อานนท์ ..อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ..เป็นที่ชอบใจ และไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นย่อมดับไปเร็ว..เหมือนการกระพริบตาของคน.. อุเบกขายังคงดำรงค์อยู่..
อานนท์..! ..ดังนี้แล เราเรียกว่า.. อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยะวินัยนี้..
พุทธวจน ..การละนันทิ-ราคะ-ตัดสังโยชน์-ง่ายมาก
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เราโตมาคนละแบบ, 23 มกราคม 2017.
หน้า 1 ของ 2
-
-
เป็นได้แค่....อินทรีย์ภาวนา....ที่เป็นชั้นเลิศ..ในความมีวินัยในการฝึกตนเท่านั้น..ผลจะออกมาเป็นยังไง....ถ้าไม่ จมๆ เพียรๆ อย่าง นิวรณ์พาทำ...มันก็ไม่ได้หมายความว่า ...ถึงนิพพานนะครับ.. -
เนี่ย คนส่วนมาก...เวลาอ่านคำศัพท์...ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำมา...เช่นคำว่า...ละ
คำว่า ละ..เนี่ย...ท่านพูดถึงผลของการที่ละได้แล้ว ตามมา...คือเมื่อละได้แล้ว
เมื่อ.....ละได้แล้ว...ถึงมีผลตามมา...
ไม่ไช่ว่า แค่พูดว่าละ...ก็จบไป..ง่ายดาย ดังที่คิดเอาเอง -
อย่างการ ตั้งกระทู้ ...ยิบยับเยาะแยะ..ของ นายโดนมาเยอะหลายแบบนี่ ก็เหมือนกัน
เพราะนิวรณ์ ไง ตัวดี..สอน โดย ผสมคำ ยกยอ เข้าไปด้วยทุกครั้ง....มันเลย จึง เตลิดเปิดเปิง เป็นแบบนี้ไง...เหมือนเดิม...เพราะนิวรณ์ไง..สอนมาให้เป็นแบบนี้
รับกรรมด้วยนะนิวรณ์ สอนกฏแห่งกรรม ให้ คนอื่นด้วยนะ จะได้เป็นการสอนตัวเอง ตามไปด้วยนะ -
การละ
การตัด
...
ถ้าทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ไม่เข้าใจในสภาวะที่เกิดขึ้นจริงกับตนเอง..อย่า มโนมานึกยึด เอาเองนะครับ
เพราะ การละ การตัด...มันหมายถึงความเข้าใจในความเป็นอนัตตาธรรม..แค่เข้าใจความจริงของสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน...นั้น
เมื่อรู้ความจริง จึงเข้าใจ หมดสงสัย หมดการยึด จึงเรียกว่า เป็นการ ละ การ ตัด ครับ
อย่าได้...คิดเอาเองนะครับ...ไม่ไช่ดับวงจรไฟฟ้านะครับ
อย่า..เชื่อนิวรณ์ ให้มากนัก หัดเชื่อตนเองบ้าง..นะ. -
ดีละ ดีละ ปู่
หยิบ อุเบกขา หลังจาก ละความเพลิน มาแสดงได้แบบนี้ ก็ดีแล้ว
ตรงนี้แหละ ปู่ มันจะมี ทางแยก ของ จิตที่โน้มไปในวิมุตติ
ซึ่ง มีหลายประเภท
ถ้าเป็น กรณีสัททาจ๋า นำหน้า อย่างอื่นปัดทิ้ง เหลือแต่ สัททธรรม
ว่าแท้ หนึ่งไม่มีสอง .....สัททาวิมุตติ ก็จะไม่ต้อง อาศัย อรรถกถาจารย์
หรือใคร อะไรอีก หมดความลังเล ..... อาศัย เห็นความหมดการลังเล
เป็น อุเบกขาดำรงค์อยู่( แล้ว ดับไป นะ ปู่ อย่า พอใจใน อุเบกขา
ค้างเติ่งเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ที่บอกว่า เห็น เผลอเพลิน นันทิราคะ
ราคะอันเกิดจากทำดี จะถือว่า เห็นไม่จริง ไม่น้อมไปเพื่อการสละ
สลัดคืนไม่เหลือ )
ถ้าเป็น กรณีกายสักขี พวก เจโตวิมุตติ อุภโตภาค อันนั้น เขาจะ
เห็นอุเบกขา เพราะ ปิติ(ผรณปิติ สสังขารที่ปราณีต และ พาหิว
รู้แล้วปล่อยยาก)รำงับ เป็น อัปปนา เกิดสมาบัติเสพ ปฐมฌาณบ้าง
ฌาณ2 3 4 - 9 บ้าง มันก็เรื่องของ คนที่เขาเป็น กายสักขีวิมุตติ
ซึ่งเวลา กลุ่มนี้พูดว่า ไม่เหลืออะไรอีก เขาไม่เหลือแบบว่าเขา
ทำมาหมดแล้ว ไม่ใช่ สัททานำหน้า ประกอบไม่ประกอบไม่สน
เพราะแทงตลอดว่าเป็น สังขาร ไปตรงๆ ไม่ต้อง อ้อมโลก พวกนี้
เขาก็จะได้ อรรกถาจารย์เข้าไปอนุเคราะห์
ถ้าเป็น ทิฏฐิปัตตะหละ ......................... ฯลฯ
กลับไปคำว่า สั่งสมสุตตะ
ถ้า ปู่ มาถึง ละความเพลิน มีอุเบกขา แล้ว ยังเห็น การสั่งสมสุตตะ เป็น
การหยิบ หนังสือมาอ่าน กันลืม ตายเปล่าเอาได้ นะปู่
ถ้า ปู่ มาถึง ละความเพลิน มีอุเบกขา แล้วเห็น การสั่งสมสุตตะ
กระจายออกเป็น สะมะ ชีวะตา ลงในปัจจุบัน นั้่นแหละ สั่งสมสุตตะ
มี อุเบกขาจริง ไม่หิว ไม่กลัวไม่มีความรู้ ไม่กลัวว่าไม่ได้ภาวนา
แล้ว วิเวกอยู่ อันนี้ สั่งสมสุตตะ ไม่ใช่ เท่าที่ ปู่ อุเบกขา นะฮับ
ปู่จะต้องน้อมไปใน อนาสวะ ให้เป็น นั่นแหละ สุตตะ ที่ควร สั่งสม
ให้เห็น ณ ปัจจุบัน ขณะ นั้นๆ แบบ ช้างกระดิกหู งูแล๊บลิ้น
ถ้าไปค้างเติ่ง อุเบกขาดำรงค์อยู่ แล้วแช่แป้ง ผมก็ พร้อมประเคน หน้าแข็ง เอาเหมือนกัน -
นึกขึ้นได้ อะ ปู่
มีพระสูตรนึง พระอรหันต์ มี พระสารีบุตร อยู่ใน คณะ
อยู่ดีๆ ก็ หันมาถามกันและกันว่า สัททาวิมุตติ กายสักขีวิมุตติ ทิฏฐิปัตตะ
อย่างไหน คือ หนทางที่ใช่ ดีกว่ากัน
ก็ประมาณ ที่ ปู่ฉับฉล กำลังชุประเด็น หนทางภาวนาของตน ว่าดีกว่า
หนทางอื่น นั่นแหละ
พระพุทธองค์ ตรัสตอบปัญหา แก่ ภิกษุทั้งสาม ที่ถกกันไม่จบ หาทาง
ลงไม่ได้ ว่า
ที่ไม่มีทางไหนดีกว่า เพราะ แท้จริงแล้ว จิตหนึ่งๆ เวลาเดินมรรค
ไม่ได้อาศัย สัททาวิมุตติอย่างเดียว กายสักขีอย่างเดียว หรือ
ทิฏฐิปักตตะอย่างเดียว แต่จะใช้ คละกันไป ตลอดเวลา
แล้วเห็น ความคละกันนั้น จึงเห็น ธรรมหนึ่ง -
สอนกันยังไง ยังกะสอนเด็กทารกหัดตั้งไข่ หัดคลาน หัดเดิน...สอนแบบนี้ นักเรียนมันจะไม่แก่..มรณะ ..ด้วยอวิชชาไปก่อนหรือไง นิวรณ์
หัด กร่อนธรรม ด้วยความเข้าใจของตนเอง (เป็นปัญญาที่ตรงที่สุด)..แล้วเอามาชี้ ไม่ได้เหรอ....นิวรณ์....แบกแผนที่ ไปทำไมกัน หาน้ำอมฤทธิ์ หรือยังไง...หาฝั่งโว้ยยย หาฝั่ง....ไม่ไช่หาขุมทรัพย์...จะมามัวติด สมมุติบัญญัติ อยู่แบบนี้..แก่ตายก่อนพอดี
เฮ้อ..เซ็งแมว -
ไม่ต้องมาแยก สมถะ วิปัสสนา หรือ อรหันต์แบบใด ปัญญานำสามาธิ หรือสมาธินำปัญญา หรือกรรมฐานแบบไหน จะถูกจริต กับฉันดี
ไรวะ มาฝึกชำระกิเลส อวิชชานะเว้ย...ไม่ได้มาแข่งเอาดี กะคนอื่นเขา -
พอฝึก กายตยาสติ...ก็ดัน มาเลือกอีก จะเอากรรมฐานแบบไหนดี..อสุภะ หรือ ป้าช้าดี...อิอิ...ตกลง...เฟ้นหาจัง...วิธีการมากเรื่องเนี่ย..ทำอย่างไหน ก็ ไม่ถึงไหนสักอย่าง
เซ็งแมว -
พระอรหันต์ ยังเถียงกัน...(วะซั่นวา...พะนะ) -
พระอรหันต์ ยังเถียงกัน..สรุปกันเอง ยังไม่ได้
นี่ขนาดว่าพระอรหันต์ ในเวลาที่มีพระพุทธเจ้านะเนี่ย
แล้วนี่ ผ่านมา 2500 กว่าปี...พระอรหันต์ยุคนี้...ยัง แนวใคร แนวมัน ...สำนักใครสำนักมัน
นิวรณ์ว่า.....อุเบกขาเหรอ....สิ้นซากๆๆๆๆๆ...เหรอ -
ท่านไม่ได้ หา วิมุตติ
ท่าน เสวนา ในเรื่อง มรรค
ถ้า ท่านเสวนาเรื่อง วิมุตติ ไม่มีหลอก "พระสาวก" จะ หาทางลง กันไม่ได้
แต่นี่ ท่านเสวนากันเรื่อง มรรค ....ซึ่ง ร้อยละร้อย สาวก จะทราบ
ฐานะอยู่แล้วว่า เดี๋ยวจะต้อง ให้พระพุทธองค์ แสดงกถา
ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ [ ร่าเริงที่ จะหา กระทู้ ไปถาม พระพุทธองค์ ]
ไม่ใช่ แบบน้าจร หิว อยากแสดงธรรม เที่ยว โพส นั่น นี่ เพื่อ แจกเบอร์โทร -
เอาง่ายๆ...เลยนะ โปรดเข้าใจ
ในการแสดงธรรมตอบคำถาม ขยายความ พระพุทธเจ้า แสดงธรรมหัวข้อไหน ท่านต้องเหนื่อยกว่า..ปกติเพราะ...ท่านต้องอ้างอิง..ทุกลัทธิทุกคำสอนทุกศาสนา มาอ้างถึง ให้ครบ เพื่อ ...สาวกที่มาจาก.หลายสำนักอาจารย์ จะได้ฟังพร้อมกันทีเดียวโดยทั่วถึง
ดังนั้น...ก็ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไม เวลาพระพุทธเจ้าท่านตอบคำถาม ท่านถึงต้อง อ้างมาเยอะแยะ ว่า มันล้วน อันเดียวกัน แต่ เรียกกันไปคนละแบบ กันเอง...ดังนั้น เวลาท่านเรียกชื่อ...บางทีมันเลย มีหลายชื่อ แต่เอามาใช้ใน ความหมายเดียว แต่..การอธิบายเพื่อให้สาวกเข้าใจนั้น มันก็ต้องอิงกับที่เขาเชื่อมา เรียนมา อีกทีนึง
ทีนี้..เราคนมาตามอ่านทีหลัง....ทำความเข้าใจ ความจริงของตนเองบ้าง ก็ดีนะ
คนละกาลสมัยกัน -
แล้วยังด้านมาเถียงว่า ถ้าเถียงเรื่องวิมุติ เรื่องผล...ก็จะไม่เถียงกัน
นิวรณ์ เขาเถียงกันว่า อย่างไหนปฏิบัติแล้วให้ผลดีกว่ากัน...ชัดๆ
ให้ผลดีกว่ากัน มันเถียงกันเรื่องวิมุติชัดๆ....มรรคอะไรตรงไหน...
เซ็งแมว..อีกแล้ว -
มันคิดได้แค่นี้..จริงๆเหรอ...นิวรณ์
-
ฮี้ ฮี้ ฮี้ ต้องไปอ่านพระสูตรฉบับเต็มๆ ฮับ ( คำแปลไทย แปลตรงๆ เลย ว่าคุยเรื่องอะไร )
แล้ว อีกอย่าง จะต้อง เข้าใจ " หาสะ " ด้วย
ไม่งั้น งง
ปล. หาสะ แผลงเป็นคำไทยได้ " หรรษา "
ทีนี้ ความร่าเริง บันเทิงธรรม นั้น เป็นเรื่อง "........" [ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ]
ไม่ใช่ อาการ หัวร่องอหาย น้ำตาจิไหล แบบ ปุถุชน
เห็นความสงบ สว่าง สะอาดหน่อย ก็ ฮานาก้า !!! -
-
-
ผมเขียน หรือ ใช้คำว่า อะไร ก็ ย้อนไปอ่านเอา จีฮับ
ไม่ใช่ เมาหมัด ใครเป็นคนเอาคำนั้น คำนี้ มาใช้ งง ไปแหมด ( แห-มด )
หน้า 1 ของ 2