ชื่อกระทู้ก็ตรงดี ทางเจริญปัญญา..
ฤดูนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวพอดี..
โลกใบนี้ก็เปรียบเหมือนไร่นาของผู้ต้องการสร้างบารมี..
มี สติรู้พร้อม อยู่กับความคิด ในขณะปัจจุบันนั้น นี่คือ จิต เดิน วิปัสนา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปราบเทวดา, 5 ธันวาคม 2019.
หน้า 6 ของ 24
-
-
อีกเรื่องนึง..เราสงสัยมานานเป็นปีละ พวกท่านหลายคนมีอภิญญาหรือเปล่า(โดยเฉพาะท่าน) เหมือนพวกท่านรู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา หรือบางครั้งเราก็เห็นธรรมในธรรมที่พวกท่านสื่อถึงเรา.. -
รักพ่อ รักแม่ ต้อง หางานทำ
อย่าปล่อยให้ จิต เมา กะปิยับ -
วิบากจากการฆ่าสัตว์ล่ะมั้ง..
ถ้างานรับจ้างเล็กน้อยแถวบ้านอันนั้นพอทำได้อยู่ -
ไม่ต้องถามนะว่าให้ตอนไหน.. -
หากจะขอความกรุณาทุกท่าน ขออนุญาติทุกท่าน ขอร่วมสนทนาด้วยได้ไหม
-
-
-
-
คือ สัมมาสมาธิ จะเกิดได้ต่อเมื่อสติแก่รอบนะครับ
นั่น คือ สัมมาสติ (สติสัมโพฌชง)
การเจริญสติจนกลายเป็นพ้นเจตนาขึ้นจะทำให้ สติ หรือ สัมมาสติได้เกิดขึ้น
และเมื่อเพียร จน สัมมาสติเกิดขึ้นได้ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ และซ้ำ ซ้ำ
ความแก่รอบ ของสัมมาสติตรงนี้ จะทำให้ สัมมาสมาธิเกิดขึ้น แล้วปัญญา จะตามมาเองครับ
อันนี้เป็นลำดับ ของ มรรค 8
มรรค ข้อที่ 1 2 3 4 5 6 เป็นเจตนาในการทำ เจตนาในการทำความดี แต่ผลที่เกิดขึ้น
จะพ้นความดี โดยมีสติเป็นตัวแรก(มรรค ข้อที่ึ7)
ที่บ่งบอกว่าพ้นเจตนา พ้นกรรม และข้อที่8 จะตามมาอัตโนมัติ(สัมมาสมาธิ)
คือจะพูดง่ายๆว่า ได้เพียรจน สัมมาสติได้เกิดขึ้นได้สักครั้ง
และ เพียรต่อให้เกิดขึ้นได้ อย่างซ้ำๆ ซ้ำ
สัมมาสมาธิ ปัญญา จะตามมาเองอัตโนมัติ -
ส่วนปัญญานั้นไม่ได้เจริญตาม ปัญญาถือว่าเป็นคนละส่วน ปัญญาคือการพิจารณาให้เห็นแจ้ง โดยน้อมจิตเข้าไปหา โดยจิตนั้น ต้องมี "สัมมาสติ" และ "สัมมาสมาธิ" โดยสตินั้นจะเป็นผู้ "รู้"และ"ตื่น" นั้นคือ ปัญญา โดยแท้จริง -
"และเมื่อเพียร จน สัมมาสติเกิดขึ้นได้ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ และซ้ำ ซ้ำ
ความแก่รอบ ของสัมมาสติตรงนี้ จะทำให้ สัมมาสมาธิเกิดขึ้น แล้วปัญญา จะตามมาเองครับ"
ข้อนี้ขอแย้ง "สัมมาสมาธิ" นั้นเกิดจากการฝึกสมาธิได้อย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากสมาธินั้นเป็นนามธรรม ไม่สามารถรู้ด้วยตัวเองได้ ต้องอาศัย "สติ" ประคองสมาธิไว้ สติธรรมดาที่ไม่ใช่ "สัมมาสติ" ก็สามารถประคอง "สมาธิ" ไว้ได้
แต่เหตุในการเกิด "สัมมาสติ" นั้น หมายถึงการพิจารณาให้เห็นถูกในสติปัฏฐาน 4 หมายถึง กายที่ถูกซ้อนโดยกายละเอียดและกายหยาบเป็นเหตุแห่งอุปาทาน เวทนาที่เป็นเครื่องผูกมัดให้ยึดติดและเป็นเหตุแห่งที่มาและที่ไปในวัฏะนี้ จิตนี้ที่ถูกทำให้หมองโดยกิเลสตัณหามาอย่างยาวนานเป็นเหตุให้หลงติดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ธรรมที่เป็นธรรมดาของผู้ที่วนเวียนในวัฏนี้ที่จะเป็นไปตามที่กล่าวมาข้างต้น หากสติ "ตื่น" เพราะแจ้งว่า "จริง" ในหลักสติปัฏฐานนี้จึงถือว่าเป็น "สัมมาสติ" โดยแท้จริง
"มรรค ข้อที่ 1 2 3 4 5 6 เป็นเจตนาในการทำ เจตนาในการทำความดี แต่ผลที่เกิดขึ้น
จะพ้นความดี โดยมีสติเป็นตัวแรก(มรรค ข้อที่ึ7)
ที่บ่งบอกว่าพ้นเจตนา พ้นกรรม และข้อที่8 จะตามมาอัตโนมัติ(สัมมาสมาธิ)"
ด้วยเหตุที่ มรรค 8 ยังไม่สมบูรณ์ และยังไม่เสร็จกิจในการ "วิปัสสนา" ไม่มีสิ่งใดพ้นไปได้ เจตนาใดก็ไม่อาจพ้นได้ ถึงแม้ไม่มีเจตนาก็ไม่อาจพ้นเช่นกัน -
สมาธิแบบที่หนึ่งเรียกว่า สมาธิแบบฤษี บาลี เรียก อารัมมนูปนิชฌาน
อย่างที่คุณเอ่ยมานั่นแหล่ะ เรียกว่าสมาธิแบบฤษี
อย่างที่ยกมาในกระทู้ที่คุณตั้ง อันนั้น สมาธิแบบฤษีล้วนๆ ยังไม่ก้าวข้าม ความพ้นเจตนา
ต้องอัดแน้นเข้าไปอีก จนพ้น เรียกว่า เกิดความเป็นเองขึ้น โดยจะมี สติที่พ้นเจตนาเป็นผู้นำ
พอพบสติที่พ้นเจตนาเป็นผู้นำ มีสติเป็นผู้นำจิต
มันจึงจะเข้าแก้ป สมาธิแบบที่สอง
เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน อันนี้คือ สมาธิในทางพุธ
เป็น สมาธิ ที่มีสติครอง ทุกลำดับขั้นของฌาน
การเข้าสู่ภาวนาขั้นปรมัตถ มันจึงระเริ่มเกิดขึ้นตรงนี้
จะไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง มีแต่จิต เจตสิก ล้วนๆ ย่อลงก้เหลือแต่แค่ เกิด ดับ เกิด ดับ
ที่จิตจะเป็นผู้กำหนดรู้เอง ไม่มีเราเข้าไปเกี่ยว
การถ่ายถอนกิเลส มันจึงเริ่มเกิดขึ้น ยิ่งถ้าสัมมาสติสติแก่รอบ
สัมมาสมาธิก็แก่รอบตาม ปัญญาก็ตามมาเองติดๆ
การบ่มปัญญา วิปัสนาญาน ก็จะบ่มโดยลำดับ ด้วยการที่จิตกำหนดรู้ลง
ที่เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ มีแต่เพียงเท่านี้ ไม่มีสมมุบัญญัติใดจะเรียก
การเกิดโดยลำดับของ อริยมรรค จะเป็นอัญญะมัญญะต่อเนื่องสืบต่อกันโดยปริยาย
เหมือน ตัวเทียน ใส้เทียน เปลวไฟ แสงสว่าง
มีเปลวไฟ ย่อมมีแสงสว่างโดยไม่ต้องเรียก
เปรียบกับ สัมมาสติ กับ สัมมาสมาธิ
เปลวไฟยิ่งแรง แสงสว่างก็แรงตาม
สัมมาสติยิ่งแรง สัมมาสมาธิก็แรงตาม อัตโนมัติ
ธรรมฝ่ายนี้ พ้นเจตนาทั้งสิ้น จะเรียกว่า ธรรม ขั้น สังขาร ที่เป็นวิสังขาร
ฉะนั้น การละกิเลสถ่ายถอนกิเลส จะไม่สามารถจะทำได้โดยเจตนา
จะทำได้ก็ต่อเมื่อพ้นเจตนาคือ พ้นความเป็นเราเข้าไปภาวนา
มีแต่จิตเข้าไปภาวนาล้วนๆ -
หรือไม่ก็รอคนมาชี้ประตูทางเข้าให้เพราะไม่แน่ใจจะเข้าประตูไหนดี.. -
สัมมาสมาธิ ผมขอเรียกว่า ความตั้งจิตชอบ...
สัมมาสมาธิ เป็นที่สุดท้าย หากรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
โดยปกติคนเรามันจะเบื่อหน่าย มีอาการทำงาน ทำงานเหมือนไม่ค่อยเต็มที่มากนัก เพราะเหตุต่างๆมากมายก็คือ ความไม่รู้ทุกขอริยสัจ เป็นอาการ เป็นพฤติกรรม เป็นกิริยา เป็นเหตุของความปกปิด ความไม่เข้าใจ
ทุกข์อริยสัจ เป็นสิ่งประเสริฐ เป็นสิ่งควรรู้
เมื่อก่อน เวลาผมทำงาน มีอาการ ไม่รู้อะไร ทุกข์อริยสัจ ปรากฏที่ใจเป็นบางครั้งบางคราว คล้ายๆว่า ทุกข์เป็นจุดตั้งต้นแห่งการเจริญมรรคมีองศ์ 8
ยิ่งมีความเป็นเรามากเท่าไร ทุกข์ก็จะปรากฏรุนแรงเท่านั้น
ส่งจิตออกนอกเป็นทุกข์ คำกล่าวหลวงปู่ดูลย์ เป็นปัญญาหมดจดเข้าใจแจ่มแจ้งอริยสัจ
จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต ย่อมส่งออกนอกเพื่อรับอารมณ์นั้น ๆ โดยธรรมชาติของมันเอง ก็แต่ว่าถ้าจิตส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว จิตเกิดหวั่นไหวหรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น เป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตหวั่นไหวหรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น ๆ เป็นทุกข์ ถ้าจิตที่ส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว แต่ไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น ๆ มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรคผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อม เพราะมีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ส่งออกนอก จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม จบอริยสัจจ์ ๔” -
ตามเป็นจริง เรายึดหลัก หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ไม่ได้เต็มร้อยมากนัก
แต่สภาพตามเป็นจริง ของความเป็น นี้แหละ ที่อาศัยกัน เป็นพอที่ระลึกถึงกัน ตามสภาพตามเป็นจริง เป็นองศ์แห่งการเรียนรู้
ในพระธรรมวินัยนี้ แล จะเป็นศาสดาพวกเธอทั้งหลาย -
แต่ทั้งหมดที่ท่านบอกมาเพิ่งจะใช้โปรแกรมแปลเป็นเมื่อตะกี๊.. -
ด้วยความเคารพ หากท่านยังยึดติดอยู่ใน ฌาน นี้ ท่านจะไม่พบคำตอบใด มีแต่จะเป็นทุกข์ -
บางอย่าง การได้ฟังเทศน์ฟังธรรมจากครูอาจารย์
ก็จะทำให้เห็น สิ่งที่เป็นข้อสังเกตุได้เพิ่มขึ้น
เพื่อพัฒนาในลำดับต่อไปครับ -
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
อ่ะอื๊มๆ เพราะองค์ประกอบของการทำสมาธิเนี๊ยะ
ในเมื่อสมาธิเริ่มเกิดขึ้นเท่านั้นแหล่ะ กายก็เบา จิตก็เบา
ถ้าสมาธิอันใด
เมื่อเรานั่งสมาธิอยู่ตลอดคืนยั่นรุ่ง ตลอดวันย่ำค่ำ
ในเมื่อออกจากสมาธิมาแล้ว เมื่อย
ยังกับวิ่งมาตั้งหลายกิโลเนี๊ยะ ๆ
มันใช้ไม่ได้ ออกมาแล้วต้องเบา
นั่งสมาธิไปดูนรก ดูสวรรค์อะไรพวกหมู่เนี๊ยะ
อยู่ในลักษณะของการสะกดจิต
การสะกดจิตมีหลายแบบ
สะกดด้วยคาถาอาคม
สะกดด้วยอาถรรของวิชา
ถ้าอยากเดิน อยากจะเป็นนักสมาธิที่ถูกต้องอย่างดีนั้น
เวลาเรียนสมาธิอย่าไปขึ้นครูกรรมฐาน
ถ้าขืนไปขึ้นครูกรรมฐานแล้ว
จะมีอาถรร ครอบเหมือนกันกับเรียนมนต์ไสยศาสตร์
ภาวนาแล้ว จิตจะไม่เป็นตัวของตัว
คล้ายๆกับถูกอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่ง ข่มรู้ไป
อย่างเวลานี้ที่โคราชเค้ามีอีกสายหนึ่ง เค้าเรียกว่า สายสัญญา
พอไปขึ้นครูแล้วก็ลงอักขระบนกระหม่อม มีการสวดยัตติ
ไปภาวนาแล้วก็เมื่อจิตสงบเคลิ้มๆลงไป
เหมือนๆกับ มีสิ่งมาบีบหัวใจ ดึงหัวใจไป
นี่แสดงว่าจิตไม่เป็นไปโดยอิสระของตัวเอง
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
และอารมณ์ของกรรมฐานที่เราใช้เป็นคู่ของใจเนี๊ยะ
เป็นแต่เพียงเป็นสื่อ สิ่งนั้นไม่ใช่ สิ่งที่มีอำนาจเหนือจิต
เช่นอย่าง พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ
ก็เป็นแต่เพียงสื่อ เป็นเหยื่อล่อจิตให้อยู่กับสิ่งนั้นได้มากๆเท่านั้นเอง
ทีนี้
เมื่อจิตมันอยู่ที่ของมันแล้ว เป็นตัวของตัวเองแล้ว
เค้าก็ไม่ต้องไปพึงพาอาศัยใคร
เค้าจะไปเหนือล่องใต้ เค้าก็ไปโดยลำพังของเค้าเอง
ถ้าจิตของเค้ามีที่พึ่งมีที่อาศัยอยู่แล้ว
อันนั้นมันยังไม่ถึงขั้นแห่งความเป็นจริง
อ่าในการ บรรยาย อาตมา ได้ออกตัวไว้แล้วว่า
เรื่องมโนมยิทธิเนี๊ยะ ยังไม่เข้าใจ
ยังไม่ชำนิชำนาญ
แต่จะเอาประสบประการณ์ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจมาเล่าสู่กัน
บางทีอาจจะพอเปรียบเทียบกันได้บ้าง
เช่น
ในบ้างครั้ง เมื่อนั่งสมาธิเข้าไปแล้ว
เมื่อจิตสงบนิ่งลงเป็นสมาธิ
ในขณะที่ กระแสจิตยังส่งออกไปข้างนอกได้อยู่
ในบางครั้งก็ส่งกระแสจิตไป ไปดูโน้น ดูนี่
แต่ในลักษณะที่ส่งกระแสจิตไปนั้น
ไม่ได้ปรากฎว่า ตัว คือร่างกายนี่ไปด้วย ไปแต่ความรู้สึก
ทีนี้
กระแสของจิตนั้นมันไปถึงที่ไหน
มันก็ไปเกิดสว่างอยู่ในบริเวณนั้น
อะไรที่มีอยู่ในที่นั่น มันมองเห็นได้หมด
บางครั้งเผลอ เผลอ มันวิ่งเข้าไปตรวจดูในบ้าน ในช่องคน
ว่าเค้าจะนอนกันอยู่อย่างไร อย่างนี้มันก็เคยมี น่า..
เสร็จแล้วมันก็ไปเห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านคน
เค้ามีอะไร อะไรก็เห็นหมด แต่ว่าตัวไม่ได้เดินไปด้วย
อันนี้ก็พอนึกว่า พอเปรียบเทียบได้ละมั้ง
ว่า คือ มโนมยิทธิ ส่วนหนึ่งเหมือนกัน
แต่มโนมยิทธิ ชนิดที่ว่า ไปดูนรก ดูสวรรค์เนี๊ยะ
ถ้าใครทำได้แล้ว ก็จะถือว่าเป็นมโนมยิทธิ
ก็พอที่จะเป็นเครื่องเปรียบเทียบได้
เป็นแนวทางได้
เมื่อผู้ทำได้นั้น ฝึกชำนิชำนาญขึ้นมาแล้ว
จิตของเค้าก็อาจจะพ้นจากภาวะที่ถูก สะกดไปเอง
แล้วจะกลายความเป็น เป็น เป็น
เป็นสมรรถภาพของจิตที่ฝึกชำนิชำนาญแล้ว
เช่น
อย่างการภาวนาเนี๊ยะ อื๊มๆ จะภาวนาแบบไหนก็ตาม
ถ้า อาจารย์สามารถสะกดจิตของลูกศิษย์ให้ดำเนินตามองค์ฌานได้
มันก็เป็น ปัจจัยให้ผู้ปฏิบัตินั้น เกิดความศรัทธาเชื่อมั่น แล้วอยากทำ
แม้ สิ่งนั้นจะเป็นไป โดยถูกอำนาจสิ่งหนึ่งบังคับไปก็ตาม
แต่
ปัญหาสำคัญ
ขอให้ผู้นำนั้น นำลูกศิษย์ไปในทางที่ถูกต้อง
เมื่อถูกบังคับ ถูกนำ บ่อยๆเข้า
ความชินชำนาญในการปฏิบัติมันก็ค่อยเกิดขึ้นมาเอง
เพราะ
พลังจิตของผู้ภาวนานั้น
ก็จะเริ่มเป็นตัวของตัวขึ้นมาทีละน้อย ละน้อย
แล้วในที่สุดจะเป็นจิตที่เป็นอิสระ
สามารถปฏิวัติตัวไปสู่ ภูมิจิตภูมธรรมได้
(อ่านต่อตอนสุดท้ายตอนต่อไป)
อ่านต่อที่นี่ https://palungjit.org/threads/การทำสมาธิแบบพระอาจารย์เสาร์-หลวงปู่พุธ-ฐานิโย.334258/page-4
หน้า 6 ของ 24