ย้ายเมืองหลวง "หนีน้ำท่วม" ปักหลักที่มั่นใหม่จาก "นครนายก" สู่ "อีสานใต้"
"มหานครกรุงเทพ" เมืองหลวงประเทศไทย อายุปาเข้าไปกว่า 200 ปี มี 4 องค์กรข้ามชาติจัดทำผลศึกษาบ่งชี้ภูมิศาสตร์ ที่เป็น "ปัจจัยลบ" ของที่ตั้งเมือง ประกอบด้วย องค์การ เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) และธนาคารโลก
ครอบคลุมประเด็นที่ "กรุงเทพฯ" ติดโผ 20 เมืองใหญ่เสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมและการพังทลายของชายฝั่ง อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง มีพลเมือง 10 ล้านคนและอยู่ติดชายฝั่งทะเล มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หากไม่มีแผนป้องกันแก้ไขที่ดีพอ คำนวณมูลค่าความเสียหายอาจมากถึง 2-6% ของจีดีพี ในปี 2593 หรือ 39 ปีข้างหน้า
ขณะที่นักวิชาการไทยหัวใจอินเตอร์ "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" นักวิทยาศาสตร์ แนะนำเป็นคนแรก ๆ ว่า กรุงเทพฯเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติจากระดับน้ำทะเลหนุนสูง ในอนาคตจะอยู่ใต้น้ำ จากนี้ไม่เกิน 10 ปีจะเห็นชัดควรเตรียมพร้อมเรื่องการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะสม
นักวิชาการไทยแนะ "ย้ายเมืองหลวง" <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>
ก่อนหน้านี้ประเด็น "การย้ายเมืองหลวง" พูดกันมาหลายรัฐบาล ย้อนตำนานไปเจอจุดเริ่มต้นสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2486 "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" มีแนวคิดย้าย เมืองหลวงไปตั้งที่ "เพชรบูรณ์" ต่อมารัฐบาล "บิ๊กจิ๋ว" พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็เคยมีแนวคิดให้ย้ายไปที่ "เขาตะเกียบ" จ.ฉะเชิงเทรา ยุคที่ "สมัคร สุนทรเวช" ยังเป็นเพียงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อยากให้ย้ายไปที่ จ.นครปฐม หรือแม้แต่ช่วง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจะสร้างเมืองหลวงใหม่ที่ จ.นครนายก
แม้กาลเวลาจะผ่านเลยกี่สิบกี่ร้อยปี แต่ "การย้ายเมืองหลวง" ยังเป็นประเด็นที่คงอยู่ เพื่อเตรียมรับมือกับอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นอีก 10 ปี 20 ปี 40 ปี และ 100 ปีข้างหน้า เสียงสะท้อนที่ดังจากวงนักวิชาการเมืองไทย จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรฟัง โดย "ดร.อาจอง" แนะจุดเหมาะสมสั้น ๆ ว่าเป็น "โซนอีสานใต้"
ขณะที่ "ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา" ผู้อำนวยการ ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กล่าวสอดคล้องกันว่า ทุกปีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯบางส่วนอยู่แล้ว แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรเลย อีก 20 ปีกรุงเทพฯจะเจอกับน้ำท่วมเหมือนอยู่ใต้ทะเลเพราะเป็นที่ลุ่มต่ำ ทุกปีมีหลายพื้นที่ที่ดินจะทรุดตัว 2-4 เซนติเมตร เช่น ดอนเมือง <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>
"แนวคิดย้ายเมืองหลวงเป็นสิ่งดีถ้าทำให้ชีวิตดีขึ้น ในเชิงคอนเซ็ปต์เมืองหลวงต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียงแต่ย้ายบางกิจกรรมที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ศูนย์ราชการ ภาคบริการ การศึกษา การกีฬา อุตสาหกรรม ไปจังหวัดอื่น เช่น สระบุรี จังหวัดทางฝั่งตะวันออก เพราะกรุงเทพฯตอนนี้หนาแน่น มีคนอยู่ 10 ล้านคน และมีการก่อสร้างมากทุกพื้นที่"
ฟาก "พิจิตต รัตตกุล" ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย และอดีตผู้ว่าฯ กทม.เห็นด้วยว่า ต้องนำความเจริญของกรุงเทพฯด้านเศรษฐกิจ การศึกษา กระจายไป หัวเมืองอื่นในแถบปริมณฑล เช่น โคราช สุพรรณบุรี สระบุรี
"เชื่อว่าเหตุการณ์น้ำท่วม กทม.จะแก้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแผ่นดินทรุด และระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและกัดเซาะชายฝั่งทุกปี ทั้ง 2 สาเหตุนี้ทำให้การระบายน้ำฝนที่ตกใน กทม.ออกสู่ทะเลยากขึ้น"
จัดระเบียบผังเมืองใหม่รับ
การแก้ปัญหาน้ำท่วม นอกจากมาตรการของสำนักการระบายน้ำที่ทำไว้ 4 ปีแล้ว มาตรการผังเมืองมีส่วนสำคัญมาก
น.ส.อัญชลี ปัทมาสวรรค์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. กล่าวว่า หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัด กรุงเทพฯเริ่มกลับมาทบทวนให้รอบคอบมากขึ้นในการจัดทำผังเมืองรวมฉบับใหม่ทดแทนฉบับเก่าที่จะหมดอายุวันที่ 16 พฤษภาคมนี้
"กำลังรวบรวมข้อมูลที่ปรับปรุงผังเมืองรวมฉบับใหม่ มีแนวคิดจะมีผังสาธารณูปโภคเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการป้องกัน น้ำท่วมใส่เข้าไปในผังเมืองรวมฉบับใหม่ด้วย เพื่อคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ให้ขวางทางน้ำ และจะพิจารณาเพิ่มพื้นที่ รับน้ำบริเวณโซนตะวันออก จากเดิมมีอยู่ 11 แห่ง จะร่วมกับจังหวัดปริมณฑล มีนนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม"
นอกจากนี้ ยังมีการวางผังนโยบายการจัดการระดับลุ่มน้ำ การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยการปรับรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินฝั่งตะวันออกและตะวันตกของลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง และให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อนด้วย
--------------
ประชาชาติธุรกิจ
�������ͧ��ǧ "˹չ�ӷ���" �ѡ��ѡ������������ҡ "��ù�¡" ��� "���ҹ���" : ��ЪҪҵ���Ź�
เรื่องเด่น ย้ายเมืองหลวง"หนีน้ำท่วม"ปักหลักที่มั่นใหม่จาก"นครนายก"สู่"อีสานใต้"
ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 20 มกราคม 2011.
หน้า 1 ของ 2
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หากมีการย้าย ก็อาจมีปัญหาแย่งชิงทรัพยากรที่ดินด้วยก็ได้:'(
-
...ทำระบบป้องกันให้ดีก็ไม่ท่วมแล้วครับ...
...ลงทุนน้อยกว่าย้ายเมืองหลวงเยอะเลย...
... -
ที่กรุงเทพนี้ละครับ แต่สร้างระบบป้องกันน้ำท่วมจากเหนือ และ น้ำหนุนจากทะเลให้ดี ดีกว่าย้ายเมืองหลวงครับ สิ้นเปลืองงบประมาณ และ จะได้แสดงกึ๋นคนไทยด้วยครับว่าสามารถอยู่ได้
-
-
ยากเพราะทั้งธรรมชาติ และคนดำเนินงานครับ
บางขั้นตอนก็มีคนประท้วงอีก ผมเรียนเกี่ยวกับธรณีมา ผมว่าย้ายดีกว่านะ -
ขอพระคุณครับคนเล่าข่าว
-
ป่าไม้คงถูกทำลายลงอีกมาก ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมคงจะแย่ลงไปกว่านี้ถ้าหากมีการย้ายจริงๆ
-
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะย้าย
คงปวดหัวกันหน้าดู -
พม่ายังย้ายเมืองหลวงเลย
-
ตอนนี้ถ้าจะสร้างเขื่อนคงไม่ทันการแล้วล่ะค่ะ เพราะระยะเวลาที่ใช้สร้างเขื่อนประมาณ 5 ปี ตอนนนี้ทำไม่ทันแล้วค่ะ ที่ทำได้คือทำใจค่ะ
-
<DD>[SIZE=-1]เรื่องในตำนานเมืองฝางและอ่างสลุงเชียงดาว มี ๓ ตอน โดยแต่ละตอนจบในตัวเอง แต่ขอนำตอนที่1มาให้อ่านบางส่วนเกี่ยวกับมหานครซึ่งหมายถึงเมืองหลวงในอนาคตหรือเปล่าไม่ทราบ ถ้าอยากอ่านฉบับเต็มเข้าGoogleพิมพ์คำว่าอ่างสลุงเชียงดาว[/SIZE]<DD>[SIZE=-1]ตอนที่ ๑ เริ่มกล่าวตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จมาจากดอยเกิ้ง (ในเขตอำเภอจอมทองเชียงใหม่) โดยมีพระอรหันต์ พระอินทร์ และพระยาอโสกธัมมิกราช ติดตามมาด้วย เมื่อทรงพบลัวะผู้หนึ่ง กำลังวิดน้ำเข้านา จึงทรงทำนายว่า ในที่นั้นต่อไปจะเป็นเมืองหอด ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหินที่มีลักษณะคล้ายเต่า เมื่อเดินทางต่อไป พระยานาคเกิดความเลื่อมใสจึงประทับรอยพระบาทไว้ให้และทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองมหานคร ครั้นเดินทางไปถึงบ้านลัวะที่เป็นช่างปั้นหม้อ ทำนายว่า ต่อไปจะเป็นเมืองภุญชานคร และสั่งเอาไว้ว่าหากพระองค์นิพพานไปแล้ว ให้นำเอาธาตุกระดูกศีรษะด้านขวามาบรรจุไว้ที่นี่[/SIZE] </DD>
-
ผมกลัวว่า อีสานใต้ จะติดปัญหาอยู่อย่างนึงคือ มันติดเขมร..... เมืองหลวงใกล้เขมรนี่
.
อันตรายจริงๆ........... ผมขอเสนอ ลำปางครับ......... แจ่ม !! -
-
คิดว่ามีการย้ายแน่นอนไม่ได้ย้ายเมืองหลอกแต่เป็นการอพยพไปอยู่แถวชานเมืองหรือจังหวัดไกล้ๆ ประมาณสองชั่วโมงอ่ะ คิดว่าน่าจะแต่ไม่กล้าแจงรายละเอียดเพราะเดาจากหลายๆอย่างที่เห็น
-
</DD> -
เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต้องคิดด้วยหลักการและเหตุผลครับ
หลักการก็คือจะย้ายดีหรือไม่?
เหตุผลก็คือน้ำจะท่วมกรุงเทพจริงหรือ?
ว่าด้วยเรื่องเหตุผลก่อน ผมให้น้ำหนักไปทางนาซ่า
ตามที่ท่าน ดร.อาจอง ชุมสาย ได้นำมาอภิปราย
หลายครั้ง โลกร้อนขึ้นปีละกี่องศา น้ำแข็งขั้วโลก
ทั้งสองละลายจนขณะนี้เรือเดินทะเลผ่านไปมาได้
แผนที่นาซ่าทำไว้ชัดเจนว่าน้ำจะท่วมที่ไหนบ้าง
แม้แต่นิวยอร์คกับปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ก็ไม่เหลือ
คราวนนี้มาถึงหลักการบ้างว่าจะย้ายดีไหม?
ถ้าย้ายจะย้ายไปไหน ภาคอิสาณเหมาะที่สุดครับ
๑. ไม่มีแผ่นดินไหว ๒.น้ำไม่ท่วม ๓.ใกล้ทะเล
(หากน้ำท่วมจริงทะเลก็ใกล้เข้ามา) ๔.ถนนหนทางดี
โคราชจะเหมาะสมที่สุดครับทั้งทุกเหตุผล -
ขออนุญาตเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับ
พอโพสท์เสร็จก็นึกขึ้นได้ บางท่านอาจสงสัยว่าน้ำจะพอหรือ
เรื่องน้ำท่วมคงแก้ไม่ยาก หากแก้ในระดับชาติ แต่น้ำจะขาด
หรือไม่่ ข้อนี้ก็แก้ไขได้ครับแก้ได้ทั้งภาคอิสาณด้วย แต่ต้อง
ลงทุนมากหน่อย ต้องระดับชาติอีกเช่นกัน กล่าวคือต้องทำ
การผ่าตัดเขาใหญ่นั่นแหละ ต้องฝังท่อลอดขนาดใหญ่จาก
เหวนรกซึ่งไหลตกทิ้งไปทางน้ำตกนางรองและสาริกา ซึ่ง
วันข้างหน้าจะลงทะเลเปล่าไป ผันน้ำอันมหาศาลนี้ไปทาง
ภาคอิสาณครับ ทำประตูไขน้ำให้ดี ถ้ามากไปก็ปิดไว้
รับรองครับภาคอิสาณทั้งหมดไม่แห้งแล้งอดอยากอีกต่อไป
ได้กุศลมหาศาลเลยครับ -
ตำนานเมืองฝางและอ่างสลุงเชียงดาว
<DD>[SIZE=-1]เรื่องในตำนานเมืองฝางและอ่างสลุงเชียงดาว มี ๓ ตอน โดยแต่ละตอนจบในตัวเอง [/SIZE]<DD>[SIZE=-1]ตอนที่ ๑ เริ่มกล่าวตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จมาจากดอยเกิ้ง (ในเขตอำเภอจอมทองเชียงใหม่) โดยมีพระอรหันต์ พระอินทร์ และพระยาอโสกธัมมิกราช ติดตามมาด้วย เมื่อทรงพบลัวะผู้หนึ่ง กำลังวิดน้ำเข้านา จึงทรงทำนายว่า ในที่นั้นต่อไปจะเป็นเมืองหอด ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหินที่มีลักษณะคล้ายเต่า เมื่อเดินทางต่อไป พระยานาคเกิดความเลื่อมใสจึงประทับรอยพระบาทไว้ให้และทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองมหานคร ครั้นเดินทางไปถึงบ้านลัวะที่เป็นช่างปั้นหม้อ ทำนายว่า ต่อไปจะเป็นเมืองภุญชานคร และสั่งเอาไว้ว่าหากพระองค์นิพพานไปแล้ว ให้นำเอาธาตุกระดูกศีรษะด้านขวามาบรรจุไว้ที่นี่[/SIZE] <DD>[SIZE=-1]เมื่อเสด็จมาถึงใต้ร่มมะขาม เทวดาบันดาลห่าฝนเงินทองตกลงมาปูชา จึงได้ชื่อว่าดอยเขาฅำหลวง จากนั้นจึงเสด็จไปทางทิศตะวันออก ทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองใหญ่ มีอารามสำคัญ ๖ แห่ง ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนก้อนหิน เมื่อมาถึงใต้ร่มไม้บุนนาค สองสามีภรรยานำเอาดอกบัวมาถวาย ก็ทรงทำนายว่าต่อไปจะเป็น วัดบุปผาราม คือวัดสวนดอกไม้ ทรงอธิษฐานให้เกศาธาตุแตกออกเป็น ๘ เส้นบรรจุไว้ในสถานที่ดังกล่าว[/SIZE] <DD>[SIZE=-1]ครั้นเสด็จมาถึงกอไม้หก จึงทำนายว่าต่อไปจะเป็นเวฬุวนารามป่าหก ทรงประทานพระเกศาธาตุไว้ เมื่อเสด็จไปทางทิศตะวันออก ทำนายว่าต่อไปจะเป็นวัดบุพพาราม ต่อมามีพระชาวพม่ามาขอบวชใหม่ ทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองชีใหม่ หรือเมืองเชียงใหม่ เมื่อเสด็จไปทางทิศตะวันออก ลัวะนำเนื้อวัวกระทิงย่างมาถวาย ทำนายว่าต่อไปจะเป็นวัดอโสการาม ทรงประทานเกศาธาตุไว้ จากนั้นจึงเสด็จไปทางทิศใต้ ลัวะนำผลไม้มาถวาย ทำนายว่าต่อไปจะเป็นวัดพิชชอาราม[/SIZE] <DD>[SIZE=-1]เมื่อเสด็จไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ นักบวชชาวพม่า ๗ ตน ขอเอาเกศาธาตุ ทำนายว่าต่อไปจะเป็นสังฆอาราม จากนั้นจึงเสด็จไปสู่ทิศหรดี ลัวะสร้างกระท่อมไม้ถวายให้เป็นที่ประทับ ทำนายว่า ต่อไปเป็นวัดอินทาราม ทรงประทานเกศาธาตุไว้ ต่อมาเมื่อเสด็จเข้าไปในหมู่บ้านลัวะ นักบวชชาวพม่าจุดไฟบูชา ทำนายว่าต่อไปจะเป็นโชติอราม ทรงประทานพระเกศาธาตุ พร้อมทั้งรับสั่งว่าถ้านิพพานไปแล้ว ให้นำเอาธาตุฝ่ามือขวามาบรรจุที่นี่ จากนั้นจึงเสด็จไปโปรดช่างปั้นหม้อ ลัวะสร้างพระพุทธรูปองค์เล็กๆ จำนวน ๓ ล้าน ๖ แสนองค์ถวาย จึงให้นำไปฝังไว้ เมื่อเสด็จไปถึงดอยนั่งนอน ก็ประทานพระเกศาธาตุ ส่วนในเมืองยวม เมืองยาง เมืองแช่ ทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ละแห่ง[/SIZE] <DD>[SIZE=-1]ตอนที่ ๒ กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเสด็จไปพบพระยายักษ์ที่ดอยอ่างสลุง ทรงเทศนาให้พระยายักษ์ฟัง ทรงทำนายว่าต่อไปเมื่อศาสนาได้ ๒๐๐๐ ปี พระยายักษ์จะเกิดเป็นพ่อค้าข้าวสารเป็นผู้มีสติปัญญาและจะได้ครองเมืองเชียงดาว[/SIZE] <DD>[SIZE=-1]เมื่อเสด็จมาถึงเมืองฝาง ทรงทอดพระเนตรเห็นหนองน้ำใหญ่ จึงทำนายว่าต่อไปจะเป็นเมืองล้านช้างอโยธยา ครั้นมาถึงหนองน้ำอีกแห่งหนึ่ง พระยานาคนำเอาน้ำผึ้งมาถวาย ทำนายว่า ต่อไปจะได้ชื่อว่าพระนอนหนองผึ้ง จากนั้นจึงเสด็จไปนอนบนคันนาแห่งหนึ่ง ทำนายว่าต่อไปจะได้ชื่อว่าพระป้านและแม่ปูคาแห้ง[/SIZE] <DD>[SIZE=-1]ครั้นเสด็จมาถึงถ้ำตับเตาก็เกิดอาการประชวรอย่างหนัก หมอโกมารภัจจึงพาพระฤาษีจากดอยด้วนมารักษา แต่ทรงปลงอายุสังขารแล้ว จึงไม่ยอมให้ฤาษีรักษา จากนั้นได้เสด็จไปยังถ้ำเชียงดาวและใช้ให้พระอานนท์ไปตักน้ำที่แม่น้ำปิง พระอานนท์ถูกยักษ์จับตัวไว้ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปช่วย และได้ทำนายว่า ต่อไปยักษ์จะไปเกิดเป็นพระยากาวิละในเมืองเชียงใหม่ เมื่อเสด็จมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ทรงปวดท้อง นาคจึงเนรมิตห้องส้วมให้ ทำนายว่าต่อไปจะเป็นพระบาทยั้งวิด จากนั้นได้เสด็จไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พระอานนท์นำผ้าสังฆาฎิไปตาก ทำนายว่าต่อไปจะเป็นพระบาทตากผ้า เมื่อมาถึงดอยแห่งหนึ่งเทวบุตรนำเอาฉัตรมาปังแดดให้ ทำนายว่าต่อไปจะได้ชื่อว่าดอยเกิ้ง[/SIZE] <DD>[SIZE=-1]ตอนที่ ๓ กล่าวพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปที่ถ้ำเชียงดาว ทำนายว่ายักษ์ที่รักษาถ้ำจะได้เป็นพระยาธัมมิกราชองค์ที่ ๓ มีอายุ ๒๐๐ ปี โดยองค์แรกเกิดที่เมืองปาฏลีบุตร องค์ที่ ๒ เกิดในเมืองหงสาวดี องค์ที่ ๓ เกิดในเมืองเชียงดาว องค์ที่ ๔ เกิดในเมืองอังวะ องค์ที ๕ เกิดในเมืองอโยธิยาและได้กล่าวถึงพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาไว้ที่ดอยอ่างสลุงก็เลยได้ชื่อว่าอ่างสลุงเชียงดาว มีพระยาอินทร์ เทวดา มาเนรมิตมหาเจดีย์ทองคำไว้บรรจุพระธาตุ ต่อจากนั้นก็มีพระยาอินทร์ พระยาพรหม พระยานาค มาสร้างพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ไว้ในถ้ำ ประดับตกแต่งไว้สวยงาม ในถ้ำแห่งนี้มีทางแวะไปสถานที่ต่างๆ ได้ หลายแห่ง และได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัติเมื่อจะเข้าไปชมถ้ำตามที่ต่างๆ ซึ่งหากปฏิบัติไม่ถูกก็จะกลับออกมาไม่ได้[/SIZE] <DD>[SIZE=-1]ส่วนในเมืองเชียงใหม่ เมื่อศาสนาใกล้จะถึงสามพันปี บ้านเมืองจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย หาเชื้อพระวงค์ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองมิได้ ในเวลาต่อมายักษ์ที่รักษาถ้ำเชียงดาวอยู่นั้นจะเกิดมาเป็นพระยาธัมมิกราช โดยเกิดมาเป็นพ่อค้าข้าวสาร พระอินทร์จะมาอัญเชิญขึ้นไปทำพิธีราชาภิเษกบนสวรรค์ จากนั้นจึงลงมาทำพิธีอีกครั้งหนึ่งในเมืองเชียงดาว ส่วนพระมเหสีคือนางแก้วจากอุตรกุรุทวีป[/SIZE] </DD>ในปีจอ เมืองกรุงเทพฯ จะแตกพังทลายตอนเวลาไก่ขัน พระแก้ว
มรกตหัวเมืองเชียงใหม่เม็ดข้าวใหญ่ จะได้กลับคืนสู่เมืองเวียงจันทร์
นี่คือพระคาถาขององค์อินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนลงในใบลาน
จงรักษาเก็บไว้ให้ดีเพื่อช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ในยามเกิดเหตุการณ์
มหันตภัย พระคาถาได้เขียนไว้ดังนี้
‘‘ ปะโต เมตัง ปะละชิมินัง สุขะโต จุติ
เมตตะ นินะนัง สุขะโต จุติ ’’ -
โหมกันมาก ๆ ราคาที่ดินแถวอิสานจะได้แพง ๆ การพัฒนาจะได้เข้าไปมาก ๆ
ฝากย้ายกระทรวงกระจายไปต่างจังหวัดด้วยได้ไหม เช่น
กระทรวงเกษตร
หน้า 1 ของ 2