มีข้อสงสัยเกี่ยวกับบริกรรม คาถาเงินล้าน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย MStepnana, 19 พฤษภาคม 2018.

  1. MStepnana

    MStepnana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ผมเคยตั้งกระทู้ไปแล้วครั้งหนึ่งครับเกี่ยวกับว่าจะปฏิบัติกรรมฐานกองไหนดี ระหว่างอสุภะ อานาปานสติ หรือ กสิณ ผลสุดท้ายผมได้คำตอบคืออานาปานสติ แต่การจับลมหายใจของผมนั้นบางวันผมก็บริกรรมพุท โธ บางวัน ผมก็ไม่บริกรรม ทำตามจริตไป เพราะว่าสังเกตุว่าบางวันพุท โธ จิตฟุ้งซ่านก็ไปจับลมหายใจอย่างเดียว บางวันจับลมหายใจ จิตฟุ้งซ่านก็ไปบริกรรมพุท โธ เอาที่สบายในแต่ละวัน ทำไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ก็เห็นแสงวาบหลายครั้งอยู่ครับแต่ก็ไม่ได้ไปสนใจอะไร บางครั้งก็เห็นดวงแก้วข้างในมีผู้หญิงใส่ชุดไทย แต่ไม่ชัดนะครับเห็นจาง ๆ บางวันก็เห็นดวงแก้วแต่ข้างในเป็นเสือตัวใหญ่ เห็นไม่ชัดนะครับเห็นจาง ๆ ทีนี้เมื่อประมาณต้นเดือนผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าผมไปทำบุญทุกวันพระอยู่แล้ว ทำไมวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันพระไม่เก็บเอาเศษเหรียญไปทำบุญ ผมเลยตั้งใจครับว่า ถ้าไปใช้จ่ายแล้วได้เหรียญมาเมื่อไหร ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ 10 5 1 ผมจะไม่ใช้แต่จะเก็บเอาไปทำบุญ ทีนี้มันก็นึกขึ้นมาได้ว่า เออเราน่าจะจบคาถาอะไรสักอย่างก่อนไปทำบุญนะ ผมก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำมีพระคาถาเงินล้านอยู่ ผมก็สวด 10 จบตอนเช้าเอาเงินวางไว้หน้าหิ้งพระบอกว่าจะเอาไปทำบุญ ตอนเย็น อีก 10 จบ เอาเงินไปไว้หน้าหิ้งพระเหมือนเดิม สวดไปสวดมาก็สวดได้ ที่น่าแปลกคือเมื่อสวดแล้วจิตไม่ค่อยฟุ้งซ่าน ทีนี้ก็เลยบริกรรมมันไปทั้งวันเลยเมื่อวันก่อน พอนั่งสมาธิดูลมหายใจก็บริกรรมตามลมไปแต่ก็รู้ลมนะครับ คือไม่กังวลกับคาถา ลมเข้าออกก็ตามคาถาก็ตามลมไป ทีนี้ขณะลืมตากำลังจะอธิฐานเงินในมือ ภาพพระก็ลอยมาเลยครับแต่ไม่ใช่หลวงพ่อฤาษีลิงดำผมก็สงสัยว่าใคร ลอยอยู่อย่างนั้นลอยจนหลับ แต่ที่แปลกคือจิตมันนิ่งอย่างไรไม่รู้เหมือนมันไปอยู่ที่ภาพพระ พอเช้าเลยมาเปิดดูปรากฏว่าเป็นภาพของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ทีนี้ก็ลงไปกินข้าวพอนึกปับภาพก็ลอยมาอีก นึกทีไรก็เห็นทุกที
    คำถามนะครับ
    1. ทุกครั้งที่ภาพลอยแล้วจิตเผลอหลุดจากคำบริกรรมคาถาเงินล้าน ผมกับเอาแต่ปรามาสพระ จนผมคิดว่าหายไปเถอะครับ ถ้าปรากฏแล้วจิตผมเอาแต่ปรามาสท่านอย่างนี้ผมจะบาปเอา ผมคิดว่าผมควรเลิกบริกรรมไหมผมกลัวบาปอย่างไรไม่รู้ หรือควรไปปฏิบัติอย่างอื่นแทน
    2. ถ้าผมควรจะปฏิบัติต่อไปผมควรถือเอาภาพที่ผมเห็นเป็นนิมิตไหมครับ หรือว่ามันก็แค่อาการทางจิตเท่านั้นอย่าไปสนใจ
    3. เวลาที่ผมสวดผมไม่เรียกว่าคาถาเงินล้านนะครับ ผมเรียกว่าคาถาปัจเจกพระพุทธเจ้า เพราะถ้าสวดแล้วไปโฟกัสที่คำว่าคาถาเงินล้านมันจะโลภเอา ก็เลยเรียกว่าคาถานี้มาตลอดเลยอยากถามว่าเรียกแทนกันได้ไหม
    ที่ผมถามนี่ผมกลัวว่าปฏิบัติไปแล้วจะหลงเอา เลยลองถามดูครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    1ทำไปตามเดิม อย่าไปสนใจ อาการปรามาส อย่างนี้ เด๋วก็หาย จะมาเป็นครั้งคราวทดสอบกำลังใจ
    2 ปฏิบัติกรรมฐานกองไหนอยู่ก็ทำให้สุดจึงค่อยเปลี่ยนกรรมฐาน
    3อะไรก็ได้ที่ทำแล้วส่งผลให้จิตเราสงบไม่ฟุ้งซ่าน
     
  3. MStepnana

    MStepnana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ขอบพระคุณมากครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ทั่วไปก่อนเนาะ
    สไตล์นี้ ไม่ใช่แบบที่ฝึกแล้วจะหลง
    หลงในที่นี้คือหลงยึดในนิมิต และ หลงตัวเอง....
    ขอปรับความเข้าใจก่อนจะตอบคำถามก่อนเนาะ

    ต่อไปนี้อ่านดีๆเน้อ...
    อาปาฯควรมองเป็นระบบการหายใจพื้นฐานที่สำคัญ
    สำหรับรองรับกรรมฐานต่างๆทุกๆกอง
    ถ้าเราจะไปฝึกกรรมฐานกองอื่นๆ โอกาสที่จะสำเร็จจะยากมาก
    พูดถึงทั้ง ๔๐ กองและวิชาเฉพาะต่างๆ รวมทั้งวิชาสาขาต่างๆ
    เพราะมันจำเป็นจะต้องปรับความละเอียดของ
    ลมหายใจและจิตไว้รองรับด้วย
    เหมือนคนมีรถขับ แต่ว่าไม่มีเงินเติมน้ำมันนั่นหละ
    กว่าจะเข็นรถไปถึงปลายทางก็คงจะใช้เวลานานหน่อย
    ถ้ามีทั้งรถและเงินเติมน้ำมัน เราจะขับไปตรงไหนก่อนก็ได้

    ระบบหายใจ
    คือ การหายใจเข้าที่ลึกถึงท้องจนท้องพอง
    และหายใจออกจนท้องแฟ้บ
    แต่เราจะไม่ตามลมหายใจเพราะจะแป๊กที่ปฐมฌาน
    แต่จะใช้การดันลมหายใจแทน
    และมาทำความรู้สึกรับรู้ว่า
    มีลมเข้าและออกหยุดที่ปลายจมูกเท่านั้น

    ซึ่งจะภาวนาหรือไม่ภาวนาก็ได้
    เพราะคำภาวนาเป็นเพียงเครื่องเชื่อมโยงจิต
    ให้มันสงบ แต่ต้องทิ้ง(จิตเห็นว่ามันหยาบไป
    จิตไม่สนใจมันแล้ว)เราจะคล้ายไม่ได้ภาวนาอะไร
    ระดับสมาธิเรามันถึงจะพัฒนาไปต่อได้

    ที่ฟุ้งเพราะว่า เราไม่มีทางที่จะไประลึกรู้ลมได้ตลอดเวลา
    เพราะในชีวิตประจำวัน เป็นไปไม่ได้ ถ้าเรายังปกติ
    ที่เราจะรักษาร่างกายให้อยู่เฉยๆนิ่งได้ตลอด
    ซึ่งมันเหมาะที่จะใช้ในการระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก
    หยุดที่ปลายจมูก เมื่อเราเคลื่อนไหวร่างกาย
    สมาธิที่เราได้จากการระลึกรู้ลม มันเลยถูกใช้ไปกับ
    การเคลื่อนไหวร่างกายตรงนี้ ให้เราแก้ด้วยการ
    นับก้าวเดินกรณีถ้าร่างกายเคลื่อนไหว สลับกับ
    การระลึกรู้ลมถ้าร่างกายอยู่นิ่งๆ สมาธิที่เราได้
    มันก็จะต่อเนื่องได้ของมันเอง ไม่ถูกใช้หรือหมดไป
    ตอนเวลาที่เคลื่อนไหวกาย พอเข้าใจเนาะ
    อาการฟุ้งก็จะหายไปเอง

    ระบบหายใจแบบนี้ แม้ว่ามองเห็นเลมหายใจได้เป็นเส้น
    ไม่วาขาวขุ่น หรือ ใส หรือจะเห็นแสงสว่างมากแต่ว่าไม่เย็น
    พวกนี้ถือว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป เป็นแค่ผลของมัน

    การเห็นแสงได้สว่างๆไม่เย็น มันเป็นแค่ตัวบอก สภาวะว่า
    จิตตอนนั้นทำงานแบบมีแสงนำ ซึ่งจิต ปกติจะทำงานได้
    จะมีสภาวะแสงนำ(เห็นสีต่างๆไม่ว่าสีอะไร)หรือเส้นสายนำ
    (เห็นคลื่น เห็นอากาศ) ถ้าทั้ง ๒ อย่างรวมกัน เราก็เห็นเป็น
    รูปเป็นร่างนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะกำลังมันก็ยัง
    อยู่ในระดับปฐมฌาน แต่ถ้าว่าดี ที่ได้พบ และไม่สนใจ...

    จะเป็นภาพพระ หรือ ภาพพระพุทธ ที่มักจะลอยมาในมุมสูงหน่อย
    ทางด้านขวาของศรีษะเรานั้น ถือว่าดี แต่ถ้าคุ้นชิน
    ก็จะปรากฏได้ในมุมตรงหน้าสูงหน่อยได้เป็นปกติ
    ก็ถือว่าดีเหมือนกัน...แต่ถ้าจะไปต่อได้มากกว่านี้
    ไม่ว่าจะเป็นภาพท่านใด ระดับใดก็ตาม
    ให้เราเฉยๆไว้ทุกๆกรณี เพราะสิ่งๆต่างๆเหล่านี้
    จะสามารถปรากฏให้เราเห็นได้หมด ไม่ว่าเป็น
    ท่านใด หากจิตเราเคยมีสัมพันธ์มาก่อนในอดีต
    ให้เคารพนับถือ แต่อย่ายึดถือ เข้าใจเนาะ


    ตอบคำถาม
    ๑.การเห็นภาพปกติจะไม่มีคำภาวนาอยู่แล้ว
    เรื่องปกติ เพราะอารมย์เห็น มันจะตัดการรับรู้ร่างกาย
    แต่ว่าไม่หมด ประมาณว่า ใจไปแต่กายไปไม่ทันดังใจ
    ดังนั้น เราจึงเข้าใจว่า หลุดคำภาวนา จริงๆมันไม่ได้หลุดหรอก
    แต่คำภาวนา จะไม่อยู่ในโหมดที่เห็นภาพ
    ส่วนการปรามาส มักจะมาในกลุ่มที่ มาทางสัมผัสภายใน
    เป็นหลักและเริ่มที่จะมีความชัดเจนทางด้านสัมผัสเป็นปกติ
    ถ้าเราระลึก นึกขึ้นได้ ในเรื่องที่ปรามาส
    ให้ระลึกอโหสิกรรม ออกจากใจเราทันที
    ตามด้วยการอุทิศส่วนกุศลซ้ำลงไป
    และก็ขมากรรมบ่อยๆทุกครั้ง
    ไม่เกิน ๒ เดือนจะหาย แต่ ๒ สัปดาห์แรกจะมาถี่หน่อย
    เรื่องปกติ.....
    ๒. ถ้าจะไปต่อ อย่าพึ่งไปยึดในภาพต่างๆ
    ไม่ว่าภาพระดับใด สูงสุดแค่ไหน ดีแค่ไหน
    ให้ทิ้งภาพไปเลย เพราะยังเป็นมายาจิตอย่างหนึ่งอยู่
    นั่งไปจนกว่า จะสามารถควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายได้
    นิ่งๆในขณะที่มันแยกกับกายเด็ดขาดแล้วชั่วคราวจริงๆนะ
    ไม่ใช่อารมย์ระดับที่มองเห็นโน้นนี่นั้นได้นะ นี่มันอุปจารสมาธิ
    แยกกับกายเด็ดขาดและอยู่ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

    นั่นหมายความว่า จิตจะออกไปข้างนอกกายอย่างน้อย
    ๓ ถึง ๔ ครั้งเป็นอย่างน้อยก่อน คือต้องมาเจริญสติต่อเนื่อง
    ให้มากขึ้นจริงๆ พอจิตนิ่งๆในกายได้ รอจนกว่าจะเห็นขันธ์
    ๕ ส่วนนามธรรม เด่วรู้เอง หรือ รอดูว่ามันจะวิ่งไปในกาย
    อะไรก็ตาม จนระเบิด.....แล้วจะเดินปัญญาได้
    และเดินไปก่อนซักระยะ ทำแบบนี้
    ต่อไป ภาพต่างๆที่เรานึกแล้วเห็น
    ก็จะสามารถเห็นในอากาศ ได้ในความเร็ว
    ที่จะเห็นก่อนที่เราจะลืมตาได้เป็นปกติ


    ถ้าไม่ทิ้งภาพ ไปเล่นกับภาพตอนนี้
    มันจะทำให้ดูเหมือนไม่ยึด แต่เป็นกิเลสธรรม
    มันจะทำให้เราไม่สนใจเรื่องสติ เรื่องปัญญา
    และจะไปสนใจแต่เรื่องนามธรรมต่างๆ
    จนหลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง
    และที่สำคัญคือ จิตจะขาดภูมิต้านทานภายนอก
    พูดง่ายๆว่า มีแต่สัมผัสแต่ขาดกำลังสมาธิและกำลังจิต
    ในระดับต้านทานสิ่งไม่ดีต่างๆได้......


    ๓. คาถาเราจะเรียกอย่างไร เพื่อเป็นอุบายให้จิตเราดีได้หมดแระ
    เพียงแต่ การภาวนาจะได้ผล จิตจะต้องอยู่ในโหมดที่เป็นทิพย์
    แล้วแต่ว่า เราตั้งเจตนาตอนแรกเพื่อเป็นแนวทางให้จิตอย่างไร
    ในตอนต้น แต่ตอนภาวนา เราต้องไม่อะไรเลย หรือ แม้กระทั้งเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ ก็ต้องไม่สนใจมันเลย มันถึงจะได้ผล
    พวกนี้ แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล
    ในบทคาถานี้ มีอยู่ท่อนหนึ่ง ถ้าได้ผล ระลึกภาวนาได้
    ในโหมดที่จิตเป็นทิพย์ นั่นหมายความว่า จะต้องมีกำลังสติ
    และสมาธิสะสมเพียงพอที่จะรักษาอารมย์นี้ไว้ได้นาน
    (วิธีฝึกคือ เห็นภาพปุ๊บตัดปั๊บแล้วถอยอารมย์มาแต่อย่าลืมตา
    และเข้าไปใหม่ เข้าออกบ่อยๆ บ่อยๆ ต่อไปมันจะอยู่ในอารมย์
    นั้นได้นานขึ้นเอง อย่าไปพยายามรักษาภาพให้อยู่นานๆ
    มันจะไปได้ช้า ส่วนใหญ่จะพลาดกัน การรักษาภาพ
    จะใช้ในกรณีที่เป็นอุบายเพื่อให้นึกภาพพระเอาไว้ก่อน
    กรณีที่จิตยังไม่มีความสามารถในการสร้างภาพได้ด้วยตัวจิต
    เองเป็นวิธีทั่วไป ที่เข้าถึงได้ง่าย และเริ่มต้นแบบไม่ต้องอาศัย
    กำลังสมาธิอะไร พอจิตสร้างภาพได้ต้องทิ้ง ไม่งั้นจะปวดบริเวณ
    ร่างกายในจุดที่ให้ร่วมในการคิดสร้างภาพ และปวดศรีษะได้
    ส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับเรา เล่าให้ฟังเฉยๆ)

    จะสามารถเรียกของเก่า
    เฉพาะทางให้ขึ้นกลับมาใช้งานได้
    ถ้าพื้นฐาน ความละเอียด
    และกำลังสมาธิสะสมเราเพียงพอ
    ซึ่งต้องมีฐานมาจากระบบลมหายใจ
    ที่เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้น ต้องทำจน
    มันเป็นระบบลมหายใจในปกติชีวิต
    ประจำวันเราให้ได้ แทนแบบเดิม
    ที่ลมถึงหน้าอกให้ได้ก่อน
    ร่างกายจะปรับตัวเองได้ อย่างน้อย ๒ สัปดาห์
    และจะเป็นปกติอัตโนมัติ เมื่อผ่านไป ๒ เดือน
    ให้เวลากับตรงนี้และเข้าใจธรรมชาติร่างกายไว้ด้วย

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  5. MStepnana

    MStepnana สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    ขอบพระคุณมากครับ คุณ nopphakan พี่มาทุกครั้งกระจ่างทุกครั้งเลย ขอบคุณครับ เดียวจะเอาไปปรับใช้ครับ
     
  6. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    บททดสอบกำลังใจ บางคนเจอก็เสียกำลังใจไปเลย
    แนะนำเลย เวลามีความคิดปรามาศเกิดขึ้น เราก็ขอขมาพระรัตนตรัย
    การขอขมานี่ดี เพราะทำให้เราคลาย มานะ ลงไปกว่าเดิม

    มานะ เป็นสิ่งที่ทำให้การปฎิบัติเนิ่นช้า ยิ่งคลายไปมากเท่าไร เราก็เร็วขึ้นเท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...