตื่นเต้นตกใจในภาพที่เห็น.....ก็เพราะภาพที่เขาเห็นและผู้ที่อยู่ใน
เหตุการณ์ได้เห็นมันเป็นภาพที่"ยิ่งใหญ่ตระการตาสำหรับพวกเขา...เพราะเป็นเป็นเรื่องความ
ความมหัศจรรย์ตื่นเต้นปนไปกับความสวยงาม....ที่หญิงงามตระการตาเดินผ่านทุ่งดอก
ทานตะวันอันสวยงาม...และดอกทานตะวันทั้งท้องทุ่งหันหน้าดอกอันสวยงามเขาหานาง
ทุกดอก..เณรอยากเห็นเหตุการณ์จริงเช่นนี้มาก...เพราะเพียงแค่นึกภาพตาม..มันได้เพียง
แค่จินตนาการตามเท่านั้น......
.....................ภูผาเอ่ยถามเณรว่าทุ่งดอกทานตะวันนี้เกี่ยวกับโนรีอย่างไร
............................."เณรทุ่งดอกทานตะวันมันยิ่งใหญ่และสวยงามมากเลยนะ..ข้าเพิ่งเห็นเป็น
ครั้งแรกนี่แหละ...แต่มันเกี่ยวข้องกับโนรีอย่างไรหรือ"
............................."มันเกี่ยวข้องอย่างมากทีเดียว..ตามที่ตี๋เล็กเล่าให้ข้าฟัง..โนรีเดินผ่านทุ่ง
ทานตะวันแห่งนี้...เจ้ารู้ไหมว่าดอกทานตะวันทั้งท้องทุ่งต่างหันหน้าดอกเข้าหาโนรี..ผู้หญิง
จันทร์เพ็ญที่เจ้าบอกข้าว่านางจะมีแสงจันทร์เพ็ญออกจากร่างกายอยู่ตลอดเวลา..โดยละ
หน้าดอกจากดวงตะวัน...เจ้าลองคิดดูสิว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร"
.....................ภูผาได้ยินเณรพูดเช่นนั้น..เขารู้สึกตื้นเต้นถึงกับเอ่ยอุทาน
............................"หา...เจ้าว่าอย่างไรนะ...เจ้าบอกว่า..ดอกทานตะวันทั้งทุ่งนี้เลยหรือ
ที่หันหน้าดอกเข้าหาโนรี..โดยละทิ้งดวงตะวัน"
............................"ถูกแล้วล่ะ...นางทำให้ดอกทานตะวันมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
ธรรมชาติของมันที่ต้องหันหน้าดอกเข้าหาดวงอาทิตย์"
............................"มันเป็นเรื่องประหลาดอัศจรรย์ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญอีกเรื่องหนึ่ง..ที่
พ่อเฒ่ามูซาไม่เคยเอ่ยแก่ข้าฟังเลย"
............................."ข้าว่าบางทีพ่อเฒ่ามูซาอาจไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ
ทั้งหมดก็เป็นได้...พ่อเฒ่าน่าจะรู้แต่เพียงในตำนานของพ่อเฒ่าที่บอกไว้สืบต่อกันมาเท่านั้น"
............................."ก็อาจเป็นอย่างเจ้าว่า..เป็นไปได้ไหมที่แสงจันทร์เพ็ญของนางเป็น
สื่อดึงดูดดอกทานตะวันให้เข้ามาหานาง"
............................."ข้าก็คิดอยู่เช่นนั้นเหมือนกัน...และกำลังคิดไปถึงพฤติกรรม
ของดอกทานตะวันอยู่"
............................."เจ้าคิดว่าอย่างไร"
............................."ข้าคิดว่า.......พฤติกรรมของดอกทานตะวันจะคล้อยตามดวง
ตะวันไปอยู่ตลอดเวลา...แต่ในอีกนัยหนึ่งหรืออีกมุมมองหนึ่งข้าคิดว่ามันกำลังสู้กับดวง
อาทิตย์หรือดวงตะวันอยู่"
............................."เจ้ากำลังหมายถึงสิ่งใด"
............................."ข้ากำลังคิดว่า..ในเมื่อมันเป็นอาการของการสู้กับดวงอาทิตย์...มัน
น่าจะมีสัญญลักษณ์แห่งบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์อยู่"
.....................ภูผาคิดตามที่เณรพูดก็รู้สึกคล้อยตาม..จึงเอ่ยขึ้น
............................."เจ้าพูดได้เข้าท่าทีเดียว..และมีคำอธิบายอื่นอีกไหม"
............................."ข้าไม่รู้หรอกว่าบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์จะต่อสู้อย่างไรกับดวง
อาทิตย์...แต่เชื่อว่าเขาต้องเคยสู้กันในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง...พ่อเฒ่าบอกเจ้าว่าเขาคือ
ดาวราหู.....หรือบุรุษดาวราหู..คู่ปรปักษ์ของเขาก็คือดวงอาทิตย์และดวงจันทร์"
............................."ใช่"
............................."เป็นไปได้ไหมว่า..แท้จริงแล้วดอกทานตะวันนี่แหละคือดอกไม้ของ
ดาวราหูที่ไม่เคยมีใครคิดถึงมาก่อน...มันหลอกล่อผู้คนด้วยสีเหลืองเปรียบเช่นดวงตะวันให้
คนหลงผิด...คิดว่ามันคือดวงตะวัน..แต่อาการของมันคือการต่อสู้กับดวงตะวัน..มันคือ
สัญญลักษณ์แห่งบุรุษดาวราหูหรือบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์ที่พ่อเฒ่าบอกแก่เจ้า...ว่าเขาคือคู่
ปรปักษ์กับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"
............................."แล้วเจ้าคิดอะไรได้อีกหรือ"
............................."ข้าคิดว่า.......หลังเกิดปรากฎการณ์สุริยคราสหรือจันทคราสขึ้นใน
ท้องถินนี้....เขาน่าจะปรากฎกายขึ้นที่ทุ่งดอกทานตะวันแห่งนี้แหละ"
....................ภูผาคิดตามด้วยอาการนิ่งแล้วเอ่ยถาม
............................."ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น"
............................."อาการของดอกทานตะวันว่องไวต่อการรับแสงและดึงดูดแสง...
เช่นแสงอาทิตย์.หรือแม้แต่แสงจันทร์เพ็ญในตัวโนรี...ข้าเชื่อว่าดอกไม้แห่งสัญญลักษณ์ของ
บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์จะดึงดูดเขามาที่นี่.....หากเกิดสุริยคราสหรือจันทคราสขึ้นในท้องถิ่น
นี้...ข้าหรือเจ้าจะต้องมาที่นี่เพื่อมาดูให้รู้ว่าเขาคือใคร"
.....................เณรและภูผาเริ่มแน่ใจ..ในสิ่งที่คิดและพฤติการณ์ต่าง ๆที่ปรากฎจนได้ข้อสรุปว่า...
ทุ่งดอกทานตะวันแห่งนี้จะต้องปรากฎร่างของบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์หรือบุรุษดาวราหูอย่างแน่
นอน.....
.....................เณรและภูผาเดินตามทางผ่านท้องทุ่งไปยังเชิงเขา..และเขาก็พบกับที่ฝังศพ
ของ...แม่เฒ่ารักนิรันดร์ที่มีป้ายเขียนไว้และบนหลุมฝังศพยังปรากฎต้นดอกทานตะวันปลูกไว้
พร้อมกับบริเวณรอบ ๆหลุมศพ
.....................เณรพิจารณาตามความรู้สึกก็รู้สึกว่า...ผู้ตายน่าจะรักและผูกพันกับต้นดอก
ทานตะวันอย่างมาก...จึงได้สร้างทุ่งดอกทานตะวันแห่งนี้ไว้ประดับขุนเขากลางป่าแห่งนี้..
เณรอ่านป้ายชื่อออกเสียง
............................"แม่เฒ่ารัก นิรันดร์"
.....................เณรอ่านและก็เกิดความรู้สึกอันเดียวกันกับภูผา..ว่า..ช่างเป็นชื่อและนามสกุลที่งด
งามในทางใจเหลือเกิน..."คำว่า รัก นิรันดร์" แปลได้ความในลักษณะก็คือ "รักอมตะ" หรือ รัก
ที่ไม่มีวันตาย"นั่นเอง...เขาทั้งสองเชื่อว่า โนรีต้องมาที่หลุมศพนี้...และเมื่อนางพบเห็นคำที่มี
คุณค่าของชื่อแม่เฒ่า...จะต้องกระทบจิตใจที่ดีงามของนางอย่างแน่นอน....ในส่วนของเณร
นั้นพอจะจับทางอาการของโนรีได้ว่า...หากนางพบอะไรที่เป็นอารมณ์สู่จิตใจ..นางจะเป่า
ขลุ่ยตามอารมณ์แห่งจิตใจของนางได้อย่างไพเราะเพาะพริ้งมาก.....โดยเฉพาะการเป่าขลุ่ย
ท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวันและขุนเขาเช่นนี้....น่าจะเป็นเสียงขลุ่ยที่ก้องกังวานดังไปไกล
แสนไกลมาก
.....................ซึ่งเณรคิดได้ถูกต้องทีเดียว...เสียงขลุ่ยในวันนั้นก้องกังวานไพรมีความ
หมายไพเราะเพาะพริ้งและกินใจมาก
...................."ตะวันใกล้ลับดับไป...โลกไร้ซึ่งแสง...แต่รักนั้นมีแรง
.............................สร้างแสงแห่งรัก...แม้ชีวิตดับแลลับไป
............แต่รักมิสิ้นใย...ด้วยดวงใจภักดิ์...ฝากสื่อแห่งรัก...เป็นดอกไม้..........มีนาม
คล้าย...แสงแรงกล้า...ดวงตะวันมิใช่จันทรา......
................................งามสง่าเปล่งแสงจับดวงใจ...................
..................อดีตยังคงงดงาม...สถิตท่ามกลางดวงหทัย...รักนั้นมิอาจลืม
ได้....................ขอฝากไว้กับ..ดอกทานตะวัน............."ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
.....................เณรพาภูผาเดินสำรวจท้องทุ่งดอกทานตะวัน..และสังเกตดูอาการของมัน
ตลอดเวลา...พลางคิดว่า..โนรีนางคงจะต้องคอยหลบต้นดอกทานตะวันเพื่อกันคนสังเกตเห็นอาการ
ผิดปกติของนาง...นางคงรู้ตัวดีเกี่ยวกับว่า"นางคือใคร"
.....................ทั้งคู่พากันเดินกลับมาที่กระท่อมพ่อเฒ่า......และนั่งรออยู่ที่แคร่หน้ากระท่อม
นั้น...เณรพลางเอ่ยกับภูผาพร้อมกลับหันกลับไปมองที่ทุ่งดอกทานตะวัน
............................."ข้าอยากพบกับพ่อเฒ่าเจ้าของกระท่อมนี้..เพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง"
............................."เจ้าต้องการรู้เรื่องอะไรจากพ่อเฒ่าหรือ"
............................."พ่อเฒ่าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่ง..และพ่อเฒ่าไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไร
ขึ้นกับโนรี..รวมทั้งตี๋เล็กและหมวยเล็ก...ยกเว้นเพียงโมลี...ที่เด็กน้อยต้องรู้ว่าพี่สาวของตนเป็นอะไร
และเกิดอะไรขึ้น...ข้าอยากรู้ว่าพ่อเฒ่ารู้สึกอย่างไรและเข้าใจอย่างไรกับสิ่งที่พบเห็น.......ประการ
สำคัญจะให้พ่อเฒ่าบอกกับผู้ใดไม่ได้ว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น..ข้าจึงอยากขอร้องพ่อเฒ่า
ให้เก็บเป็นความลับ"
............................"พ่อเฒ่ารู้แต่เพียงดอกทานตะวันหันหน้าเข้าหาโนรี..แต่ถ้าพ่อเฒ่ารู้ถึงขนาด
โนรีเปล่งแสงจันทร์เพ็ญออกจากร่างกายยามต้องแสงจันทร์เพ็ญ..ข้าคิดว่าเรื่องคงไปกันใหญ่...พ่อ
เฒ่าอาจหวาดกลัวต่อโนรี"
............................"เป็นไปไม่ได้หรอกภูผา..จะไม่มีใครหวาดกลัวต่อโนรี..เจ้าเป็นคนบอกเอง
ไม่ใช่หรือว่าได้ฟังพ่อเฒ่ามูซาเอ่ยว่า..ผู้หญิงจันทร์เพ็ญจะมีความรักและความเมตตาต่อทุกคนไม่ว่าคน
หรือสัตว์คนดีหรือคนชั่ว....ความรักและความเมตตาที่ผู้คนสัมผัสได้จากนางรวมทั้งแสงที่ออกมา
จากร่างกายและไม่มีผู้ใดเห็น...จะทำให้ไม่มีใครหวาดกลัวโนรี....โดยเฉพาะความเมตตา..เป็น
ธรรมข้อหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า..ผู้ใดเจริญเมตตาอยู่เป็นนิจ..จะเป็นผู้ที่มีแต่คน
รักแม้แต่เทพพรหมและสัตว์ทั้งหลาย...ผู้ที่เจริญเมตตาอยู่อันตรายใดหาได้ทำร้ายได้ไหม...นี่
คือสัจธรรมโดยย่อจากพระพุทธองค์"
.....................ภูผาคิดตามและเอ่ยขึ้น
............................."เมตตาอีกแล้วหรือ...เจ้าช่างจดจำเรื่องทางธรรมมาประยุกต์ใช่
ปะปนกับทางโลกได้สอดคล้องต้องกันโดยแท้...ข้ายิ่งอยู่กับเจ้านานข้ายิ่งคิดว่าข้าคิดผิดที่
บอกเจ้าตอนอยู่ในป่าเมืองปัตตานีว่า...เมื่อเจ้าออกมาอยู่ทางโลกแล้วความรักจะผูกมัดเจ้า
จนเจ้าไม่สามารถไปใช้ชีวิตอย่างนักบวชได้อีก..เพราะตอนนี้ข้าเริ่มคิดได้แล้วว่า..เจ้านั้นมี
ธรรมที่เจ้าประพฤติอยู่คุ้มครองเจ้าอยู่ตลอดเวลา...ไม่ว่าเจ้าจะคิดอ่านอะไรก็น้อมไปทางธรรม
ที่เจ้าเรียนรู้มาทั้งสิ้น..ข้าเชื่อว่าเจ้าคงต้องเลือกกลับไปเป็นนักบวชอย่างแน่นอน"
....................คำพูดของภูผาตามความรู้สึกครั้งนี้เป็นดุจดังคำทำนายที่แม่นยำ...เพราะจิตที่รับรู้
อะไรบางอย่างของคนที่คุ้นเคยกัน....จนอยู่ในขั้นวิสัยที่มองทางได้...มักจะพูดออกมาได้ตรงกับความ
จริงในอนาคตของคนที่คุ้นเคยได้ถูกต้องเสมอ...เพราะกาลต่อมาเณรได้กลับไปบวชเป็นพระภิกษุที่
เคร่งครัดในธรรมเดินธุดงค์ออกโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยธรรมที่เขาได้เรียนรู้และปฏิบัติมา
ตลอด....ชีวิตของเณรนั้นไม่เหมาะสมที่จะใช้วิถีชีวิตแบบทางโลกเลย....แต่เพราะการที่เขาได้มาใช้
ชีวิตอย่างทางโลก..ทำให้เขาเห็นสัจจธรรมที่เปรียบเทียบธรรมชาติอันเป็นความจริงได้ถูกต้อง
.....................เณรและภูผารอพ่อเฒ่าจนเย็นก็ไม่มีวี่แววว่าพ่อเฒ่าจะกลับมา...เขาทั้งสองจึงเดิน
ทางกลับโดยควบม้าแข่งกันกับความมืดมุ่งสู่วัดโนรีนรารามอย่างเร็ว
.....................เมื่อมาถึงวัด..ภูผาได้เอ่ยกับเณรว่า
............................."พรุ่งนี้..ข้าจะไปเยี่ยมโนรีที่บ้าน"
.....................เณรยิ้มด้วยเห็นอาการญาติผู้พี่ดีขึ้น..พลางเอ่ยตอบ
............................."แล้วเจ้าต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อนด้วยไหมเล่า"
............................."เจ้าต้องไปกลับข้าอยู่แล้ว..เพราะเจ้าคือพี่ชายที่นางไว้ใจ"
............................."ถ้าเจ้าจะเจอโนรี...เจ้าต้องไปตลาดในเมืองกับข้าเพราะพรุ่งนี้สองพี่น้อง
จะต้องนำผลไม้ไปส่งที่ตลาด"
............................."ดีข้าไม่เคยไปตลาดเมืองสุราษฎร์มาก่อนเลย..จะได้ดูอะไรให้มันแปลกตา
แปลกใจบ้าง" ภูผากล่าวอย่างอารมณ์ดี..ก่อนทั้งคู่จะกลับเข้ากุฏิที่พัก...ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
.....ตอนที่ 86 อยู่อย่างทรายในน้ำลึกที่ไม่มีใครเหยียบย่ำ.....
....................รุ่งเช้าโนรีและโมลีสองพี่น้อง.....ได้นั่งเกวียนขนผลไม้ไปนำส่งป้าตันหยงที่
ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี....นางคิดว่า..วิถีชีวิตของนางเริ่มสับสนและยุ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ...นางไม่เคยรับ
รู้มาก่อนเลยว่าเมื่อถึงวัย 20 ปี นางจะไม่มีวันแก่เฒ่าชราเลย..ด้วยพ่อเฒ่ามูซาผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่เคย
เล่าคุณลักษณะข้อนี้ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญให้นางฟัง....ผู้หญิงจันทร์เพ็ญช่างมีอะไรมากมายที่ปรากฏ
แก่นางเป็นระยะ ๆ จนนางรู้สึกว่า..นางอาจรับต่อไปไม่ได้...นางอยากเกิดเป็นเช่นคนธรรมดามากกว่า
เป็น"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"..หรือเกิดเป็นสิ่งที่ไร้ชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไขไม่มีผู้ใดรบกวนความเป็นอยู่ของ
ชีวิต.....
.....................เกวียนสองพี่น้องถึงตลาด...โนรีและโมลีขนผลไม้ไปส่งที่ร้านป้าตันหยง..โนรีคิด
จะเดินไปหาตี๋เล็กที่ร้าน..ด้วยทราบว่าตี๋เล็กไม่ได้ไปขายเร่มาสองสามวันแล้ว...แต่ก็คิดอีกที
ว่า..."เหตุการณ์ในวันที่อยู่ในท้องทุ่งดอกทานตะวันอาจทำให้ตี๋เล็กซักถามนาง..แล้วนางตอบไม่ได้
ด้วยต้องปกปิดเรื่องราวของผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่นางเป็นอยู่เอาไว้"
....................โมลีน้องสาวเป็นผู้รับรู้ความรู้สึกของพี่สาวได้ดี..ว่า พี่สาวของตนกำลังไม่สบาย
ใจเกี่ยวกับตัวเองหลายเรื่อง..นางจึงอยากชวนพี่สาวไปเที่ยวยังที่อื่นบ้าง..."ลำน้ำตาปี"ที่
ไหลผ่านเมืองสุราษฎร์ธานีเป็นสิ่งที่โมลีอยากไป...ด้วยต้องการ.."ดินเหนียวจำนวนมากมา
ฝึกฝนการปั้นรูปหุ่นต่าง ๆ..ซึ่งโมลีเคยคิดจะชวนพี่เณรให้ขับเกวียนพาไปลำน้ำตาปีและช่วย
ขุดดินเหนียวจำนวนมากบรรทุกเกวียนกลับมาบ้านเพื่อหมักดินไว้เตรียมปั้นรูปปั้น"
.....................เณรและภูผาขับเกวียนมาตามหาโนรีและโมลีที่ตลาดตามที่นัดหมายกันไว้...และก็
เห็นเกวียนของโนรีจอดอยู่ข้างร้านป้าตันหยงแม่ค้าผลไม้..จึงรีบนำเกวียนไปจอดคู่..แล้วเอ่ยถามป้า
ตันหยงจากด้านหลังทันที
............................"ป้าตันหยง..น้องโนรีกับโมลีไปไหนเสียเล่า"
.....................ป้าตันหยงหันหลังกลับมาจึงเอ่ยทักพร้อมกับตอบ
............................"อ้าวเณร..ป้าเห็นสองพี่น้องเดินไปทางมุมตลาดด้านโน้น"
.....................เณรรับทราบและสกิดญาติผู้พี่ให้ไหว้ป้าที่ตนเคารพนับถือ
............................"ภูผานี่คือป้าตันหยง"
.....................ภูผารับทราบแล้วไหว้ตามเณรบอก..และตนเองก็ได้มองหาโนรีและโมลีในตลาดที่
พลุกพล่านไปด้วยผู้คน
.....................ป้าตันหยงนึกได้ว่าเณรไม่ได้มาช่วยโนรีขนผลไม้มาตลาดนานแล้วจึงเอ่ยถาม
............................"เดี๋ยวนี้เณร..ไม่ได้มาช่วยน้องแล้วหรือ"
............................"พ่อท่านให้ข้าทำงานเร่งด่วนในวัด..จึงไม่มีเวลา"
............................"งานที่วัดคงเยอะมาก"
............................"พ่อท่านตั้งใจให้วัดเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม..เพื่อให้ผู้คนมาบวชนุ่งขาวห่ม
ขาว...ไม่แต่เฉพาะวันพระเท่านั้น"
............................"พ่อท่านตั้งใจเผยแพร่ธรรมจริงจังเลยนะ"
............................"พ่อท่านบอกว่า..ต่อไปคนจะห่างวัดไปเรื่อย..ยิ่ง พ.ศ.เพิ่มจำนวนมากขึ้น
เท่าใด..คนก็ไกลจากพระพุทธเจ้าและศาสนาไปมากขึ้น...ท่านต้องประคองคนรุ่นนี้ให้ตั้งมั่นในหลัก
ธรรมจนกระจายไปถึงลูกหลานศาสนาจะอยู่มั่นคงถึง 5,000 ปี" เณรเล่าความุม่งมั่นของพ่อท่าน
............................"ป้าอนุโมทนาด้วยจริง ๆ...แล้วพวกคนจีนไปวัดบ่อยไหม"
............................"มีอยู่ประปราย..เพราะพวกเขาสนใจการทำมาค้าขายมากกว่าสิ่งอื่น" เณร
พูดตามที่ตนเห็น
............................"จริงของเณร..ดูตัวอย่างตี๋เล็กกับหมวยเล็กมันสิ..มันออกค้าขายเร่ตั้งแต่
เล็กเลย...โตขึ้นคงค้าขายเก่งกว่าเตี่ยของมัน"
.....................เณรหัวเราะอย่างชื่นชม..และก็รู้สึกว่ามือของผู้ที่อยู่ข้าง ๆกำลังสะกิดให้ดูอะไร
บางอย่าง............
.....................เณรหันไปมองตามก็เห็นโนรีกับโมลีกำลังเดินมา...เมื่อโมลีเห็นหน้าพี่เณรพร้อมกับ
ภูผา..เด็กน้อยก็วิ่งนำหน้าพี่สาว..ด้วยดีใจว่า.."ความคิดของตนที่จะไปเอาดินเหนียวที่ลำน้ำตาปี
จะสำเร็จโดยพลัน...ด้วยมีคนขุดดินเหนียวถึงสองคนยืนรออยู่ที่ร้านป้าตันหยง"
............................"พี่เณรมาถึงเมื่อไร..และพี่ภูผามาจากปัตตานีเมื่อไรกัน" เด็กน้อยถามอย่าง
เหนื่อยหอบ
............................"พี่มารอน้องโมลีตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว" ภูผาเอ่ยตอบ
............................"แล้วพี่ภูผามาธุระอะไรหรือ..หรืออยากเห็นโนรี" โมลีพูดถูกใจดำโดยการ
ดักคอ...ด้วยรู้สีกลึก ๆว่าพี่ภูผานั้นกำลังชอบพี่สาวตนอยู่
.....................ภูผาแทบจะหัวเราะในความแสนรู้ของเด็กน้อยที่พูดถูกใจ..แต่ก็พูดแก้เก้อ
............................"พี่ภูผาอยากมาฟังน้องโมลีพูดต่างหาก..จึงได้มาหา"
.....................โนรีเดินมาถึงจึงเอ่ยทักทาย
............................"พี่ภูผามีธุระกับพ่อท่านหรือจ๊ะ"
............................"พี่แค่มาเยี่ยมเยียนพ่อท่านและเณรเท่านั้นเอง"
.....................โนรีรับรู้และหันไปทางพี่เณร
............................"พี่เณรพักนี้ไม่ยอมไปเที่ยวบ้านบางเลยนะจ๊ะ"
............................"พี่เณรกำลังงานยุ่งอยู่ในวัด..จึงไม่ค่อยมีเวลา"
............................"แล้ววันนี้ทำไมมีเวลาได้" โมลีน้องเล็กพูดสวนออกมา
............................"ก็วันนี้ว่าง..จึงพาภูผามาหาน้องโมลีไง"
............................"ถ้าพี่ทั้งสองว่างก็สมใจหนูแล้ว...เพราะวันนี้หนูจะให้พี่ทั้งสองไปกับ
หนูที่ลำน้ำตาปี"
.....................เณรและภูผาต่างแปลกใจ..ที่ทำไมต้องไปลำน้ำตาปี..เณรจึงเอ่ยถาม
............................."น้องโมลีจะไปทำอะไรที่ลำน้ำตาปี"
............................."ไปขุดดินเหนียวจำนวนมาก ๆ ขนขึ้นเกวียนไปบ้าน"
............................."แล้วจะเอาดินเหนียวมาก ๆไปทำอะไร"
............................."หนูจะอาไปปั้นรูปปั้นและหุ่นต่าง ๆ"
............................."ปั้นรูปปั้น" เณรและภูผาเอ่ยพร้อมกัน
....................เด็กน้อยโมลีผู้มีพรสวรรค์ในทางจดจำเป็นเลิศ และยอดศิลปะกำลังเริ่มงานศิลป์อีก
อย่างหนึ่งให้ปรากฎขึ้นบนดินแดนภาคใต้แทบนี้..ก็รูปปั้นของโนรีขณะกำลังเป่าขลุ่ยอยู่ที่ฮวงจุ้ย
บริเวณหลุมฝังศพของโนรีและต้นแอปเปิ้ล...ที่ปรากฎขึ้นในปัจจุบันนี้ก็คือ...การปั้นรูปของพี่
สาว....ของโมลีผู้เป็น.."สตรีหนึ่งเลิศแห่งความจำและยอดศิลป์"..............ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
............กำลังเขียนถึงเรื่อง บุรุษดาวราหู จันทรคราสและสุริยคราส พร้อมกับดอกทานตะวันที่สู้กับดวงอาทิตย์อยู่เลย.....ก็เกิดจันทรคราสขึ้นชนิดเต็มดวงเมื่อคืนนี้พอดีเลย....ก็แปลกดีนะครับ......
............เกิดจันทรคราสขึ้นเมื่อใด..จะเกิดบุรุษดาวราหูขึ้นที่..ทุ่งดอกทานตะวัน............ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
............................"แต่พี่เณรไม่ได้เตรียม จอบหรือเสียมมาขุดดินเหนียวด้วยนะน้องโมลี" เณร
ทักท้วงโมลี
............................"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง..เดี๋ยวหนูไปขอยืมหมวยเล็กที่ร้านก่อนแล้วพวกเราไป
กัน" โมลีจัดการปัญหา
.....................พูดเสร็จเด็กน้อยก็วิ่งไปหาหมวยเล็ก..สักพักหนึ่งก็เดินถือจอบและเสียมมาที่
เกวียน...ทำให้ทุกคนเห็นการเอาจริงเอาจังของโมลี...และไม่มีใครทักท้วงอีก
.....................เกวียนสองเล่มเคลื่อนที่ตามกันไป มุ่งหน้าสู่ลำน้ำตาปี..โดยมีโนรีและโมลีขับ
เกวียนอยู่ข้างหน้า...ภูผารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนเริงร่าออกหน้าออกตาด้วยได้เห็นและอยู่ใกล้ชิดกับโนรีทำ
ให้เขารู้สึกมีความสุข..ทำให้เณรได้เห็น...ซึ่งเณรเดาใจภูผาก็รู้จึงเอ่ยเป็นทำนองหยอกล้อแก่ญาติผู้พี่
............................"เมื่อสองวันก่อน..ข้าเห็นเจ้าเหมือนกำลังจะตาย..แต่วันนี้ไม่รู้ว่าได้ยาดี
อะไรจึงสดชื่นกระปี๋กระเป่า..เหมือนกับดอกทานตะวันเจอกับดวงอาทิตย์อย่างนั้นแหละ"
............................"เจ้าพูดไม่ถูกเณร...มันต้องเหมือนดอกทานตะวันพบเจอกับผู้หญิงจันทร์
เพ็ญต่างหาก" ภูผาพูดแกมกระซิบด้วยกลัวได้ยินถึงเกวียนเล่มหน้า
............................"หายจากอาการป่วยทางใจ..ก็มีคำพูดแปลกหูดีนะ..ยังกับเคยเห็น"
............................"แค่เจ้าบอกว่าตี๋เล็กเล่าเรื่องดอกทานตะวันกับโนรีให้ฟังแล้ว...ข้าได้ไปเห็น
สถานที่จริง ๆ..ข้าก็จินตนาการได้แล้ว...ว่าดอกทานตะวันมันชอบผู้หญิงจันทร์เพ็ญมากกว่าดวง
อาทิตย์อีก"
....................เณรฟังอย่างอารมณ์ดีแล้วเอ่ยถาม
............................"เจ้าเคยมาที่ลำน้ำตาปีบ้างไหม"
............................"ข้าไม่ได้อยู่ที่เมืองสุราษฎร์นี่...จะได้เห็นและรู้จักมัน"
............................"มันเป็นลำน้ำที่ลึกมาก...แต่ในส่วนที่ใกล้ชายหาดทรายก็ตื้นเป็นธรรมดา"
............................"แล้วหาดทรายมันจะมีดินเหนียวให้พวกเราขุดให้น้องโมลีได้อย่างไร"
............................"ถ้าแถวริมน้ำไม่มีจริง ๆ สงสัยเจ้ากับข้าคงต้องดำน้ำไปขุดที่ใต้น้ำลึกนั่น
แหละ"
............................"กี่เที่ยวถึงจะพอ"
............................"น่าจะเต็มเกวียนสองเล่มนี้แหละ..น่าจะพอรูปปั้นตัวคน"
.....................ภูผาพยักหน้าแทนคำตอบ
.....................ในส่วนของเกวียนเล่มหน้านั้นโนรีรู้สึกมีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย..ด้วยเห็นทิวทิศน์ที่
ปรากฎตามรายทาง...อันเป็นการสมประสงค์ของโมลีผู้น้องอีกความประสงค์หนึ่งที่ต้องการให้พี่สาว
ของตนคลายความวิตกกังวลกับตัวเอง.....
.....................ในที่สุดเกวียนสองเล่มก็ได้มาถึงหาดทรายของลำน้ำตาปี..โมลีและโนรีลงจาก
เกวียน...โดยมีเณรและภูผาเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ....หาดทรายที่ขาวสอาดพร้อมกับสายน้ำที่ดูแล้วเย็น
ชุ่มฉ่ำ..ทำให้จิตใจของคนเมื่อรับรู้ธรรมชาติในส่วนนี้เข้าไว้ในจิตใจก็จะเกิดความสุขและผ่อนคลาย
ตาม....
......................ทั้งสี่มองดูไปรอบ ๆริมแม่น้ำในจุดที่น่าจะมีดินเหนียวอยู่...แต่แล้วสายตาของ
ทั้งสี่ก็มองไปเห็นต้นดอกทานตะวันราว 20 ต้นที่กำลังหันหน้าดอกเข้าสู่ดวงอาทิตย์....ทั้งที่
ดอกทานตะวันอันสวยงามไม่ได้มีความน่ากลัวแต่อย่างใด...แต่ทั้งสี่กลับสะดุ้งตกใจและ
หวาดกลัวอย่างพร้อมเพรียงกัน......
.......................โนรีและโมลีนั้นตกใจอย่างมาก..ด้วยรู้ว่าหากโนรีเดินผ่านไปที่ต้นดอก
ทานตะวันกลุ่มนั้น..ดอกทานตะวันจะหันหน้าดอกเข้าหาโนรีทันที..อันจะทำให้พี่เณรและภูผา
รู้ถึงสิ่งผิดปกติในตัวโนรี...ความรู้สึกของโนรีที่กำลังจะสบายใจอยู่เปลี่ยนแปลงเป็นเศร้าและ
หวาดระแวงทันที...ด้วยไม่เคยรู้เลยว่า"ทั้งเณรและภูผานั้นรู้เรื่องราวของตนเองแล้ว"
....................ส่วนเณรและภูผาที่สะดุ้งตกใจเพราะว่า..พวกตนเองรู้อยู่แล้วว่า หากโนรีเดิน
ผ่านต้นดอกทานตะวันกลุ่มนั้น..ดอกทานตะวันจะหันหน้าดอกเข้าหาโนรี..ซึ่งนางกำลังปกปิด
ความลับนี้อยู่...และเมื่อนางมีความหวาดระแวงเช่นนี้นางจะมีความสุขกับธรรมชาติอันสวย
งามของลำน้ำตาปีได้เช่นใด...
.....................ดอกทานตะวันกลุ่มนั้นอยู่ริมตลิ่งสุดขอบชายหาดไปทางทิศใต้ที่คาดว่าน่า
จะมีดินเหนียวจำนวนมากอยู่ที่นั่น.........
.....................โมลีได้สติก่อนจึงเอ่ยบอกกับพี่สาวและพี่ชายทั้งสองขึ้น
............................"หนูว่าเราไปทางริมตลิ่งด้านทิศเหนือของลำน้ำก่อนดีกว่านะ..ดินที่เหนือ
ชายหาดจะเป็นดินเหนียวที่ดี"
......................คำพูดของโมลีทำให้ความตึงเครียดในกลุ่มลดลง..ที่โนรีจะไม่ต้องเดินผ่านต้น
ดอกทานตะวันไปทางทิศใต้ของลำน้ำ.....โนรีถอนหายใจซึ่งทั้งพี่เณรและภูผาก็เห็นอาการนี้..และเดา
ความรู้สึกของหญิงสาวออกได้....ทั้งสี่จึงเดินทางขึ้นไปหาดินเหนียวด้านทิศเหนือทันที............ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
.....................เณรและภูผาเดินนำหน้าโนรีและโมลี..ผ่านหาดทรายสีขาวสอาดตาขึ้นไปทาง
เหนือลำน้ำตาปี..โมลีเดินจูงมือพี่สาวเดินเคียงคู่กันไป....ขณะที่เดินผ่านหาดทรายสีขาวอันสวยงาม..
โนรีรู้สึกว่าเวลานางเหยียบย่ำไปบนพื้นทรายเท้าของนางที่สัมผัสกับพื้นทรายดูช่างนุ่มนวลเสียจริง...
นางสังเกตเห็นว่า..บนพื้นทรายนั้นมีทั้งรอยเท้าคนและสัตว์เดินผ่านเหยียบย่ำไปมาเต็มไปหมด....สัก
ครู่ก็มีสายลมแรงพัดพาหอบเอาทรายสีขาวปลิวหมุนขึ้นไปบนฟ้าและตกลงมาสู่พื้นดิน.......
....................โนรีเห็นพฤติการณ์ดังกล่าวแล้ว..นางได้คิดและรำพึงรำพันอยู่ในใจว่า"ทรายเอ๋ย..
เจ้าเป็นทรายสีขาวสอาดตาที่สวยงาม...กลับถูกเหยียบย่ำบนตัวเจ้า..อีกทั้งสายลมยังหอบ
พัดพาเจ้าไป...เมื่อสายลมนั้นไม่ต้องการเจ้าแล้ว..ก็ทิ้งเจ้าลงสู่พื้นดิน..อนาถใจจริง...หาก
เจ้ามีชีวิตคงทุกข์ใจไม่น้อย..เป็นอยู่อย่างหาความสงบไม่ได้เลย....เปรียบเช่นตัวข้ายามนี้
กำลังถูกความเป็นผู้หญิงจันทร์เพ็ญพัดพาข้าไปตามวิถี...ข้าไม่อาจบังคับได้...เช่นเดียวกับที่
เจ้าถูกกระแสลมพัดพาไป....เจ้าและข้าควรมีชิวิตเช่นไร..จึงจะสงบและเกิดสันติสุขอย่างแท้
จริง"
.....................นางกำลังคิดอยู่เพลิน ๆ โมลีก็ได้พูดขึ้น
............................"เป็นอะไรไปหรือเปล่าโนรี...ทำไมนิ่งไป"
............................"ไม่มีอะไรหรอก..พี่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆอยู่...รีบตามพี่เณรกับพี่ภูผาไป
เถอะ"
.....................เดินผ่านมาจนสุดหาดทรายสีขาว...เณรก็พบกับดินเหนียวบริเวณดังกล่าว...ภูผา
และเณรจึงได้ช่วยกันขุดดินเหนียวบริเวณริมชายหาดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก..เข่งผลไม้ที่ว่างเปล่าเป็น
สิ่งที่เตรียมไว้ใส่ดินเหนียวจำนวนนั้น...เณรจึงเอ่ยขึ้น
............................"น้องโนรีกับน้องโมลี..พี่เณรว่าไปเอาเกวียนสองเล่มมาจอดใกล้กับดิน
เหนียวนี้ดีกว่า...พี่จะได้เอาดินเหนียวใส่เข่งให้เต็มทั้งหมดแล้วขนขึ้นเกวียน"
.....................สิ้นคำพูดของพี่เณร..สองพี่น้องก็เดินกลับไปที่เกวียนเพื่อขับมาจอดตามที่พี่เณร
สั่ง...โมลีขับเกวียนตนเอง..ส่วนโนรีขับเกวียนของภูผามาอย่างช้า ๆ เพราะทรายนั้นจะดูดเท้าม้าและ
ล้อเกวียนให้หนืดช้าลง...กว่าจะผ่านหาดทรายนี้ไปได้ก็ใช้เวลานานทีเดียว.....
......................โนรีมองไปที่กลางลำน้ำตาปีที่กำลังถูกสายลมพัดพาเป็นระลอกคลื่นอย่างแรง....
ในขณะที่คลื่นพัดอยู่นี้..นางเกิดความคิดหนึ่งที่เป็นคำถามเข้ามาว่า"ทรายบนหาดทรายถูกลมพัด
พาปลิวขึ้นบนท้องฟ้า...แล้วทรายใต้น้ำลึกเป็นเช่นใด.....ทรายใต้น้ำลึกลมไม่สามารถพัดพา
ขึ้นมาได้..เพราะมีน้ำลึกคุ้มครองไม่ให้ถูกต้องทราย...แต่คลื่นที่ปรากฎทำอะไรกับทรายใต้น้ำ
ลึกได้ไหม"
....................โนรีรีบพาเกวียนมาจอดเพื่อให้พี่เณรและภูผา..ขนดินเหนียวใส่เข่งขึ้น
เกวียน..ซึ่งมีโมลีช่วยอยู่...แต่โนรีนางกลับยืนสงบนิ่งอยู่ที่ริมตลิ่ง..ในที่สุดนางก็คิดจะทำบาง
สิ่งบางอย่างจึงได้เอ่ยขึ้นกับ..โมลีและพี่ทั้งสอง
............................"พี่ทั้งสองและโมลี..รอพี่อยู่นี่ก่อนนะ"
.....................โนรีพูดเสร็จนางก็เดินผ่านหาดทรายกลับไปทางที่มาและเดินไปที่ริมน้ำตา
ปี...โนรีดึงขลุ่ยออกมาจากเอวที่ติดตัวมา...แล้วนางก็เดินลงไปยังน้ำลึกเข้าไปเรื่อย ๆ
......................เณรสังเกตเห็นโนรีดังนั้น..เขาจึงหยุดเอามือกอบดินเหนียวใส่กระบุง..และ
มองดูโนรีว่ากำลังทำอะไร...ทำให้โมลีและภูผาต้องหยุดกอบดินเหนียวพร้อมกับมองไปที่โนรี
ตามเณร..อย่างสนใจว่าโนรีกำลังทำอะไร.....
......................และแล้วภาพที่ทั้งสามได้เห็นก็คือ..โนรีนั้นเดินไปจนน้ำลึกระดับคอ...แล้ว
นางก็กลั้นใจอย่างเต็มที่และดำลงไปในลำน้ำตาปีทันที....
............................."อะไรกันนะ" เสียงภูผาอุทาน
......................ในขณะที่เณรรีบวิ่งตามมาที่ชายหาด..โดยมีโมลีและภูผาวิ่งตามมาดู..ทั้ง
สามตกใจแต่ก็รอดูสังเกตการณ์อยู่ชายหาดจุดที่ห่างจากโนรีดำน้ำราว 10 เมตร..เพื่อดูว่า
โนรีกำลังทำอะไรและรอนางโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ.....ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
....................โนรีดำน้ำลึกแหวกว่ายไปใต้น้ำผ่านกระแสน้ำไหลอันเย็นเฉียบของฤดู
หนาว..นางลืมตาขึ้นมองภายใต้ผิวน้ำแหวกว่ายผ่านฝูงปลาที่ว่ายสวนทางมาหานาง..นางจ้องมองดู
ธรรมชาติของฝูงปลาอย่างมีความสุข...แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านสายน้ำลงไปใต้พื้นน้ำถึง..หาด
ทรายน้ำลึกที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้พื้นน้ำของลำน้ำตาปีนับเป็นเวลาหลาย ๆร้อยปี..ที่ทรายสีขาว
กองเรียงเป็นพื้นราบสงบนิ่ง..โดยที่ไม่มีรอยเหยียบย่ำของคนหรือสัตว์ให้ปรากฏเหมือนหาด
ทรายที่อยู่บนพื้นดินเลย...นางจ้องมองดูหาดทรายบริเวณใต้น้ำตื้นก็พบว่ายังมีร่องรอยของ
การถูกเหยียบย่ำหรือถูกคลื่นซัดเป็นคลื่นทรายคล้ายลูกระนาด....
....................หาดทรายภายใต้น้ำลึกไม่มีร่องรอยของคลื่นซัดให้มันเป็นลูกระนาด..มัน
ราบเรียบขาวสะอาดตาเหมือนกับพรมสีขาวที่ถูกปูลาดไว้ใต้พื้นน้ำ..โนรีกดหัวลงต่ำปลายเท้า
ชี้เอียงเป็นมุม 45 องศา..เพื่อแหวกว่ายไปให้ถึงพื้นทรายใต้น้ำลึกอันสวยงามนั้น....และแล้ว
มือของนางก็ได้สัมผัสกับพื้นทรายขาวใต้ลำน้ำลึกของแม่น้ำตาปี...นางก็ค่อยทรงตัวประคอง
นั่งคุกเข่าที่พื้นทรายใต้น้ำลึก....และแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าตรงจุดที่ดวงอาทิตย์ส่อง
แสงอยู่...นางเห็นมันได้ชัดเจนด้วยพลังแห่งแสงสว่างของดวงอาทิตย์..ที่มีพลังแผ่มาถึงใต้
พื้นน้ำ
....................โนรีนั่งทบทวนพฤติการณ์การแหวกว่ายของนาง..พร้อมกับคุณสมบัติของ
ทรายใต้น้ำลึก...ข้อแรกตัวนางกว่าจะมาถึงทรายน้ำลึกนี้...นางต้องก้มหัวหรือมุดหัวแหวก
ว่ายจนลงมาถึง....และสิ่งแรกที่สัมผัสกับทรายน้ำลึกกลับไม่ใช่เท้าที่เป็นอวัยวะต่ำสุดของร่าง
กาย...แต่เป็นมือต่างหาก..การจะมาให้ถึงทรายใต้น้ำลึกนี้ต้องแสดงอาการก้มหัวลงอย่าง
นอบน้อม...และแสดงอาการแหวกว่ายน้ำเหมือนกับการร่ายรำเข้ามาหาทรายนี้....ใครจะมา
หาทรายน้ำลึกก็ต้องเป็นแบบนี้...นางรู้สึกทึ้งและคิดต่อไป.....
....................พื้นทรายน้ำลึกนี้ช่างอยู่อย่างสงบจริงหนอ..ไร้ผู้เหยียบย่ำและรบกวน...แต่
ก็ไม่เดี่ยวดายด้วยมีสัตว์น้ำ เช่นปลาแหวกว่ายร่ายระบำไปมาดูให้เพลิดเพลินจำเริญใจ.....
อะไรคือสิ่งที่คุ้มครองให้ทรายน้ำลึกได้อยู่อย่างสงบร่มเย็น...ปกป้องความเป็นอยู่ของทราย
น้ำลึกมาเป็นเวลาหลาย ๆร้อยปี....มันคือกระแสน้ำแห่งลำน้ำตาปี...ที่ปกป้องเม็ดทรายเอา
ไว้...ลมบนพื้นโลกไม่อาจพัดพามันขึ้นไปได้....แม้กระแสลมจะเพียรพยามจะพัดพาเอาทราย
น้ำลึกขึ้นไป..ก็จะถูกผิวน้ำต้านปกป้องไม่ให้เข้าถึง...กระแสลมทำกับผิวน้ำได้เพียงเป็น
คลื่น...แต่ไม่อาจไปหมุนวนทรายน้ำลึกนี้ขึ้นมาได้......
....................นางนั่งคิดรำพึงรำพันอย่างสงบและมีความสุขขณะนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
ทรายใต้น้ำลึกแห่งลำน้ำตาปี...การเป็นอยู่ที่มีสิ่งปกป้องคุ้มครองเป็นสิ่งที่ดีทีเดียวตามความ
คิดของนาง.....เช่นเดียวกับทรายน้ำลึกที่มีกระแสน้ำปกป้องคุ้มครอง.......โนรีเปรียบเทียบ
กับตัวนางว่า.......นางถูกความสับสนทางความคิดกระทบใจเหมือนกับ..หาดทรายบนพื้นดิน
ถูกเหยีบย่ำและถูกลมพัดพาไป...เพราะนางไม่มีสิ่งปกป้องคุ้มครองใจของนางเอาไว้........
....................นางคิดว่า..นางควรหาอะไรที่ปกป้องคุ้มครองใจของนาง..ให้อยู่อย่างสงบ
และเป็นสุขเช่นเดียวกับทรายน้ำลึก...นางนั่งสงบอยู่ครู่หนึ่ง "นางก็รำลึกถึงคำว่าที่
พึ่ง".........และคำสอนของพระพุทธองค์.......และก็คิดได้...ว่าควรเอาธรรมของพระ
พุทธองค์เป็นสิ่งที่คุ้มครองใจของนาง...........
....................แต่ ณ เวลานี้ นางมีความสุขอย่างสงบดังเช่นเม็ดทรายในน้ำลึก....นางจึง
อธิษฐานบนพื้นทรายใต้น้ำลึกว่า.."หากนางดับและลับไป..ขอนางมาเกิดอยู่เป็นทรายใต้น้ำ
ลึกอยู่อย่างมีความสุข..ที่ไม่มีใครเหยียบย่ำหรือรบกวน.."
....................สิ้นคำอธิษฐานของนาง..ปรากฎว่า น้ำตรงที่นางนั่งคุกเข่าอย่างสงบ...ได้
หมุนวนขึ้นเป็นเกลียวแหวกช่องขึ้นไปบนพื้นน้ำและเกิดเสียงระเบิดของน้ำขึ้นอย่างดัง.....
..............................................."ตูม"..................................................
.....................เณร ภูผา และโมลี ที่คอยสังเกตการณ์อยู่บนชายหาดริมแม่น้ำเห็น
เหตุการณ์เกิดขึ้นดังนั้น...เณรรีบทิ้งจอบแล้วกระโจนลงน้ำดำว่ายไปใต้พื้นน้ำด้วยความ
ห่วงใยโนรีว่าจะเกิดอันตรายขึ้น...ภูผาเห็นเช่นนั้นก็ทิ้งเสียมกระโดดน้ำตามเณรดำลงไปอีก
คนหนึ่ง...ปล่อยให้โมลีเด็กน้อยที่ว่ายน้ำไม่เป็นรออยู่บนฝั่งอย่างตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้น........ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อนุโมทนาสาธุ พระเมตตาของพระพุทธองค์หาที่เปรียบมิได้เลย เกินคำว่าเสียสละไปแล้ว
-
....................ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการอธิษฐานของโนรี..เหมือนดังพระแม่คงคา
แห่งลำน้ำตาปีผู้ปกป้องคุ้มครองดูแลพื้นทรายน้ำลึกมาเป็นเวลานับร้อย ๆปี..จะรับรู้ถึงคำ
อธิษฐานนั้น..และได้เป็นพยานในคำอธิษฐานนั้น..เคลื่อนตัวเป็นน้ำวนหมุนล้อมรอบตัว
นางอย่างแรง..และน้ำนั้นได้พุ่งขึ้นเป็นเกลียวสู่ท้องฟ้า...
....................เณรและภูผาดำน้ำแหวกว่ายมามุ่งตรงมาตรงจุดที่โนรีนั่งอยู่บนพื้นทราย
และกำลังเห็นโนรียกขลุ่ยขึ้นกำลังเป่า...เณรและภูผาไม่อาจว่ายเข้าหาโนรีได้...เนื่อง
จากกระแสน้ำวนที่วนล้อมรอบตัวโนรีไว้...ไม่อาจทำให้ผู้ใดเข้าถึง...เณรและภูผาตกตะลึงทำ
อะไรไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโนรี.....นอกจากแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำมองดูสังเกตการณ์
โนรีที่อยู่ในวงเกลียวของน้ำนั้น...
....................ขณะที่นางกำลังยกขลุ่ยขึ้นเป่านางได้คิดทบทวนและได้ข้อสรุปเป็นปรัชญา
ใต้น้ำลึกที่นางค้นพบเกี่ยวกับทรายในน้ำลึกว่า
...................."ทรายที่ออกมาอยู่ภายนอกในสถานที่ไร้สิ่งคุ้มครอง..ย่อมถูกเหยียบย่ำ
รบกวนและถูกสายลมพัดพาไป...เหมือนกับ..จิตใจที่ส่งออกมาสู่ภายนอก..ย่อมถูกความเป็น
ไปของโลกเหยียบย่ำและพัดพาไป......
.....................ทรายที่อยู่ใต้น้ำลึกอยู่ในสถานที่ที่มีน้ำคุ้มครองอยู่..ย่อมเป็นอยู่อย่างสงบ
สุขปราศจากการเหยียบย่ำและรบกวนหรือถูกพัดพาไป...เหมือนกับ..จิตใจที่อยู่ภายกระแส
แห่งธรรม..ย่อมได้รับความคุ้มครองจากธรรมให้สงบสุขอยู่ภายในจิตนั้น..."
.....................ซึ่งปรัชญาแนวคิดของโนรีหรือผู้หญิงจันทร์เพ็ญเกี่ยวกับทรายภายใต้น้ำลึกนี้..เป็น
การแสดงการเป็นอยู่ของจิตทั้งทางโลกและทางธรรม...ซึ่งแตกต่างไปจากแนวคิดทางปรัชญาของ
"เมือง มีสุข"บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์หรือบุรุษดาวราหู..ที่แนวคิดของเขาเป็นเรื่องของ"การครอบ
ครอง"หรือ"การยึดถือ"..ซึ่งมุ่งเข้าไปสู่กระบวนการทางโลกอย่างล้วน ๆ แต่เป็นการมองการ
ครอบครองในความกว้างไกล นั่นคือ
...................."การครอบครองยึดถืออะไรด้วยมือมันช่างได้น้อยสิ่งนักเหมือนกับที่ข้าถือ
ได้เพียงขวดใบนี้.......แต่การครอบครองยึดถืออะไรด้วยสายตา ข้าสามารถครอบครองมันได้
เท่าที่สายตาของข้าจะมองไปได้ไกลแสนไกล..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้ใด"
....................แต่แนวคิดของโนรีเทียบเคียงกับ...."คำปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่"...ของ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ความว่า
......................"จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย(เหตุให้เกิดทุกข์)
......... ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์(ความไม่สบายกายไม่สบายใจ)
.......................จิตเห็นจิต เป็นมรรค(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์)
..........ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ(ความดับทุกข์)"
.....................เมื่อเปรียบเทียบคำปรัชญาและคำปรารภของหลวงปู่ดูลย์ดังกล่าวแล้ว..แม้
จะไม่เหมือนกันทีเดียวแต่ก็ดูสอดคล้องต้องกันดี..กล่าวคือ
.....................เปรียบเทียบให้เห็นว่าจิตที่ส่งออกนอกเป็นดุจทรายบนพื้นดินที่โนรีได้พบ
เห็นสภาพการถูกคนและสัตว์เหยียบย่ำและถูกกระแสลมพัดพาไป..จึงเป็นเหตุให้เกิดความไม่
สงบ...กระแสลมที่พัดพาทรายไปอาจเทียบกับกิเลสที่นำพาจิตไป...การถูกเหยียบย่ำบนพื้น
ทรายเทียบได้กับ ..จิตถูกกระทบด้วยโลกธรรม..อันได้แก่ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ได้ลาภ
เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ.....
....................จิตเห็นจิต คือ การที่มีสติเฝ้าระวังดูจิตของตน..จิตจึงเหมือนได้รับการคุ้ม
ครองโดยองค์ธรรมของมรรค(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์)..เทียบจิต คือ เม็ดทราย..ที่อยู่
ภายใต้น้ำลึกมีกระแสน้ำลึกคอยคุ้มครองจึงไม่อาจถูกรบกวนเหยียบย่ำหรือพัดพาไป...ทำให้
เกิดความสงบ..เทียบเคียงอาจไม่ถึงความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง..แต่ก็ผ่อนปรนความทุกข์ให้เบา
บางจนเกิดความสงบสุขแบบทางโลกได้
.....................เสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าได้ดังอยู่ภายใต้น้ำลึกนั้น..มีสื่อให้เณรและภูผาได้ยินคือ
สายน้ำ..มิใช่สายลมเช่นบนบก....กระแสน้ำได้พัดพาเสียงขลุ่ยเข้ากระทบโสตปราสาทของ
สองหนุ่มภายใต้พื้นน้ำนั้น...แต่กับบนพื้นน้ำที่ปรากฏแก่โมลีเด็กน้อยที่ยืนตกตะลึงบนชาย
ฝั่ง....ด้วยพลังของขลุ่ยฟ้าผ่า...เสียงขลุ่ยนั้นได้ระเบิดขึ้นมาบนผิวน้ำเป็นระยะ ๆ.......ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พุทธองค์ไว้"..เป็นความดีที่ติดตัวของท่านไปตลาดกาล..อานิ
สงฆ์จะทำให้ท่านพูดจาสิ่งใดมีแต่คนเชื่อถือ..และจะมีฟันที่เรียง
เป็นระเบียบสวยงาม..เรียวปากที่สวยได้รูป..พร้อมกับคำพูดที่มี
น้ำเสียงไพเราะครับ....
.........ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรมครับ -
....................เสียงขลุ่ยบรรเลงใต้พื้นน้ำลึกแห่งลำน้ำตาปีที่ผู้หญิงจันทร์เพ็ญขับเป่าออก
มาด้วยหัวใจปลื้มปิติภายในวังน้ำวนใต้น้ำลึกที่หมุนรอบนาง......เป็นปรากฏการณ์อันยืนยัน
ได้ว่า..ผู้หญิงจันทร์เพ็ญมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
............................"ฤดู..หนาว..ค้น..พบ..ทราย..สงบ..สุข..สันต์..ใต้..น้ำ..ลึก..แห่ง..
ตา..ปี..มี..ชี..วิต..หมุน..เวียน..พัน..ลึก..นั่ง..ลง..ตรึก..นึก..คิด..จิต..แจ่ม..ใส..นาน..
เท่า..นาน..ไม่..เคย..พบ..เจ้า..สงบ..อยู่..เป็น..ร้อย..ปี..มี..สี..สันต์..ใต้พื้น..น้ำ..ลึก..
ช่าง..สงบ..สุข..จริง..หนอ..นาน..เท่า..นาน..โปรด..จง..รอ..โนรี..ขอ..อยู่..ด้วย..เจ้า..
เม็ด..ทราย......"
.....................นางเป่าขลุ่ยอยู่ด้วยสายตาอ่อนโยนและอารมณ์แห่งความสุข..ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า
บุรุษทั้งสองที่เกือบจะหมดลมที่..กลั้นหายใจไว้...ว่ายวนไปรอบนาง...แต่โนรีกับมิได้หมดลมที่นาง
กลั้นใจไว้แต่อย่างใด...หรือว่าดวงจันทร์เพ็ญที่มีพลังดึงดูดน้ำขึ้นและน้ำลงตามหลังธรรมชาติ
ของวิทยาศาสตร์..เกี่ยวพันกับผู้หญิงจันทร์เพ็ญกระนั้นหรือ....
....................เณรว่ายวนและชี้นิ้วขึ้นไปเหนือศีรษะเพื่อบอกให้ภูผาดำขึ้นไปบนผิวน้ำ..ด้วยทั้งคู่
กำลังจะหมดลม..เพื่อไปสูดอากาศบนผิวน้ำ...เมื่อทั้งคู่ขึ้นมาบนผิวน้ำก็พบปรากฏการณ์ของผิว
น้ำที่ระเบิดขึ้นมาเป็นระยะตามทำนองเพลงขลุ่ย..ด้วยอานุภาพของเสียงขลุ่ยที่ระเบิดแทรก
น้ำขึ้นไปกับสายลม....
....................เณรกวาดสายตามองไปที่โมลีที่อยู่ชายฝั่งก็พบว่า..โมลีเด็กน้อยกำลังสะอื้น
ร่ำไห้..ด้วยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพี่สาวของตน....เณรจึงเอ่ยกับภูผา
............................"ภูผาเจ้าดำลงไปดูโนรีใต้พื้นน้ำก่อน..ข้าจะว่ายไปหาน้องโมลี"
....................เณรพูดจบก็ว่ายน้ำฝ่าน้ำที่ระเบิดเพราะเสียงขลุ่ยฟ้าผ่าอยู่รอบ ๆกายเข้าไป
หาโมลี...พร้อมกับภูผาก็สูดอากาศเต็มที่แล้วดำดิ่งลงไปใต้พื้นน้ำทันที
............................."ฮือ..ฮือ...ฮือ" เสียงโมลีเด็กน้อยร่ำไห้เอามือปาดน้ำตาอยู่บนริม
น้ำตาปี..ด้วยความกลัวและความรักห่วงใยพี่สาวของตน
....................เณรว่ายไปถึงแล้วตรงเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าเด็กน้อยพร้อมกับบอกว่า
.............................."น้องโมลี..พี่สาวของหนูไม่เป็นอะไร..นางเป่าขลุ่ยอยู่บนพื้นทราย
ใต้น้ำลึก...โมลีลองฟังเสียงระเบิดของน้ำดูสิ"
....................โมลีเช็ดน้ำตาแล้วเงี่ยหูฟังตามพี่เณรบอก..ปรากฎว่า หลังจากที่น้ำได้ระเบิด
ขึ้น.......อานุภาพของขลุ่ยฟ้าผ่ากับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..........ได้ทำปรากฏการณ์อัน
มหัศจรรย์ขึ้นบนโลกใบนี้...เสียงน้ำที่ระเบิดแล้ว......กลับมีเสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าแหวกสายน้ำ
ผุดขึ้นมา...กระทบกับสายลมนำมาให้โมลีได้ยินเสียงขลุ่ยทันที......เด็กน้อยคลายความวิตก
กังวล.....
....................เณรมองตาโมลีแล้วเอ่ยขึ้นกับเด็กน้อยที่กำลังสะอื้นอยู่อย่างจริงจังว่า
..........................."น้องโมลี...โนรีพี่สาวของหนู..มีอะไรผิดปกติอยู่ใช่ไหม"
.................โมลีเด็กน้อยรับรู้มาโดยตลอดว่าโนรีคือ."ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"แล้วจะเกิด
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้นกับตัวนางไม่หยุดหย่อน..ยากที่จะปกปิดคนใกล้ชิดไม่ให้รับรู้
ถึงความผิดปกตินี้ได้..โดยเด็กน้อยไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่เณรก็พบความประหลาดหลายอย่างนี้
มานานแล้ว....และด้วยความรักพี่เณรเป็นเสมือนพี่ชายของนาง...ที่ปกป้องดูแลพวกนางมา
ตลอด....โมลีจึงสะอื้นร่ำไห้และพยักหน้าให้กับเณร....เณรดึงโมลีเด็กน้อยเข้ามากอดอย่าง
ปลอบใจด้วยความรักและเมตตาพลางพูดว่า
............................"ไม่เป็นไร...พวกเราจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดไป....จะไม่ให้
ใครรู้...แล้วน้าบันตารู้เรื่องนี้ไหม"
.....................โมลีพยักหน้าแทนคำตอบ
............................"แล้วมีใครรู้เรื่องนี้อีกไหม" เณรเอ่ยถาม
............................"พ่อเฒ่ามูซาบอกโนรี..คือ ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"
.....................เด็กน้อยบอกความจริงแก่เณรแต่ไม่ได้อธิบายอย่างไร...เณรพยักหน้า...
แล้วเอ่ยขึ้น
............................."พี่เณรจะดำลงไปหาโนรี...น้องโมลีรอพี่อยู่นี่ก่อนนะ"
......................เณรละจากอ้อมกอดโมลี..และกระโดดลงน้ำและดำแหวกว่ายไปดูโนรีทันที...
......................โนรียังคงเป่าขลุ่ยอย่างสงบอยู่ใต้น้ำ....เณรเอามือไปแตะภูผาแล้วนั่งลงที่พื้น
ทรายใต้น้ำลึกรอบนอกของน้ำวนเพื่อสังเกตการณ์ดูโนรีต่อไป......ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
.....................โนรีเป่าขลุ่ยจนจบ..พร้อมกับการหยุดระเบิดบนพื้นผิวน้ำ....นางเก็บขลุ่ยเสียบไว้
ที่เชือกผูกเอว..แล้วค่อย ๆประคองมือทั้งสองข้างกอบทรายใต้น้ำลึกที่นางได้อธิษฐานไว้..ใส่กระเป๋า
เสื้อด้วยแววตาที่สุขใจ...พลางมองฝ่าน้ำวนเห็น...พี่ชายทั้งสองนั่งอยู่บนพื้นทรายนอกวังน้ำวนนั่งดู
นางอยู่....นางยื้มให้กับเขาทั้งสองอย่างสุขใจ..เป็นขณะที่วังน้ำวนได้หยุดหมุน.....นางแหวกว่ายเขา
มาหาเณรและภูผาพร้อมชี้มือขึ้นด้านบน...อันเป็นการแสดงสัญญาณให้กลับขึ้นไปบนผิวน้ำพร้อม
นาง......
....................โนรีขึ้นมาบนผิวน้ำตามด้วยเณรและภูผา...เห็นโมลีกำลังสะอื้นร่ำไห้อยู่..นางรีบ
ว่ายเข้าหาฝั่งตรงไปยังโมลี...เด็กน้อยเห็นพี่สาวขึ้นจากน้ำได้ก็วิ่งตรงเข้าไปกอดพี่สาวด้วยความรัก
และห่วงใยทันที..พลางเอ่ยอย่างสะอื้น
............................"โนรี..โนรี..หนูกลัว.ทำไมเป็นอย่างนี้"
............................"พี่ขอโทษ..พี่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร...พี่ค้นพบสิ่งที่สงบและเยือกเย็น
อยู่ใต้น้ำลึกนั้น....มันคือเม็ดทรายใต้ลำน้ำตาปี..ที่ไม่มีคนเหยียบย่ำหรือรบกวน..พี่นำมันติดตัวมา
ด้วย..โมลีดูสิ"
.....................โนรีพูดพลางพร้อมกับกำเม็ดทรายให้น้องสาวดู....
............................"หนูไม่เคยเห็นทรายใต้น้ำลึกมาก่อนเลย..มันมีสภาพเป็นอย่างไร"
............................"มันเป็นเม็ดทรายที่ราบเรียบสีขาวดุจพรมปูลาด..มันซ้อนตัวอยู่ในน้ำลึกน่า
จะเป็นร้อย ๆปี..โดยที่ไม่มีใครรบกวนมัน...พี่จึงได้ความคิดบางอย่างแล้ว"
............................"โนรีคิดอะไรหรือ"
............................"ในโลกนี้ไม่ว่าเราจะเป็นอยู่อย่างไร..เราจะต้องมีผู้คุ้มครองคอยช่วยเหลือ
เรา...เราจึงเกิดความสงบสุขได้..เหมือนกับทรายภายใต้น้ำลึก..ที่ใต้ลำน้ำตาปีแห่งนี้ปกป้องคุ้ม
ครองอยู่นานนับร้อย ๆปี"
............................."หมายความว่าอย่างไร"
............................."ในเรื่องของจิตใจเราต้องอาศัยธรรมของพระพุทธองค์เป็นเครื่องคุ้มครอง
เรา...แต่การเป็นอยู่ทางโลกเช่นพี่ต้องอาศัยคนที่ไว้ใจได้คุ้มครองเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าพี่เป็นอะไร"
............................."หนูบอกกับพี่เณรว่าพ่อเฒ่ามูซาบอกว่าโนรีคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"
.....................โนรียิ้มให้กับน้องสาวอย่างอ่อนโยนโดยที่ไม่มีทีท่าของความกังวลว่าเณรหรือภูผา
จะรู้ความลับของนางว่า นางคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...เหมือนกับว่าทรายภายใต้น้ำลึกนั้นได้สร้าง
ปรากฏการณ์ทางจิตและวิญญาณให้นางขึ้นมาใหม่..นางเอ่ยกับน้องสาว
............................"เราไม่สามารถปกปิดพี่เณรได้อีกแล้วล่ะ...ปรากฎการณ์ที่เขาเห็นพี่...มัน
ผิดปกติจากคนธรรมดาไปมากมายเหลือเกิน...ต่อแต่นี้พี่เณรนอกจากจะเป็นพี่ชายของเราแล้ว...เขา
จะต้องมีหน้าที่ปกป้องพี่ไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าพี่เป็นอะไร"
.....................โมลีฟังพี่สาวพูดอย่างเข้าใจ...เป็นขณะที่เณรและภูผาเดินมาถึงพอดีและได้เอ่ย
ขึ้น
............................"พี่จะปกป้องคุ้มครองโนรีตลอดไป...รวมทั้งภูผาถ้าเขายังอยู่ที่นี่เขาก็จะทำ
หน้าที่เช่นเดียวกับพี่เณร...พวกเรารู้แล้วว่า โนรีคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีก...พี่
ก็จะอยู่ข้างโนรีตลอดไป"
....................ภูผาจึงเอ่ยขึ้นบ้าง
............................."พี่ภูผารู้แล้วว่าโนรีคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..จากที่พ่อเฒ่ามูซาได้บอกพี่ที่
แดนมลายูก่อนพี่จะมาที่นี่...พ่อเฒ่าได้บอกสิ่งที่เป็นห่วงในตัวโนรีกับพี่"
....................โนรีแปลกใจที่ภูผาได้พบกับมูซา..และยังรู้สึกดีใจอย่างลึก ๆที่ได้ยินเรื่องราวของ
อาจารย์ของตน...พลางเอ่ยขึ้น
............................"พ่อเฒ่าได้บอกสื่งใดกับพี่ภูผาหรือจ๊ะ"
............................"พ่อเฒ่าเตือนเรื่องบุรุษดาวราหูหรือบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์ที่จะทำให้
ธรรมชาติในตัวเจ้าเปลี่ยนไป"
............................"ข้อนั้นพ่อเฒ่าก็เตือนหนูอยู่เหมือนกันจ้ะ"
.....................ภูผาพยักหน้ารับรู้
............................"พี่ทั้งสองจงตามหนูไปที่ต้นดอกทานตะวันกลุ่มนั้นเถิดจ้ะ"
.....................โนรีพูดพร้อมกับเดินนำหน้าประคองโมลีที่ไหล่ไป..ผ่านหาดทรายสีขาวไปทางทิศ
ใต้จุดที่ต้นดอกทานตะวันกำลังหันหน้าดอกสู่ดวงอาทิตย์อยู่...พอนางเดินเข้าไปใกล้...เณรและภูผาก็
ได้เห็นปรากฏการณ์นี้อย่างเต็มตาหลังจากที่ได้แต่คิดถึงคำบอกเล่าของตี๋เล็กและจินตนาการขึ้นเพียง
อย่างเดียว
......................ดอกทานตะวันทั้งกลุ่มได้ละจากการหันหน้าดอกเข้าสู่กับดวงอาทิตย์และ
หันเข้าหาโนรี...อย่างช้า ๆ..และไม่ว่าโนรีจะเดินหันทางไหน..ดอกทานตะวันก็หันตาม......
......................เณรและภูผารู้สึกทึ้งในความแปลกประหลาดที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
หนึ่ง...หลังจากที่ประสบกับปรากฏการณ์ภายใต้น้ำลึกมาแล้ว...เณรอุทานพร้อมกับมอง
โนรี...ที่มีสีหน้าไร้ความกังวล
............................"เป็นไปได้หรือนี่...อัศจรรย์จริง ๆ"
......................โนรีจึงเอ่ยในสิ่งที่ตนคิด
............................"นี่คือสิ่งที่พี่ทั้งสองจะต้องคุ้มครองโนรี...ไม่ให้เข้าใกล้ต้นดอก
ทานตะวัน...ให้เหมือนกับที่ลำน้ำตาปีคุ้มครองเม็ดทรายในน้ำลึกตลอดมา"
.......................คำพูดที่นางค้นพบและเปรียบเทียบ..เณรและภูผารู้สึกทึ้ง..และคิดว่า...
ภายใต้น้ำลึกนี้..โนรีจะต้องค้นพบและคิดอะไรได้อย่างมากมายแน่นอน...จึงทำให้นางเปลี่ยน
ไปจากอาการกังวล..............ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
....................เณรและภูผาพร้อมกับโนรีและโมลี..ต่างทยอยยกตะเข่งหรือกระบุ้งที่เคยใส่ผล
ไม้....แต่บัดนี้กลายเป็นที่ใส่ดินเหนียวจนเต็มหลายกระบุ้ง...และก้อนดินเหนียวอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้
บรรจุใส่อะไรไว้แต่กองไว้บนเกวียนทั้งสองเล่ม.....และเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างสุขใจ....
....................เณรและภูผายังคงเป็นผู้ขับเกวียนตาม...โนรีและโมลี...บุรุษทั้งสองคลายความ
วิตกกังวลในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..ด้วยพอจะปรับจิตใจเตรียมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับโนรี...
เขาทั้งสองต้องใช้สมองและปัญญาคอยตรวจตราการกระทำของโนรีและสิ่งที่จะเกิดกับโนรีต่อไป....ถึง
จะมีความกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย...แต่ก็รู้สึกสุขใจที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องดูแลคนที่ตนรัก.....เณรตั้งคำ
ถามถามภูผา
............................"เจ้าคิดจะอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปปัตตานี"
............................"สำหรับตอนนี้...ข้าขออยู่ต่ออีกสักระยะหนึ่ง" ภูผาตอบอย่างไม่ต้องคิด
ด้วยภูมิใจในหน้าที่ที่จะคอยดูแลคุ้มครองโนรี
............................"แต่เจ้าต้องหาเหตุผลกราบเรียนพ่อท่านให้รู้..ถึงที่เจ้าประสงค์จะอยู่ที่นี่"
............................"ข้าคิดไว้แล้ว..เรื่องที่พ่อท่านกำลังดำเนินการสร้างสำนักสำหรับฝึกอบรม
การปฏิบัติธรรม...ข้าจะคอยช่วยงานท่านด้านนี้อยู่ต่อไปก่อน"
............................"แล้วเจ้าจะส่งข่าวบอกพ่อของเจ้าว่าอย่างไร"
............................"ข้าบอกพ่อข้าก่อนไปเมืองมลายูว่า..ข้าจะไปหาประสบการณ์ของชีวิต...
และก่อนมาข้าก็บอกกับเจ้าดำให้บอกกับพ่อข้าว่า..ข้าจะมาหาพ่อท่าน...เมื่อพ่อข้ารู้ว่าข้ามาหาพ่อ
ท่านย่อมมีเรื่องดีเกิดขึ้น...บางทีการได้รับการฟังธรรมจากพ่อท่านอาจทำให้ข้ารู้ซึ้งถึง ความรักอย่าง
เมตตามากขึ้นก็ได้"
............................"เจ้าพูดเข้าท่า..ส่วนข้าสัมผัสกับมันจนรู้แล้วว่ารักเช่นนี้เป็นของสูงส่ง...มี
อยู่ที่บุคคลใดก็จะทำให้คนนั้นอยู่ในฐานะที่สูงส่งทางจิตใจมากขึ้น"
............................"เฉกเช่นโนรี..ที่มีความรักเช่นนี้คู่อยู่กับจิตใจของนางใช่ไหม"
............................"โนรีมีความรักประเภทนี้แทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนาง..ข้าไม่เคยเห็น
นางแสดงความรังเกลียดผู้ใด"
............................"แต่ถ้าบุรุษปริศนาผู้นั้นเข้ามาในชีวิตของนาง...นางอาจมีธรรมชาติที่
เปลี่ยนไปตามคำบอกเล่าของพ่อเฒ่ามูซา"
............................"ข้าไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงโนรีได้"
....................ย้อนมาที่เกวียนเล่มหน้า..เด็กน้อยมองหน้าพี่สาวที่กำลังยิ้มแย้มอย่างมี
ความสุข..พลางเอ่ยถาม
............................"โนรีกลั้นใจอยู่ในน้ำได้นานได้อย่างไร"
............................"พี่อธิบายไม่ได้หรอก..มันเป็นสิ่งแปลกที่พี่รู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น"
............................"ขลุ่ยของพ่อเฒ่าที่โนรีเป่าออกมาใต้น้ำลึก..เสียงของมันแทรกใต้น้ำขึ้นมา
บนพื้นน้ำ...และมันระเบิดแตกออกมาเป็นเสียงขลุ่ยได้อีก"
............................"พี่ไม่เห็นมันตอนเสียงมันขึ้นมาบนผิวน้ำ..ถ้ามันเป็นอย่างที่โมลีว่า...แสดง
ว่าขลุ่ยฟ้าผ่าของพ่อเฒ่ามีพลังมาก"
............................"ใช่...แล้วเราจะบอกแม่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไหม"
............................"เราต้องบอกแม่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น..รวมทั้งต้องบอกแม่ว่าพี่เณรและพี่ภูผารู้
เห็นเหตุการณ์ด้วย...เพื่อแม่จะมีอะไรบอกกับพี่ทั้งสองให้ช่วยเหลือเรา"
............................"หนูก็คิดอย่างกับที่โนรีพูดนั่นแหละ"
............................"อืม....แล้วดินเหนียวที่โมลีจะปั้นรูปหุ่นโมลีจะปั้นรูปอะไรหรือ"
............................"หนูจะปั้นรูปโนรีตอนเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินของฮวงจุ้ยในวันแห่ศพ"
....................โนรีแปลกใจ..จึงเอ่ยถาม
............................."ทำไมต้องปั้นรูปพี่..ในตอนนั้นด้วยละจ๊ะ"
............................."โนรีรู้ไหม..ว่าในวันที่โนรีเป่าขลุ่ยอยู่บนโขดหินที่ฮวงจุ้ยวันแห่
ศพ...โนรีอยู่ในชุดสีขาวและสวยงามอย่างกับเทพธิดาเลย"
.....................โนรีได้ยินน้องสาวเอ่ยชมเช่นนั้น..นางถึงกับมองหน้าน้องสาวอย่างปลื้มปิติ
แล้วหัวเราะเบา ๆ..ก่อนที่จะใช่ริมฝีปากอันงดงามหอมเบา ๆที่แก้มของน้องสาวอันเป็นการ
แสดงความรักความเอ็นดูที่มีต่อน้องสาวของนาง.....
.....................ในที่สุดเกวียนทั้งสองเล่มก็ถึงที่บ้าน...เณรและภูผาขนดินเหนียวลงมาไว้ที่ข้าง
เรือนเพาะชำ....จนหมดและเดินทางกลับวัดทันที........ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
.................ตอนที่ 87 รูปปั้นโนรีขณะเป่าขลุ่ย...............
....................บันตาผู้เป็นแม่..เห็นโมลีเตรียมการฝึกปั้นรูปด้วยดินเหนียว..นางถามลูกสาวคน
เล็กว่าจะปั้นรูปใดขึ้นมา..โมลีตอบว่าต้องการฝึกปั้นรูปหลาย ๆอย่าง..โดยเฉพาะจะปั้นรูปของโนรีตอน
เป่าขลุ่ยในวันแห่ศพ..ด้วยรู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำอันสวยงามของพี่สาวที่เด็กน้อยจดจำจนติดตา...
บันตาอธิบายว่า การจะปั้นรูปของคนให้เหมือนและอยู่คงทน....ให้โมลีไปดูรูปปั้นของยักษ์ที่ถือ
กระบองอยู่ในวัดโนรี..โมลีจึงไปดูจึงรู้ว่า..รูปปั้นนั้นใช้ปูนปั้นและแกะต่างหาก...ไม่ได้ใช้ดินเหนียว
อย่างที่เด็กน้อยคิด....
....................บันตาและลูกสาวทั้งสองจึงได้ปรึกษาหารือกัน..ให้โมลีฝึกปั้นรูปด้วยดินเหนียวไป
ก่อน....และจำเป็นจะต้องเก็บดินไว้เฉพาะต่างหากจากเรือนเพาะชำ.......ดังนั้น บันตาจึงจำเป็นต้อง
สร้างโรงเรือนขึ้นมาโดยเฉพาะ....ให้โมลีอีกโรงเรือนหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับโรงเรือนเพาะชำ.....
....................รุ่งเช้า..โนรีและโมลีจึงได้ไปตามพี่เณรและภูผามาช่วยสร้างโรงเรือนขึ้นที่ข้างเรือน
เพาะชำ...โดยบันตาได้เตรียมไม้ระแนงไว้จำนวนมากเพื่อตีเป็นฝาระแนงระบายลมแบบเรือนเพาะชำทั่ว
ไป.....
....................เมื่อมาถึงที่ก่อสร้าง..เณรและภูผาต่างก็ขุดหลุมฝังเสาของโรงเรือน..ในขณะที่โนรี
ออกไปเก็บผลไม้มาให้พี่ชายทั้งสองไว้กิน....โดยมีโมลีอยู่ช่วยในการสร้างโรงเรือน....โมลีนึกถึงวัน
วานที่โนรีพี่สาวของตนเป่าขลุ่ยอยู่ใต้น้ำลึกลำน้ำตาปีว่านางมีลักษณะเช่นไร...ด้วยไม่ได้เห็น...เห็น
เพียงแต่ปรากฎการณ์ที่น้ำหมุนเป็นเกลียวพุ่งขึ้นฟ้า..กับตอนน้ำระเบิดเพราะเสียงขลุ่ยฟ้าผ่าเท่านั้น...
ด้วยเด็กน้อยต้องการบันทึกความทรงจำเป็นภาพวาดเหมือนอย่างเคย..พร้อมกับเขียนปรากฏการณ์และ
บทเพลงขลุ่ยที่ตนเองจำได้ลงในภาพวาด.....
....................โมลีจึงได้ถามพี่เณรขณะกำลังขุดหลุมอยู่ว่า
............................"พี่เณร..เมื่อวานตอนที่พี่เณรดำลงไปใต้พื้นน้ำ..พี่เณรเห็นโนรีกำลังทำ
อย่างไร"
.....................ภูผาที่กำลังขุดหลุมอีกหลุมหนึ่ง..ได้ยินคำถามของโมลีที่ถามเณรก็แปลกใจจึงเงี่ย
หูฟัง...เณรก้มลงกรุยดินในหลุมออกแล้วมองหน้าโมลีอย่างใจเย็นพลางเอ่ยตอบ
............................"พี่ว่าถ้าน้องโมลีดำน้ำลงไปกับพี่...จะเห็นสิ่งที่สวยงามภายใต้น้ำลึกนั้น..
โดยเฉพาะโนรี"
............................"เป็นอย่างไรหรือพี่เณร..หนูอยากรู้"
............................"ตอนที่ลำน้ำตาปีหมุนเป็นเกลียวขึ้นสู่ท้องฟ้า..พี่เณรดำไปหาโนรี...เห็นพี่
สาวของหนูกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นทรายสี่ขาวใต้น้ำลึก..และน้ำวนที่หมุนเป็นเกลียวพุ่งขึ้น
ท้องฟ้านั้น...ภายใต้น้ำลึกมันได้หมุนวนรอบตัวของโนรี..โนรีดูเหมือนกำลังมีความสุข...นาง
จ้องมองทรายสีขาวและกอบทรายขึ้นมาดู...พร้อมกับหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่า...แปลกที่เสียงขลุ่ย
นั้นกลับเป็นบทเพลงภายใต้น้ำลึกแห่งลำน้ำตาปีได้..และมันยังระเบิดขึ้นมาบนผิวน้ำแตกออก
เป็นเสียงเพลงให้น้องโมลีได้ยินพร้อมพี่เณรเมื่อวานนี้ไง..มันเป็นเรื่องอัศจรรย์เกินบรรยาย"
............................."หนูต้องการรู้ว่าโนรีกำลังนั่งอยู่ท่าไหน...เพื่อวาดภาพของโนรีตอนอยู่ใต้
น้ำออกมา...หนูจินตนาการไม่ได้หรอก...ถ้าหนูวาดภาพแล้วจะเอาไปให้พี่เณรดูว่าเหมือนกับที่พี่เณร
เห็นไหม"
.............................."ได้สิ..ถ้าอยากให้ชัดเจนน้องโมลีควรให้พี่ภูผาดูด้วย" เณรพูดพร้อมกับ
ยิ้มแล้วหันไปมองภูผา..ทำให้โมลีมองตาม..ก็เห็นภูผากำลังขุดดินอย่างอารมณ์ดีที่ได้ฟังเณรและโมลี
สนทนากัน....
.............................."พี่ภูผาจำได้จนติดตาเลยล่ะน้องโมลี...พี่สาวของหนูช่างงดงามมาก
ตอนอยู่ใต้น้ำลึกนั้น" ภูผาเอ่ยแสดงความเห็นบ้าง
.............................."งามจนเจ้าเก็บเอาไปฝันอีกหรือเปล่า"...เณรสัพยอกพร้อมกับหัวเราะ..
ทำให้โมลีซึ่งรู้ความในต้องนั่งอมยิ้มดู
.............................."เรื่องปั้นรูปโนรี..น้าบันตาบอกกับโมลีว่าอย่างไรหรือ"
.............................."แม่บอกหนูว่า..ให้ดูแบบของรูปปั้นยักษ์ที่วัด..ว่าเขาใช้อะไรปั้น...หนูจึงรู้
ว่าต้องใช้ปูนเท่านั้นจึงจะคงทนและทาสีได้"
.............................."ถูกต้องแล้วล่ะ...เพราะว่าดินเหนียวเมื่อตากแดดถูกความร้อนจัด..มันก็
จะกรอบและแตก...แต่ดินเหนียวถ้าได้หมักและปั้นเป็นเครื่องปั้นดินเผา..พี่เณรว่ามันน่าจะใช้ได้ดีนะ"
.............................."ถ้าอย่างนั้นหนูจะลองทำตามพี่เณรบอก..ไม่รู้จะออกมาดีไหม"
.............................."ถ้าเราฝึกหัดไปหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับงานปั้นพี่ว่าต่อไปน้องโมลีจะเชี่ยว
ชาญด้านนี้มากนะ"
.....................โมลีพยักหน้ารับรู้..พร้อมกับมองไปที่หน้าต่างห้องนอนของตนและพี่สาว..ที่มีต้น
กล้วยไม้"เณรีนรา"แขวนอยู่ที่หน้าต่าง...เณรจึงหยุดกอบดินขึ้นจากหลุมและมองตามไปที่โมลีมอง...
และเมื่อเณรพบว่าสิ่งที่โมลีมองคือ กล้วยไม้เณรีนราที่เขาปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ในป่าเมืองปัตตานีไปเก็บมา
ให้สองพี่น้อง..........และโนรีได้ตั้งชื่อให้มันว่า "เณรีนรา" ซึ่งมีความหมายถึง..เณรพร้อมกับโนรีและ
โมลี........มันเป็นความลึกซึ้งทางจิตใจ.....ที่ทำให้เณรหวนคิดถึงวันนั้นขึ้นมา.....ในขณะที่ภูผาก็
มองตามไปที่กล้วยไม้..ก็ให้รู้สึกว่า..อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นรองเณร...เพราะสองพี่น้องทั้งรักและไว้ใจ
พี่ชายที่ชื่อเณรมาตลอดตั้งแต่เล็กจนเริ่มโตขึ้น.....
....................โมลีเดินขึ้นไปบนบ้านและห้องนอน...เด็กน้อยไปหยิบขลุ่ยของตนขึ้นมา...เป็นขลุ่ย
ที่วางไว้คู่กับขลุ่ยฟ้าผ่าของโนรี...เด็กน้อยเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ..และจำเพลงขลุ่ยที่โนรีเป่าต่อ
หน้านางหรือที่นางได้ยินทั้งหมดได้....จึงได้บรรจงเป่าเพลงขลุ่ยที่โนรีเป่าขึ้นแต่ไม่มีความทรงจำของ
บทเพลง...พวกนี้หลงเหลืออยู่เลย....ให้แก่พี่ชายทั้งสองฟัง......
....................เณรนั้นเมื่อได้ยินเสียงเพลงขลุ่ยก็ให้รำลึกได้ว่าเสียงขลุ่ยที่ได้ฟังนี้...คือเสียงขลุ่ยที่
โนรีเคยเป่า...เด็กน้อยเป่าได้ไพเราะและเหมือนพี่สาวมาก....แต่ขลุ่ยเลานี้ไม่มีเสียงประสานเหมือน
ขลุ่ยของโนรีเท่านั้นเอง......ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
....................สามวันต่อมา..โรงเรือนสำหรับเก็บดินเหนียวและฝึกปั้นรูปได้สำเร็จเสร็จสิ้น..เด็ก
น้อยได้ใช้เวลาฝีกหัดปั้นรูปต่าง ๆ..เป็นเวลาหลายวันก่อนที่จะนำดินเหนียวทดลองปั้น.รูปของพี่สาว
ตอนเป่าขลุ่ยที่ฮวงจุ้ยในวันแห่ศพ..และจะได้นำปูนมาปั้นต่อไป....
....................สำหรับรูปภาพที่โนรีเป่าขลุ่ยอยู่ใต้น้ำลึกของลำน้ำตาปีนั้น..โมลีได้วาดภาพขนาด
ใหญ่...โดยเด็กน้อยได้วาดภาพตามที่ตนเห็นเหตุการณ์ที่ปรากฎอยู่บนผิวน้ำ..คือ..เกลียวน้ำวนของ
ลำน้ำตาปีช่วงบริเวณกลางน้ำได้หมุนพุ่งขึ้นสู่อากาศบนท้องฟ้า..และภาพของการระเบิดของ
พื้นผิวน้ำที่เกิดจากเสียงขลุ่ยภายใต้น้ำลึก..แทรกตัวจากสายน้ำระเบิดขึ้นมาเป็นเสียงขลุ่ย..
โดยมีทิวทัศน์อันสวยงามของฤดูหนาวของลำน้ำตาปีประกอบเป็นปรากฎการณ์จริงที่เด็กน้อย
เห็น...สำหรับภาพของโนรีผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นทรายสีขาวภายใต้น้ำลึก
ของลำน้ำตาปี.....และกำลังเป่าขลุ่ยนั้น..เด็กน้อยจำคำบอกเล่าของพี่เณรที่เล่าให้ฟังขณะที่
เณรดำไปเห็นเหตุการณ์ภายใต้น้ำลึกถึงกริยาอาการของโนรี...โดยน้อยวาดภาพพร้อมกับ
แสดงให้เห็นภาพของปลาน้อยใหญ่และสัตว์น้ำที่ว่ายวนอยู่รอบวังน้ำวนที่โนรีอยู่ภายในน้ำวน
นั้น...พร้อมกับวาดภาพของพี่เณรและพี่ภูผาที่กำลังแหวกว่ายดูโนรีซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บน
พื้นทรายน้ำลึกและเป่าขลุ่ยเป็น....บทเพลงขุล่ยอันไพเราะภายใต้น้ำลึกของลำน้ำตาปี...
.....................เมื่อโมลีเด็กน้อยนำไปให้พี่เณรและภูผาดู..เขาทั้งคู่ถึงกับตกตะลึงที่เด็กน้อยไม่ได้
เห็นเหตุการณ์ใต้น้ำลึกนั้นเลย..แต่กลับวาดภาพถึงเหตุการณ์ใต้น้ำลึกได้อย่างเหมือนกับตาเห็น...และ
สวยงามมาก...ภาพนี้เป็นภาพที่มีความหมายและเป็นภาพที่แสดงเหตุการณ์อันอัศจรรย์ซึ่ง
ปรากฎบนโลกใบนี้...ที่มองดูแล้วมันมีอะไรหลาย ๆอย่างในภาพนี้...ทั้งบทเพลงขลุ่ยภายใต้
น้ำลึกเด็กน้อยก็ได้เขียนอักษรประกอบบทเพลงตีความให้ผู้อ่านหรือผู้ดูได้เข้าใจ.....
.....................โมลีนำภาพกลับไปให้บันตาผู้เป็นแม่ดู..พร้อมกับโนรี..หญิงทั้งคู่เมื่อเห็น
ภาพอันเป็นปรากฎการณ์อัศจรรย์ เช่นนั้น..ก็ให้รู้สึกทึ้ง โดยเฉพาะบันตาผู้เป็นแม่มีอาการขน
ลุกตั้งชัน...นางรำพึงรำพันอยู่ในใจว่า.."โนรีลูกแม่..หนูยังจะมีเหตุการณ์อันใดมาปรากฏ
อีก.....เกี่ยวกับตัวหนูหรือ...ผู้หญิงจันทร์เพ็ญช่างมีความลึกล้ำและอัศจรรย์เกินกว่าที่พ่อเฒ่า
มูซาเล่าให้ฟังมากมายนัก"....
.....................โนรีชื่นชมภาพวาดของน้องสาวซึ่งเด็กน้อยเพิ่งให้ตนดูเป็นภาพแรก...โดย
ที่ภาพที่วาดไว้ก่อนหน้านั้นเด็กน้อยเก็บไว้ไม่ให้ผู้ใดดูนอกจากเพื่อนสนิทที่ชื่อ"หมวยเล็ก"..
ที่ได้ดูตอนนำสีมาให้โมลีวาดภาพ......
......................โนรีเห็นอักษรบทเพลงที่ภาพ......ก็ให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเกี่ยวกับ
เพลงขลุ่ยที่นางเป่าแล้วจำไม่ได้...จึงถามน้องสาวว่า.."มันเป็นอักษรเกี่ยวกับอะไร"...โมลี
ต้องเตือนว่า.."หากโนรีต้องการจะเป่าขลุ่ยไร้ความทรงจำต่อไป..ก็จงอย่าได้จดจำสิ่งที่เด็ก
น้อยเขียน..เพื่อรักษาวิธีการเป่าขลุ่ยไร้ความทรงจำของพ่อเฒ่ามูซาเอาไว้...เพราะโนรีเป็น
คนเดียวที่อยู่บนโลกใบนี้ที่..รู้วิธีการเป่าเพลงขลุ่ยนี้...และกำลังรักษามันไว้ให้คงอยู่บนโลก
ใบนี้...หากโนรีมีความทรงจำตอนเป่าขลุ่ย...วิชานี้จะหายสาบสูญไปในโลกใบนี้ทันที...จะไม่
มีใครเป่าขลุ่ยนี้ได้อีก..แม้แต่พ่อเฒ่ามูซา..ซึ่งก็เป็นคนที่มีความทรงจำขณะเป่าขลุ่ยไปแล้ว."
....................สำนักปฏิบัติธรรมที่วัดโนรี..เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง..และเป็นรูปธรรมขึ้นมากเมื่อมีคนเริ่ม
เข้ามาปฏิบัติธรรมในเฉพาะวันพระเท่านั้น...พ่อท่านจะจัด"บวชเนกขัมมะ"หรือที่เรียกว่า"บวชชี
พราหมณ์" ..เป็นการบวชเพื่อรักษาศีล 8 และปฏิบัติธรรม...จากอุดมคติและปรัชญาของโนรีที่ว่านาง
ต้องมี.."ธรรมคุ้มครองจิตใจเหมือนกับ..ทรายน้ำลึกที่มีแม่น้ำตาปีคุ้มครอง"..นางจึงเข้าบวช
และปฏิบัติธรรมกับพ่อท่านเพื่อซึมซาบธรรมของพระพุทธองค์ที่พ่อท่านเทศสั่งสอน..ทำให้
นางมีความรู้ทางธรรมเพื่อคุ้มครองใจมากขึ้น......ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
.....................โมลีฝึกหัดปั้นและขึ้นรูปอยู่นาน..ในที่สุดเด็กน้อยก็ใช้ปูนปั้นรูปพี่สาวขนาดเท่าคนจริงขึ้นใน
โรงเรือนนั้น..และใช้เครื่องแกะ..แกะปูนขณะที่มันยังไม่แห้ง..โดยเด็กน้อยอาศัยความทรงจำเกี่ยวกับหน้าตาและท่าทาง
ของพี่สาวในวันนั้น..โดยไม่ต้องให้พี่สาวมานั่งเป็นแบบในการปั้นเหมือนช่างศิลป์ปั้นรูปทั่วไป.........ซึ่งเด็กน้อยบรรจง
แกะได้เหมือนและสวยงาม...รอแต่เพียงการทาสีหรือระบายสีให้เหมือนจริงเท่านั้น...
.....................โนรีมาเดินสำรวจดูผลงานของน้องสาวของตนเองทุกวัน...และก็พบว่า"จิตและวิญญาณในความ
พากเพียรในการปั้นรูปนี้ของโมลีน้องสาวของตน..ช่างงดงามด้วยคุณธรรมแห่งความเพียร"........"นางได้วินิจฉัยตาม
องค์ธรรมที่นางได้ฟังมาจากการเทศนาของพ่อท่านที่นางได้ไปปฏิบัติธรรม...ถึงองค์ธรรมแห่งความสำเร็จหรือคุณ
เครื่องให้สำเร็จความประสงค์ 4 อย่าง อันได้แก่ อิทธิบาทสี่..ได้แก่..ฉันทะ คือ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น...วิริยะ คือ
เพียรหมั่นประกอบในสิ่งนั้น...จิตตะ คือ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น ไม่วางธุระ...วิมังสา คือ หมั่นตริตรองพิจารณา
เหตุผลในสิ่งนั้น...
.....................โนรีวินิจฉัยพฤติกรรมของโมลีน้องสาวว่า..โมลีนั้นมีคุณธรรมที่ประพฤติอยู่ตลอดเวลา ใน
ข้อ อิทธิบาทสี่..โดยเด็กน้อยก็ไม่ได้รู้จักข้อธรรมอันนี้ ..แต่จิตและวิญญาณของเด็กน้อยได้ประพฤติปฏิบัติ
ธรรมข้อนี้โดยไม่รู้ตัว...
......................ในเบื้องแรกนั้น น้องสาวของนางมีฉันทะ คือ พอใจรักใคร่ในการปั้นรูปที่นางมีเป้า
หมายอย่างแน่นอนที่คิดจะทำด้วยความพอใจรักใคร่..เบื้องต่อมา โมลีมีวิริยะ คือ..ความเพียรพยายามตลอด
ในการที่ผสมปูนให้มีความอ่อนนุ่ม..ไม่เหลวเกินไปและไม่แข็งเกินไป..จนได้ส่วนในการปั้นและแกะรูปปั้น..
และน้องสาวของนางมีความเพียรพยายามมาโดยตลอด...เบื้องต่อมา..โมลีมีจิตตะ..คือเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
หรือการปั้นรูปโดยไม่วางธุระ..เด็กน้อยสนใจอยู่ตลอดเวลา..โดยกินอาหารเช้าเสร็จเด็กน้อย..ก็จะรีบมาที่งาน
ปั้นทันทีและคลุกอยู่กับการปั้นรูป...เบื้องสุดท้าย..วิมังสา..คือ หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้นหรืองาน
ปั้น...น้องสาวของนางแก้ไขและแก้ไขอีก..และพิจารณาตรวจตราดูงานปั้นอยู่ตลอดเวลา...แก้ไขให้ดีขึ้น.....
จนในที่สุดงานปั้นของโมลีก็เสร็จสมบูรณ์รอเพียงการระบายสีเท่านั้น...แต่เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับเด็ก
น้อยที่ถนัดเรื่องการระบายสีอยู่แล้ว.....
....................โนรีรู้สึกซึมซาบในธรรมของพระพุทธองค์ที่ทรงชี้ข้อธรรมแนวทางแห่งความสำเร็จไว้ให้แก่
ปุถุชนบนโลก....ให้ถือหลักในการปฏิบัติเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงานของตนและอื่น ๆ.....
....................ผลงานของโมลีคือสิ่งที่ยืนยันข้อธรรม...ของพระพุทธองค์ที่ผู้ใดยึดถือแล้วปฏิบัติตามย่อม
ได้รับผลของการปฏิบัตินั้น...แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าสิ่งที่ตนเองประพฤติและปฏิบัติคืออะไรมาก่อน
เช่น..โมลี...
....................วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ..ไม่อาจหวนคืนกลับมา...สองปีต่อมา..โนรีมีอายุ 16 ปีเศษ..ส่วน
โมลีน้องสาวก็มีอายุตามมาเป็น 12 ปีเศษ...ส่วนเณรและภูผาก็ย่างเข้าเป็น 18 ปีเศษ.....
....................ความสวยงามของผู้หญิงจันทร์เพ็ญงดงามขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวี่แววจะจืดจางหายไป..อีกทั้ง
คุณธรรมของนางที่ได้รับการอบรมจากพ่อท่าน.....และการประพฤติธรรมก็เด่นเป็นสง่า..ขับเคลื่อนให้นาง
เป็นผู้งดงามทั้งร่างกายและจิตใจ...
....................ความงามอันเด่นชัดตามขึ้นมาของเด็กน้อยผู้น้องก็ส่อแววที่มีความสวยน่ารักและฉลาด..มี
ประกายแห่งความทรงจำเป็นเลิศ...
....................ตลอดสองปีที่ผ่านมาเสียงเพลงขลุ่ยของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ไม่เคยจางหายไปจากเมือง
สุราษฎร์ธานีเลย...บางครั้งก็มีเสียงขลุ่ยของผู้น้องที่คิดค้นเพลงใหม่ ๆเป่าขึ้นมาอันเป็นความไพเราะที่มี
ลักษณะของเสียงเพลงโดดที่แตกต่างไปจากเสียงขลุ่ยฟ้าผ่าที่เป่าคราใดเหมือนมีขลุ่ยหลายเลาประสานเสียง
กัน...
....................บางเวลาเสียงขลุ่ยทั้งสองเลาก็ขับเป่าประสานเสียงไล่ตามกันเป็นระลอกคลื่น..หลาย ๆลูกที่
วิ่งกันเข้าหากระทบฝั่ง............ทำให้เมืองสุราษฎร์ธานีหรือ"เมืองคนดี"..เป็นอยู่ไปด้วยความสุขสันต์ตาม
ภาษาชาวชนบท....
....................กล่าวฝ่ายตี๋เล็กและหมวยเล็กก็มีอายุตามขึ้นมาเป็น 16 ปีเศษและ 12 ปีเศษ สองพี่น้องก็ยัง
คงตระเวณค้าขายเร่และปรับปรงุการขายไปแบบใหม่ ๆเรื่อยไป.....และยังคงไปมาหาสู่กับสองพี่น้องตระกูล
นราอยู่...
....................ภูผาเดินทางกลับไปปัตตานีและก็ยังไป ๆมา ๆ อยู่ระหว่าง......สุราษฎร์ธานีกับปัตตานีอยู่..
จนรู้สึกว่าหนทางสองเมืองนี้มันใกล้ขึ้นด้วยความเคยชินในการเดินทาง......
.....................พวกเขาที่รู้เรื่องราวของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...รอปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้น..คือ "เมื่อบุรุษดาว
ราหูหรือบุรุษผู้สู้ดวงอาทิตย์..ย่างกรายเข้ามาเผชิญหน้ากับผู้หญิงจันทร์เพ็ญเท่านั้น...ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ
ไป"........................ไฟล์ที่แนบมา:
-
A98CUOCAG0O90ICAFAP216CAY3GHD4CAZ0KWWJCALJYL4ICAMHKQ8ACA20OJNDCAV1WBBNCABDTNRVCA3K5SWNCABKTNT3CA.jpg
- ขนาดไฟล์:
- 4.1 KB
- เปิดดู:
- 152
-
-
-
-
-
.....ตอนที่ 88 ภาพถ่ายผู้หญิงจันทร์เพ็ญจากกล้องถ่ายรูป....
...................ย้อนกลับไปดูที่ตอนนำเรื่อง"อนุสรณ์ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ"
หน้า 28 จะกล่าวถึงภาพของโนรีภาพหนึ่งที่อยู่ที่หลุมฝังศพของนาง....บริเวณหินอ่อนขนาด
กว้าง 5 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว ลักษณะของสาวนั้นมีอายุราว 16 - 17 ปี รูปร่างสวยน่ารักผิวพรรณดั่งสีทอง
ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ และมีประกายแห่งความเย็นปรากฎอยู่..นอกจากนั้นยังมีประกายสีทองของแสง
จันทร์เพ็ญปรากฎกระจายอยู่รอบตัวนาง....
....................ประวัติความเป็นมาของภาพนี้ กำลังจะถูกเปิดเผยในตอนนี้..ซึ่งจะเป็นตอนสุดท้าย
ในเรื่องราว "เบื้องต้น" ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..โดยการเขียนเล่าบันทึกนี้..ได้มุ่งไปที่องค์
ประกอบ"เกี่ยวกับความทรงจำที่ปรากฎอยู่ที่หลุมศพ" เช่น.... ต้นแอปเปิ้ล..กล้วยไม้เณรีนรา..รูปปั้น
โนรีนีเป่าขลุ่ย..ซึ่งเขียนไว้แล้ว...ยังมีเหลืออีกหลายอย่างที่ต้องมีปรากฎการณ์ประกอบ...แต่ในเวลา
นี้..อยู่ในช่วงปี พ.ศ.2464 ที่โนรีมีอายุ 16 ปีเศษ...
....................ซึ่งที่มาที่ไปของรูปสัญญลักษณ์เหล่านี้..มารวมปรากฎอยู่ที่บริเวณหลุมศพอย่าง
ไร...ก็จะทยอยเขียนไปเรื่อย ๆ..ไม่ว่า "ต้นกล้วยไม้เณรีนรา"มาอยู่ที่ต้นแอปเปิ้ลที่มีผลสีเหลืองดุจดวง
จันทร์เพ็ญได้อย่างไร...รูปปั้นโนรีตอนเป่าขลุ่ยมาตั้งอยู่ที่เหนือหลุมศพโนรีและใต้ต้นแอปเปิ้ลได้อย่าง
ไร....และบทจารึกที่เป็นบทกลอนหรือเพลงที่..ออกมาจากใจของโนรีมอบให้แก่ เมือง มีสุข ..เป็นมา
อย่างไรต้องเป็นเรื่องที่เมือง มีสุข หรือบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์..ได้มาพบเจอกับโนรีนราในเวลาต่อ
มา....
.....................กล่าวถึงเรื่องภาพถ่ายจากกล้องถ่ายรูปนั้น.."กล้องถ่ายรูป" คือ กล้องของซันชิ
โร่พ่อของโนรีและโมลี..ซึ่งตอนเรือสินค้าของซันชิโร่ถูกกองกำลังเรือบรบของฝรั่งเศสยิงจม
นั้น...สิ่งที่ซันชิโร่รักและรักษาไว้ได้เพียงสิ่งเดียวคือ กล้องถ่ายรูป...ที่เขาชอบถ่ายภาพตาม
เมืองต่าง ๆที่เขาไปมาและนำกลับไปให้บิดามารดาญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงดู..และก่อนที่ซันชิ
โร่จะกลับไปที่ญี่ปุ่นก่อนที่โมลีจะเกิดก็ได้ทิ้ง"กล้องถ่ายรูปนี้ไว้"ที่บ้านให้บันตาภริยาเก็บรักษา
ไว้....
.....................มันเป็นกล้องถ่ายภาพ"โพรารอยด์"..ที่เมื่อถ่ายแล้วสามารถดูภาพได้
ทันที.........
.....................และเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่โนรีสวมใส่ในวันถ่ายภาพ..ก็ต้องย้อนไปถึงวันที่พ่อ
เฒ่ามูซา..นำผ้า 3 ชิ้นมาให้บันตาไว้เพื่อนำไปตัดเสื้อผ้า..เมื่อตอนโนรีมีอายุเพียง 12 ปีเศษ
และโมลีอายุเพียง 7 ปีเศษ..และพ่อเฒ่ามูซานำขลุ่ยมาให้เลือกพร้อมกับสอนการเป่าขลุ่ยให้
กับสองพี่น้อง.....บันตาเห็นว่า..ขณะนั้นลูกทั้งสองของตนยังเล็กอยู่จึงได้เก็บผ้าทั้งสามชิ้น
ไว้...ตัดเสื้อผ้าให้แก่ลูกทั้งสองตอนโตขึ้นหน่อย....
......................และบัดนี้ 4 ปีผ่านไปเมื่อโนรีอายุ 16 ปีเศษโมลีย่างเข้า 12 ปี รูปร่างและ
สัดส่วนของเด็กทั้งสองโตขึ้น...บันตาจึงได้นำเสื้อผ้าที่เก็บไว้นำมาตัดเสื้อผ้าให้แก่ลูกสาวทั้ง
สองคน.....
......................เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งในปีพ.ศ.2464 บันตาได้เดินไปที่ตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ในบ้าน...และ
นางได้หยิบกล้องถ่ายรูปของสามีนางขึ้นมาดู...นางรู้ว่าซันชิโร่รักกล้องนี้มาก..เพราะใช้งานมาหลายปี
และนำติดตัวเดินทางไปหลายประเทศหลายเมือง...ขนาดเรือกำลังจะจม..ซันชิโร่หยิบกล้องถ่ายรูปอัน
นี้ติดตัวมาและกระโดดลงทะเลปล่อยให้เรือ......และทรัพย์สินอื่นจมหายไปต่อหน้าต่อตา...นางนั่ง
มองกล้องที่ถืออยู่ในมือพร้อมกับยิ้มให้กับกล้อง....พลางคิดว่าสามีของนางคิดอย่างไร...ในเมื่อชีวิต
ตนกำลังจะอยู่ในภาวะอันตรายและยากลำบาก..กลับมาห่วงเพียงกล้องตัวนี้.......
....................บันตาเปิดตู้ที่เก็บเสื้อผ้า...นางก็พบกับผ้าสามชิ้นที่มูซาให้ไว้ยังพับอยู่อย่างเรียบ
ร้อย...ความจริงนางลืมไปแล้ว...พอมาเปิดดูพบเห็นผ้า..จึงคิดที่จะออกแบบตัดเสื้อผ้าเป็น
ชุดกระโปรงให้กับลูกสาวทั้งสอง.....และในที่สุดนางก็คิดแบบของเสื้อผ้าได้..นางจึงเรียกลูกสาวทั้ง
สองเข้ามาวัดตัวในวันต่อมา.....
............................"โนรีพาน้องมาหาแม่หน่อย...แล้วเอาสายวัดตัวที่จักรเย็บผ้ามาด้วย" บันตา
เอ่ย
....................โนรีและโมลีเดินเข้าไปหาบันตาในห้องพลางเอ่ยขึ้น
............................"มีอะไรหรือจ๊ะแม่...แม่จะเอาสายวัดตัวทำอะไร" โนรีเอ่ย
....................ในขณะที่โมลีเหลือบไปเห็นผ้าสามชิ้นทีมูซาให้ไว้จึงเอ่ยขึ้น
............................"นี่เป็นผ้าของพ่อเฒ่าให้ไว้นานแล้วนี่แม่..แม่จะทำอะไรหรือ"
............................"แม่จะตัดเสื้อชุดกระโปร่งให้หนูสองคนไงจ๊ะ"
............................"แม่ออกแบบอย่างไรหนูขอดูก่อน"
....................บันตาส่งภาพร่างดินสอที่ออกแบบไว้ในกระดาษให้ลูกสาวทั้งสองดู
............................."โอ้โห..นี่แม่ไปดูแบบจากที่ไหนมา...ที่หมู่บ้านเราไม่มีชุดกระโปร่งอย่างนี้
ใส่นะ..แล้วหนูจะใส่ได้หรือ"
............................."ใส่ได้สิจ๊ะ..แม่ว่าเคยเห็นเสื้อผ้าแบบที่เขียนนี้จากภาพถ่ายของพ่อที่ถ่าย
พวกฝรั่งมาให้ดู..ก่อนเอาภาพพวกนี้กลับไปญี่ปุ่น"
.....................โนรียิ้มเมื่อเอ่ยถึงพ่อ...แล้วจึงเอ่ยถาม
............................."แม่จำได้หรือจ๊ะ..ว่ามันเป็นแบบนี้"
............................."มันไม่ใช่ทีเดียวหรือลูก...แต่แม่ดัดแปลงมัน..ให้ต่างจากพวกฝรั่งใส่...ให้
เหมาะกับคนสยามร่างเล็ก..ใส่แล้วสวยน่ารักอีกต่างหาก"
......................โมลีตาลุกวาว..เมื่อได้ยินคำว่าใส่แล้วสวยน่ารัก
.............................."จริงหรือแม่...ถ้าอย่างนั้นแม่รีบตัดให้หนูเร็ว ๆนะ...ให้เสร็จก่อนของโนรี
นะแม่"
.............................."มันต้องเสร็จพร้อมกันต่างหาก...เพราะแม่ต้องการถ่ายภาพของหนูสอง
คนจากกล้องถ่ายรูปของพ่อที่ทิ้งไว้"
.............................."กล้องถ่ายรูป" โนรีอุทานพร้อมเอ่ยต่อ
.............................."แล้วแม่ถ่ายรูปจากกล้องของพ่อได้หรือจ๊ะ"
.............................."ได้สิลูก...พ่อของหนูเป็นคนสอนแม่ถ่ายภาพเอง"
....................โมลียิ้มที่เล่าเรื่องพ่อ..เด็กน้อยวาดจินตนาการตามด้วยไม่เคยเห็นหน้าพ่อ
มาก่อนเลย....แต่โนรีรู้สึกแปลกใจว่าพ่อไปสอนแม่ถ่ายภาพตั้งแต่เมื่อไรด้วยไม่เคยเห็น
.............................."พ่อไม่เคยให้หนูได้จับกล้องนี้เลยนะจ๊ะแม่..แล้วหนูก็ไม่เคยเห็นพ่อ
สอนพ่อถ่ายภาพด้วย"
.............................."ก็เพราะพ่อเขารักกล้องนี้มาก..และโนรียังเด็กอยู่ตอนนั้น...พ่อ
กลัวหนูจับกล้องแล้วจะทำกล้องตกเสียหาย...ส่วนเรื่องถ่ายภาพพ่อเขาสอนแม่ตั้งแต่หนูยังไม่
เกิดอีก"
.....................สองพี่น้องเข้าใจในเรื่องเล่า..แล้วได้ถามว่าเสื้อผ้าที่แม่จะตัดเมื่อไรเสร็จ....
บันตาตอบประมาณสองอาทิตย์..............ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อนุโมทนาสาธุบุญกับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้าทุกๆองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทุก องค์ ครับผม สาธุ
-
....................บันตาได้ใช้จักรเย็บผ้าที่น่าจะเป็นจักรหลังแรกของเมืองสุราษฎร์ธานี..ที่ซัน
ชิโร่ผู้เป็นสามีได้ซื้อจากพ่อค้าเรือจากต่างประเทศที่นำเข้ามาขายที่ท่าเรือ..และซันชิโร่เป็นผู้สอนบัน
ตาให้เรียนรู้การใช้จักรนี้มาตลอด....บันตาเพียรพยายามตัดเสื้อผ้าให้ลูกสาวทั้งสองอย่างปราณีตและดู
ทันสมัย...จนสองอาทิตย์ต่อมาเสื้อผ้าที่เป็นชุดกระโปร่งอันสวยงามแบบหญิงยุโรปก็สำเร็จขึ้น......
.....................สองพี่น้องเห็นชุดดังกล่าวที่มารดามอบให้ต่างก็ดีใจ..ตรงเข้าสวมดอกบันตาผู้เป็น
มารดาอย่างรักใคร่...และลองสวมชุดดังกล่าวทันที.....
.....................เครื่องสำอางที่มีอยู่สองพี่น้องต่างก็นำมาเขียนบรรจงตกแต่งใบหน้าให้เข้ากับชุด
ดังกล่าวอย่างงดงาม......
.....................เมื่อสองพี่น้องแต่งตัวเสร็จเป็นเวลาพอดีกับพี่เณรและภูผา..นั่งเกวียนมาถึงเพื่อ
บอกพิธีจัดบวชเนกขัมมะที่วัดโนรีที่จะมีขึ้นอีก 7 วัน....ชายหนุ่มทั้งสองเห็นโนรีและโมลีก็ถึงกับตะลึง
ในความงามแบบสมัยใหม่ที่ตนทั้งสองไม่เคยเห็นมาก่อน....บันตาถึงกับยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ...ใน
ผลงานที่ตนเองมอบให้แก่ลูกสาวทั้งสอง....
.....................เณรและภูผาจึงเอ่ยชวนสองพี่น้องให้ไปเที่ยวตลาดเพื่อทดสอบสายตาของชาว
ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี..และฟังดูคำชมหรือวิจารณ์....ทำให้สองพี่น้องตื่นเต้นและดีใจ..พร้อมกับเห็น
ด้วยที่จะตามพี่ชายทั้งสองไปมุ่งสู่ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี....ไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 34 ของ 47