อาบติ แปลว่า ต้อง
ดังนั้น หากจะรักษาศีล กันจริง ๆ
รักษาให้ได้กันจริง ๆ ไม่ต้องอาบัติเลย
ก็คือ ไม่ต้อง
ไม่ต้อง ไม่ข้องแวะ กับ สรรพสิ่ง ปล่อยให้มันเป็นไป ตามธรรมชาติ
ศีลนี้ จึง คลุม ทั้ง กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมไปพร้อมกัน
นี่จึงเรียกว่า การรักษาศีล ที่บริสุทธิ์ที่สุด
โดย ปรมัตถธรรม[/QUOTE]
ขออภัย พระคุณเจ้า ไปเรียนมาจากสำนักไหนหรือครับ
ที่ว่า อาบัติแปลว่าต้อง (พิมคำว่าอาบัติก็ผิดสติเล็กๆน้อยๆหายไปไหนครับ)
ตามพระบาลี ตามพระไตรปิฏก อาบัติ แปลว่า บาป หรือความชั่ว
แปลตามตรงก็คือ พระ หรือนับวช ได้กระทำความผิด หรือกระทำบาป
ก็คือล่วงละเมิด พระวินัยสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าได้บัญยัติ หรือตั้งเป็นกฏข้อห้าม
เมื่อได้ทำความผิด หรือ ทำบาปแล้ว ก็ต้องแสดงบาป หรือแสดงอาบัติ
ที่ตนเองได้กระทำลงไป ประกาศไห้หมู่สงฆ์ได้รับรู้ ว่าตนเองได้ทำ
ความชั่ว หรือทำบาปอะไรมาบ้าง แสดงอาบัติ ก็คือสารภาพผิด
แล้วก็ประกาศว่า จะไม่ทำความผิด แบบนั้นอีก กล่าววาจา ยืนยัน
สามครั้งด้วยกัน
ในโลกนี้ ไม่มีนะขอรับ อาบัติ ที่แปลว่า ต้อง
หรืออาจจะมาจากนอกโลก เสียแล้วกระมั้ง
แนะนำไห้ค้นคว้า จากมหาลัยสงฆ์จุฬาลงการณ์
หรือหมวดคำศัพท์พระบาลีที่ว่าด้วย อาบัติ แปลว่าอะไร
กราบนมัสการเป็นอย่างสูงสุดณที่นี้
(อย่าคิดเอาเอง หรือนั่งเทียนเอาเอง หรือนั่งหลับตาคิดเอาเอง
หลักฐานในเชิงไวยกรณ์ ตัวหนังสือยังมีอยู่ ยังไม่ได้หายไปไหน)
ยินดีช่วยเหลือ แก้ไขทุกปัญหา ทุกสภาวะอารมณ์ ของ วิปัสสนากรรมฐาน
ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย pra_TopSecret, 1 สิงหาคม 2010.
หน้า 5 ของ 9
-
-
จากข้อที่ 4
มหาสติเกิดขึ้นจากการไม่รักษาสติ แล้วก็ปลงสติ...
ปฏิบัติอย่างไรครับ.... -
ปลงอาบัติที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องปลง
รักษาศีลที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องรักษา
การทำลายกิเลสที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องทำลาย
การควบคุมจิตที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องควบคุม
การสร้าง สติ สมาธิ ฌาน ญาณ ปัญญา ที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องสร้าง
การดับ ที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องดับ
การ รู้ ที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องรู้อะไรเลย
การแสวงหาที่ดีที่สุด คือ ไม่หา
การตั้งจุดหมายที่ดีที่สุด คือ ไม่ตั้ง
การเชื่อที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องเชื่อ
[ame=http://www.youtube.com/watch?v=z6_Pyvku0Yg]YouTube - สบายกว่ากันเยอะ[/ame] -
ขออภัย พระคุณเจ้า ไปเรียนมาจากสำนักไหนหรือครับ
ที่ว่า อาบัติแปลว่าต้อง (พิมคำว่าอาบัติก็ผิดสติเล็กๆน้อยๆหายไปไหนครับ)
ตามพระบาลี ตามพระไตรปิฏก อาบัติ แปลว่า บาป หรือความชั่ว
แปลตามตรงก็คือ พระ หรือนับวช ได้กระทำความผิด หรือกระทำบาป
ก็คือล่วงละเมิด พระวินัยสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าได้บัญยัติ หรือตั้งเป็นกฏข้อห้าม
เมื่อได้ทำความผิด หรือ ทำบาปแล้ว ก็ต้องแสดงบาป หรือแสดงอาบัติ
ที่ตนเองได้กระทำลงไป ประกาศไห้หมู่สงฆ์ได้รับรู้ ว่าตนเองได้ทำ
ความชั่ว หรือทำบาปอะไรมาบ้าง แสดงอาบัติ ก็คือสารภาพผิด
แล้วก็ประกาศว่า จะไม่ทำความผิด แบบนั้นอีก กล่าววาจา ยืนยัน
สามครั้งด้วยกัน
ในโลกนี้ ไม่มีนะขอรับ อาบัติ ที่แปลว่า ต้อง
หรืออาจจะมาจากนอกโลก เสียแล้วกระมั้ง
แนะนำไห้ค้นคว้า จากมหาลัยสงฆ์จุฬาลงการณ์
หรือหมวดคำศัพท์พระบาลีที่ว่าด้วย อาบัติ แปลว่าอะไร
กราบนมัสการเป็นอย่างสูงสุดณที่นี้
(อย่าคิดเอาเอง หรือนั่งเทียนเอาเอง หรือนั่งหลับตาคิดเอาเอง
หลักฐานในเชิงไวยกรณ์ ตัวหนังสือยังมีอยู่ ยังไม่ได้หายไปไหน)[/QUOTE]
ไร้ศาสนา ไร้ลัทธิ ไร้นิกาย ไร้สำนัก ไร้ที่มา ไร้ที่ไป
จากมหาลัยสงฆ์จุฬาลงการณ์
เรียกชื่อมาหวิทยาลัยเค้า ก็ยังเรียกผิด
มั่ววววว...
แล้ว คิดว่า คนแปล เค้าแปลจากไหนมาหรอ
ก็แปลจากการปรุ่งแต่งจิตนั่นแหล่ะ
ต่างกันตรงไหน
กว้าง ๆ ไว้
โลกจะไม่แคบ
ที่มันอาบัติ ก็เพราะเข้าไปต้องดู ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องกับสัมผัส หรือผัสสั ทั้งหก นี่แหล่ะ มันถึงอาบัติ
ถ้าไม่ต้อง แล้วอะไรมันจะอาบัติมั๊ย
อย่าเที่ยวไปนั่งเปิดกุเกิล แล้วเอา ของที่เค้าย่อยแล้วมา
Copy and Paste
-
ห้ามดินไม่ให้แปรผัน
ห้ามน้ำไม่ให้ไหลไป
ห้ามไฟไม่ให้มีควัน
ห้ามลมไม่ให้เปลี่ยนทิศ
เช่นนั้น จึง ห้าม จิต
ไร้สร้าง ไร้รักษา ไร้ทำลาย ไร้อุปาทาน ไร้ตัณหา ไร้การอยู่
ไร้การไป ไร้ทุกการก้าวเดิน ไร้ผล ไร้เหตุ ไร้ทุกข์
จึงไร้ สมุทัย
ธรรมหนึ่งเดียวคือ พุทธะ -
ไร้ศาสนา ไร้ลัทธิ ไร้นิกาย ไร้สำนัก ไร้ที่มา ไร้ที่ไป
จากมหาลัยสงฆ์จุฬาลงการณ์
เรียกชื่อมาหวิทยาลัยเค้า ก็ยังเรียกผิด
มั่ววววว...
แล้ว คิดว่า คนแปล เค้าแปลจากไหนมาหรอ
ก็แปลจากการปรุ่งแต่งจิตนั่นแหล่ะ
ต่างกันตรงไหน
กว้าง ๆ ไว้
โลกจะไม่แคบ
ที่มันอาบัติ ก็เพราะเข้าไปต้องดู ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องกับสัมผัส หรือผัสสั ทั้งหก นี่แหล่ะ มันถึงอาบัติ
ถ้าไม่ต้อง แล้วอะไรมันจะอาบัติมั๊ย
อย่าเที่ยวไปนั่งเปิดกุเกิล แล้วเอา ของที่เค้าย่อยแล้วมา
Copy and Paste
[/QUOTE]
เก่งซะขนาดนี้ ตั้งตัวเป็นศาสดาเองเลยดีไหม
ตำรับ ตำรา ของเก่า พระไตรปิฏก หลักฐานอะไร
ที่มีกล่าวไว้ ไม่ต้องใช้กันแล้ว
เพราะท่านเก่งเกินไปสะแล้ว
อย่าเป็นเลย สาวก (สาวกแปลว่าผู้รับฟัง ผู้ปฏิบัติตาม)
ท่านน่าจะ เป็น ศาสดาเองเลยก็ดีนะ
เพราอะไรของท่าน คิดเอง เออเอง ทั้งนั้น
ไม่ได้เดินตาม ตำรับ ตำรา ที่ครูบาอาจาย์ได้ว่ากันไว้
(จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โอเคนะครับ ถ้าพูดถึงมหาลัยสงฆ์ ถ้าบอกจุฬาใครๆก็รู้จักกันแล้ว
ไม่ต้องเรียกกันเต็มยศ) -
ตำรับ ตำรา ของเก่า พระไตรปิฏก หลักฐานอะไร
ที่มีกล่าวไว้ ไม่ต้องใช้กันแล้ว
เพราะท่านเก่งเกินไปสะแล้ว
อย่าเป็นเลย สาวก (สาวกแปลว่าผู้รับฟัง ผู้ปฏิบัติตาม)
ท่านน่าจะ เป็น ศาสดาเองเลยก็ดีนะ
เพราอะไรของท่าน คิดเอง เออเอง ทั้งนั้น
ไม่ได้เดินตาม ตำรับ ตำรา ที่ครูบาอาจาย์ได้ว่ากันไว้
(จุฬาลงกาณราชวิทยาลัย โอเคนะครับ ถ้าพูดถึงมหาลัยสงฆ์ ถ้าบอกจุฬาใครๆก็รู้จักกันแล้ว
ไม่ต้องเรียกกันเต็มยศ)
[/QUOTE]
พระท๊อป ตอบ...
พระบรมศาสดา พระพุทธเจ้า ทรงเป็นทุกสิ่ง แล ไม่ใช่เสียทุกสิ่ง
เพราะความเป็นหนึ่งเดียว กับสรรพสิ่ง ที่พระองค์ ไม่ทรงแบ่งแยก สิ่งอันใดเลย
และพระองค์ก็หาได้ทรง ตรัส ปฏิเสธไว้ ว่า เราและท่านทั้งหลายจักเป็นพระศาสดาไม่ได้
เราทั้งหาย เป็นหนึ่งเดียว เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด
มี พุทธธาตุ เช่นเดียวกันหมด จึง......เป็นพระศาสดาได้
เป็นสาวกได้
เป็นมารได้
เป็นพรหมได้
เป็นเปรตได้
เป็นเทวดาได้
เป็นเดรัจฉานได้
ทั้งนั้นแล เพราะ ความเป็นเนื้อเดียวกัน -
เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium
เมื่อใดที่ยังมีกาย ยังมีปากไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้มีแต่ใจ และยังไม่พ้นเจตนาชั่ว
ก็ต้องพึงมีสติระวังรักษา เจตนางดเว้น ทั้งการกระทบทางกาย ทั้งวาจา อันไม่เบียดเบียน ก่อโทษนำความเดือดเนื้อร้อนใจทั้งต่อตนและผู้อื่น และ เจตนาทางใจ อันนำมาซึ่งความเศร้าหมอง
จึงกล่าวได้ว่ามีสติระวังรักษา ทั้งกาย วาจา ใจ เป็นผู้ทรงศีล เป็นผู้มีเจตนงดเว้นโทษทั้งต่อตนละผู้อื่น
บุรุษผู้มีศีลเป็นเครื่องรักษาตน ย่อมไม่ก่อโทษต่อตนและผู้อื่นด้วยสติและสัมปชัญญะ
"จึงกล่าวได้ว่ามีความเป็นปรกติของกาย วาจา และใจ" - "ความปรกติเป็นผลของศีลรักษาตน"
ปล .วันนี้คุณพิจารณาศีลของตัวเองกันหรือยัง ศีล 5 กรรมบท 10, ศีล 8 , ศีล 10, ศีล 227 -
เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium
บุคคลใดทรงศีล ย่อมชื่อว่าทรงฌาณ และทรงธรรม ....
-
ห้ามดินไม่ให้แปรผัน
ปล่อยไว้นานจักเป็นฝุ่น
ห้ามน้ำไม่ให้ไหลไป
ปล่อยลงภาชนะจักหยุดนิ่ง
ห้ามไฟไม่ให้มีควัน
ปล่อยร้อนไปจักไร้ควัน
ห้ามลมไม่ให้เปลี่ยนทิศ
ปล่อยลมแรง จักหมดแรง
เช่นนั้น จึง รู้ จิต
ไร้สร้าง ไร้รักษา ไร้ทำลาย ไร้อุปาทาน ไร้ตัณหา ไร้การอยู่
ไร้การไป ไร้ทุกการก้าวเดิน ไร้ผล ไร้เหตุ ไร้ทุกข์
ใยไม่ไร้ สมุทัย
ธรรมหนึ่งเดียว ณ ตอนนี้ คือ สติ
-
ปล่อยจริง ๆ น่ะใช่แล้ว
ที่ไม่จริงเพราะมันไม่ปล่อย -
เอามั้ง
ขอถามหลวงพี่ครับ
ทำไม พระศาสดาตรัสกับพระอรหันต์สาวกของท่านว่า
"เธอ หายใจไว้นะ แล้วเธอจะอยู่เป็นสุข" -
แล้ว กำอะไรกันอยู่หนอ
-
พุทธพจน์ ของท่านนี้ อาตมา ยังไม่เคยอ่านเจอ
ไม่ทราบเหตุแห่งการตรัสของพระองค์ จริง ๆ
หากท่านทราบ โปรด เผยแพร่เป็นธรรมทานด้วยเทอญ
จักขออนุโมทนา
ในกุศลของท่าน ยิ่งนักแล -
ความเลื่อมใสที่ยังไม่เกิด ก็จะเกิด
ความเลื่อมใสที่เกิดแล้ว ก็จะเกิดยิ่งขึ้น ขอรับ -
ถามใครหนอ.............. -
พระท๊อปคิดว่า สหายธรรมที่แวะเวียนเข้ามาถามธรรมนั้น
ต้องการธรรมจากท่านจริงๆ หรือมาถามหยั่งภูมิ
สหายธรรมในที่นี้ได้คำตอบหมดแล้ว
ท่านล่ะ เห็นสิ่งที่ท่านตอบไหม นั่นแหละถึงถามว่ากำอะไรอยู่
สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เห็นก็ได้
อย่าปล่อยจิตไหลไปกับสิ่งที่ตนว่ารู้แล้ว
ทันที่คิดว่ารู้แล้ว ให้คิดเสียใหม่
ท่านเป็นพระหนุ่ม อายุน้อย ใฝ่ธรรม เราย่อมโมทนาเป็นธรรมดา -
ขออนุญาติพระท๊อป เอาโพสท์จากกระทู้ละสังโยชน์มาแปะให้เพื่อนอ่าน
จะได้เข้าใจแนวทางของพระท๊อป ได้ตรงตามจริง
-
อานนท์ เธอหายใจไว้แล้วเธอจะไม่ทุกข์
เพราะลมหายใจคือเครื่องหมายของการมีชีวิต และเราสามารถสังเกตุได้ง่าย
หากเราไปรับรู้ลมหายใจ กำลังเข้า กำลังออก เอาจิตไปเกาะไว้ที่สองรูจมูก
ก็คือการทำสติปัฐฐาน 4 และ อานาปาน แต่ก็ไม่แยกกัน
หากใครภาวนาได้แบบนี้ต่อเนื่อง ก็ไม่มีเวลาไปทุกข์ แล้วเพราะลมหายใจ
กายสังขาร มันเกิด และจะดับตอนที่เราตายเท่านั้น จนกว่าจะบรรลุธรรมขึ้นสูง
นั้นคือหมดทุกข์ทางใจ -
ผมเข้ามาอ่านได้สักครู่ การจะบอกว่าตนเองปล่อยวางทุกๆอย่างแม้กระทั่งสตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่เป็นพระอริยเจ้าแล้วนั้น สัมมาสติก็ต้องเจริญให้มากขึ้นไป ไม่ใช่เจริญด้วยการปล่อยวาง เหมือนคนไม่เข้าใจการปฏิบัติปล่อยวางไปเรื่อย แล้วจะเอาหลัก มรรค ทางดำเนินอะไร การอยากฝึกสติเพื่อให้พ้นทุก หรือตั้งใจฝึกสตินั้นเป็นมรรค แม้พระพุทธองค์ก็ทรงปราถนาพ้นทุกข์นั่นเป็นทางดำเนินแรกที่ทุกคนก็ต้องผ่านหากจะปราถนาสาวกหรือแม้แต่โพธิญาณ ตนเองยังไม่รู้ตนเองยังปล่อยว่างตัวสติอีก ยากนักหนากว่าจะกลับจิตคิดใหม่ได้ สติปัฏฐานทางสายเดียวที่ต้องเดินกลับบอกให้ปล่อยวางเสีย และพระไตรปิฎกมิได้มีอยู่แต่ในตำราดอก ผู้รู้จริงยังมีอยู่อีกมาก ยังคงไม่ยอมให้ศาสนาเสื่อมไปง่ายๆนักหรอก
กราบขออโหสิกรรมต่อท่านทั้งหลายด้วยใจจริงๆ หากล่วงเกิดท่านทั้งหลายในที่นี้ทั้งในปัจจุบันและอดีตครับผม ปัญญาของกระผมน้อยนิด ขอตอบครั้งนี้ครั้งเดียวครับ
หน้า 5 ของ 9