รวบรวม ธรรม

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย Saber, 9 สิงหาคม 2012.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    <CENTER>
    [​IMG]

    ปัญหาการปฏิบัติพระกรรมฐาน(๖)
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)</CENTER>
    หลวงพ่อครับ กสิณนี่เป็นมโนภาพใช่ไหมครับ…?
    กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ ถ้าเราจะตั้งก็ได้ แต่เป๋ ถ้าดูวัตถุยังไม่ค่อยจำ นี่เล่นมโนภาพ ระวังกสิณโทษจะเกิด อย่างเราเจริญปฐวีกสิณ จะต้องเอาจิตจับไว้เฉพาะปฐวีกสิณอย่างเดียว ถ้าภาพอื่นข้ามาแทรกต้องตัดทิ้งทันที นั่นเขาถือว่าเป็นกสิณโทษ จนกว่ากสิณกองนั้นเข้าถึงฌาน ๔ แล้วก็คล่องตัว จึงจะย้ายไปเป็นกสิณกองอื่นต่อไป
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    .........................................
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ......................

     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ............................................
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    บารมีี แปลว่า กำลังใจเต็ม บารมี 10 ทัศ มีดังนี้
    1. ทานบารมีี จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    2. ศีลบารมี จิตของเราพร้อมในการทรงศีล
    3. เนกขัมมบารมี จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
    4. ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
    5. วิริยบารมี วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    6. ขันติบารมี ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    7. สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
    8. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    9. เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    10. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ
    บารมี ที่องค์สมเด็จทรงให้เราสร้างให้เต็ม ก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์
    บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่า โพธิปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน


    บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ

    1. บารมีต้น
    2. อุปบารมี
    3. ปรมัตถบารมี
    • บารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทาน กับ ศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 และจะยังไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจไม่พอ อาจจะไม่ว่างพอหรือเวลาไม่มี
    • อุปบารมี เป็นบารมีขั้นกลาง พร้อมที่ทรงฌานโลกีย์ ท่านพวกนี้จะพอใจการเจริญพระกรรมฐาน และทรงฌาน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ยังไม่พร้อมที่จะไปและไม่พร้อมที่จะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ
    • ปรมัตถบารมี ในอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อย อาศัยบารมีเก่า ก็มีความต้องการพระนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ในชาตินี้นั้นไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ความหายนะของการปรามาส

    ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าปรากฏว่า มีผู้อื่นผู้ใดประมาทพลาดพลั้ง หรือคะนองปาก กล่าวตำหนิติเตียน หรือนินทาว่าร้าย ด่าบริภาษ
    แม้จะเป็นพระอริยะบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์

    ท่านกล่าวว่า ห้ามมรรค ผล นิพพาน แม้บุคคลผู้นั้นจะพากเพียรปฏิบัติธรรม อย่างไรก็มิอาจสามารถ บรรลุมรรคผลได้
    การติเตียน ด่าบริภาษพระอริยเจ้า จึงมีโทษมาก

    เกิดความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด10อย่างคือ

    1.บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
    2.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที

    3.สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
    4.เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม

    5.ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์
    6.ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง

    7.ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก
    8.ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน

    9.หลงตามกาละ คือตายอย่างขาดสติ
    10.เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

    อ้างอิงจากหนังสือ "พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อน"

    ความหายนะของการปรามาสพระรัตนตรัย
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พุทธพจน์ ของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอาฬวีเศรษฐี หรืออานันทะเศรษฐีคนนี้ถึงได้เสื่อม ?


    พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานันทะเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: เฉยไปจนถึงที่สุด ?
    ตอบ: ก็เข้านิพพานเหมือนกันจ้ะ เพียงแต่ว่าก่อนจะเข้านิพพานก็จะต้องมีหลักสูตรสุดท้าย ก็คือ ต้องรู้อริยสัจ ต้องเห็นไตรลักษณ์ ต้องเข้ามาทางด้านศาสนาพุทธทั้งหมด เพราะศาสนาอื่นเขารู้ไม่ครบ ถ้าหากว่ารู้ครบเมื่อไหร่ เขาก็ไปได้
    ถาม : เรียนมากลัวไม่มีงานทำ ?
    ตอบ: ที่เรียนมาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำตามที่ตัวเองเรียนซักคนหนึ่งหรอก น้อยคนได้ทำตามสาขาวิชาที่ตัวเองเรียนมา เราต้องการแค่กระดาษแผ่นเดียว เพื่อไปยืนยันว่าเรามีความสามารถ ทั้ง ๆ ที่ความสามารถของเราเหลือเฟือ แต่มันไม่เชื่อ มันเชื่อแค่กระดาษแผ่นนั้น ก็หากระดาษแผ่นนั้นให้มัน แล้วเราก็ไปทำงานของเรา เรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ เขาต้องการแค่ใบยืนยันใบเดียว คนซื้อมาเยอะแยะไป มันไม่เห็นว่าซักคำ
    เขาไม่เชื่อคน เขาเชื่อกระดาษแผ่นเดียว อเมริกาเป็นประเทศที่ถ้าคิดจะไปก็ต้องเป็นประเทศสุดท้ายเลย แต่ว่าสิ่งดี ๆ ของเขาก็มีอยู่ อย่างเช่นว่า คนของเขา เขาไม่สนใจว่าจะจบอะไรมา เขาสนใจว่ามีความสามารถหรือเปล่า ? ช่างทำพวกต่อท่อประปา ทำสวน โอ้โห ค่าแรงแพงหูดับเลย คือระดับแรงงานของเขาใกล้เคียงกันหมด ในเมื่อใกล้เคียงกันหมด คนจะเรียนหรือไม่เรียนก็ตาม ขอให้ทำได้ จุดดีของเขาก็มี แต่เปรียบกับที่ไม่ดี ที่ไม่ดีมันเยอะกว่า
    ถาม : ทำทานการศึกษากับมูลนิธิคนตาบอดอานิสงส์ต่างกันอย่างไร ?
    ตอบ: ต่างกันจ้ะ อานิสงส์คือผลได้ ถ้าหากว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้คือตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ อันนั้นผลจะเต็ม ๑๐๐ ส่วน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ถ้าส่วนไหนส่วนหนึ่งบกพร่องผลนั้นก็จะขาดไป
    อังกุระเทพบุตรตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานคนทั้งกลางวันกลางคืน ๒๐,๐๐๐ ปี แต่ปรากฏว่าเป็นที่เทวดาที่ศักดานุภาพน้อยที่สุดของดาวดึงส์ เพราะว่าในชาตินั้นเป็นระยะที่โลกว่างจากพระศาสนา คนไม่มีศีลมีธรรม กลายเป็นว่าผู้รับไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นก็ดู ทำไปเถอะ อะไรก็ได้ถ้ามันเป็นความดี เราทำเพราะเราต้องการจะตัดความโลภในใจของเรา ให้เรารู้จักสละออก รู้จักเสียสละให้ปันช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เพราะฉะนั้น ทำไปเถอะ ทำมันให้รอบตัวไปเลย อะไรจะเล็กน้อยขนาดไหน เห็นมีโอกาสทำได้ทำไป เพราะว่าอานิสงส์คือผลได้ จะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถึงวาระถึงเวลามันส่งผล คนอื่นเกิดมาอาจจะรวยมาก ๆ แต่อย่างโบราณเขาบอกว่า เศรษฐียังขาดไฟได้ ของเขาเองอาจจะไม่ได้ทำในจุดเล็กจุดน้อยอย่างเรา ถึงเวลาอาจจะมีที่บกพร่องอยู่ แต่ของเรามีโอกาสทำนิด ๆ หน่อย ๆ เราก็ทำ ถึงเวลาก็เก็บมันให้หมดไปเลย ถ้าได้อะไรมันก็ได้ครบถ้วนสมบูรณ์กว่าเขา
    ถาม : ไม่สามารถอธิบายเหตุผล
    ตอบ: บอกเขาว่ามันต้องรู้จักเลือกเนื้อนา คำว่าเนื้อนา คือว่า ผู้ที่เราจะให้ ถ้าหากว่านาดี ผลตอบแทนก็สูง ต้องใช้คำว่าดี ทุกอย่างน่ะดี แต่มันยังมีดีกว่า ดีที่สุด (Good, Better, Best)
    ถาม : เขาบอกว่าไม่ทำหวังผล
    ตอบ: ในลักษณะนั้นก็ดีจ้ะ คือว่าปล่อยวางได้ แต่ว่าลักษณะเหมือนกับการทำงาน ถึงเราต้องการหรือไม่ต้องการ ปลูกต้นไม้ลงไป ถึงเวลาดอกผลมันต้องออก พอถึงเวลาดอกผลมันออกมาไม่ดี คนปลูกบอกว่าไม่หวังผล แต่เห็นแล้วอาจจะไม่สบายใจไปเลยก็มี
    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราไว้ว่าทำอะไร วัตถุที่เราตั้งใจจะทำ ได้มาโดยถูกต้อง ตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ ผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ ผลมันเต็ม ๑๐๐ ส่วนอย่างนี้ ก็เลือกทำในสิ่งที่ดี ๆ ดีกว่า พอถึงวาระถึงเวลา ผลที่ได้มามันก็ชื่นใจสมกับที่เรารอคอย
    มีหลายคนที่คิดแบบนี้ อย่างเช่นว่าทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ แบบนี้มันต้องไปเกิดเป็นอานันทะเศรษฐี มันถึงจะเข็ด เขาจะไม่เข้าใจตรงจุดนี้เลย เพราะว่าอธิษฐานบารมีนี่เป็นบารมีที่สำคัญมาก ถ้าบุคคลที่สร้างบารมีมายังไม่ถึงตอนปลาย จะใช้อธิษฐานบารมี ไม่เป็นเลย ผลทุกอย่างไม่ว่าดีหรือชั่วที่เราทำไป ต้องการหรือไม่ต้องการ มันก็เกิดผลแน่นอน ทางวิทยาศาสตร์ยังยืนยันเลยใช่ไหม ว่าทุกอย่างที่ทำไปมันมีผล คราวนี้ถ้าหากว่าผลนั้นมันมาในจังหวะที่เราต้องการมันก็ดี ถ้ามันมาในจังหวะที่เราไม่ต้องการ เราก็จะแย่ไปเลย
    อย่างเช่นว่า อานันทะเศรษฐี เคยเป็นมหาเศรษฐี แล้วก็รักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ไม่ได้ กลายเป็นคหบดี คือทรัพย์ลดน้อยลงมา จนในที่สุดกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าไปเจอขอทานอยู่หน้าประตูเมืองอาฬวี ท่านก็ยิ้ม พระอานนท์ถามว่าทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยเหตุใด ? พระพุทธเจ้าบอกอานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีมั้ย ? พระอานนท์บอกไม่เห็นเจ้าข้า เห็นมีแต่ขอทาน ท่านบอกขอทานนั่นแหละ คืออาฬวีเศรษฐี สมัยที่ท่านเป็นเศรษฐี ถ้าฟังธรรมจากตถาคตจะได้เป็นพระอนาคามี ตอนที่ทรัพย์ลดลงมาเป็นคหบดี ถ้าฟังธรรมจะได้เป็นพระโสดาบัน แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นขอทาน จิตมัวแต่หมกมุ่นกังวลอยู่กับการทำมาหากิน ถึงฟังธรรมไปก็ไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผล คราวนี้พระอานนท์ท่านจำแม่น ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่เป็นสอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอาฬวีเศรษฐี หรืออานันทะเศรษฐีคนนี้ถึงได้เสื่อม ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าอานันทะเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี
    อธิษฐานบารมีเหมือนกับยิงปืนแล้วเราเล็งเป้า อย่างไร ๆ ให้มันถูกเป้าแน่อนดีกว่า ไม่ใช่ยิงส่งเดช โอกาสมันจะถูกมันก็น้อย เพราะฉะนั้น คนที่จะใช้อธิษฐานบารมีก็คือ เราทำอะไรต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ถึงวาระผลนั้นจะเกิด การอธิษฐานเป็นการเจาะจงว่าให้ผลนั้นเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ เพื่อที่มันจะได้พอเหมาะพอดี พอควรกับความต้องการของเรา ไม่ใช่หิวข้าวตอนนี้ อีก ๓ วัน ข้าวค่อยมาก็อดแย่เลย เพราะฉะนั้นอธิษฐานบารมีเป็นเรื่องสำคัญมาก คนที่ไม่เข้าใจมักจะคิดว่าทำบุญแล้วยังขอโน่นขอนี่เป็นการโลภ เข้าใจผิดมากเลย
    ถาม : ตั้งใจมาเกิด ?
    ตอบ: มีทั้งที่ตั้งใจมาเกิด และทั้งที่มาตามวาระบุญวาระกรรมของตนเอง ที่ตั้งใจมาเกิดก็จะมีงานเฉพาะของตัวเอง เขามักจะตั้งใจอยู่ในลักษณะที่ว่า “เรามาเพื่ออะไร?” พวกนี้จะมีกฎกติกายุ่ง ๆ หน่อย พูดไปแล้วบางคนหาว่าอาตมารู้มากเกินมนุษย์ จะมีบุคคลประเภทหนึ่งที่แซงคิวเขามาเกิด โบราณบางทีด่าเจ็บ ๆ ว่าชิงหมาเกิด ที่แซงคิวเขามาเกิดส่วนใหญ่จะเป็นเทวดาเป็นพรหมอยู่ข้างบน คราวนี้รู้ว่าวาระอีกไม่นานตัวเองจะหมดอายุแล้ว ถ้าหากรอให้หมดอายุไปตามกรรมของตัวเอง อาจจะไม่ดีก็ได้ ก็จะดูว่าจุดไหนที่เหมาะสมที่ตัวเองจะลงไปเกิด แล้วมีโอกาสได้ปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา เพื่อสร้างสมบุญบารมีให้ดีกว่าเดิม ก็จะตั้งใจว่าลงไปเพื่อทำงานอย่างนั้น ๆ เมื่อถึงวาระถึงเวลาจะได้ปฏิบัติธรรม แล้วกลับขึ้นมาให้ดีกว่าเดิม ถ้าอย่างนี้ต้องหาเทวดาผู้ใหญ่ท่านคอยรับรองให้ ถ้าเทวดาผู้ใหญ่ที่คอยรับรอง พวกนี้จะเรียกว่า เกิดมาแล้วพยายามชั่วก็ชั่วไม่สำเร็จ เพราะมีคนคอยคุมคอยกระหนาบอยู่ตลอดเวลา
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถึงเวลาก็เลือกลงมา บางทีก็ลงมาในสถานที่ที่ไม่น่าจะลง อย่างครอบครัวลำบากยากจน แต่ถึงวาระอายุระดับหนึ่งก็จะมีโอกาสได้พบธรรมะของพระพุทธเจ้า มีโอกาสได้ปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าเดิมของตน เขาจะพากเพียรพยายามทำไป จนในที่สุดก็กลับไปที่เดิมหรือที่ดีกว่าเดิม
    ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้น เกิดจากหมดกรรมหรือหมดบุญลงไปเกิด พวกนี้ก็แล้วแต่ว่าเศษบุญเก่ากรรมเก่ามีเท่าไร ถ้าเศษกรรมมีมากก็เกิดในที่ลำบากหน่อย ถ้าหากว่าเศษบุญมีมากก็เกิดในที่สบายหน่อย คือมีทั้งที่ตั้งใจมาเกิดและวาระของเขาพอดีที่จะได้เกิด
    อย่าไปเจอที่เจ้าของหวงนะ ถึงเวลาเอาของกูคืนมา เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า มีคนหนึ่งซื้อเสื้อมาใส่ แล้วกลางคืนฝันร้ายมีแต่คนมาทวงตลอด ก็แปลกใจไปถามคนขาย ไล่ไปไล่มา มันไปเอาของเก่าที่เจ้าของโดนรถชนตายมาขาย เจ้าของมาตามทวงเสื้อคืน คือเขาตายก่อนหมดอายุ ในเมื่อตายก่อนหมดอายุเขาเรียกอุปฆาตกรรม โบราณเรียกว่า ตายโหง ยังไม่ถึงอายุแล้วตายไปรับบุญรับบาปไม่ได้ ก็ต้องล่องลอยวนเวียนอยู่ เป็นพวกเร่ร่อนที่เขาเรียกว่า สัมภเวสี พวกนี้ส่วนใหญ่ ถ้าหากว่าไม่มีที่ไปก็กลับบ้าน รอญาติโยมตัวเองทำบุญให้ ถ้าหากว่าญาติรู้จักทำบุญให้ดีก็มีความสบายคล้ายเทวดา ไม่อย่างนั้นก็ต้องลำบากเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ ถ้าหากว่ามีอำนาจมากหน่อย ได้รับผลบุญก็จะสบายไปเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ได้รับตรงจุดนั้นก็ลำบาก ถ้าหมดอายุขัยเมื่อไรไปทันที
    คราวนี้อายุของมนุษย์กับอายุของเขาต่างกันเหลือเกิน ในเขตของสัมภเวสีเขา ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา มันจะแป๊บเดียวของเขา แต่ว่ามันประมาณ ๒๐ ปีของเรา คือถ้าสมมติว่า ของเขา ๑ วันเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา ก็เท่ากับ ๒๐ ปี เขารอไม่ถึงครึ่งวันดี นั่นเท่ากับว่าไวกว่าเรามาก
    ไม่มีจ้ะ อยู่ที่จังหวะนั้นวาระนั้น ผลกรรมประเภทไหนส่งผลพอดี เพราะว่าคนเราไม่ได้ทำดีต่อเนื่องยาวนาน มันมีดีมีชั่วสลับกันไป อันไหนที่แรงกว่าให้ผลมากกว่าก็จะมาก่อน อันที่กำลังน้อย ถึงวาระถึงเวลา ผลกรรมแรง ๆ มันหมดแล้วถึงจะมา เหมือนกับว่าเกวียนวิ่งมาก่อน ๑ วัน รถยนต์วิ่งแซงพรวดไปแล้ว ถ้าหากว่ารถยนต์ไปหมดแล้ว มอเตอร์ไซด์ไปแล้ว จักรยานไปแล้ว เดี๋ยวเกวียนมันมาเองโดนจนได้ล่ะจ้ะ


    กระโถนข้างธรรมาสน์ (ธรรมมะ สนุกๆ เข้าใจง่าย กับหลวงพี่เล็ก ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี)


    พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลถ้ามีวิสัยจะได้มรรคผล อย่างไรก็ไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    6. บารมี แปลว่า อะไร ผมขอยกทำเทศน์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ มาให้ฟังครับ


    "บารมี" แปลว่ากำลังใจเต็ม


    [​IMG]


    คัดลอกข้อความบางส่วน มาจากหนังสือบารมี ๑๐ โดยพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทเริ่มปฏิบัติ อาตมาก็คิดในใจว่าร่างกายไม่ดีแบบนี้เราจะทนมันอยู่ทำไม ไปเสียจากร่างกายดีกว่า ปล่อยให้มันนั่งอยู่ตรงนี้ พอสัญญาณบอกเวลาปรากฏเราจึงจะกลับมา ฉะนั้นจึงได้ไปเสียจากกาย ไปไหว้พระ จะไปแบบไหนอันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาไม่บอก บอกไม่ได้ ไปอย่างไร ไปโดยวิธีไหน อยากจะรู้ก็ปฏิบัติกันเอาเอง แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่ของดีของเด่นอะไรนัก การไปได้มาได้ถ้าใจเหลิงเกินไปก็ยังลงนรกได้ ไม่ใช่ของพิเศษ เมื่อออกไปแล้วก็พบองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    นี่ขวางกับชาวบ้านเขาแล้ว เขาบอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว จะพบกันได้ยังไง นั่นมันเรื่องของเขาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นี่มันเรื่องของอาตมา อาตมาพบกันได้ก็แล้วกัน เมื่อพบแล้วก็เข้าไปนมัสการองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว พอเงยหน้าขึ้นมาพระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า "สัมพเกษี วันนี้เธอสอนบารมี ๑๐ ทัศใช่ไหม ...?"

    ก็กราบทูลพระองค์ว่า "ใช่พระพุทธเจ้าข้า" พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "สัมพเกษี บารมีแปลว่าอะไร...?"

    ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขอได้โปรดทราบว่า ถ้าอาตมาสอนถูกพระองค์จะไม่ทรงตรัสแบบนั้น อาตมารู้ทันรู้เท่าเข้าใจทันทีว่า การสอนวันนี้ผิดพุทธพจน์บทพระบาลี

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทการสอนนี้ไม่ใช่ว่ามันจะถูกเสมอไป มันก็ผิดได้เหมือนกัน เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรมีพระพุทธฎีกาตรัสถามแบบนั้นอาตมาก็ทราบ จึงได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่แน่ใจนักพระพุทธเจ้าข้า แต่ที่เรียนกันมา ครูสอนว่าบารมีแปลว่าเต็ม"

    พระองค์จึงทรงตรัสถามว่า "อะไรมันเต็ม และมันเต็มแบบไหน สมมุติว่าเธอจะปฏิบัติในทานบารมี ทำยังไงทานบารมีมันถึงจะเต็ม ถ้าหากว่าจะนำของมาให้เต็มโลก เธอจะไปขนมาจากไหน ถ้าเราจะไม่นำของมาให้ ทำยังไงทานบารมีมันจึงจะเต็ม...?"

    แบบนี้มันก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าคนอย่างอาตมา ถ้าหากว่าท่านที่เป็นนักปราชญ์ดีกว่าอาตมาก็ไม่เป็นไร ท่านไปได้ เพราะท่านมีความเข้าใจ ท่านมีความฉลาด อาตมาบอกแล้วนี่ว่าอาตมามีความรู้ไม่เท่าหางอึ่ง คือยาวไม่เท่าหางอึ่งหรือไม่แค่หางอึ่งเพราะความโง่มันมาก

    เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสแบบนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจในบารมีพระพุทธเจ้าข้า"

    พระองค์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "สัมพเกษี เธอเข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ว่าเธอดีแต่เฉพาะบริโภคเองเท่านั้น แต่การที่จะแบ่งปันให้บุคคลอื่นน่ะ เธอไม่มีความฉลาด การที่เธอตั้งกำลังใจในด้านบารมี ๑๐ ทัศ เป็น ๓๐ ทัศ ด้วยกัน ๓ ชั้น เธอทำได้ แต่ว่าวันนี้เธอสอนบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เธอทำไม่ถูก เธอจงมีความเข้าใจเสียใหม่ว่า คำว่าบารมีนี้มันแปลว่าเต็ม แต่อะไรมันเต็มตถาคตจะบอกให้ว่า บารมีนี่ควรจะแปลว่ากำลังใจเต็ม "

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จำไว้ให้ดีว่า คำว่าบารมีก็คือกำลังใจ ทำกำลังใจให้เต็ม ตอนนี้ซิชักจะฉลาดขึ้นมาทันที มานึกในใจว่าเรานี่มันแสนจะโง่เสียมาก

    กำลังใจเต็มตอนไหนบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านก็ทรงให้ทวนเรื่องบารมี ๑๐ ทัศ ว่ามีอะไรบ้าง อาตมาก็ถวายคำตอบแก่พระองค์ว่า

    ๑. ทานบารมี
    ๒. ศีลบารมี
    ๓. เนกขัมมบารมี
    ๔. ปัญญาบารมี
    ๕. วิริยบารมี
    ๖. ขันติบารมี
    ๗. สัจจบารมี
    ๘. อธิษฐานบารมี
    ๙. เมตตาบารมี
    ๑๐. อุเบกขาบารมี

    องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า สัมพเกษี ถูกแล้ว บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด ให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ไม่มีอะไรบกพร่อง คือ

    . จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
    . จิตพร้อมในการทรงศีล นี่ซิบรรดาพุทธบริษัท พร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ ไม่ใช่ปล่อยให้ศีลมันหล่นไป
    . จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะก็แปลว่าการถือบวช บวชผมยาว บวชผมสั้น บวชโกนหัว ไม่โกนหัว ได้ทั้งนั้น
    . จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารอุปาทานให้พินาศไป
    ๕. วิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
    . ขันติ มีทั้งอดทั้งทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
    . สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลาว่าเราจะจริงทุกอย่าง ไม่มีอะไรในคำว่าไม่จริงสำหรับใจเรา ในด้านของการทำความดี
    . อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
    . เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดีไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
    ๑๐. อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ ในเมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว อย่างที่เธอเป็นวันนี้ อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า ช่างมัน ขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า วันนี้ยังไม่สอนอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัท เรามาคุยกันในคำว่า บารมีทั้งหลาย ได้ทราบชัดว่า บารมีที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ให้เราสร้างให้มันเต็มนั้น ก็คือสร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจ ให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ ไม่ ใช่ว่าเราจะมานั่งคิด เราจะมานอนคิด เราจะมาทรงจิตว่า เอ๊...บารมีของเรามันไม่มีนี่ ชาติก่อนบารมีของเรามันไม่พอ บารมีของเรายังไม่เต็ม เราจะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ยังไงได้

    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีความเข้าใจตามนี้ พอยังจะรู้รึยังว่าเราสามารถจะสร้างบารมีได้ด้วยอาศัยกำลังใจ ความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทมี กำลังใจอย่างเดียวเท่านั้นที่เราจะทำให้มันดีหรือไม่ดี อันนี้ก็ตรงกับพระบาลีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในเรื่อง พระจักขุบาล ว่า

    มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ นี่ความจริงเรื่องนี้ก็เรียนกันมาแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่เวลาปฏิบัติจริง ๆ มันทำไมถึงลืมก็ไม่ทราบ

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านคงจะเข้าใจคำว่า บารมี แล้วอย่าลืม บารมีแปลว่าเต็ม แต่ส่วนที่เราจะทำให้เต็มนั้นก็คือกำลังใจ ให้กำลังใจมันพร้อม พร้อมที่จะทรงความดีในด้านบารมีไว้ ถ้ากำลังใจของเราพร้อมทรงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเพียงใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่าย

    ที่นำบารมีทั้ง ๑๐ ประการมากล่าวในตอนนี้ก็เพราะว่า ในตอนต้นพูดเรื่องพระโสดาบันเข้าไว้ เห็นว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะคิดว่า แหม...มันยากเกินไป ถ้ากำลังใจในการสร้างตนเป็นพระโสดาบันมันยังครบถ้วนไม่ได้ ก็หันมาจัดการกับบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์

    ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
    ศีล เราก็ตัดความโกรธ
    เนกขัมมะ ตัดอารมณ์ของกามคุณ
    ปัญญา ตัดความโง่
    วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
    ขันติ ตัดความไม่รู้จักการอดทน
    สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
    อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์
    เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
    อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเราไม่ปรารภ

    เท่านี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทสมบูรณ์เพียงใด คำว่า พระโสดาบัน นั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะรู้สึกว่าง่ายเกินไปสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ก็เพราะว่าคนที่มีบารมีเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ มีกำลังใจเต็มทุกอย่างใน ๑๐ ประการนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เรียกว่าพระโสดาบัน แล้วท่านเรียกว่าอะไร ท่านเรียกว่า พระขีณาสพ แปลว่า ผู้มีอาสวะอันสิ้นไปแล้ว หรือเรียกว่า พระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาอันดับสูงสุดเข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน ได้

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี

    ที่มาhttp://www.luangporruesi.com/326.html
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ขอเกิดในเขตพระพุทธศาสนา

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #998049; COLOR: #998049" SIZE=1>ถาม : เราอธิษฐานได้ไหมครับว่า "ถ้าเกิดมาชาติไหนถ้าหากว่าเรายังไม่เข้าพระนิพพาน ขอให้เกิดในเขตพระพุทธศาสนาอย่างเดียว ? "
    ตอบ : อธิษฐานได้ แต่ถ้ากำลังใจยังไม่มั่นคงในพุทธานุสติก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดได้ ถ้ากำลังใจมั่นคงในพุทธานุสติจริง ๆ อย่างไรก็ไม่หลุดออกนอกเขตพระพุทธศาสนา


    ถาม : อย่างนี้ถ้าหลุดออกไปก็มีโอกาสซวยสูง..?
    ตอบ : ไม่แน่เหมือนกัน อย่างพระเยซู ท่านไปเกิดที่โน่นก็จริง แต่ท่านสามารถที่จะบรรยายธรรม สอนธรรมจนกระทั่งกลายเป็นศาสนาคริสต์ขึ้นมาได้

    แบบเดียวกับที่เราอ่านในพระไตรปิฎก ตามชาดกต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าไปเสวยชาติ ถึงเวลาท่านก็ต้องบรรยายธรรมะ ถือว่าอยู่ในส่วนที่ท่านบำเพ็ญบารมีมา ท่านรู้แค่ไหนท่านก็ว่าไปแค่นั้น

    ถ้าหากว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงไปยืนยันว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า "พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์ จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า" มีหวังถูกทางศาสนาคริสต์กัดตายเลย..! หาว่าเอาศาสดาของเขามาเล่นซะแล้ว เพราะว่าตอนนี้เขากำลังพยายามที่จะประชาสัมพันธ์ว่า พระพุทธเจ้า คือประกาศกของพระคริสต์ ที่ส่งมาประกาศศาสนาทางตะวันออก เพื่อเอาไว้รองรับศาสนาคริสต์ในโอกาสข้างหน้า

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระพุทธเจ้า ตรัส ไว้แล้ว เรื่องการได้ พบ พระพุทธศาสนา


    ผมไม่กล้า ไป ปรามาส พระพุทธเจ้า หรอกครับ



    ผู้ไม่มีโชคได้พบพระพุทธศาสนา

    ปัญหา มีคนประเภทไหนบ้าง ที่ไม่มีโชคได้พบพระพุทธศาสนา ได้ประพฤติพรหมจรรย์ และได้ลิ้มรสความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม.... และธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้.... แต่บุคคลผู้นี้เขาถึงนรกเสีย...
    “อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย....

    “อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงปิตติวิสัยเสีย....

    “อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย....

    “อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม..... นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบท และอยู่ในพวกมิลักขะไม่รู้ดีรู้ชอบ.... อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปมา....

    “อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขาเป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มีโลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้น (โอปปาติก) ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก

    “อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขามีปัญญาทราม บ้าใบ้ ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิต และทุภาษิต

    “อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม.... แต่พระตถาคตมิได้แสดง ถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌมิชนบท และมีปัญญาไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุภาษิต....”

    อักขณสูตร อ. อํ. (๑๑๙)
    ตบ. ๒๓ : ๒๒๙-๒๓๐ ตท. ๒๓ : ๒๐๑-๒๐๒
    G.S. IV : ๑๕๒-๑๕๓


    258 <!-- google_ad_section_end -->
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    ........................................
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ....................................
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กสิณเป็นมโนภาพใช่หรือไม่


    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ กสิณนี่เป็นมโนภาพใช่ไหมครับ........?
    หลวงพ่อ กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง
    ผู้ถาม ต้องใช้ดูวัตถุ ใช่ไหมครับ.....?
    หลวงพ่อ ใช่ ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ ถ้าเราจะตั้งก็ได้ แต่เป๋ ถ้าดูวัตถุยังไม่ค่อยจำ นี่เล่นมโนภาพ ระวังกสิณโทษจะเกิด อย่างเราเจริญปฐวีกสิณ จะต้องเอาจิตจับไว้เฉพาะปฐวีกสิณอย่างเดียว ถ้าภาพอื่นข้ามาแทรกต้องตัดทิ้งทันที นั่นเขาถือว่าเป็นกสิณโทษ จนกว่ากสิณกองนั้นเข้าถึงฌาน ๔ แล้วก็คล่องตัว จึงจะย้ายไปเป็นกสิณกองอื่นต่อไป
    ถ้ากสิณกองต้นเราได้แล้ว ถ้าภาพอื่นเข้ามาเราตัดเลย เพราะว่าเราเจริญปฐวีกสิณ ดูดิน ถ้าบังเอิญกสิณอย่างอื่นเข้ามาแทน เช่น กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ มันแจ่มใสกว่า เราจะยึดเอาไม่ได้ต้องตัดทิ้งทันที จนกว่ากสิณกองนั้นจะจบถึง ฌาน ๔ ให้มันคล่องจริง ๆ ไม่ใช่แต่ทำได้นะ
    คำว่าคล่องจริง ๆ หมายความว่า ถ้าเรากำลังหลับอยู่ ถ้าเราตื่นขึ้นมา เราจะจับฌาน ๔ ถ้าคนกระตุกพั้บเราจับฌาน ๔ ได้ทันที กสิณกองนั้นจึงชื่อว่าคล่อง

    ถ้าเหน็ดเหนื่อยมาแต่ไหนก็ตาม ถ้าจะจับฌาน ๔ ต้องได้ทันทีทันใด เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที ใช้ไม่ได้ถ้าคล่องแบบนี้ละก็กสิณอีก ๙ กอง เราจะได้ทั้งหมด ไม่เกิน ๑ เดือน เพราะว่าอารมณ์มันเหมือนกัน เปลี่ยนแต่รูปกสิณเท่านั้น

    ฉะนั้นการได้กสิณกองใดกองหนึ่ง ก็ต้องถือว่าได้ทั้ง ๑๐ กอง เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ยาก ของเหมือนกัน แต่เพียงแค่เปลี่ยนสีสันวรรณะเท่านั้นเอง มันจะขลุกขลักแค่ครึ่งชั่วโมงแรก เดี๋ยวก็จับภาพได้ แล้วจิตก็เป็นฌาน ๔ นี่เราฝึกกันจริง ๆ นะ ถ้าฝึกเล่น ๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง

    http://www.danpranipparn.com/web/anser/anser168.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...