พูดถึงกระแสความว่าง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย to2504, 8 กรกฎาคม 2008.

  1. 431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    วัตถุไม่สามารถทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ แต่มนุย์จะพ้นทุกข์ด้วยการปฏิบัติจิตให้รู้จักปล่อยวางเพื่อเข้าถึงความว่างอันบริสุทธิ์ ทำให้รู้เห็นทุกสิ่งได้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ(พระไตรลักษณ์) จิตจึงปล่อยวางไม่มีใดๆ(ไม่ปรุงแต่ง) เข้าถึงความบริสุทธิ์พ้นจากแรงดึงดูดแห่งโลกธาตุ(วัฏฏะ) เข้าถึงความอิสระ พ้นจากบ่วงแห่งการผูกมัดทั้งปวง

    ปล.ต้องขอโทษด้วยครับผมใช้ภาษาทางพระไม่เก่ง ความรู้ทางศาสนาก็น้อยผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยเป็นอย่างยิ่ง
     
  2. to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    ตอนนี้มะว่างค่า
     
  3. 431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    ตั้งแต่เข้ามาในเวป หัวข้อนี้โดนใจที่สุดครับ ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้มากๆครับ และขอบคุณผู้เข้ามาตอบทุกท่านด้วยครับ
     
  4. to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    แฮ่ ....:z3;10
     
  5. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เอาธรรมะมาฝากเน้อ ใครขยันอ่านก็ดาวโหลดเอานะ

    วิมุตติปฏิปทา
    เป็นหนังสือที่ระลึกในงานอุปสมบทของผู้เขียน ซึ่งญาติธรรม ร่วมกันจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อแจกกันเองในหมู่เพื่อนเมื่อ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๔ โดยคัดเลือกเรื่องจากกระทู้ธรรมที่ผู้เขียนได้เขียนเผยแพร่ไว้ทาง Internet ในกระดานข่าวลานธรรมเสวนา และกระดานข่าววิมุตติ ในนามของ นายปราโมทย์ สันตยากร / "สันตินันท์" / "อุบาสกนิรนาม"
    พระพุทธศาสนาจะมั่นคงอยู่ได้ ก็ด้วยการที่ชาวพุทธทั้งพระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา สนใจศึกษาธรรมทั้งภาคปริยัติ ปฏิบัติ จนถึงปฏิเวธธรรม และนับเป็นศุภนิมิตอันดียิ่งที่คนรุ่นหนุ่มสาวจำนวนมาก พากันทวนกระแสอันเชี่ยวกรากของกิเลสตัณหา ย้อนเข้ามาศึกษาสัจธรรมในกายและจิตของตน ตามเส้นทางที่พระบรมศาสาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. พิญณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +19


    เรามาแล้วคิดถึงทูกกกกกกกคนเล้ย
     
  7. พิญณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +19
    แค่เห็นหัวข้อ ก็รู้ว่าตัวเองกำลังม่ะว่างอ่ะ
     
  8. ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขอเสริม ครับ

    ไม่คิด ไม่สงสัย ไม่ได้แปรว่าห้ามคิด ห้ามสงสัย
    แต่มองไปที่ใด เห็นอะไร สัญญามันก็ดับ
    หมายความว่า เห็นจริงๆตามธรรมชาติ
    คือ มันก็อยู่อย่างนั้น จิตเราก็อยู่อย่างนั้น
    ไม่รู้สึกถึงความงาม หรือสมมุตติใดเกิดขึ้นในใจดวงนี้
    ครั้งเมื่อเพ่งพิจารณา เรากับจำแนกเป็นสิ่งของ เป็นสี เป็นวัตถุ
    เกิดเป็นความสวย ความงาม ความอยาก แล้วแต่จะปรุง

    dencee
     
  9. พิญณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +19


    ตอนอยู่ท่านี้ นุกจำได้ว่ามันว่างอ่ะผึ้ง เคยป่ะ ไม่ได้เน้นสภาวะธรรมนะค่ะ แต่เอาความรู้สึกจิงๆมาปูด

    มันว่างสุดๆเลยลองดิ
     
  10. to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230

    เออ มันว่างนะ จนโหวงเหวงเลยแหล่ะ พิญณ์ อะ อะ ลองไปว่างแบบนี้กันดูมั่งมะ;7;16
     
  11. to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    แก็งส์แมวเหมียว ย่องเบา แงว..แงว
     
  12. ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ดูอารมณ์ว่างสิครับ แล้วจำสภาวะนั้นให้ได้
    ว่าใจอยู่ตรงไหน อยู่นอก อยู่ใน หรือเป็นกลางๆ
    หาจุดวางใจให้เจอ แล้วคงคงอยู่ในฐานนั้นนะ
     
  13. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คัดมาจากหนังสือ วิมุตติปฏิปทา
    . ผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    แม้จะได้อ่านหนังสือธรรมะบ้างแล้วก็ตาม แต่ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาของผมเอง จึงทำให้ผมเข้าใจได้เพียงว่า การปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์นั้น ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นขั้นๆ ไป ก็เลยเริ่มต้นด้วยการรักษาศีล ๕ พร้อมๆ ไปกับการฝึกสมาธิเพื่อให้จิตสงบนิ่งส่วนเรื่องปัญญานั้น ยังเข้าใจผิดไปว่า ต้องมีสมาธิแบบสงบนิ่งเสียก่อนจึงจะเจริญปัญญาได้ จึงเอาแต่รักษาศีลกับพยายามทำจิตให้สงบนิ่ง ซึ่งทำเท่าไรจิตที่ต้องการความสงบนิ่งก็ไม่อาจสงบนิ่งได้ มีแต่ฟุ้งซ่านและง่วงนอนอยู่ทุกวัน<o:p></o:p>
    แต่ด้วยความไม่ย่อท้อ จึงได้พยายามฝึกทุกๆ วัน และเที่ยวหาหนังสือที่เกี่ยวกับการปฏิบัติมาศึกษาด้วยตัวเอง ยิ่งศึกษาไปก็ยิ่งเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงตั้งใจว่าต้องทำสมาธิให้ได้อย่างน้อยก็อัปปนาสมาธิ เพราะเข้าใจผิดไปว่าหากไม่ได้อัปปนาสมาธิก็เจริญวิปัสสนาไม่ได้ จึงกลายเป็นการปฏิบัติด้วยความอยากไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อปฏิบัติด้วยความอยาก ก็ยิ่งถอยห่างจากมรรคผล และแม้จะฝึกเท่าไรก็ไม่สามารถบังคับจิตให้เกิดความสงบนิ่งได้ตามที่อยาก<o:p></o:p>
    ความที่เข้าใจผิดๆ ในตอนนั้น ได้ทำให้การปฏิบัติผิดซ้ำผิดซ้อนมากขึ้นไปอีก เพราะยิ่งทำให้จิตสงบไม่ได้ก็ยิ่งต้องค้นต้องศึกษา ทีนี้เลยเกิดไปสนใจเรื่องอภิญญาต่างๆ ตามที่นิตยสารฉบับหนึ่งชอบนำเรื่องอภิญญาของพระกรรมฐานมาลง ก็ยิ่งทำให้ผมเข้าใจผิดไปว่า การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นั้นจะต้องได้อภิญญาก่อน ก็เลยเพิ่มความอยากขึ้นอีกหนึ่งอย่าง คืออยากทั้งให้จิตสงบกับอยากได้อภิญญา แม้ว่าจะเข้าใจผิดต่อหลักวิธีการปฏิบัติอย่างไรก็ตาม แต่การปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ ก็ยังคงเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ในใจตลอดเวลา <o:p></o:p>
     
  14. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    . ฝึกแบบคิดไปเรื่อยๆ (วิปัสสนึก)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เมื่อเริ่มศึกษาการเจริญวิปัสสนานั้น ก็ยังมีความเข้าใจผิดไปอีกว่า การเจริญวิปัสสนาจะต้องเกิดเป็นความรู้ในเรื่องของขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ฯลฯ ทีนี้ก็เลยอ่านหนังสือธรรมะเป็นหลัก อ่านแล้วก็นำมาครุ่นคิดเอาว่า ธาตุเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขันธ์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ธรรมข้อนี้เป็นอย่างนี้อย่างนั้น ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่านั่นมันวิปัสสนึก จึงเอาแต่คิดนึกเอาเองอยู่หลายปี ก็ไม่เห็นจะเกิดปัญญาที่จะจัดการกับกิเลสได้เลย ถึงแม้จะเห็นว่าการคิดเอาไม่เกิดปัญญา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าทำผิดๆ อยู่ <o:p></o:p>
    . เห็นความโกรธ<o:p></o:p>
    ในช่วงที่ปฏิบัติด้วยการคิดเอาเป็นหลักนั้น บังเอิญได้เห็นความโกรธโดยไม่ตั้งใจ แต่ตอนนั้นไม่รู้เลยว่า การเห็นความโกรธนั่นแหละคือการเจริญวิปัสสนา ที่เห็นความโกรธตอนนั้นคือ เห็นการเกิดขึ้นและดับไปของความโกรธ ซึ่งการเกิดขึ้นของความโกรธจะเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ตอนจะหายโกรธ กลับค่อยๆ เบาลงๆ แล้วหายไปอย่างช้าๆ เปรียบได้เหมือนกับการจุดไม้ขีดไฟ ที่เริ่มจุดเปลวไฟจะลุกสว่างเร็วมากแล้วจึงค่อยๆ มอดดับลงไป<o:p></o:p>
    ผลของการเห็นความโกรธนี้เอง ที่ทำให้ผมกลายเป็นคนที่มีความโกรธน้อยลง จนการแสดงความโกรธออกทางกายมีน้อยมาก เห็นแต่ความโกรธที่เกิดอยู่ในจิตเท่านั้น เมื่อนึกถึงตอนนั้นแล้วยังรู้สึกเสียดายที่ไม่อาจเข้าใจการปฏิบัติที่ถูกได้ เพราะแม้จะเห็นความโกรธและเห็นผลของการเห็นความโกรธได้บ้างแล้ว แต่กลับไม่มั่นคงในวิธีการปฏิบัติ จึงต้องหันกลับไปทำวิปัสสนึกเอาอีกจนได้ ทั้งๆ ที่เคยถามหลวงปู่วัยแล้วว่าผมต้องฝึกอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ และหลวงปู่ก็ตอบชัดเจนแล้วว่า ไม่ต้องแล้ว ให้ดูรูปดูนามไปอย่างนี้แหละ<o:p></o:p>
     
  15. ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ก็ทำไปตามธรรมชาติ ทำตามหน้าที่ ให้ดีที่สุด แลมีความสุขกับการปฏิบัติ
    สาธุ 555
     
  16. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    . สิ้นหลวงปู่วัย เกือบเอาตัวไม่รอด<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ผมปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่วัยมาจนปี ๒๕๔๑ หลวงปู่ก็ มรณภาพลงในเดือนเมษายน ก่อนหลวงปู่จะมรณภาพนั้น ผมก็ยังปฏิบัติแบบคนหลงป่า เอาแต่เดินทางที่ผิดๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยที่หลวงปู่ไม่เคยที่จะเบื่อหน่ายกับการสอนศิษย์โง่คนนี้เลย อีกทั้งบางครั้งก็ยังเมตตาเล่าเรื่องที่หลายคนอยากรู้ให้ฟังอีกหลายเรื่องโดยไม่ต้องถาม เช่น เรื่องที่หลวงปู่ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงปู่พระครูโลกอุดร หรือจะเป็นเรื่องนรกสวรรค์ก็ตาม หลวงปู่ก็จะเล่าให้ฟัง ทั้งที่เรื่องพวกนี้หากใครที่ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจริงไปถามเข้า ก็จะโดนตะเพิดออกไปทุกราย เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง<o:p></o:p>
    ตลอดเวลาที่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่ แม้ว่าจะยังไม่อาจจับหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องได้ แต่เมื่อย้อนไปพิจารณาดูแล้วพบว่า หลวงปู่ได้สอนให้ผมมีความคิดเห็นที่ถูกต้องมากมาย ทั้งทางโลกและทางธรรม จนผมสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้ตราบเท่าทุกวันนี้ หลวงปู่วัยจึงเป็นผู้ให้การเลี้ยงดูเด็กน้อยในร่มเงาของพุทธศาสนาอย่างผมในตอนนั้น<o:p></o:p>
    เมื่อสิ้นหลวงปู่วัย ผมก็เลยเคว้งคว้างหาครูบาอาจารย์ไม่ได้จนมีศิษย์หลวงปู่คนหนึ่ง ที่หลวงปู่มักกล่าวถึงเสมอๆ ว่าเข้าใจการปฏิบัติได้ดี ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นอาจารย์สอนธรรมะ ผมจึงไปร่วมศึกษาด้วย ในช่วงแรกก็เรียนการเพ่งกสิณ คนที่ไปเรียนเกือบทั้งหมดทำได้อย่างง่ายดาย แต่ผมกลับทำไม่ได้เลย แต่เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาดูพบว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่น่ากลัวมากของการปฏิบัติ เพราะอาจารย์คนนี้ยิ่งสอนก็ยิ่งออกจากกรอบของพุทธศาสนามากขึ้น ซึ่งหากผมทำได้อย่างที่อาจารย์ท่านนี้สอน ป่านนี้ผมก็คงเป็นผู้ปฏิบัติด้วยความเห็นผิด ด้วยวิธีการที่นอกออกไปจากกรอบพระพุทธศาสนา ซึ่งนับว่าผมยังโชคดีที่ทำไม่ได้และถอนตัวออกมาได้ทัน ทำให้นึกถึงคำหลวงปู่วัยที่กล่าวไว้กับศิษย์ท่านหนึ่งว่า ไม่รู้เป็นอย่างไร พวกที่เรียนกับหลวงปู่ พออยู่ห่างจากหลวงปู่ก็มักเพี้ยนกันไปหมด ผมเลยคิดเอาเองว่า คนส่วนมากที่ไปเรียนกับหลวงปู่ มักเป็นพวกที่ชอบเรื่องอภิญญาเป็นทุนเดิม หาได้น้อยคนนักที่จะต้องการเรียนเพื่อการพ้นทุกข์ ตอนอยู่ใกล้ชิดหลวงปู่ หลวงปู่ก็ยังควบคุมอบรมให้อยู่ในร่องในรอยได้ แต่พอห่างหลวงปู่และไม่มีใครคอยควบคุมก็เลยเพี้ยนได้ง่าย<o:p></o:p>
    . พบครูปราโมทย์ ผู้จุดประกายเจริญสติสัมปชัญญะ<o:p></o:p>
    แม้จะสิ้นหลวงปู่วัยไปแล้ว ผมก็ยังคงพากเพียรหาทางพ้นทุกข์อยู่ทุกวัน แม้จะปฏิบัติแบบผิดๆ ก็ยังรู้สึกว่า วันใดไม่ได้ปฏิบัติวันนั้นเหมือนกับไม่ได้กินยาแก้โรคประจำตัว แล้วก็จะคอยสอดส่องหาครูบาอาจารย์ที่จะศึกษาการปฏิบัติต่อ โดยมีความหวังว่าสักวันต้องได้พบครูบาอาจารย์ที่จะสอนปฏิบัติต่อไปได้ ด้วยจดจำคำของหลวงปู่วัยที่เคยพูดไว้ว่า ผู้ปฏิบัติธรรมเขาไม่ทอดทิ้งกันหรอก <o:p></o:p>
    จนวันหนึ่งราวๆ เดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๔๒ บังเอิญเล่น Internet แล้วเจอกระดานสนทนาลานธรรม รู้สึกตื่นเต้นมากที่มีผู้คนมากมายมาร่วมสนทนาธรรม ก็เลยเข้าไปขอร่วมสนทนาด้วย ใหม่ๆ ก็คุยไปตามความรู้เพียงน้อยนิด แต่ก็ได้เห็นอะไรมากมายจากทั้งนักปริยัติ นักอภิธรรม และนักปฏิบัติ แต่ที่สะดุดใจมากที่สุดก็คือ กระทู้และความเห็นของคุณสันตินันท์ หรือครูปราโมทย์ เพราะอ่านแล้วถึงใจดีทีเดียว คงด้วยเพราะในระยะหลัง ผมจะสนใจการปฏิบัติมากกว่าความรู้ต่างๆ ทำให้ยิ่งอ่านก็ยิ่งมั่นใจว่า ครูนี่แหละเป็นผู้ให้คำแนะนำได้ดีที่สุด จึงได้พยายามที่จะสอบถามการปฏิบัติกับครู ซึ่งตอนนั้นครูเริ่มที่จะไม่ค่อยเข้ามาที่ลานธรรมแล้ว แต่ด้วยความเมตตาของสมาชิกลานธรรม ทำให้ผมได้ทราบวิธีติดต่อกับกับครูจนได้<o:p></o:p>
    เมื่อทราบวิธีติดต่อครูแล้ว ผมจึงได้แนะนำตัวทางจดหมาย (e-mail) และขอคำแนะนำในวิธีปฏิบัติที่ผมทำอยู่ในขณะนั้นคือ ผมจะหยิบยกเอาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งขึ้นมาพิจารณาเพื่อจะแก้อารมณ์นั้นให้ได้ คำตอบที่ได้จากครูทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจมาก เพราะครูตอบว่าที่ทำอยู่นั้นผิด ที่ถูกคือให้รู้อารมณ์ไม่ใช่ให้แก้อารมณ์ เพราะความอยากที่จะแก้อารมณ์เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จะเอาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์มาดับทุกข์ไม่ได้ เท่านั้นเองครับทำให้จิตผมตื่นทันที พร้อมกับเริ่มที่จะรู้อารมณ์ไม่แก้อารมณ์ ความหนักอึ้งอยู่ในหัวมานานก็เบาลง เพราะได้คำแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง และในระยะเวลาใกล้ๆ กันนั้นเอง ก็ได้รู้จักกระดานสนทนาชื่อ วิมุตติ<o:p></o:p>
     
  17. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ๑๐. ได้รับการฝึกให้รู้ตัวจากครูครั้งแรก<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    แม้จะทราบถึงวิธีการปฏิบัติจากครูทางจดหมายแล้ว แต่ด้วยความที่จิตยังไม่มีความรู้ตัว ทำให้ต้องกลับไปปฏิบัติแบบผิดๆอีกคือ ปฏิบัติแบบเพ่งและคิดเอาอีกจนได้ เป็นอย่างนี้อยู่อีก ๓-๔ เดือน เห็นว่าไม่ได้ผลแน่ จึงได้ไปพบครูด้วยตัวเองที่ศาลาลุงชิน ไปครั้งแรกไม่ได้พบจึงได้ไปอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๓<o:p></o:p>
    เมื่อได้โอกาสจึงเข้าไปแนะนำตัวเองกับครู ครูก็ไม่รอช้าสอนผมทันทีว่า ยังรู้ตัวไม่เป็น ต้องฝึกรู้ตัวให้เป็น ทันทีที่ครูบอกผมก็พอรู้ได้ว่าจิตตื่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็เผลอบ้าง เพ่งบ้างไปตามแบบฉบับของเด็กเพิ่งหัดที่เอาแต่หลับทั้งที่ตื่นอยู่<o:p></o:p>
    แต่ด้วยความตั้งใจที่จะปฏิบัติ จึงได้พยายามทำไปตามที่เข้าใจ เมื่อเผลอไปครูก็ทักว่าเผลอไปแล้ว เมื่อเพ่งเอาครูก็ทักว่าอย่างนั้นเพ่งเอา เมื่อครูทักถึงการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ผมก็จะจดจำเอาไว้ว่า<o:p></o:p>
    ถ้าทำแล้วมีอาการอย่างนั้นแสดงว่าทำผิดแล้ว แต่ก็ยังไม่ทราบว่าแล้วต้องทำอย่างไรจึงจะถูก จึงต้องนั่งทำไปเรื่อยๆ ในที่สุดครูก็ทักว่า ดีแล้วให้ทำไปอย่างนั้น ก็จดจำเอาไว้<o:p></o:p>
    เมื่อทราบว่าปฏิบัติอย่างไรผิดปฏิบัติอย่างไรถูก ก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ (ปฏิบัติอย่างจริงจัง แต่ไม่เคร่งเครียด) หากทำผิดก็ให้รู้ว่าทำผิดไปแล้ว หากทำถูกก็ให้รู้ว่าทำถูกแล้ว ผมมีความเห็นว่า ตรงจุดนี้มีความสำคัญมากๆ สำหรับผู้ที่เริ่มปฏิบัติ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติก็ไม่อาจก้าวหน้าได้ อย่างเช่นที่ผมเป็นมาก่อนหน้านี้คือ ทำผิดก็ไม่รู้ว่าผิดแถมยังคิดว่าทำถูกอีก ก็เลยเที่ยวทำผิดๆอยู่เป็นนานสองนาน แต่พอทำถูกเข้าก็กลับไม่รู้ว่าทำถูก จึงทำให้เที่ยวหาอุบายต่างๆ นานามาทำไปแบบผิดๆ อีก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าต้องไปเกิดอีกสักกี่ร้อยกี่พันชาติจึงจะเข้าถึงธรรมได้<o:p></o:p>
    หลังจากพอจะรู้ด้วยตัวเองได้ว่า การปฏิบัติที่ถูกนั้นเป็นอย่างไร จิตก็เริ่มมีการพัฒนาไปตามลำดับ โดยในช่วง ๓ เดือนหลังจากได้ไปพบครู ก็เริ่มรู้ตัวได้บ้างแล้ว แต่ด้วยความไม่ประสีประสาจึงต้องคอยให้ครูบอกว่า เราพอจะรู้ตัวได้แล้ว ต่อไปก็ให้เจริญสติปัฏฐานแต่ครูบอกให้หาเอาเองว่าจะเจริญสติปัฏฐานในแบบใด วันที่ครูบอกว่าผมรู้ตัวได้แล้วนั้นผมยังงงๆ อยู่ว่า เราทำมาก็ไม่เห็นจะดูจิตได้ชัดเจนเลย ทำไมครูบอกว่าเรารู้ตัวได้แล้ว จนอีกหนึ่งเดือนต่อมาจึงพอจะเข้าใจว่า ความรู้ตัวได้นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเจริญสติปัฏฐาน เพราะเกิดสงสัยในขณะไม่สบายว่า เราก็รู้ตัวได้แล้วแต่ทำไมความทุกข์จึงไม่เห็นจะเบาบางลง เมื่อคอยดูต่อไปเรื่อยๆ ก็เข้าใจว่า เราพอรู้ตัวอยู่ได้แม้ร่างกายเป็นทุกข์อยู่ แต่กลับไม่เห็นว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าเราเพิ่งจะรู้ตัวได้แต่ยังรู้ไม่เป็น ถ้ารู้เป็นจะต้องเห็นว่ามีสิ่งที่ถูกรู้กับมีผู้รู้ หรือรู้สิ่งที่ปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลาง พอนึกได้อย่างนี้จิตก็เริ่มเห็นว่า ความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ จึงทำให้เห็นได้ว่า เมื่อความทุกข์ทางกายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ความทุกข์ทางใจก็เบาบางลงไป<o:p></o:p>
    ต่อมาจึงได้ถือหลักปฏิบัติว่า ให้รู้สิ่งที่ปรากฏด้วยจิตที่เป็นกลาง แต่ก็กลัวว่าจะหลงลืมหลักนี้ไปอีก จึงได้เขียนใส่กระดาษติดไว้หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งนับว่าได้ผลดีทีเดียว เพราะในบางวันที่เราเกิดไขว้เขวออกนอกลู่ทางที่ถูกต้อง เมื่อเห็นกระดาษที่เขียนติดไว้ ก็ทำให้กลับเข้าแนวทางที่ถูกได้เร็ว หากไม่เขียนติดไว้ก็อาจจะออกนอกลู่ไปอีกหลายวันหรืออีกเป็นเดือนก็ได้ <o:p></o:p>
     
  18. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ๑๑. ความรู้ไม่อาจช่วยให้พ้นทุกข์ได้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ในระยะสามสี่เดือนแรกที่ได้พบครู วันหนึ่งขณะที่สนทนากับญาติมิตรท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติแล้วจิตจะแสดงความรู้ออกมามาก วันนั้นจู่ๆ ผมก็เกิดอาการจิตปลดปล่อยความเห็นผิดในเรื่องความรู้ออกไปได้ จึงได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่า ความรู้ทั้งหลายที่เกิดจากการเรียนและผ่านกระบวนการคิดเอาด้วยเหตุด้วยผลนั้น ไม่อาจนำมาใช้ในการดับทุกข์ได้เลย เพราะความรู้ก็คือความรู้ ไม่ใช่ปัญญาที่จะประหารกิเลสลงได้ ความรู้จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ นับแต่นั้นผมก็เลยไม่สนใจที่จะค้นคว้าหาความรู้ที่เกินจำเป็นอีก โดยเฉพาะในคำสมมุติบัญญัติ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลิกอ่านเลิกฟังธรรมะ หากแต่การอ่านการฟังธรรมะนั้น ก็อ่านก็ฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าจะรู้เรื่องหรือไม่ ฟังแล้วอ่านแล้วก็แล้วไปไม่เก็บเอามาครุ่นคิดให้เสียเวลา สู้เอาเวลานั้นไปใช้ในการเจริญสติสัมปชัญญะไม่ได้<o:p></o:p>
     
  19. to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    นั่นสิ พี่แมว แงว แงว ใครตอบได้บ้างคะ
     
  20. k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พอแระ ไปดาวโหลด อ่านเอาก็แล้วกัน

    ปัญหาคือ ต้องการรู้วิธีดับทุกข์ จริงหรือป่าว แค่นั้นแหละ

    ถ้าคิดว่ามาถูกทางแล้ว ก็ทำไป ถ้ายังสงสัย ก็ทำให้หายสงสัยก่อน

    จะกี่ชาติ ก็ช่างมัน ก็แล้วกันนะ ของดีดี มีมากมาย รู้จักใช้ก็ไปไว

    ใช้ผิดทาง ก็วนอยู่ในกะละมังต่อไป
     

แชร์หน้านี้