พลังจิต
การศึกษาเกี่ยวกับอายตนะขันธ์ 5 นิพพาน ฯลฯ พลังงานและพลังจิตล้วนเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมาโดยตลอดไม่สามารถที่จะแยกเรียนรู้ เฉพาะเรื่องใดเพียงเรื่องเดียวได้เลย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ
พลังจิต และ ความลับแห่งพีระมิด
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 28 ธันวาคม 2004.
หน้า 1 ของ 4
-
-
คุณเกษม ยอดเยี่ยมมาก คุณก็รู้เรื่องราวในคัมภีร์มรกตหรือครับ...เว็บผมก็กำลังจะอัฟเดตเรื่องนี้อยู่พอดี...http://www.gmcities.com
-
บังเอิญเข้าไปอ่าน เห็นว่าน่าสนใจดีเลยคัดลอกมาให้อ่านกันครับ ถ้าสนใจรายละเอียดมากกว่านี้ก็ลองอีเมล์ เข้าไปคุยกับเว็บมาสเตอร์นี้ดูนะครับhttp://www.geocities.com/healthmeditation/
-
หมายความว่าตอนนี้ท่านรตะกลับมาแล้วเหรอครับ? แล้วใครคือท่านรตะหละเนี่ย
-
โอ...ทึ่งดีค่ะ ชอบเรื่องแนวนี้อยู่เหมือนกัน
ตอนนี้อยากได้ข้อมูลเรื่องความมหัศจรรย์ของปิรามิดค่ะ เพราะกระเจียวเคยทดลองทำเล่นๆ เพราะไปอ่านเจอในหอสมุดแห่งชาติ เรื่องปิรามิดเอามาครอบดอกไม้ทิ้งไว้ ดอกไม่เหี่ยว ครอบหมูหมูไม่เน่าเปื่อยไว
ครอบมีดโกนที่ทู่ก็กับแหลมคมขึ้นมา
ในเนตพอจะมีเรื่องนี้ที่เวบไหนคะนี่ -
แล้วปิรามิดรูปทรงอื่นหละครับ มันมีหน้าที่อะไรพิเศษมั้ยครับ อย่างเช่นซิกกูแรต
(((ขี้สงสัยจังเลยผม))) -
ขแบคุนมากครับ อ่านแล้วเพลิน ดีครับ
ตกลงท่าน รตะ ฟื้นมาแล้วเหรอ ครับ -
13 พ.ค. 2547
พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เดินทางถึงประเทศอียิปต์ และเชื่อมโยงการทำงานของพลังงานระหว่างสฟิงซ์-มหาพีระมิด-ดวงดาว และมหาอาณาจักรแอตแลนตีส
http://www.geocities.com/healthmeditation/ -
Peramis หรือ ปิรามิด ที่คนทั่วไปใช้เรียกกันมาตลอด คำคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ หลักฐานที่ถูกจารึกไว้ในกระดาษปาปิรุส ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมหรือตำนานของเทพเจ้า เช่น โอสิริส รา แต่มีอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ที่มาของคำว่า Peramis ซึ่งมีที่มาจากภาษากรีกว่า Pyramis และเชื่อกันว่าชาวกรีกโบราณถอดเสียงอ่าน มาจากเสียงที่แท้จริงของชาวอิยิปต์มากที่สุด จากกระดาษปาปิรุสเล่มที่มีชื่อว่า คณิตศาตร์ของราห์ย ที่ปัจจุบันเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษในกรุงลอนดอน จากบันทึกนั้นถอดออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Pur-Em-Us
Pur = พีร์ = เปลวไฟ
Em = อาม = โอม , อุม (การเปล่งเสียงในบทสวดโบราณ เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในการสังวัธยายมนตรา อันหมายถึงพลังสูงสุด)
Us = อีส , อัส , อุส , ซุส = การพุ่งขึ้นสู่ที่สูง
จากคำที่มีความหมายเหล่านี้ พีร์อามอีส หรือ..ปีรามิส คล้ายๆจะแปลได้ว่า เปลวไฟแห่งพลังที่พุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า
แต่พลังงานที่ว่ามาจากไหน และเกิดขึ้นได้อย่างไร..?
ปิรามิดจะทำงานร่วมกับสนามแม่เหล็กโลก และรังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์ พลังงานเหล่านี้จะสั่นสะเทือนเข้าไปยังใจกลางของปิรามิดที่ตำแหน่ง 1/3 ของความสูงในตัวปิรามิดเองตรงจุดนี้เองที่จะทำหน้าที่เป็นโพรงสั่นสะเทือน เหมือนกับเลนส์นูน ที่รวบรวมพลังมาไว้ที่จุดเดียวและปล่อยพลังงานออกมาที่จุดยอดนูนในรูปของพลังงานไฟฟ้าหรือแม่เหล็ก และในโพรงสั่นสะเทือนนี้จะมีคุณสมบัติในการรีดน้ำอย่างดี และมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีบางอย่างที่สัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของอนุภาคประจุไฟฟ้าลบ
กระบวนการนี้เริ่มจากปิรามิดจะรวบรวมเอาพลังงานจากสนามแม่เหล็กโลกและรังสีจากดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศเปล่าๆ หรือ อะไรก็ตามที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เกิดการสั่นสะเทือนและหมุนอย่างรวดเร็วของโมเลกุลขั้วคู่ของน้ำเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (คล้ายกับการทำงานของเตาไมโครเวฟ) และถ้าหากวัตถุนั้นยิ่งแห้งสนิท (แม้แต่อากาศในท้องทะเลทราย) การสั่นสะเทือนนี้จะยิ่งรีดประจุไฟฟ้าสถิตย์ประเภทประจุลบจากวัตุถุนั้นออกมา (เหมือนหวีผมในหน้าหนาว) จนกระทั่งเกิดไฟฟ้าสถิตย์ และเมื่อมันสะสมอยู่อย่างมากมายภายในตัวปิรามิดและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะเกิดแรงเคลื่อนประจุอันเนื่องมาจากศักย์ไฟฟ้า และไหลวนขึ้นไปข้างบนฟากฟ้าเป็นเกลียววนขนาดมโหฬาร ที่มีรัศมีเป็นสิบๆเท่าของรัศมีฐานปิรามิด
การขนย้าย หินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมหาศาลไม่ต่ำกว่า 2 ตันครึ่งเป็นจำนวนหลายล้านก้อน แต่ละก้อนนักที่วิชาการปัจจุบันหาวิธีขนย้ายไม่ได้ แน่นอน ถ้าพวกที่ก่อสร้างใช้แค่เครนหรือปั้นจั่นธรรมดาคงสร้างไม่ได้แน่ๆ เรามาคิดถึงพลังเกลียววน (เราเรียกมันว่าเกลียวก้นหอย) มันเป็นพลังงานที่วนขึ้นที่สูงและมีความถี่สูงมากๆ และถ้ายิ่งมีการผสานพลังที่มาจาก 2 ทางในทิศที่ตั้งฉากด้วยแล้วละก็..แรงลัพท์ที่ได้จะเป็นพลังงานเกลียววนในทิศทางใหม่ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ที่ว่านี้เป็นปกติอยู่แล้วในธรรมชาติ และตอนนี้ก็รู้กันอยู่แล้วว่า สนามแม่เหล็กจากแท่งแม่เหล็กก็ดี หรือสนามแม่เหล็กโลกก็ดี ไม่ได้เกิดจากที่แม่เหล็กส่งแรงอะไรไปดึงดูดวัตถุรอบๆตัวมันหรอก แต่เป็นเพราะ วัตถุเหล่านั้นไหลไปตามสนามแรงแม่เหล็กที่กระจายออกมาจากแท่งแม่เหล็กเอง
สนามแม่เหล็กที่กระจายออกมา มีลักษณะเป็นเกลียวเล็กๆเมื่อวัตถุตกอยู่ภายใต้เกลียวก้นหอยนี้ก็จะเกิดการสั่นสะเทือน และถ้ามันสั่นสะเทือนด้วยความถี่เท่ากันกับสนามพลังแม่เหล็ก วัตถุนั้นก็จะเริ่มไหลไปตามสนามแม่เหล็กจนกระทั่งเข้าไปประกบติดกับตัวมัน ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
เหมือนกับที่ฟาราเดยค้นพบมาจากความบังเอิญที่เขาหมุนขดลวดในสนามแม่เหล็กเข้า นั่นเอง เพราะเมื่อแม่เหล็กส่งพลังที่เป็นเกลียววนออกมา พลังงานความถี่นี้จะพุ่งเป็นระนาบที่มีทิศทางคงที่อันหนึ่ง สมมุติ ให้หน้าระนาบดังที่ว่านี้มีทิศทางเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวา จากนั้น เมื่อฟาราเดย์หมุนขดลวดทองแดงในทิศทางจากบนลงล่าง ซึ่งจะทำให้แนวของขดลวดกวาดไปตามหน้าระนาบของสนามแม่เหล็ก และเราจะเห็นเป็นขดลวดทองแดง ฟาดลงไปเฉียงๆลงบนแนวคลื่นก้นหอยของสนามแม่เหล็ก
และการฟาดครั้งนี้จะทำให้หน้าระนาบของพลังในทิศทางจากหลังไปหน้า ซึ่งจะทำให้เกลียวก้นหอยมีศักย์เป็นเกลียวใหญ่ขึ้น ร้อยเอาเกลียวก้นหอยของพลังงานสนามแม่เหล็กมีศักย์เป็นเกลียวเล็กอันมีหน้าระนาบจากซ้ายไปขวาเข้ามาล้อมรอบตัวมันไปจนตลอดการหมุน เมื่อพลังงานอยู่ในสภาพที่สมดุลย์ แรงลัพท์ที่เป็นเกลียวก้นหอยแนวใหม่เกิดขึ้นทันทีในทิศทางตั้งฉากกับระนาบพลัง
กล่าวคือ..จะเป็นพลังที่มีระนาบเคลื่อนที่จากล่างขึ้นบน ซึ่งก็คือทิศทางการใหลของกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายในขดลวดทองแดงนั่นเอง นี่คือการทำงานของพลังงานที่อยู่ในปิรามิด แนวก้นหอยเล็กก็คือรังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์โดยปกติจะมีระนาบตามแนวตะวันออกและตก ส่วนเกลียวก้นหอยใหญ่ก็คือสนามแม่เหล็กโลก ก็จะมีระนาบปกติในแนวเหนือใต้และแรงลัพท์ที่เกิดขึ้นก็จะเป็นแนวล่างบน คือพุ่งขึ้นจากพื้นทะเลทราย ทีนี้พอจะทราบหรือยังว่า พวกเขายกหินหนัก 2 ตันครึ่งกันยังงัย..? นี่เป็นความคิดเห็นที่เราคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ ปิรามิดที่อยู่คู่กันข้างๆกีซา มีไว้ทำไม ก็พลังงานจากปิรามิด สร้างปิรามิด วนเวียนกันไปเรื่อยๆ จากกำแพงยักษ์ ป้อม คู ประตู ค่าย กระจายกันอยู่ตลอดเส้นทางหลายร้อยหลายพันไมล์ตั้งแต่เอล กวาดอร์ ไปจนจรดชิลี เหล่าอารชนที่สร้างพวกนี้ ใช้วิธีใดกันแน่ที่ทำมันขึ้นมา หินหนักสองตันครึ่งตัดเรียบสนิทเอามาต่อเรียงกันขึ้นไปสูงเป็นร้อยๆฟุตโดยไม่ต้องใช้วัสดุผสานรอยต่อ และแม้แต่ลิ่มที่บางที่สุดก็ยังไม่อาจแทรกเข้าไปได้ อารยธรรมที่คาร์บอน 14 พิสูจน์ออกมาว่าผ่านมาเป็น 10,000 ปีแล้ว (กีซา)
นิยามของมหาปิรามิด
อาร์คิเมดิส นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก
ผลรวมระยะทั้ง 4 ด้านของฐานหารด้วย 2 เท่าความสูง = 3.1416 (ค่าไพ = 3.1428)
ค่าการวัดเป็นนิ้ว (Pyramidal Inch) สามารถคำนวณออกมาเป็นขนาดใกล้เคียงกับขนาดของโลกเช่น
50 นิ้วปิรามิด = 1 ใน 10 ล้าน ของแกนขั้วโลก
ผลรวมของด้านฐาน = จำนวนวันใน 1 ปี หรือ 365.240
สองเท่าของความสูงปิรามิดคูณด้วย 10,000,000 = ความยาวระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์โดยประมาณ
1 นิ้วปิรามิดคูณด้วย 10,000,000 = ค่าใกล้เคียงกับระยะทางของวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ (ค่าแตกต่างเพียงเล็กน้อยอธิบายได้ว่าความกว้างวงโคจรตอนที่สร้างกับตอนนี้แตกต่างกัน)
สองเท่าของความยาวด้านทั้งสี่ = 1 ลิปดา หากวัดเป็นเมตรจะได้ 1,824.92 แต่ปัจจุบันวัดได้ 1,842.78 (ต่างกัน0.14)
ความยาวรวมของเส้นทแยงมุมของฐาน = 25,826.6 (ใกล้เคียงกับปีครบรอบของแกนขั้วโลกที่กลับเข้าตำแหน่งเดิมในทุกๆ 25,827 ปี)
น้ำหนักของปิรามิดประมาณ 600,000 ตัน คูณด้วย 100,000,000,000,000 = น้ำหนักของโลกโดยประมาณ
---------------------------------------------------------------
ชาร์ล เพียซซี สมิธ นักดาราศาสตร์แห่งราชสำนักสก็อตแลนด์ ปี ค.ศ. 1865
ความยาวรอบฐาน หารด้วย ความกว้างของหินขัดโดยเฉลี่ย = 365 : เท่ากับจำนวนวันใน 1 ปี
ความยาวนิ้วปิรามิด = ความยาว 1 ใน 25 ส่วนของหินลาดปูพื้นฐานทางยกพื้นจากปิรามิดไปวิหารต่ำ หรือ 1 ใน 10,000,000 ของความยาวรัศมีโลก
ทางเดินเข้าไปภายในลาดเอียง 26 องศา 17 ลิปดา ทางเข้าปิรามิดตรงกับตำแหน่งดาว อัลฟา ดราโคนีส ทางขั้วโลกเหนือทุกประการ
และสันนิษฐานว่า จุดประสงค์ในการสร้างปิรามิดแห่งนี้คือการสร้างอภินิหารของพระเจ้าให้ปรากฏแก่ชาวโลก
และนอกจากนี้ยังได้ค้นพบวิธีคำนวณอายุของโลกในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ แต่นักวิชาการปัจจุบันไม่ยอมรับ
---------------------------------------------------------------
ดร.หลุยส์ อัลวาเรซ (รางวัลโนเบิลไพรซ์ สาขาฟิสิกส์ 1968)
ได้เดินทางไปทดสอบพลังบางอย่างในมหาปิรามิดพร้อมทีมงาน ผลปรากฏว่า เครื่องมืออันทันสมัยพร้อมกับแมกเนติกเทปที่ใช้บันทึกข้อมูลเสียหายหมด แม้จะทดลองซ้ำก็ไม่เป้นผลทั้งๆที่ก่อนทดสอบได้ตรวจสภาพและทดลองใช้มาก่อนอย่างดีแล้ว ข้อมูลต่างๆที่ได้ เลอะเลือนไปจนหมด
สรุปว่ามีแรงกระทำบางอย่างภายในที่มีคุณสมบัติเหนือกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
แผนที่ดวงดาว โดยนายโรเบิร์ต โบวัลกับนายเอเตรียม กิลเบิร์ต ได้ช่วยกันเขียนหนังสือ เรื่อง "ความลึกลับแห่งหมู่ดาวโอเรียน" ขึ้นมาเพื่อแจกแจงว่าบรรดาตำแหน่งที่ตั้งของบรรดาปิระมิดในทะเลทรายกิเซนั้น บังเอิญไปสอดคล้องกับตำแหน่งของหมู่ดาวโอเรียนบนท้องฟ้าเมื่อ 10,500 ปีก่อน ค.ศ. !!! โดยทั้งสองยืนยันว่าสิ่งก่อสร้างโบราณที่เรียงรายริมฝั่งแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ แผนผังหลัก (master plan) ของบรรดาดวงดาวบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น และแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ ตัวแทนของทางช้างเผือก (Milky Way) นั่นเอง
โดยจะเห็นได้จากความสัมพันธ์ของจุดที่ตั้งมหาปิระมิดทั้งสามแห่งกิเซ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับตำแหน่งของดวงดาว 3 ดวง ที่ส่องสว่างที่สุดของแถบดาวโอเรียน ซึ่งในอียิปต์นั้นถือว่าเป็นดาวประจำตัวของเทพโอซิริส นอกจากนี้โบวัลกับกิลเบิร์ตยังชี้ให้เห็นว่าแกน "ระบายลม" ในปิระมิดก็มีมุมที่มีนัยสำคัญ นั่นก็คือ แกนทิศใต้ของห้องกษัตริย์จะชี้ตรงไปยังแถบดาวโอเรียน ในขณะที่แกนระบายลมของห้องราชินีจะชี้ไปยัง "กลุ่มดาวซิรีอุส" ดาวประจำตัวของเทพีไอซิส มเหสีของเทพโอซิริสนั้นเอง และเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า หลังจากองค์ฟาโรห์ทรงสิ้นพระชนม์ ดวงวิญญาณของพระองค์จะล่องลอยไปสถิตอยู่กับเทพโอซิริสในดวงดาวนั้น เพราะเทพโอซิริสมีพลังอำนาจในการกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้งหลังความตาย
Peramis องค์ใหญ่แห่งกีซา มีต้นกำเนิดคลื่นรังสีไมโครเวฟ หรือ นาโนเวฟ จากมุมทั้ง 5 ของโครงสร้าง เป็นการแผ่ขยายรังสีจากโมเลกุลหรืออะตอมของมวลสารภายใน พุ่งเป็นลำตัดตรงไปยังกึ่งกลางของแต่ละด้าน จุดกึ่งกลางที่ตัดกันนั้นคือจุดศูนย์กลางแห่งพลังงานอันมหาศาลที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้าง Peramis นั่นเอง
พลังงานจากปิรามิดที่เกิดขึ้นภายในจากมุมทั้ง 5 นั้น มีความสัมพันธ์กันกับดาวนพเคราะห์ด้วย ดวงดาวต่างๆ แรงดึงดูดของโลก และมวลสารทุกชนิดในจักรวาล พลังงานทั้งหมดนี้จะรวมกันที่จุดศูนย์กลางหรือบริเวณพื้นที่ที่สร้างเป็นห้องฟาโรห์ภายในปิรามิดนั่นเอง โมเลกุลหรืออะตอมภายในบริเวณนี้จะดูดพลังเหล่านี้ โดยระบบการถ่ายเทพลังซึ่งกันและกันตลอดเวลา ขณะที่มีพลังเพิ่มขึ้น วงโคจรของกระแสอิเล็กตรอนก็จะเริ่มขยายออก และยิ่งพลังถูกดึงดูดเก็บไว้ก็จะยิ่งเพิ่มกำลังขยายออกไปมากขึ้น ในบางครั้งมันคงจะมีอยู่จุดหนึ่งซึ่งถ้าพลังถูกดึงดูดเก็บไว้มากเกินไปแล้ว อะตอมภายในมวลสารคงจะสลายตัวแตกออกเป็นส่วนๆ และอิเล็กตรอนก็คงจะกระจัดกระจายออกไป ทำให้พลังงานถ่ายเทออกไปจากโครงสร้างปิรามิดไกลเกินกว่าที่จะดึงดูดไว้ได้
พลังงานลึกลับที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพลังงานแบบเดียวกันกับพลังงานชี่ (Chi) ตามที่ชาวจีนโบราณเข้าใจ หรือพลังลมปราณ (Prana) ที่ชาวอินเดียโบราณรู้จัก หรือพลังงานอะตอม ตามแนวคิดของไอน์สไตน์ หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์และนัดคิดในปัจจุบันยังตีความไม่ออก แต่ก็ยังคงค้นคว้า และพยายามทดลองกันอย่างไม่ลดละโดยมีแนวความคิดเป็นสมมุติฐานใหม่ออกมา เป็นการเปิดประเด็นใหม่ ซึ่งพอจะแตกประเด็นได้ดังนี้
ประเด็นที่ 1 -
นี่ๆ คุณเจ้าของกระทู้...
คุณอย่าเอามารวมกันสิ... ในอำนาจของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนของอียิปต์ ..นั้นไม่เกี่ยวกับพุทธ .. เพราะว่าคนละอัน.. พันธุ์ละสิ่งไม่เกี่ยวกันโดยสิ้นเชิง...เหอเหอเหอๆๆๆๆ
ถ้าคุณจะพูดถึงเรื่องราวของฟาโรห์.. อียิปต์.. สฟิงค์..และบรรดาอาณาจักรของลุ่มน้ำไนล์..คุณก็ควรจะกล่าวถึงเรื่องเรื่องอารยธรรมตะวันตก (Western Civilization) ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับอารยธรรมตะวันออก (Eastern Civilization) ... โดยสิ้นเชิง..เข้าใจมั๊ย?
ถ้าคุณกำลังจะพูดถึงอารยธรรมตะวันออก .. คุณควรจะพูดถึงดินแดนมองโกล .. เจงกีสข่าน.. อาณาจักรอันรุ่งเรืองของสามก๊ก(จีน)...อานาจักรของอาทิตย์อุทัย(ญี่ปุ่น) ... ใช่หรือเปล่า?
ถ้าคุณพูดรวมๆ ... อย่างนี้.. คุณเป็นสาวกไอ้... (ที่แอบอ้างว่าบรรลุ... และสำเร็จ.. เป็น..พระฯ....ไม่อยากเอ่ยนามไอ้พวกแอบอ้างนี้สักเท่าไหร่... เบื่อๆๆๆๆ) ... น่าเบื่อพวกที่แอบอ้างที่สุด .. น่าเบื่อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ใช่หรือเปล่า?
ตอบมา? ผ่าน PM ก็ได้ ... ผ่าน Mail ก็ได้ ..
ปู่ NiNe ให้อภัยกับผู้หลงผิดอยู่เสมอ... ลูกหลานเอ้ย!!!!
กลับตัวกลับใจซะ... อย่าลุ่มหลงให้มากนัก... นรกฯ...ชัดๆ -
โดยเฉพาะหัวข้อกระทู้ที่คุณตั้ง (กระทู้หมายเลข 1) ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง(คุณกำลังจะรวมขั้วบวกให้กับขั้วลบ .. เป็นไปไม่ได้ ..คุณกำลังจะรวมขั้วโลกเหนือเข้ากับขั้วโลกใต้ .. มันก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน... ไม่มีทางสำเร็จหรอก) .. รับไม่ได้ ..
หรือคนอื่นๆ รับได้ ก็ไม่เป็นไร .. ปู่ NiNe รับไม่ได้ว่ะ...
มันเหมือนกับกระทู้ที่ไอ้พวกแอบอ้างมันตั้งขึ้นมา
ใบ้ให้นิดนึง .. มันใช้ชื่อขึ้นต้นว่า "อารยฯ..."
นั่นหล่ะ... แย่แล้วๆๆๆๆๆ -
"รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม"
ใจเย็นๆ ครับ เราคนไทยด้วยกัน รักกันไว้เถิด -
คุณเกษม ... ที่นับถือ
บังเอิญว่าผมอ่าน โดย Search คำว่า 10,000 ปี นั้นทำให้ผมเทียบเคียงกับ "ไอ้ผู้ที่แอบอ้าง ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ... อารยฯ... "
ทำให้ Wording คล้ายกันมาก .. อีกทั้งสำนวนที่คุณใช้คุ้นมาก .. ทำให้เป็นอย่างนั้น..ในความรู้สึกของผม...ถ้าใช่ .. เลิกเสียเดี๋ยวนี้... ขอเตือน
ถ้าคุณคือ คนที่ผมเกลียด...(โดยเฉพาะมันผู้ที่ใช้ชื่อที่ขึ้นต้นด้วย ...อารยฯ...) คุณเตรียมรับพลังชั่วร้ายของผม... ณ. บัดดลฯ... เตรียมใจเถอะ .. ปู่ NiNe ไม่ปราณีนะจะบอกให้
ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ผมเกลียด .. ไม่เป็นไร ....ขอให้คุณเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ... แล้วเราจะไปพบกันที่สุดขอบจักรวาล... จุดนัดพบที่ท้ายๆ ของทางช้างเผือก ... ณ. ดวงดาวที่สันติ ..สงบสุข...นิรันดร์ ..
ปู่ NiNe ให้อภัยฯ... สำหรับผู้ที่หลงผิดเสมอ...เหอเหอเหอ....ๆๆๆๆๆ -
ยาวจัง ... ตาลายก่อนอ่านจบ -__-''
รูปที่คุณปู่ Nine ใช้ มองๆ ไปคล้ายกับดวงตาสีแดงเลย -
อ่านแล้วมันส์ดี
-
เอ็ดการ์ เคซีย์ ได้ให้แนวความคิดใหม่แก่วงการวิทยาศาสตร์ไว้หลายแขนง โดยเฉพาะวงการแพทย์ แต่อีกแขนงหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ได้แก่การทำนายเกี่ยวกับการสร้างมหาปิรามิดกีซา เขาได้ใช้พลังจิตตรวจสอบและให้ข้อมูลดังนี้
เมื่อ 12000 ปีก่อน BC มีนักปราชญ์จากแดนอารยธรรมอันสูงสุด 900 คน ได้เดินทางเข้าไปในอียิปต์ เนื่องจากพวกเขาเล็งเห็นว่า อียิปต์เป็นศูนย์กลางการปฏิบัติการแห่งวิทยาการต่างๆของจักรวาล เป็นแหล่งพลังงานอนมหาศาล ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด และน้ำท่วมโลก ผู้นำในการก่อร่างสร้างมหาปิรามิดชื่อ รา-ตา เป็นนักบวชหนุ่มที่ทรงพลังจิต และมีพรสวรรค์ในการก่อสร้าง นักบวชหนุ่มคนนี้ ได้ใช้ อำนาจจิต ด้วยการรวบรวมพลังงานต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ รวมทั้งพลังงานลึกลับอีกแห่งหนึ่ง มาผนึกรวมกันและจักการก่อสร้างด้วยการบังคับแท่งหินทั้งหมดขึ้นไปเรียงซ้อนกันอย่างง่ายดาย
นี่คือคำทำนายของเอ็กการ์ เคซีย์ เกี่ยวกับมหาปิรามิดกีซา -
ปู่NiNeเครียดซะแล้ว อิอิ
สำหรับเรื่องนี้ ผมเปิดใจครับ...มีความรู้ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยในนี้
ตรงไหนน่าเก็บก็เก็บไว้ ตรงไหนไม่น่าไว้ใจก็ทิ้งไป
สำหรับ คุณเกษม กับคุณอารยเมตตรัย นี้ ผมไม่มั่นใจว่าคุณเป็นคนเดียวกันรึเปล่านะครับ
แต่รู้สึกได้ว่าคุณ2คนมีอะไรที่คล้ายๆกัน -
ขอทำความเข้าใจก่อนนะครับ
ข้อความทั้งหมดที่ผมนำมาโพสต์ในกระทู้นี้ ผมบังเอิญเข้าไปอ่านพบมาเห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยนำมาเผยแพร่เป็นความรู้ อ่านแล้วอย่าคิดมากครับ ส่วนเรื่องคุณอารยเมตตรัยผมก็เห็นว่าเขาเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง คงจะเกิดภาพหลอนในใจตนเองเนื่องจากปฎิบัติธรรมผิดแนวทาง จึงสำคัญตนผิดไปเช่นนั้นครับ -
ท่านรตะ คือโหรหลวงครับ...ถ้าอยากรู้ข้อมูลที่แท้จริงต้องคุณ nine นะเพราะผมเองก็มีข้อมุลชุดเดียวกับที่คุณ nine มีอยู่นะ ตอนแรกว่าจะมาโพส แต่ยกให้คุณๅ nine เป้นพระเอกดีกว่า
-
มิกล้า..มิกล้า... ครับท่านพ่อมดฯ... ปู่ NiNe มิกล้า
เชิญท่านพ่อมดฯ .... โปรดบรรยาย...
แต่ขอร้องว่า .. ท่านพ่อมดฯ... ... อย่าแอบอ้างว่า...ท่านพ่อมดฯ...... เป็นองค์สมเด็จฯ ... แค่นั้นปู่ NiNe ก็ยอมรับแล้ว ... นับถือ... นับถือ
หน้า 1 ของ 4