@: มนุษย์ต่างดาวในศาสนาพุทธ :@

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Aqua-ma-rine, 30 เมษายน 2012.

  1. Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
    www.jitwiwat.blogspot.com/2011/01/blog-post_14.html



    มนุษย์ต่างดาวเป็นสุขกว่าชาวโลก

    โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
    หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 15 มกราคม 2554



    พุทธศาสนาไม่ได้บอกเรื่องมนุษย์ต่างดาวเคยมาที่โลก แต่บอกว่าพรหมเป็นผู้ปกครองกาแลคซี่ เช่นท้าวมหาพรหมเป็นผู้ปกครองจุลกนิกะ โลกธาตุซึ่งเป็นกลุ่มกาแลคซี่ (cluster of galacxies) ขนาดเล็กเท่านั้น

    ถ้าหากเป็นกลุ่มของกาแลคซี่ที่ใหญ่กว่านั้น ผู้เขียนคิดว่าคงจะเป็นอรูปพรหมที่ปกครอง พุทธศาสนายังกล่าวถึงพรหมวิมานซึ่งเป็นสถานที่อุบัติของพรหมซึ่งเป็นเรื่องของลัทธิพระเวท ที่ต่อมาพระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยว่าพรหมเกิดจากความปรารถนาความหลากหลายซึ่งไม่เป็นธรรมชาติของวิวัฒนาการ

    แอริช วอน ดานิเกนส์ ได้พิมพ์หนังสือจำหน่ายรวมทั้งหมดถึงกว่า ๓๐ ครั้งจำนวนกว่า ๓ ล้าน ๕ แสนเล่มมีชื่อว่า“วิมานของเทวดา” (Erich Von Danikens: Chariots of the Gods?, 1973) ว่าเทวดาได้มาเยี่ยมเยียนโลกเราโดยวิมาน (UFO) มาตั้งแต่ก่อนมีโฮโม ซาเปี้ยนส์เสียอีก

    แต่คริสต์ศาสนามี ซึ่งผู้เขียนภาพวาดหลายภาพมียูเอฟโอที่หน้าตาเหมือนกับยูเอฟโอทั่วไปของทุกวันนี้ เมื่อไม่กี่วันนี้ลูกชายของผู้เขียนได้เอารูปจานบินที่ถ่ายด้วยกล้องของดาวเทียมมาให้ถึงหกลำ บทความของวันนี้จะมองในอีกแง่หนึ่ง

    คือมองว่าสิ่งมีชีวิตที่มีรูปกายคล้ายๆ กับมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวที่ผู้เขียนเชื่อว่ามีอย่างแน่นอนนั้น เมื่อตายไปแล้ว ก็ย่อมจะไปสู่สุคติได้ และได้เหนือกว่ามนุษย์ในโลกนี้เสียอีก ทั้งนี้แล้วแต่กรรมจะกำหนด เพราะผู้เขียนเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวอย่างน้อยจำพวกหนึ่ง อยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจรภูมิ



    แต่ถ้าให้พูดอย่างหมดเปลือกจริงๆ เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่พุทธศาสนาถือว่าเป็นการเกิดใหม่ที่เป็น "สุคติ” หรือมีวิถีชีวิตที่จะรู้จักความสุขบ้าง แม้จะเป็นความสุขที่ส่วนใหญมากๆ มักจะไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นความสุขทางกายภาพนำ ที่ตัวเองก็ไม่รู้และคิดว่าคือความสุขที่แท้จริง

    มีน้อยคนนักที่รู้ความสุขสองด้าน นั่นคือความสุขทางกายภาพและทางจิตภาพ แทบจะรู้สึกว่ามาพร้อมๆ กัน แต่จริงๆ แล้วโดยมีที่จิตก่อนและมีจิตนำ นั่นคือความสุขที่สมบูรณ์และที่มีปีติหรือความซาบซ่านเป็นหัวหอก (blissful happiness) ซึ่งผู้ปฏิบัติสมาธิแทบทุกคนรู้จักดี แต่มีบางคนที่ไม่มีปีติเลยก็ได้

    นอกจากนี้ สุคติซึ่งเป็นการเกิดมาบนโลกนี้ของมนุษย์นั้น จะมีทางเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง คือสามารถจะเลือกเส้นทางของจิตที่ดีงามอันเป็นเส้นทางแห่งจิตวิญญาณที่จะนำไปสู่สวรรค์หรือนิพพานได้ หรือเส้นทางแห่งความเลวร้ายที่จะนำไปสู่อบายหรือนรกได้ ซึ่งภพภูมิอื่นๆ ไม่มีทางเลือกเช่นนี้

    การมีทางเลือกเช่นว่านี้ ทำให้ - นอกจากมนุษยภูมิซึ่งทางพุทธศาสนาถือว่าเป์นภพภูมิแหงกาม เฉกเช่นสวรรค์ระดับล่างสุดๆ หรือชั้นระดับกามาวจรภูมิที่ถือว่าเป็นสุคติภูมิแล้ว ยังทำให้ผู้เขียนมีความสงสัยว่ากามาวจรภูมิจะเป็นภูมิที่มีภพเช่นโลกเราหรือดาวเคราะห์ในกาแลคซี่ทางช้างเผือกเราหรือไม่? หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นมนุษย์ต่างดาวประเภทหนึ่งหรือไม่?



    ความสงสัยที่น่าเชื่อว่าอาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ คือมีรูปกายอยู่ภายนอกและมีจิตอยู่ภายในหรือไม่? ทั้งนี้ น่าจะยกเว้น โดยเฉพาะภูมิหรือสวรรค์ที่ไม่มีรูป (อรูปพรหม) ทั้งหลายซึ่งท่องเที่ยวไปด้วยจิต (psychological) ที่ผู้เขียนเคยเขียนลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ในเรื่อง “ประสบการณ์ใกล้ตายที่เป็นลบ” (FNDEs ซึ่งเป็นลบหรือ negative) ที่เป็นเสมือนนรก

    พุทธศาสนาสายทิเบตก็บอกว่า นรกน่าจะเป็นเหมือนๆ กับสวรรค์ชั้นพรหม คือเป็นการท่องเที่ยวไปด้วยจิต หรือเป็นความรู้สึกด้วยจิต อาจไม่ใช่เรื่องทางกายที่เราเชื่อๆ กันก็ได้

    ในสมัยโบราณ เราจะเห็นว่า วิวัฒนาการของจิต - ที่จริงๆ แล้ว ผู้เขียนคิดอย่างแน่ใจว่า คือการบริหารจิตไรัสำนึกของจักรวาลหรือจิตจักรวาลของ คาร์ล กุสต๊าฟ จุง (universal unconscious continuum) เป็นจิตรู้หรือจิตสำนึกของคนแต่ละคนโดยสมอง - ดังที่ผู้เขียนได้บอกไปแล้วหลายครั้ง และจะย้ำอีกเพราะมันสำคัญมากๆ

    สมองนั้นสำคัญเหลือเกิน แต่สมองก็ไม่ใช่จิต ทั้งจิตก็ไม่ใช่การทำงานที่ซับซ้อนของสมอง (epiphenomenon) และจิตรู้หรือจิตสำนึกนั่นเองที่มีวิวัฒนาการไปตามเสปคตรัม (spectrum of consciousness) จิตสำนึกที่ทางศาสนาพุทธเรียกว่าวิญญานขันธ์ที่มีห้าที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการ “รู้” (cognition) ซึ่งนอกจากจะเป็นจิตสำนึกที่รู้แล้ว (ยามปกติ) แต่จิตไร้สำนึก (ยามไม่ปกติ เช่น อภิญญา (ESP) หรือการรู้ในปรภพ)

    รู้ได้โดยไม่ใช้สมองที่ คาร์ล จุง ก็เชื่อเช่นนั้น (unconsciousness cognition) ฉะนั้น วิวัฒนาการของจิตตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ามาแล้ว คนโบราณจึงมักจะเทียบกับสีต่างๆ ของสายรุ้ง ซึ่งมี ๗ สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง นั้น – นับจากบนหรือสูงสุดลงมา

    แต่จะบวกสีสุดท้ายหรือสุดยอดเหนือสีม่วงเป็นสีขาวนวลหรือสีเหลืองที่กระจ่างใสซึ่งเป็นสีของพระเจ้าหรือพุทธะ (Buddhahood) แสดงถึงความจริงที่แท้จริง (Supreme Reality) แต่ผู้เขียนคิดว่า เราอย่าไปหลงสีต่างๆ จะดีกว่า เพราะเราอาจจะสับสน

    อย่าลืมว่าสีต่างๆ ที่ แคลร์ เกรฟ (ตายแล้ว) และ ดอน เบ็ค ใช้ในสไปรัลไดนามิกส์ (spiral dynamics) นั้นได้สีต่างๆ จากการถ่ายรูปออร่า (aura) ซึ่งมีสีต่างกันไปเล็กน้อย

    มนุษย์นั้น นอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมาแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่ทางวิชาการถือว่ามีศักยภาพที่แทบจะไม่มีขอบเขต ดูได้จากความคิดคำนึงจินตนาการดังที่ไอน์สไตน์ว่าไว้ว่า ความรู้กับสติปัญญาความฉลาดนั้นไม่สำคัญหากเทียบกับจินตนาการ เพราะว่าจินตนาการสามารถเดินทางไปรอบโลกได้ในทันทีทันใด จนมีผู้กล่าวว่าไม่มีอะไรที่มนุษย์จะทำไม่ได้

    และนั่น ทำให้มนุษย์ในอดีต เช่น ฟรานซิส เบคอน นักปราชญ์ผู้ทรงอิทธิพลยิ่งเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน และมนุษย์ทั้งยุโรปในเวลานั้น ได้พากันหลงตัวเอง (narcissism) อย่างน่าเกลียด จนกระทั่งมีบางคนที่มีจำนวนไม่น้อยในทุกวันนี้ (ราวๆ ร้อยละ ๕ - ๑๕)

    โดยเฉพาะคนในประเทศด้อยพัฒนา ที่ด้อยการศึกษา ไม่สามารถจะมีวิวัฒนาการตามธรรมชาติได้ตามปกติเหมือนเพื่อนเขา ซึ่งมีวิวัฒนาการสูงถึงขั้นระดับตัวตนและเหตุผล (self – rational) อันเป็นระดับชั้นที่คนส่วนใหญ่มีอยู่ในปัจจุบัน คนจำพวกนี้จะยังคงอยู่ระดับหรือชั้นแห่งการเจริญเติบโตวิวัฒนาการในขั้นต่ำที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ (mythic)

    นั่นคือ ยังอยู่ที่นิยายจักรๆ วงศ์ๆ คนจำพวกนี้ คือพวกผู้คลั่งชาติ คลั่งศาสนา (fundamentalist) บ้าสี บ้าเข็มขัด หรือเครื่องหมายที่ตนสังกัดอยู่ (membership) ซึ่งเหตุผลเป็นเรื่องรองๆ



    ทำไม? มนุษย์ถึงต้องเป็นเช่นนั้น? เพราะอะไรหรือ? เราถึงต้องเจริญเติบโตวิวัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอน นั่นชี้บ่งว่าเป็นจิตที่คุมกายและพฤติกรรมทั้งหมด จริงๆ แล้วเกิดมาเป็นสัตว์โลก ที่รวมทั้งมนุษย์แล้ว ไม่ว่าอะไรจะต้องขึ้นอยู่กับจิตทั้งหมดเลย

    หรือว่าเพราะมีจิต สัตว์โลกทั้งหลายโดยเฉพาะมนุษย์ จึงต้องเรียนรู้ไปตามลำดับ? เราไม่รู้คำตอบเหล่านี้ซึ่งไม่ง่ายเลย แต่น่าจะอยู่ที่จิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาล ที่สมองจะบริหาร เปลี่ยนแปลงเป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้รูปแบบต่างๆ ไปตามเสปคตรัม เช่น ความคิด อารมณ์ ที่ต้องรอคอยช่วงเวลาในการวิวัฒนาการไปตามช่วงหนึ่งๆ ให้เปลี่ยนแปลง

    คือรอให้จิตไร้สำนึกของจักรวาลที่ว่านั้นให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เสียก่อน? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ รูปและช่วงเวลาหรือวัยและอายุก็มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งกับมนุษย์และจักรวาลที่มีรูปมีกายทั้งสองชนิดเลย และวิวัฒนาการก็คือ วัย หรือช่วงเวลาโดยธรรมชาติของจิตไร้สำนึกของจักรวาล ที่เข้ามาอยู่ในกายหรือสมองของมนุษย์ (self) ที่จะรอการเปลี่ยนแปลงเป็นจิตสำนึก หรือจิตรู้เท่านั้น

    มนุษย์จึงมีความสำคัญที่สุด ในประเด็นของการเรียนรู้เฉพาะด้านวิวัฒนาการ สำคัญกว่าภพภูมใดๆ ทั้งสิ้นในประเด็นนี้ ส่วนประเด็นของความทุกข์หรือความสุขที่แท้จริงเป็นคนละประเด็น “สุคติคือภพภูมิของการเรียนรู้และวิวัฒนาการ”

    ที่สุดท้ายแล้วจะต้องเป็นบูรณาการ และนั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนคิดมาตลอดถึงเหตุผลที่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิที่จะเลือกเส้นทางแห่งสภาวะจิตวิญญาณอันเป็นบูรณาการ ซึ่งก็คือนิพพานนั่นเอง



    “สุคติ” นั้นคือวิถีชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับทุคติ อันเป็นวิถีชีวิต อันได้แก่อบายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม มนุษย์และเทวดาระดับล่าง หรือกามาวจรภูมิที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นภพภูมิของมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในสวรรค์ชั้นล่างที่สุดที่มี ๖ ชั้น เพราะว่ายังเกี่ยวข้องกับกามและคิดว่าตนมีหนทางที่จะเลือกทางเดินของตน มีทางเลือกของตนนั้น

    ผู้เขียนคิดเอาเองว่ามนุษย์และเทวดาหรือมนุษย์ต่างดาวที่คิดว่าตนเป็นผู้เลือกนั้น สุคติจึงน่าเป็นดาวเคราะห์ดวงไหนก็ได้ เพราะเป็นกามาวจรภูมิเหมือนกัน จริงๆ แล้วล้วนแล้วแต่กำหนดด้วยการกระทำหรือกรรมของสัตว์โลกหรือมนุษย์ทั้งสิ้นไม่ว่ามนุษย์นั้นๆ จะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่?

    เพราะทั้งมนุษย์และเทวดาระดับล่างนั้นๆ ต่างก็มีทั้งจิตที่เป็นกุศล และจิตที่เป็นอกุศลเท่าๆ กัน ต่างก็มีกรรมที่เป็นของตนเองและกรรมร่วมโดยรวม โดยเฉพาะในชั้นล่างๆ เช่นชั้นหรือระดับที่มีสี่กษัตริย์ปกครอง (จาตุมหาราชา) ชั้น

    หรือระดับที่มีกษัตริย์เป็นเทพ - อสูร แต่ชั้นหรือระดับที่อยูสูงกว่าจะมีจิตที่เป็นกุศล (กุศลจิต) มากขึ้นเรื่อยๆ (อภิธรรมมัตสังคาหะ) นั่นบ่งชี้ว่าทำไม? ยูเอฟโอจึงพบบ่อยขึ้นในโลกในปัจจุบัน

    มนุษย์ในโลกนั้นหรือมนุษย์ต่างดาวเกิดอยูในสุคติก็จริง แต่ “มีที่มา” ไม่เหมือนกัน ที่มนุษย์จึงมีหลายๆ ที่มา บางคนจึงสงสัยและมักถามว่า ประชากรโลกมาจากไหนถึงได้มีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ หมูเห็ดเป็ดไก่มาจากไหน คนจึงกินไม่หมดสักที

    ทั้งๆ ที่ประชากรของโลกเพิ่มทวีมากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ก็ขอตอบรวมกันเสียเลยว่า จักรวาลนี้จักรวาลเดียวมีคลื่นอนุภาคถึง ๑๐ ยกกำลัง ๘๐ - ซึ่งเมื่อสภาพคลื่นได้สลายตัว (wave-function collapse) ก็จะเหลืออนุภาคหรือสสารที่ประกอบเป็นวัตถุเนื้อเยื่อเต็มจำนวนนั้น ทีนี้พุทธศาสนาบอกว่า ทุกๆ สิ่งทุกๆ ปรากฏการณ์ มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต

    ล้วนประกอบด้วยรูปกับนามเท่านั้น และรูปกายของชีวิตทั้งหลายทั้งปวงวิวัฒนาการมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต โดยมาจากจิตปฐมภูมิที่แยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้น - โดยแควนตัมเม็คคานิกส์และพุทธศาสนาที่กล่าวเหมือนๆ กันว่า ได้มาจากความว่างเปล่าทางแควนตัม (quantum vacuum)



    หรือสุญตา เพราะฉะนั้น อะไรก็ตาม มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตตั้งแต่เม็ดกรวดเม็ดทราย พืชพันธุ์ต้นไม้ มดปลวกหรือแมลง จนกระทั่งกุ้งปลาลิงค่างบ่างชะนี ล้วนมีสิทธิที่จะมีวิวัฒนาการได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ ผู้ใดที่หลุดจากกรรมหรือใช้กรรมหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรกชั้นไหน ก็ย่อมจะเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อการเรียนรู้ และเพื่อแสวงหาจิตวิญญาณนิพพาน (spirituality-nirvanna) กันทั้งนั้น

    อย่าลืมว่าในทางพุทธศาสนานั้น การเกิดใหม่ ไม่ว่าในภพภูมิไหน? หรือภพไหน? หรือภูมิอะไร? ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ดังนั้น วิวัฒนาการไม่มีขาดตอน เพียงแต่การเจริญเติบโตวิวัฒนาการนั้น เป็นเรื่องของกายอย่างเดียวก็ได้ เป็นเรื่องของจิตอย่างเดียวก็ได้ หรือทั้งกายและจิตก็ได้ ดังนั้นสวรรค์ชั้นล่าง ชั้นกามาวจรภูมิ หรือมนุษย์ต่างดาวอย่างในบทความของวันนี้ ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำนั้นๆ

     
  2. TT_GOVERNMENT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +711
    น่าสนใจมากครับ.......
     
  3. a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    :cool:เพิ่งรู้นะนี่ ขออ่านพิจารณาอีกหลายๆรอบ แล้วค่อยว่ากัน ขอบคุณครับกับความรู้ใหม่ๆๆ:cool:(k):cool:
     
  4. 2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    การวิวัฒนาการที่มนุษย์เรียกๆกัน เป็นเรื่องของวัฏจักร การหมุนเวียนธรรมดา เกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติรอบๆตัวมนุษย์-สัตว์ อันได้แก่สภาพแวดล้อมของถิ่นที่อยู่อาศัย รวมถึงบรรยากาศ สภาพอากาศ ด้วย ส่วนมากเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ

    (ส่วนใหญ่เห็นได้ยาก ในช่วงอายุของคน1คนออาจจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ หรือถึงเปลียนก็เท่านั้นแหละ เพราะอายุสั้นกระจิดริด)

    ตอนนี้การวิวัฒนาการของมนุษย์โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมลง ทั้งทางกาย และจิตใจ ทางร่างกายนั้นจะเสื่อมลงจากขนาดรูปร่างที่เล็กลงเรื่อยๆ และ อายุที่สั้นลงเรื่อยๆ
    เป็นไปตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติรอบๆตัวมนุษย์-สัตว์ อันได้แก่สภาพแวดล้อมของถิ่นที่อยู่อาศัย อากาศ อาหารการกิน ซึ่ง นับวันก็ล้วนแล้วแต่เสื่อมลงทั้งนั้น
    และสาเหตที่สภาพแวดล้อมรอบๆตัวมนุษย์เสื่อมลง ก็เป็นเพราะจิตของมนุษย์ส่วนไหญ่นั้นแหละเป็นเหตุ มนุษย์มีกิเลสตัณหามากขึ้น ก็เอาจากธรรมชาติ ทำลายธรรมชาติ ทำลายสภาพแวดล้อมมากขึ้น สุดท้าย ธรรมชาติแวดล้อมนั้น ก็กลับมาส่งผลต่อร่างกายของมนุษย์เอง วนเวี่ยนไปมาอย่างนี้ ไม่จบสิ้น



    การวิวัฒนาการแบบเปลี่ยนภพภูมิ(เกิดใหม่) เป็นเรื่องของวัฏจักร การหมุนเวียนที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของ สภาพ-คุณลักษณะ ของจิต
    ได้แก่ กิเลส ตัณหา ราคะ โทสะ โมหะ ที่มีอยู่ภายในจิตแต่ละดวงแตกต่างกันไป
    เช่น ขณะที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนภพภูมิ หากจิตอยู่ในอารมณ์ใด ก็จะไปจุติเกิดในภพภูมิโลกใหม่ ตามผลของอารมณ์นั้นๆเป็นเหตุ เรียกว่า กรรมเป็นเหตุก็ได้ (หมายถึงแต่มนุษย์และสัตว์โลกเป็นหลัก)


    การวิวัฒนา ที่พ้นไปจากการมีสภาพแวดล้อมทางกายและสภาพของจิตเป็นเหตุ .........
     
  5. NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ไม่ได้ค้านคุณหมอประสานฯ
    หมอวิเคราะห์ว่า มนุษย์ต่างดาวเป็นเทวดาที่อยู่ในภพเดียวกับโลก....
    ..อันนี้ผมไม่เชื่อเช่นนั้น..
    ..ผมเชื่อว่า เขาอยู่ต่างภพกับเรา...คือ ภพภูมิมันมีตั้ง31 ภพ...นั่นแหละ..
    ทีนี้จักรวาลทั้งหมด มันหมายถึงภพเดียว หรือมี 31 ภพ เนื่องด้วยทฤษฎี เวลา อวกาศและสาร
    ...โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าจักรวาลทั้งหมดมีภพเดียว....แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีภพอื่นๆผสมรวมอยู่อีก30 ภพ(ต่างมิติ)...เหมือนสัมภเวสี(ผี)...ถามว่าอยู่มิติเดียวกับโลกมนุษย์หรือ... ก็ต้องตอบว่า ไม่ใช่...เพราะมันต่างมิติกัน...ต่างภพด้วย
    ..มิตินั้นมิใช่แค่สี่ กว้าง ยาว สูง และ เวลา....ซึ่งตามทฤษฎีขดลวดว่ามีถึงราวๆ11 มิติ..
    ดังนั้น เราไม่รู้ว่า ภพหนึ่งๆนั้น มันมีมิติกี่มิติกันแน่...
    ...เทวดาก็น่าจะมี4มิติเหมือนมนุษย์ แต่เป็นภพไหนไม่รู้...อาจยกเว้นภพอรูปพรหม...อาจมีแค่มิติเดียวคือเวลาฯลฯ
    ...เรื่องพวกนี้...ถ้าใช้สมอง ใช้วิจัย มันไปไม่ถึงไหน เหมือนไอน์สไตย์ก็ยังงง
    ..จะให้รู้ ก็ต้องปฏิบัติเอง...พระพุทธเจ้าให้แนวทางไว้แล้ว อยากรู้หลัก มีเหตุต้องมีผล...เพื่อตัดเหตุ(กิเลศ)ไม่กลับมาเกิดอีก ก็ต้องปฏิบัติ บวช ธุดงควัตร13 ขันธวัตร14 วิปัสสนากรรมฐาน..มีวาสนาก็รู้จริง...คือ พ้น...วัฏฏสงสารไปได้...เฉพาะตัวใครตัวมัน...นั่นแล.
     
  6. patham สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +17
    ผมเชื่อพุทธเจ้าทุกอย่าง และไม่ค้านแม้นิด ส่วนคนอื่นผมไม่เชื่อ
     

แชร์หน้านี้