รบกวนขอสอบถามอาการในการทำสมาธิหน่อยคะ

กรุงเทพ ลมแรง มั๊ยหนอ..

กาฬสินธุ์ ลมหนาว แรง มาก..

ขอฝน ได้ลม แปลกจริงหนอ..

 

ช่วงรอ รอ อยู่นี้ ไม่มีอะไรทำ ฝึกถอดกายใน ให้ชำนาญ น่าจะดี..

 

ความคิด เป็น ม่านของ อวิชชา

มันคิดก็ปล่อยให้คิดไป มีสติดูความคิด อย่าปรุงแต่งเป็นอารมณ์ใดๆ อย่าเข้าไปแทรกแซงใดๆ

"รู้เฉย" อยู่ ตามดูให้เห็นว่า คิด เกิดขึ้น คิด ดับไป (ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป)..

เวลา จิตจดจ่อ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั่น คือ สมาธิ..

เวลา อารมณ์ เป็นหนึ่ง นั่นเรียกว่า สมาธิ..

เห็นความจริง ตาม เป็น จริง บ่อยๆ จิตมันจะคลายกำหนัด ของมันเอง..

 

จขกท. ความจริงก็มีสมาธิ มีสติตั้งมั่น พอสมควร จิตละเอียด ระดับหนึ่งแล้ว

ที่เหลือ คือ ยกจิตขึ้นสู่ขั้น วิปัสนา..

ฝึก พิจารณา ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกสภาวะ น้อม ลงสู่ ไตรลักษณ์..

แล้วจะเห็น ความก้าวหน้า ของ การปฏิบัติ..

 

เดี๋ยวก้โดน คุณพี่ saber เดินมาบ้อง...จิฮับ

ตรงที่ ตามดูความคิด ไม่ใช่ไปดูคิดเกิด
คิดดับ คุณ saber จะบีอง!! ด้วยข้อหา
ความคิดไม่ใช่จิต ดูคิดเกิดดับ ก้ไล่
ตะครุบเงา ไม่ได้อะไร พาลไล่บ้อง
ไปถึง พอจ.เลยนะ

บักโงบะ ต้อง เล่าปลาสบการณ์
ที่ยอดเยี่ยม มีการทวนกระแสนิดนึง

หลักต้องแม่นๆ

เวลาเหนเกิดดับ ต้อง เหนเหตุ

เหตุของ วจีสังขาร คือ การมี กาย

บักโงบะยังยึดถือกาย ความคิดก้
ย่อมย้อมติดจิต หมดแรง หลับ

หากบักโงบะ ละวางกาย(กายไม่
ต้องหายวับอันตรธาน เปนเพียง
การ ละการยึดถือกาย วจีสังขาร
ย่อมดับไปด้วย(จริงๆ มันก้คิด
ของมันอยู่ แต่มันจะย้อมไม่ติดจิต)

เช่น ยักโงบะ เจ็บ หัว ไหล่ ตุ ขึ้นมา
แต่ไม่ถือมั่น กาย ...เวทนามันก้แยก
ออกเปน เวทนากาย เวทนาจิต ...เนื่อง
จาก ไม่ยึดถือกาย(ด้วย มรณะสติบ้าง
อานาปานสติบ้าง วิปัสนาญานบ้าง
เจโตสมาธิบ้าง ปัญญาวิมุตติบ้าง
จะ กดข่มอยู่ หรือ พ้นด้วย อธิปัญญา
ประหานบ้าง) เขาก้เรียกว่า เหน กายดับ
( ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ เมื่อ
เหตุดับ ย่อมเหนนิโรธน มหาสมณ
มีปรกติตรัสอย่างนี้ )

วจีสังขาร ที่อาสัยกาย ที่กระซิบ
ว่า เจ็บจุงเบย ก้ ย้อมไม่ติดจิต
ผ่านไปเหมือนแขกผ่านหน้าบ้าน

ความคิดแล้ว ความคิดเล่า มัจจุมาร
ก้แล้ว กิเลสมารก้แล้ว ขันธมารก้
กระซิบแล้ว จนอภิสังขารมาร
พาเหนกายเปนแสง ดวงแก้วก้แล้ว
ล้วนดับ คือ ไม่ยึดถือกายเลย มีความ
ตั้งมั่น ....เหตุของวจีสังขาร คือการ
มีกายดับ ก้ อ๋อ ความคิดดับสนิท
เปนจังซี้

ไม่ใช่ คิดไม่ได้ ทำงานไม่ได้ สรวญ
เสเฮาฮาวิสาสะควรแก่เหตุไม่ได้
ช่วยชาติไม่เปน คนละเรื่อง

 

ถ้ามาขัดขวาง การแนะนำของเรา เดี๋ยวก็มีคนมาไล่ ไปใช้กรรม5555

ไปกล่าวตู่เขาว่า เป็น ฆราวาสบรรลุธรรม5555

 

อนึ่ง คำว่า กาย กาย มีเท่าไหร่

กายอันเกิดจากคำข้าว หัว ไหล่ ตุ อย่างหนึ่ง

นามกาย อันสำเร็จด้วยใจ อย่างหนึ่ง

กายที่เปนอรูป อย่างหนึ่ง

หาก กายเหล่านี้ ยังมี ความถือมั่น

วจีสังขาร ย่อมถือว่า ย้อมติดจิต
พาหลับไหล ไสยดำ ได้เสมอ

หาก แทงตลอดซึ่ง กาย จนไม่ถือ
มั่นในกายใดๆ วจีสังขารย่อม
อนุโลมญานได้ว่า ละ สิ้น

ทีนี้ กายจะดับอย่างไร

เหตุของการ มี กาย ก้มีอยู่

งานภาวนาจึงต้อง รื้อ ค้น ว่าอะไร
คือ เหตุของการมี กาย มีนามกาย
มีธรรมกาย

พอละกายสาม ไม่ติดแม้น ธรรมกาย

วจีสังขาร ย่อม ดับสนิท

ไม่มีอาการพูดธรรมเปนต่อยหอย

จะกล่าวธรรม ก้ ต่อเมื่อมีเหตุอัน
สมควรคือ รู้ชัดว่ากล่าวธรรมไป
แล้วคนสดับจะต้องบรรลุธรรม
1000% ......ซึ่ง ตาของโลกได
ปรินิพพานไปแล้ว(ตถาคต) แต่
พระองค์ทรงประทาน วิธีไว้ให้

คือ.....

ภิกขาจาร แล้ว แสดงธรรม ตอบ
แทนคุณข้าวแดงแกงร้อนชองชน
ในแว้นแคว้น( คือ ไม่ต้องวาดภาพ
ตนเปน ตถาคต เทศนา ) หรือ แค่
วางจิตกตัญญูต่อผู้ถามไถ่ ชวน
ปรารภความเพียร ...เพราะ รู้คุณ
เขาที่ กล้าถาม จนเราเกิด ปิติ ชื่นใจ
ก้แสดงธรรม ตอบแทน ตามประสา

 

การแนะนำ มันต้อง ไปทีละขั้นตอน..

ถ้าไม่ไล่ไปตาม เสต็บ ตาม สกีล เดี๋ยวก็ไม่ได้อะไร..

 

ธรรมะ เปน อกาลิโก เปน สุญญตา

เปน อริยสัจจ4 ทุกคำพูด

ไม่มี อุปทาน นำหน้า การเทศนาแบบ
ลำดับ ไม่แสดงอริยสัจจทุกคำพูด
จัดเปน การแสดงธรรมเพื่อหลอกตบ
ทรัพย์สถานเดียว

 

ไม่เชื่อ ลอง อนุโลม แสดงแบบ
หย่อนยาน ไปอีก

เดี๋ยวก้ชวนไป ขุดหาน้ำ สร้างโบสถ์
ก่อส้วม

เฮีย!!! ส่งมาเกอะ

เรียรวิปัสสนา มาก่อนเมืองชล จบ
ไม่จบ มีออกใบเซอร์ เช็คคำถาม
กรอกคำตอบ......แจร๋น เฮีย!!!

 

จิต เจตสิก รูป นิพพาน..

ปล่อยวางจิต เจตสิก ก็ดับ

ปล่อยวางกาย นิพพาน ก็ปรากฏ

เอ๊า!!! อธิบาย เบื้องปลาย เลย ลองดูซิ จะมีใคร เข้าใจ แล้ว นำไปปฏิบัติได้บ้าง..

 

ฮั่นแน่...

กร่อน สัทธรรม กระตื้บสัทธรรม

ลด ธรรมฤทธิ์ หรอ

อย่า ดูเบา สติ ความเพียรของมานุด จิฮับ

หากไฟไหม้บนหัว จะตายมีตายแหล่
ระหว่าง ให้สดับอริยสัจจ กับ ดับไฟ
บนหัวชวนทำทาน สีล ภาวนา ตามลำดับ

แม้นอย่างนี้ สาวก ยังเลือกไม่ได้ว่า
ทำอะไรก่อน

ศาสดา ผู้รู้จริง ต้องตรัส กำกับว่า

จงแสดงอริยสัจจ ไปเลย วิปัสสนา
เข้ามาเลย

อย่าประมาท ฝีมือ ความเพียร(สติ)
ของมานุดที่เกิดมาพบพุทธ
ศาสนาเรียบร้อยแล้ว

 

ผู้ยังมี ทานบารมีน้อย เราก็ชวน ทำเหตุแห่งทานบารมี

ผู้ชอบทำบุญ ให้ทาน สละทรัพย์ สร้างประโยชน์ด้วยทรัพย์ที่ตนมี เราก็มีมาแนะนำให้

อะไรที่เราแนะนำ และชี้ตรงไปนั้น ล้วนเกิดประโยชน์ แต่ ฝ่าย เดียว..

ทำบุญร่วมกับเรา ได้บุญ เต็มๆ ไม่ปรารถนาบุญกุศล ยิ่ง ได้ บุญใหญ่..

 

ธรรม ของ ศาสดา สมณโคดม
เปนของ...

รู้เร็ว ไม่ใช่รู้ช้า

ไม่ใช่การสะสม สั่งสม ..เปน ปัจจุบัน
สัณทีทิฏฐิโก...

ไม่เนิ่นช้า

เปนของบัณฑิต ไม่ใช่ของคนชวนโยเย

ฯลฯ

 

ฮั่นแน่....

กิ๊วๆ

แจร๋น แปร๋น ทีติทำโม้ว์ สิงปุราญจานชาม

 

พระศาสดา ตรัส

การเกิดมาเปนมานุด พบ พุทธศาสนา
นั้นยาก เท่ากับ การมาปรากฏของ
ตถาคต

บัณฑิตปัญญาดี ได้ยินปั๊ป

จะทราบทันทีว่า

แค่นี้ บุญก้พรั่งพร้อม ให มานุดใด....

มานุดใด ที่เกิดมา พบ พระพุทธศาสนา

นั่นแหละ จะเกิด พระพุทธเจ้า
ได้แน่นวล( พระพุทธเจ้า ที อุบัต
ทีหลัง ศาสดาเรียก อนุพุทธเจ้า )

ถ้า เปนพวกชวนโยเย ก้ จะ อ้าง
โน้รอ้างนี้ มีขั้นตอน มีชั้นการ
ปฏิบัติ มีใบเซอร์ ผ่านทีละลำดับ

หลอกตบทรัพย์ไปจนอิ่มแปร้....
อ่อนค้อม

 

ท่านอยู่ในเวปนี้ ตั้งแต่ก่อตั้งเวปใหม่ๆ ยังไม่มีใคร ที่อ่าน คำแนะนำ การแสดงธรรม ของ ท่าน เข้าใจ แล้วนำไปปฏิบัติ ถึง เส้นทาง ความหลุดพ้น เลย สัก คน เดียว..

 

"พระพุทธเจ้า"

พระ = บริสุทธิ์. , ประเสริฐ

พุทธ = จิต. , ใจ

เจ้า = มนุษย์. , คน

รวมเรียกว่า..

มนุษย์ จิต บริสุทธิ์..๑

คน ใจ ประเสริฐ..๑

 

เชย ระเบิด ระเบ้อ

การเที่ยว เอา หู ตา ไป รับ ธรรม

มันเปนการเอา ถาดทองรองมหาเยี่ยว

คนที่ รู้ทุกขสัจจ เปน
เขาจะทราบว่า ควรหาอุบายนำออก

ดังนั้น

การที่สำคัญว่า เที่ยวไบ่หาคน
แสดงธรรม เพื่อให้เขาพา
บรรลุนั้น นั่น มันไม่เข้าเกณฑ์

เกิดเปนมานุด พบพุทธ ตั้งแต่ ตั้งจิต

เมื่อรู้ทุกข์ หาอุบายนำออก ไม่มี
แต่แรก

คนจานลายเท่านั้น ที่ โทษสิ่ง
ภายนอกว่า ไม่ช่วยอะไร

 

เราหมายถึง ท่านคุยภาษาคน ไม่ค่อยรู้เรื่อง..

ใช้ภาษา ไซเบอร์ ไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ดูตาม้า ตาเรือ อะไรเลย..