ขอให้สุขภาพแข็งแรงอายุยืนหมื่นๆปีฮับ เดินทางสะดวกครับ
มีคำทำนายภัยพิบัติ พระยาธรรมที่ท่านทั้งหลายคิดว่าเชื่อถือได้กันบ้างหรือเปล่า
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย zalievan, 24 กันยายน 2018.
หน้า 110 ของ 187
-
ส่วนเรื่องสอนอย่าเลยครับผมยังไม่ค่อยเก่งเลย ฮาๆ -
ค่ะ ถ้าเป็นคำสมมุติบัญญัติของคนไทย เราจะมองว่ารัก คือ กิเลสตัณหา มองว่าเมตตา คือรักบริสุทธิ์ เพราะเราติดยึดอยู่กับคำสมมุตินะค่ะ
แต่...ความรัก หรือ พลังงานแห่งรัก ที่กล่าวถึงนี้เป็นสากล ให้นัยยะหมายถึง จุดเริ่มต้นของการกำเนิดทุกสรรพสิ่งทั้งปวงล้วนมาจากความรักที่บริสุทธิ์ ต้องดำเนินไปตามนั้นในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด เช่นเดียวกันค่ะ
ท่านซัลลิลองมอบความรักหัวใจอันบริสุทธิ์ให้กับใครสักคนก็ได้ค่ะ แล้วจะรู้ว่าพลังที่หล่อเลี้ยงหัวใจว่าโลกนี้กับการเกิดมามีความหมายเป็นเช่นไร!
แล้วจะรู้ว่าการเกิดมาบนโลกนี้มีความหมาย ที่เป็นมิตรภาพที่อบอุ่นและมีคุณค่าในตนเองแห่งการเกิดมา เพราะทำให้เรารู้ว่าคุณค่าของชีวิตแห่งการเกิดหยั่งลงที่ตรงนี้ ตรงที่มีความรักและความปราถนาดีจริงใจห้แก่กัน ปรารถนาให้คนอื่นมีความสุข พ้นจากความทุกข์ มันสั่นสะเทือนเข้าไปในภายใน สุขลึกล้ำหาประมาณมิได้ และความรู้สึกของคนที่มีเมตตารักและปราถนาดีช่วยเหลือคนอื่นนั้น มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่หล่อเลี้ยงหัวใจของผู้ที่สัมผัสและรับรู้กันได้ ว่าพลังงานนี้คือ พลังของน้ำอมฤติที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้ชุ่มชื่น สุขล้ำในท่ามกลางกองไฟแห่งทุกข์ทั้งหลาย
กลั่นออกมายากมากค่ะ สัมผัสได้ถึงสองสามครั้ง และแต่ละครั้งก็ล้วนมาจากความรักและปราถนาดีให้คนอื่นมีความสุขพ้นจากทุกข์และการยินดีที่เห็นอื่นเขามีเมตตาจิตช่วยเหลือคนอื่นพ้นจากทุกข์ เราสัมผัสได้ถึงพลังงานนั้นสุขล้ำเกินบรรยาย และความสุขนั้นสามารถทำให้เราหมดตัวตนแผ่ไปทั่วจักรวาลได้ และผู้ที่สัมผัสพลังงานนี้ ในยุคกึ่งพุทธกาลนี้มิได้มีแค่ใครบางคนเท่านั้น เคยฟังธรรมของท่านพระอาจารย์ปราโมช ท่านเคยกล่าวเรื่องนี้ไว้ ถึงแม้จะไม่ขยายความมากผู้ที่เคยสัมผัสได้จะรู้ได้ทันทีว่าสิ่งกล่าวนั้นคืออะไร และสิ่งนี้แหละค่ะ คือคุณสมบัติของจิตวิญญาณที่นำเกิดมาทุกคน และเป็นคุณสมบัติของนิพพาน ที่ทรงตรัสไว้ว่า นิพพานเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง (นี้เป็นความเห็นของตนเองนะคะ เพราะเพียงแค่สัมผัสและเข้าใจตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เกี่ยวสภาวะนิพพาน คือ บรมสุขอย่างยิ่งที่มีสภาวะละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง คัมภีรภาพ นะค่ะ)
นิพพานบรมสุขถาวร ไม่กลับมาทุกข์อีก ที่ต่างจากโลกสมมุติบัญญัติสุขชั่วคราวไม่เที่ยงต้องวนเวียนรับสุขรับทุกข์
ตนเองอยากกล่าวเรื่องทุกคนล้วนมีเหตุเกิดค่ะ แต่เอาไว้ก่อน ถ้าใครรู้เรื่องนี้จะเข้าใจความรักความเป็นหนึ่งเดียวกัน การมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน การไม่แบ่งแยก และการเป็นหนึ่งเดียว (พลังงานความรัก) กันได้เป็นอย่างดี นี้คือ จุดกำเนิด จุดเริ่มต้น หรือเป้าหมายในการเกิดมาเป็นมนุษย์ค่ะ
-
เอาเป็นว่า ที่ผ่านมาผมแสวงหาคำตอบเพื่อเติมเต็มความไม่เข้าใจว่าผมเกิดมาทำไมอยู่น่ะครับ
แม้จะเจอแล้ว ก็นั่นแหละ ผมก็ยังชิงชังโลกใบนี้ในตอนนี้อยู่เหมือนเดิม = =
เรื่องความทุกข์นี่มันไม่เข้าใครออกใครหรอกครับ
สำหรับคนที่ไม่อยากทนอยุ่บนโลกใบนี้เลย มันทำได้ยากมากครับ
การทำใจให้ผ่องใสสำหรับผมมันยากเหลือเกิน
คนเราวาสนาไม่เหมือนกันน่ะนะครับ จะให้ทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ง่าย ๆ มันก็ยากหน่อย
การเกิดของคนบางคนมันก็ไม่มีความหมายหรอก
ถ้าเขาไม่ถูกรัก
แต่มันก็ยังมีวิธีอื่นที่จะสามารถทำให้ชีวิตตัวเองมีความหมายอยู่
ก็คือสร้างประโยน์ให้คนอื่นอย่างคุณจิตยิ้มว่าน่ะแหละ มันก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ทำ
แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่รู้จะทำอะไรให้ใครดี
เพราะผมไม่มีอะไรเลย
ไม่มีความสุขกับอะไรทั้งนั้น ห็นความสุขทางโลกแทบทุกอย่างเป็นเรื่องมายา
แต่ตัวเองก็ยังพึ่งความสุขทางโลกอยู่ เพราะมันก็ไม่รู้จะไปพึ่งอะไร ในเมื่อผมทำอะไรทางธรรมไม่ได้เลย
คงเพราะ
สะสมความคิดผิด ๆ โดยที่ไม่มีใครคอยประคองให้ไปในทางที่ถูก มานานเกินไป ตลอดมา ชีวิตผมมีแต่คำถาม ความมืดมน และความไม่เข้าใจ
ในเมื่อผมไม่มีอะไรเลยผมจะให้อะไรใครได้ล่ะครับ ความสุขทางโลกไม่มี
ความรู้ทางธรรมก็รู้แค่ระดับโลกีย์ สิ่งที่ผมมีก็แค่ ความรู้ผิด ๆ ถูก ๆ ของผมเท่านั้นเอง
หวังว่าเกิดชาติต่อ ๆ ไป จะมีปัญญากว่านี้
เข้าใจอะไรได้ง่ายและเร็วกว่านี้
ไม่อยากโง่อีกแล้ว
ชาตินี้กว่าจะเข้าใจอะไร ๆ ก็ช้านานเกิน
ทนอยู่ต่อ เรียนรู้ไป... -
รอบนี้ผมจะกล่าวถึง "สมมุติบัญญัติและกล่าวธรรมตามสติและปัญญาของผู้ฟัง"
ศัพท์ทางพลังงานทั้งหมดผู้ที่ "เข้าใจมันมีเพียงผู้ที่รู้เนื้อของสภาวะ และ นักวิทยาศาสตร์" เท่านั้นส่วนผู้อื่น "ได้แค่มโนตาม"
ดังนั้นแล้วผู้อ่าน "ทุกคนเป็นคนที่รู้จักศาสนาพุทธ เพราะนี่คือเว็บพุทธศาสนา" ดังนั้นการใช้ภาษาบาลีย่อมทำได้ แต่ "ผู้อ่านบางคนก็ไม่รู้บาลี" ดังนั้นภาษาที่ครอบคลุมคือ "ภาษาชาวบ้าน" นี่คือหลักการใช้ภาษาของผมลองสังเกตุดูนะครับ แล้วลองสังเกตุการใช้ภาษาของคุณดูนะครับ ว่า "ผู้อ่านส่วนมากเข้าใจหรือไม่"
และการโพสท์ของผมจะเป็นการ "ตอบข้อสงสัย และ วิธีทำ" ลองสังเกตุดูครับ แต่ขณะที่ "หลายๆคน" เป็นทฤษฏีเพราะ "ผู้อ่านทำตามไม่ได้" ดังนั้นจึงทำให้เขา "มโนตาม" ซึ่งถ้าบางเรื่องที่เสนอไป "หากมันผิดและมารู้ในภายหลัง" ย่อมยึดติดและไม่รับฟัง นี่แหละข้อเสียของการ โพสท์ "สมมุติฐาน"(ต่อให้เป็นความจริงแต่ไม่มีวิธีทำ/ตรวจสอบอยู่ดี)
ดังนั้นแล้วกรรมจากการโพสท์สมมุติฐานคือ "การปิดมรรคตนและผู้อื่น" เพราะทำให้เขามโนตามและเราก็ปักใจเชื่อในมโนไปแล้ว ดังนั้นหากคุยเล่นๆไม่ว่ากัน แต่หากจะทำ "ธรรมทาน" ให้ระวังการโพสท์ให้มากๆนะครับ -
เคย "ทำอะไรก็ผิดไปหมด" บ้างมั้ยล่ะครับ
นั่นแหละ คำจัดความสั้น ๆ ของชีวิตผม -
และการกำหนดจิตทั้งหมดก่อนจะเกิดมันจะเกิดเป็น "กริยาจิต" ก่อนจะเพ่งไปที่มัน "กริยาจิตมีจุดเริ่มที่ลิ้นปี่" ซึ่งกริยาจิตเป็นตัวกำหนด "การกระทำ และการคิด" ทั้งหมด เมื่อมันกระพริบแสดงว่า อาการ"เพ่ง/ยึด หรือ ปรุงแต่ง"ย่อมเกิดขึ้นแล้ว
ทดสอบโดยการรู้สึกตัวและคิดจะพบว่ามีอะไรกระพริบกระเพื่อมตรงลิ้นปี่ พุ่งขึ้นมาที่ อัตตาจิต "มันนี่แหละกิเลศ" และมันนี่แหละ "ตัวปรุงแต่ง" นะครับ -
สมัยก่อนผมไม่ได้ศึกษาธรรมมะจริงจังอย่างทุกวันนี้หรอกครับ
ถึงแม้สมัยนี้ ผมก็ยังศึกษาเน้นการทำความเข้าใจธรรมดาระดับโลกีย์มากกว่าการปฏิบัติ
เพราะผมอยากหาคำตอบให้กับการมโนของผมมากกว่า
เพราะผมเชื่อว่า คำตอบ ถ้าหาดี ๆ (อย่างมีหลัก) มันเจอแน่นอน
ใช้คำว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยนี่แหละครับ เป็นหลัก
นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ ผมโตมาโดยมีความคิดติดหัวว่า ผมต้องการคำตอบมาโดยตลอด
คำตอบมันไม่เกินหลักอิทัปปัจจยตาหรอก
เพียงแต่ต้องหาคำตอบในมุมมองของบุคคลที่สามถึงเจอ มองในมุมมองตัวกูของกู มึงมาอย่างโน้นอย่างนี้กับกูทำไม มันไม่จบ
ปุถุชนต้องการคำตอบที่ตนรู้แล้วสบายใจ กระจ่าง ไม่มีอะไรค้างคา
การก้าวข้ามคำตอบไปเลยโดยไม่หลงไปคิดหาคำตอบทำได้เฉพาะคนที่ฝึกมาดีแล้วครับ
นักปฏิบัติส่วนใหญ่ จะหวังดีกับผู้ปฏิบัติรุ่นน้องโดยการบอกวิธีที่ตนทำได้ในปัจจุบันไป
แต่ผมไม่รู้นะว่าก่อนที่พวกท่านเหล่านั้นทำได้อย่างที่พวกท่านเหล่านั้นสอนคนอื่นท่านผ่านอะไรมาบ้าง
แต่ส่วนตัวผม ห้ามตัวเองไมได้
ไม่รู้เพราะสมองพิการหรืออย่างไร
ในเมื่อห้ามตัวเองไม่ให้คิดไม่ได้ สิ่งที่ผมพอจะทำได้ก็คือ การหาคำคอบที่ตัวเองจะยอมรับได้ และสามารถที่จะทำให้ตัวเองปล่อยวางความทุกข์ได้มาให้ตัวเองแทน
จะได้เลิกคิดเรื่องนั้น ๆ เสียที
ก็ได้ผลนะ มีเลิกคิดไปหลายเรื่องแล้วครับ
ส่วนที่ยังคิดอยู่ ก็มีปัจจัยซับซ้อนมากหน่อย ให้แกะให้ไขเพียบ
อนุโมทนาสำหรับคนที่ปฏิบัติโดยก้าวข้ามการคิดหาคำตอบให้กับความทุกข์ได้
ผู้ยังทำไม่ได้อย่างผม เพราะรู้สึกว่าความทุกข์มันบีบคั้นจนยากที่จะทนไหวมันก็ยังต้องอาศัยการคิดเพื่อหาคำตอบให้กับความทุกข์อยู่นั่นแหละ -
ที่นี่ไม่มีอะไรผิด หรือถูก มีแค่การเรียนรู้ทุกประสบการณ์ครับผม
เรียนรู้เพื่อค้นพบจุดที่มีความสุขของตัวคุณครับ..
เคยได้ยินคำนี้มั้ยครับ
"ค้นหาตัวเองให้เจอ"
คำๆนี้ สำคัญนะครับ
เพราะเมื่อไหร่ที่เราค้นหาตัวเราเองเจอ
จะไม่มีความลังเล สงสัยกับสิ่งไดๆ ในโลกภายนอกเลยคับ
และจะ ค้นพบจากภายในตัวเองว่าความสุขที่แท้จริงของตัวเรานั้นคืออะไร..
และจะเกิดเป้าหมายในชีวิตของเรา
และจะรู้หน้าที่ของเราว่า.. เราเกิดมามีหน้าที่เพื่ออะไร..
ผมค้นพบแล้วเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ครับ..
แต่ทุกๆคนที่มาแชร์ให้คุณฟัง เพื่อคำว่าแนะนำเท่านั้นครับ..
สุดท้ายแล้ว ตัวคุณเท่านั้น ที่จะต้องค้นหา"ตัวเองให้เจอ"
แล้วจะเคลียทุกๆอย่างในชีวิตของคุณครับ
ไม่มีข้อสงสัยไดๆ
และรู้ความสุข และหน้าที่ของตัวเองในการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ครับ..
จิตรใจคุณ จะมีความเชื่อมั่น ค้นพบความสุขที่แท้จริงของตนเอง ไม่มีความลังเลสัยสัยไดคับ
:):p:D
-
การกระทำที่หาเหตุสำหรับคิดไม่ได้เพราะ "เราไม่รู้เขามโนอะไรและทำอย่างงั้นทำไมถ้าไม่มีเจโตปริยญาณ(รู้ถึงกริยาจิตของผู้อื่น) ซึ่งการเรียนรู้เกี่ยวกับกรรมนั้นต้อง รู้ "อัตตาจิต" และธรรมารมณ์(อารมณ์) ของอัตตาจิต" ซึ่งเรียกรวมว่า "รู้สึกจิต" ด้วยผสมกันไปจึงจะรู้
ส่วนโลกวิสัย นั้นสำหรับภูมิมนุษย์หากผู้ใดทำ "ความรู้สึกตัว" ได้ให้ลองทำฌาน หรือ ลองทุกข์ดู จะพบว่า เมื่อถอนจิตจากสภาวะนั้นๆแล้ว ความรู้สึกตัวและรู้สึกจิต จะกลับมาสมดุลกับโลก เพราะ"สังขารขันธ์มันดึงไว้" นะครับ -
การหาคำตอบให้ความทุกข์ของผมผมใช้วิธีสืบสาวหาเหตุปัจจัยมากกว่าครับ
ความคิดในการหาทางเข้าใจโลกตอนนี้ผมเลย ใช้วิธี มองด้วยการเทียบกับหลักอิทัปปัจยตามากกว่า
ก็ไม่รู้หรอกว่าถูกหรือผิด แต่วิธีนี้มันก็ช่วยผมหลายครั้งแล้ว -
ส่วน...สิ่งนี้ ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า
ซึ่งการเรียนรู้เกี่ยวกับกรรมนั้นต้อง รู้ "อัตตาจิต" และธรรมารมณ์(อารมณ์) ของอัตตาจิต" ซึ่งเรียกรวมว่า "รู้สึกจิต" ด้วยผสมกันไปจึงจะรู้
จิตยิ้มรู้ภายในตนเองได้อย่างชัดเจน และไร้เจตนาในการรู้ด้วยค่ะ แม้แต่ยังไม่ทันจะเป็นตัวคิด แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะออกมาเป็นตัวคิดคืออะไร คือรู้ก่อนที่จะเป็นตัวคิดออกมา ว่าจะคิดอะไรนะค่ะ เพียงแต่ว่ารู้แต่ตนเองยังไม่รู้ผู้อื่นเท่านั้นเอง -
-
และเรา "แก้เหตุปัจจัยภายนอกไม่ได้" มันมาของมันเอง ดังนั้นต้องแก้ที่ภายในเท่านั้น -
ส่วนใหญ่ผมจะพิจารณาปัญหาที่มันเกิดกับผมว่ามันเป็นธรรมดายังไง พอรู้ว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดาแล้วก็วางน่ะครับ
ส่วนปัญหาที่แก้ไม่ตกมันก็มี
แต่ผมก็อยู่ ๆ ไปทั้ง ๆ ที่แก้มันไม่ตกนี่แหละ
อยู่แบบจำยอมรับสภาพเอา -
-
ก็เรามีเท่านี้ เขาคิดว่าเรามีมากกว่านี้ แต่เราก็มีอยู่เท่านี้ เราก็ทำมันเท่านี้แหละ
เราอยากทำสิ่งที่เราทำได้เขาก็ไม่ให้ทำ
เขาไม่ยอมรับฟังปัญหาของเราสักครั้งนี่เนาะ -
ส่วน "เราก็มีอยู่เท่านี้นั้นแต่เขาคิดว่าเรามีมากกว่านี้นั้น" มนุษย์ย่อมเกิดมามีสองแขนสองขา อัตตาจิต 1 กายเวทนา 1 กายจิต 1 เท่ากันทั้งหมด ดังนั้นไม่มีใครแตกต่างกัน ต่างกันตรงที่ "กรรม" เท่านั้น
ผู้ที่ไม่ยอมออกจากทุกข์ด้วยบางสิ่งรั้งไว้คือ "อัตตา" และ "มโน" และ "อวิชชา" เป็นส่วนประกอบ
อัตตา = ชอบดูชอบยึดเพ่ง
มโน = ชอบคิดเชื่อในสิ่งที่คิดทั้งๆที่ความจริงคือไม่รู้
อวิชชา = คือขาดสติไม่รู้ตัวและตนไม่รู้กริยาจิต
"และเขาไม่ยอมรับฟังปัญหาของเรา" นั้นก็ต้องดูให้ดีว่า "เขาไม่รับฟัง"(คือไม่สนใจหรือไม่เชื่อหรือไม่ยอมรับ) หรือ "เขาฟังแต่เราไม่ฟังเอง" กันแน่ หรือ "เขาฟังเราฟังแต่เราทำตามไม่ได้เพราะเรายึดถือบางสิ่งกันแน่"
หากเป็นกรณีแรก "ให้ไม่ต้องคุย" แต่กรณีสองคือ "หลงในมโนหรือหลงในอัตตา" ของตนเองนั่นแหละ ส่วนกรณีสามคือ "หาเหตุ(ตามจริง)ไม่เจออาจจะด้วย ขาดสติ หรือหลงหรืออะไรก็ตามแต่" หากเป็นกรณีนี้ต้องเร่งความเพียร "เพราะเวลาไม่คอยใคร คนตายกันทุกวัน ควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด และ เป็นประโยชน์ นะครับ"
ฝากไว้พิจารณานะครับ -
555 ไม่คุยไม่ได้หรอกครับ เขาเป็นคนที่ผมจะต้องเจอ
-
เขาไม่เคยให้โอกาสกับความผิดพลาดเลย
หน้า 110 ของ 187