รวมบทความ ที่เป็นประโยชน์กับชีวิต ของกลุ่มประสานงานฯ(เขากะลา)เพื่อออกจากทุกข์ ทำทันทีได้ทันที

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย MOUNTAIN, 3 ธันวาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081

    ข้อความโดย

    สุดใจเขากะลา

    • สมาชิกกิตติมศักดิ์
    • ระบบสมบูรณ์
    • [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    ข้อความจาก... บุคคลท่านหนึ่งที่กล่าวถึง..กลุ่มเขากะลา

    ผม ว่ากระทู้นี้และงานของกลุ่มเขากะลาเป็นประโยชน์อย่างมากครับ ถึงมนุษย์ต่างดาวและภัยพิบัติจะมีจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่างน้อยผมอ่านแล้วก็ได้เปิดโลกทัศน์รับรู้อะไรในมุมมองใหม่ๆที่ยังไม่เคย รู้และได้เรียนรู้วิธีเจริญสติสมาธิแบบใหม่ๆด้วยครับ

    ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลและประสบการณ์ที่นำมาแชร์....ผมจะติดตามกระทู้นี้ต่อไปเรื่อยๆครับ



    ยินดี เป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่ข้อมูลส่วนหนึ่งของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ได้เกิดประโยชน์ และเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับท่าน ได้นำไปพิจารณาเทียบเคียงกับธรรมะที่ปฏิบัติกันในอยู่ในปัจจุบัน หรือหากนำมาผสมผสานกันแล้วทำให้เข้าใจได้โดยง่าย มีความทุกข์น้อยลง มีการยึดมั่นถือมั่นน้อยลง มีการปล่อยวางได้มากขึ้น เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาตินั้น ๆ

    พี่สุดใจคิดว่า หากมีการนำมาพิจารณาประกอบกันแล้วเกิดความเข้าใจ ปฏิบัติแล้วได้ผล โดยวัดจากความทุกข์ที่น้อยลงตามไปด้วย การปล่อยวางที่มีเพิ่มมากขึ้นนั้น นั่นหมายความว่าการฝึกสติ สมาธิแบบนี้อาจจะถูกกับจริตของท่านก็ได้

    ขออย่าได้ไปยึดติด หรือจำกัดรูปแบบ ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้...เท่านั้น

    เพราะ ถ้าลองดูในสมัยพุทธกาล ที่พระภิกษุรูปหนึ่งท่านมาบวชพร้อมพระพี่ชาย แต่ท่านจำบทสวดมนต์ไม่ได้ แม้จะพยายามท่องแต่ละบทอย่างพากเพียร ก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี จึงคิดว่าชาตินี้คงไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ท่านจึงท้อใจจะลาสิกขาบท แต่พระพุทธองค์ท่านมีญาณหยั่งรู้ และได้ให้ภิกษุองค์นั้น นั่งถูผ้าเช็ดหน้าสีขาวพร้อมกับภาวนาคำหนึ่งไปด้วย และเมื่อนั่งถูผ้าไปเรื่อย ๆ ผ้าสีขาวนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มสกปรก เริ่มดำ ท่านเห็นดังนั้น จึงพิจารณาผ้าผืนนั้น เห็นความไม่เที่ยง เห็นความแปรปรวนไป และบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้นเลย นั่นแสดงว่า รูปแบบการพิจารณาเช่นนั้น ถูกต้องตรงกับจริตของพระภิกษุองค์นั้น นั่นเอง


    ดัง นั้น การเจริญสติ การทำสมาธิ หรือจะเป็นการวิปัสสนาเห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง จึงมีหลากหลายวิธี นั่นก็เพื่อที่ใครถูกจริตกับวิธีไหน ทำแล้วมีความสงบ ทำแล้วมีความเข้าใจ ก็ให้เลือกทำแบบนั้น

    มนุษย์ ต่างดาว ที่กำหนดรูปแบบการฝึกนั้น แม้จะเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างแปลกไปบ้าง แต่จุดมุ่งหมายไม่ได้แปลกแตกต่างจากการปฏิบัติธรรมเลย สอนแค่ในขันธ์ห้าเท่านั้น ให้เห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริงของธรรมชาติ และออกจากขันธ์ห้าที่ยึดติดกันอยู่

    ส่วนที่เหลือ ก็เป็นงานการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตามกฏของธรรมชาตินั่นเอง


    เพราะ มนุษย์ คิด เห็น เชื่อ ตามสิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น จะนำมาใช้กับทางจิตมันยังไม่ถึง ดังนั้นผู้ที่มีความเจริญทางจิตในขั้นสูง ท่านสามารถรู้เห็น ทำในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้อีกมากมาย วิทยาศาสตร์ยังต้องตามรู้ไป ยังห่างไกลกันนัก

    1 + 1 = 2 จริงหรือ ?

    เพราะมนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า มีสิ่งที่มนุษย์ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจมีอีกมากในธรรมชาติ มันไม่ได้ตรงไปตรงมาตามที่คิดคำนวณ

    ครั้งหนึ่งสอนโดยนำทราย 2 กอง มาวางไว้ข้าง ๆ กัน แล้วให้บวกทรายกองหนึ่ง เข้ากับทรายอีกกองหนึ่ง


    1 + 1 = 1

    เพราะเมื่อนำทราย 2 กอง มารวมกัน เราก็จะได้ทราย 1 กองเท่านั้น

    ผู้ที่เดินผ่านมาเห็นก็จะเห็นเพียงทรายกองใหญ่ 1 กอง เขาก็จะนับเป็น 1

    และเมื่อมีทรายอีก 1 กองมาวางไว้ข้าง ๆ เขาก็จะเริ่มเอามาบวกกันอีก 1 + 1 ก็จะกลายเป็น 1 อีก โดยกองใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง

    มันจึงไม่ได้ตรงไปตรงมาตามที่วิทยาศาสตร์คิดคำนวณ... มันอยู่ที่เหตุปัจจัยต่างหาก

    ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวได้กล่าวไว้ 3 ประโยค และเป็นแนวทางการฝึกเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ก็ยังคงทันสมัยเสมอในปัจจุบันนี้ ก็คือ

    เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

    อะไรก็เกิดขึ้นได้

    อย่าตีกรอบ


    ...
     
  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    เพราะ เมื่อใด ที่คิดว่าสิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนี้ เท่านั้น ตามที่เคยได้รู้ ได้เห็น ได้ที่เขาบอกเล่าต่อ ๆ กันมา ก็หมายความว่า ยังมีกรอบของความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ กักขังท่านเอาไว้นั่นเอง

    เหมือนพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้ว กล่าวว่า ขันธ์ 5 นี้ไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ได้เป็นของของตน ไม่ได้เป็นตัวเรา ไม่ได้เป็นของของเรา

    แล้วจะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจ แล้วละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ได้อย่างไม่ใยดี

    เพราะ บุคคลทั่วไปยังอยู่ในกรอบของความคิดเห็น ว่านี่เป็นตัวเรา เป็นของของเรา จึงยังคงมีตัวตน มีคนทะยานอยาก มีการสะสมให้ตัวเรา ให้กับครอบครัวเรา ให้ญาติสนิทมิตรสหายของเรา ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีความเห็นที่เป็นตัวตน

    ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ที่พอเกิดมา ก็จะมีผู้บอกว่า นี่ตัวเรานะ นี่ชื่อเรานะ.. จึงมี....ชื่อเราประจำตัวตน...ของเรา

    มี พ่อเรา แม่เรา พี่เรา น้องเรา บ้านเรา ของเล่นของเรา หนังสือของเรา โตขึ้นมา ก็มีเพื่อนของเรา โรงเรียนของเรา ข้าวของของเรา รถของเรา แฟนของเรา
    เมื่อถึงวัยทำงาน ก็มีงานของเรา เงินของเรา บ้านของเรา สามีภรรยาของเรา ครอบครัวของเรา

    เมื่อสูงวัย แม้ทำงานไม่ได้ ก็ยังมีความห่วงใยใน ลูกของเรา หลานของเรา ความเจ็บป่วยของเรา และชีวิตของเราที่ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที
    และยังมีความทุกข์... ทั้งมาก ทั้งน้อย ประกอบให้ตลอดรายทางอันยาวนานนั้น

    ไม่มีช่องว่างใด ที่จะเห็นได้ว่า ... นี่ไม่ได้เป็นตัวตน นี่ไม่ได้เป็นของของตน นี่ไม่ใช่ตัวเรา นี่ไม่ใช่ของของเรา

    ทุกคนจึงยังคงวนเวียน อยู่ในกรอบของความมีตัวตน ความมืดมิดของสัจจะธรรม

    แล้วใครจะมาตีกรอบให้แตก ทลายกรอบในความเห็นผิดนี้ออกไปได้

    ถ้าไม่ใช่ผู้มีปัญญา ที่ได้มาตรัสรู้....เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ที่มืดบอดเหล่านี้

    แสง แห่งธรรมเกิดได้ขึ้นแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบทางสว่างแล้ว ดุจแสงเทียนที่ถูกจุดขึ้นในความมืด ให้สัตว์ทั้งหลายที่กำลังหลงทาง อยู่ภายในถ้ำอันมืดมิด มาหลายกัป หลายกัลป์ มายาวนานอันประมาณไม่ได้นั้น ได้แต่คลำหาทางท่ามกลางความมืดอยู่นั้น ได้มองเห็นแสงสว่างรำไร ให้ผู้หลงทางได้เดินตามแสงนั้นไป เพื่อออกสู่ปลายอุโมงค์

    เมื่อท่าน ชี้ทาง เมื่อท่านนำทางแล้ว จะมัวช้าอยู่ใย ธรรมะที่เป็นแก่นแท้ ที่ท่านสอนไว้ ในกฏไตรลักษณ์ ใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น นำมาพิจารณา นำมาไตร่ตรอง แล้วเร่งปฏิบัติกันเถอะ...

    เพราะเวลาที่เหลือนั้น มันไม่ได้มากมายนัก และก็ไม่รู้ว่า จะละขันธ์ 5 ขันธ์นี้ไปกันเมื่อไร

    ควรปฏิบัติเพื่อให้ละจากกัน ก่อนที่จะละขันธ์จริง

    คือ...ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ให้ได้ ก่อนที่ขันธ์นี้ จะสูญสลายไปตามเวลา

    เรียกว่า ช่วงชิงเรียนรู้จากขันธ์ 5 ที่ไม่ได้เป็นของใคร ให้มีความเข้าใจให้มากที่สุด

    หากชาติปัจจุบันยังปล่อยวางไม่ทันทั้งหมด ... คงเหลือการยึดมั่นถือมั่นอยู่บ้าง แต่ก็จะอยู่ในระดับที่บางเบาแล้วนั้น

    ก็จะเป็นเหตุปัจจัย เอื้อในการปฏิบัติธรรม ในชาติต่อ ๆ ไป

    เมื่อเกิดมาชาติใหม่ ก็จะมีการปล่อยวาง ไม่อยากได้อยากมี อยากเป็น

    ด้วยเห็นความเป็นอย่างนั้นเองของธรรมชาติมากขึ้นนั่นเอง.


    ...
     
  3. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สุดใจเขากะลา


    • สมาชิกกิตติมศักดิ์
    • ระบบสมบูรณ์
    • [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    • [​IMG]



    ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3



    รู้จักขันธ์ห้าตามความเป็นจริง


    ในหลายวันที่ผ่านมา มีเสียงโทรศัพท์ดังแทบจะไม่ขาดสาย มีการสนทนากับหลายท่าน หลายบุคคล เป็นการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยวาง วิธีการดูขันธ์ห้า อุบายธรรมที่จะลด ละ อัตตาตัวตน จากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าเสียเป็นส่วนใหญ่

    มีการอธิบาย มีการขยายความ มีการตอบคำถามอย่างต่อเนื่อง และก็เป็นที่น่ายินดีที่หลายท่านมีความเข้าใจ และมีการปล่อยวางมากขึ้น ความทุกข์จึงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

    ในบางส่วน หลายบุคคลที่ได้เข้ามาใหม่ในช่วงหลัง ๆ แล้วยังไม่ได้อ่านข้อความที่ระบบให้ลงข้อมูลไว้ตั้งแต่ในช่วงแรก ๆ ของกระทู้แห่งนี้ เพราะมาสนใจ เข้ามาอ่านใหม่ ในช่วงหลัง ๆ ก็มีจำนวนมาก

    ระบบ ได้สอบถามความเข้าใจเป็นพื้นฐานของแต่ละท่านก่อน ก่อนที่จะชี้แนะวิธีการตามจริตของแต่ละคนให้ และมีหลายท่านที่ระบบให้กลับไปอ่านข้อความการรู้จักกลไกการทำงานของขันธ์ห้าในพื้นฐานก่อน ซึ่งเป็นการอธิบายให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของขันธ์ห้าในมุมมองของธรรมชาติ เพื่อทำความเข้าใจก่อน

    เมื่ออ่านแล้วมีความเข้าใจ มีการอยากจะให้อธิบายเพิ่มเติม ระบบก็จะอธิบายในวิธีการปล่อยวางให้มากขึ้นไปอีกได้ คือเพิ่มเติมจากพื้นฐานความเข้าใจเดิมต่อขึ้นไปนั่นเอง

    หลาย ๆ ท่านต้องไปค้นหาข้อความเหล่านี้มาอ่าน มาศึกษา และหลายท่านมีความเข้าใจในกลไกของธรรมชาติมากขึ้น จึงได้มีการอธิบายเพิ่มความเข้าใจเข้าไปอีก และสามารถปฏิบัติได้ ละวางได้ เป็นความเป็นเช่นนั้นเองของขันธ์ห้าได้อย่างเร็วเลยทีเดียว และความทุกข์ที่เคยเกาะกินเพราะความรู้ไม่เท่าทันขันธ์ห้า ก็พลอยกินได้ยากไปด้วย

    วันนี้ พี่สุดใจ ก็จะขอนำข้อความพื้นฐานที่จำเป็นมาให้อ่านกันสักนิด เพราะหลายท่านสามารถเข้าใจ ในความหมาย ในคำพูด ในการอธิบายแบบง่าย ๆ นี้ได้ โดยไม่มีความซับซ้อนให้ต้องไปตีความกันอีก

    บางท่านที่ยังไม่เคยได้อ่านมาก่อน ก็ลองมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจก่อน ท่านอาจจะได้แนวทางการปล่อยวาง จากข้อความเหล่านี้ก็เป็นได้

    ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ

     
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    โลกนี้...ก็คือละครโรงใหญ่ ในกลไกของธรรมชาติ มีกรรม วิบากกรรม เป็นผู้คัดเลือก ให้แต่ละท่านมาเล่นตามบทนั้น ๆ อย่างเหมาะสม

    ถ้าเลือกได้ ก็คงมีแต่คนอยากเกิดมาในกองเงินกองทอง เกิดมาสวย รวยทรัพย์ เกิดมาสุขสบายกันทั้งนั้น

    ไม่มีใครอยากเลือกเกิดมาลำบาก เกิดมายากจน เกิดมาพิกลพิการ

    แต่.... เพราะไม่มีใครเลือกเกิดได้....ตามอำเภอใจตนเอง ด้วยวิบากกรรมต่าง ๆ ที่ทำไปด้วยความไม่รู้ เป็นผู้จัดสรรให้มาเล่นบทนั้น ๆ

    ถ้ายังออกจากกรรม วิบากกรรมของแต่ละคนไม่ได้ ก็ยังคงต้องมาเล่นบทบาทต่าง ๆ มากมาย ทั้งบทพ่อ แม่ ลูก ผู้ชาย ผู้หญิง พี่ ป้า น้า อา คนรวย คนจน เจ้านาย ลูกน้อง สวมหัวโขนด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ และเล่นกันต่อไป หลายภพ หลายชาติ จนนับไม่ถ้วน
    ด้วยการวนเวียนมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตาย ในโรงละครนี้

    แม้วันนี้ จะเลือกเกิดไม่ได้
    แต่เลือกที่จะ...."ไม่เกิด"...ได้ ..... ถ้าเข้าถึงกลไกของธรรมชาติ
    คือ เลือกได้.... ที่จะไม่เกิดอีก เลือกที่จะไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอีก

    พระพุทธองค์ ท่านพบหนทางของการ หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านเข้าถึงกลไกของธรรมชาติเหล่านั้น ค้นพบทางที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว จึงชี้ทาง บอกทางให้กับผู้ที่มืดบอดด้วยอวิชชา ได้รับรู้ และดำเนินตามท่านเพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏอันยาวนาน
    พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ดำเนินตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ชี้ทาง และหลุดพ้นจากอวิชชา พ้นจากอุปาทานทั้งหลาย ไม่ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายเช่นกัน

    แม้ผู้ที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ ดำเนินตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มีการไตร่ตรองในธรรมนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือบุคคลใด ๆ ก็ตาม ก็สามารถเข้าถึงกฏสัจธรรมนี้ได้ หากมีปัญญาเห็นธรรม หรือเห็นจริงในธรรมชาติเหล่านั้น
    และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เช่นกัน

    ดังนั้น จึงต้องพุ่งเป้าไปที่ขันธ์ห้าของตนเองเป็นหลัก เพื่อเรียนรู้ให้เชี่ยวชาญในการดับทุกข์ในขันธ์ห้า หมั่นพิจารณาให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา

    มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เพราะมันทนอยู่อย่างเดิมไม่ได้ มันต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมันก็ไม่ได้เป็นตัวใครของใครทั้งสิ้น มันจึงบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยนั่นเอง

    หากเชี่ยวชาญในการดับทุกข์ในขันธ์ห้า และออกจากอุปาทานทุกข์เหล่านั้นได้

    ถือว่าท่านเชี่ยวชาญทุกสาขา

    ทางโลก
    ผู้ที่เก่งทางเคมี ท่านก็คือผู้เชี่ยวชาญทางเคมี
    ถ้าท่านเก่งทางคอมพิวเตอร์ ท่านก็คือผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์
    ถ้าท่านเก่งทางการแพทย์ ท่านก็คือผู้เชี่ยวชาญทางแพทย์
    ถ้าท่านเก่งทางวิศวกรรมสาขาใด ๆ ท่านก็คือผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ

    แต่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ก็ยังคงทุกข์อยู่ ยังคงดิ้นรนเพื่อให้ออกจากทุกข์อยู่ นั่นแสดงว่า ท่านเชี่ยวชาญสาขาไหนไม่สำคัญ แต่ท่านก็ยังคงทุกข์อยู่ ยังคงหาทางดับทุกข์อยู่

    แต่ถ้าท่านเชี่ยวชาญในการดับทุกข์ ในการละจากอุปาทานขันธ์ห้า ต้นตอของความทุกข์ และท่านสามารถดับทุกข์ได้ในขันธ์ห้าของท่านเอง

    นั่นหมายถึงว่า ท่านเชี่ยวชาญทุกสาขา
    เพราะผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ทั้งหลาย สุดท้ายก็ต้องมาออกตรงทางเดียวกัน

    ก็คือหาทางดับทุกข์ เพื่อออกจากทุกข์ นั่นเอง
    เพราะฉะนั้น อริยสัจ 4 ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ จึงมุ่งหมายในเรื่องของ ทุกข์ กับการดับทุกข์ เท่านั้น
    1.ทุกข์
    2.สมุทัย คือเหตุให้ทุกข์เกิด
    3.นิโรธคือความดับทุกข์
    4.มรรค คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
    พระพุทธองค์ตรัสแต่เรื่องของทุกข์ กับการดับทุกข์
    ไม่ได้ตรัสเรื่องความสุขเลย
    ดังนั้นความสุขจริง ๆ จึงไม่มี
    มีแต่ทุกข์มาก กับทุกข์น้อย เท่านั้น


    1.

    ...
    ที่มา
    ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3
     
  5. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ..
    ทุกข์น้อย มองเห็นได้ยาก จนมองไม่เห็นว่านี่คือความทุกข์ ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อยจึงเห็น เลยไปคิดว่า...เป็นความสุข

    เหมือนไปเที่ยว ไปร้องเพลงคาราโอเกะ เหมือนไปพักผ่อน ไปสนุกสนาน ไปมีความสุข
    แต่พอเหนื่อย เดินเที่ยวเหนื่อย ร้อน อยากกลับบ้าน จากความสุขเมื่อตอนไปเที่ยว กลับเป็นความทุกข์ ด้วยความเบื่อหน่าย อยากกลับแล้วคนอื่นยังไม่กลับ จึงต้องทนรอด้วยความทุกข์นั่นเอง
    หรือร้องคาราโอเกะอย่างสนุกสนาน พอร้องไปสัก 3 ชั่วโมง แล้วเริ่มเหนื่อย อยากหยุด อยากพัก เริ่มไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนมาแล้ว
    แต่ถ้าเขาบอกว่า ให้ร้องเพลงอยู่อย่างนั้น ห้ามหยุด ตลอดทั้งคืน ห้ามเลิก
    ก็จะเริ่มทุกข์แล้ว เพราะเหนื่อย เพราะง่วง อยากหยุด อยากเลิก แล้วเขาไม่ให้เลิก
    การร้องเพลงนั้น จะกลายเป็นร้องเพลงด้วยความทุกข์ทันที

    ร้องไปเบื่อไป เมื่อไรจะให้หยุด เมื่อไรจะให้พอ

    นั่นคือ มีความทุกข์แฝงอยู่แต่แรกแล้ว แต่มันยังไม่เห็น แต่พอเริ่มนาน ความทุกข์เริ่มปรากฏ เริ่มเห็น เริ่มทนไม่ได้

    คราวนี้ ก็ต้องเริ่มหา วิชาดับทุกข์ มาใช้
    ทานอาหารอร่อย เหมือนมีความสุข แต่พออิ่มแล้ว เขาบอกต้องทานอีก ต้องให้หมดจาน ต้องให้หมดหม้อ

    เริ่มจะมีความทุกข์แล้ว พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว ความทุกข์เริ่มปรากฏ

    ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าสุข มันไม่มี มีแต่ทุกข์ กับปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์

    นี่เป็นเพียงรูปขันธ์ที่เกี่ยวเนื่องส่งไปในขันธ์ห้านะ

    แล้วอื่น ๆ อีกมากมายรอบตัว จึงมีแต่ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ที่มองไม่เห็น ด้วยไม่มีปัญญามองเห็นนั่นเอง

    พระพุทธองค์ตรัสรู้ แล้วเห็นทุกข์ เห็นโทษภัยในวัฏฏสงสารแล้ว
    ท่านจึงตรัสสอน
    ว่ามีแต่ทุกข์ กับการดับทุกข์เท่านั้น
    และมูลเหตุแห่งทุกข์ ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า อุปาทานว่าเป็นตัวตน ของตน นั่นแหละเป็นเหตุแห่งทุกข์

    ดังนั้น หากจะออกจากทุกข์ ก็ต้องเชี่ยวชาญในการดับทุกข์ ที่เกิดขึ้นในขันธ์ห้าของท่าน

    ถ้าท่านเชี่ยวชาญในการดับทุกข์ ถือว่า ท่านเชี่ยวชาญทุกสาขา.
    ดังบทความในหนังสือธรรมะ ฝนประปราย ที่กล่าวว่า


    เกิดมาทำไม ?


    ในโลกนี้มีวิชาความรู้หลายสาขา

    ใครรู้แจ่มแจ้งสาขาใด ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น

    แต่ผู้ใดรู้แจ่มแจ้งเรื่องความดับทุกข์

    ผู้นั้นชื่อว่า เชี่ยวชาญทุกสาขา.

    ...




    ที่มา...
    ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3
     
  6. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ...
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ MOUNTAIN

    ชีวิตมนุษย์บนดาวเคราะห์โลก
    เปรียบเสมือนตัวละครที่โลดแล่น เล่นไปตามบท
    มีโลกเป็นโรงละคร

    ผู้กำกับ ทำบทไว้แล้ว
    เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ
    ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

    ฉากละครถูกเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
    เพื่อให้เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยง

    บทเรียนชีวิตแต่ละบท เป็นเพียงบทละคร
    ที่มนุษย์ต้องเล่น ไปตามจริต ตามวิบากกรรม
    และผลสุดท้าย ก็ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ตัวตนที่เคยยึดมั่นถือมั่น

    บทละคร ตอนอวสาน ของภาพยนต์เรื่องชีวิตมนุษย์โลก
    ทุกชีวิตรู้อยู่แก่ใจ

    สะสมกันไปทำไม
    ชีวิตดำเนินอยู่เพียงเพื่อประคองชีวิต
    แล้วใช้ชีวิต ด้วยความไม่ประมาท
    ระลึกรู้อยู่เสมอว่า
    ฉากสุดท้ายของชีวิตทุกชีวิต
    ต้องล้มตายกลายเป็นปุ๋ย

    มันเป็นสัจธรรม ที่แน่นอน ไม่มีวันตาย
    ทุกชาติศาสนา ต้องพบเจอเหมือนกันหมด

    เมื่อจิตออกจากร่าง(ธาตุสี่ ขันธ์ห้า)
    ก็ยังคงต้องไปจับร่าง อื่น
    เพื่อยึดเกาะไว้ รอวันหลุดพ้นได้จริงในที่สุด

    จิตที่บางเบา โปร่ง โล่ง สบาย
    แม้จะเกิดอีก ก็จะได้รับสภาวะจิตเช่นนี้
    เพื่อกระทำให้ถึงซึ่งความไม่เกิด
    คือไม่มีสภาวะของการยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ห้า

    ตรงกันข้ามกับจิต ที่ยังหนัก เพราะการยึด ไม่ยอมวาง
    ย่อมพาให้จมดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
    ยิ่งไม่มีกุศล นำพา
    ทิศทางที่ไปก็คืออบายภูมินั่นเอง

    อบายภูมิ น่ากลัวยิ่งนัก
    ภัยพิบัติธรรมชาติ เป็นเศษเสี้ยวของความน่ากลัวเท่านั้น

    ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านเหมือนเช่นเคยครับ..

    ....


    ที่มา ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3
     
  7. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ...
    “กฎแห่งกรรม”

    ไม่เคยลำเอียง.....ใครทำใครได้

    คือ ใครทำอย่างใด ก็จะได้อย่างนั้น

    เพราะไม่ว่าใคร...คิดอย่างไร ก็จะได้รับผลนั้นทันทีตามความคิดนั้น ๆ

    ทางโลก จึงมีการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น อาฆาตพยาบาทซึ่งกันและกัน โลกจึงมีแต่ความรุมร้อนด้วยเพลิงโทสะ
    แต่ในทางธรรม....การให้อภัย การให้ความเมตตาซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

    เพราะจะทำให้บุคคลนั้น ... ไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์... ที่เกิดจากความคิด และอารมณ์นั่นเอง

    เพราะการคิดอาฆาต พยาบาท คิดมุ่งร้าย คิดจะทำลายกัน บุคคลนั้นก็ได้รับผลไปแล้ว ในขณะนั้น

    นั่นคือ มีความทุกข์ มีความร้อนรน มีความขุ่นเคือง มีความหนักหนาสาหัสของความมีตัวตนที่หนักอึ้งเกิดขึ้นในขณะนั้น

    ณ ขณะนั้น ณ วินาทีนั้น ณ ปัจจุบันนั้น เขาก็มีความทุกข์ของเขาอยู่แล้ว ตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งตามธรรมชาติ

    เพราะ เมื่อคิดร้าย สารเคมีประเภทความรุมร้อน ก็หลั่งออกมา อารมณ์ก็ขุ่นมัว ร้อนรน นั่นคือบุคคลนั้นกำลังรับทุกข์อยู่แล้ว แต่มองไม่เห็น

    คือ

    มองไม่เห็นทุกข์ - คือยังมองไม่เห็นข้อแรกของอริยสัจ 4

    แล้วข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ข้อที่ 4 จะมีปัญญาเห็นหรือ ?

    เพราะ ต้องเห็นข้อ 1 ก่อน ต้องเห็นว่านี่คือ ทุกข์ รู้ว่ากำลังทุกข์อยู่ ความร้อนรนด้วยไฟโทสะ ความร้อนด้วยเพลิงอาฆาตพยาบาท มันเป็นข่ายทุกข์ มันเป็นความทุกข์

    เมื่อเห็นข้อ 1 ว่ากำลังทุกข์อยู่ จึงจะขนขวายหา เหตุแห่งทุกข์ หาทางดับทุกข์ แล้ว ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์นั้น

    แต่.... ขณะที่กำลังทุกข์ ร้อนรนกันอยู่ จะมีปัญญาพิจารณาหรือไม่ ว่ากำลังปรุงทุกข์ทิ่มแทงตนเองกันอยู่

    ในทางธรรมะจึงมีการให้เปลี่ยนความคิด เพื่อจะได้ไม่ต้องไปทุกข์กับอารมณ์เหล่านั้น

    หากคิดพยาบาท อย่าเลย ให้คิดเมตตากันดีกว่า
    หากคิดริษยา อย่าเลย ให้มีมุทิตาจิต(พลอยยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ีดี)กันดีกว่า

    นี่คือ ทางธรรมะก็มีทางออกให้ มีทางแก้ไขผู้ที่กำลังทุกข์อยู่ ให้เห็นทางออกจากทุกข์ คือมีเมตตากันและกัน

    มีความเข้าใจ มีการให้อภัย ความร้อนรนด้วยเพลิงโทสะทั้งหลายก็จะกลายเป็นความสงบเย็น

    สิ่งที่ได้กล่าวไว้อย่างต่อเนื่องก็คือ

    การไม่ส่งจิตออกไปนอกตนเอง ไม่ส่งจิตออกไปตัดสินใคร มุ่งเน้นให้เห็นการปรุงแต่งของอุปาทานในขันธ์ห้าของตนเองเท่านั้น มุ่งที่จะพัฒนาความสามารถในการเห็นความว่าง ว่างจากยึดมั่นในอัตตาตัวตน ว่างจากการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้า ที่คิดว่าเป็นตัวตน ของตน

    ดังนั้น การไปมองที่ขันธ์ห้าคนอื่น การไปคาดคะเน การไปประเมินปัญญาของคนอื่นนั้น มันเป็นการเห็นผิดตั้งแต่ทีแรก

    นั่นคือ....มองออกไปไกลจากขันธ์ห้าของตนนั่นเอง


    ที่มา ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3

     
  8. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ดังนั้น หากทุกท่านที่ได้ศึกษาธรรมะเพื่อการละวางอัตตาอย่างถ่องแท้ เห็นตามธรรมของพระพุทธองค์ที่กล่าวไว้ ให้พิจารณาว่าขันธ์ห้านี้มิใช่ตัวตน ของตนแล้ว ท่านย่อมไม่ไปชี้ผิด ชี้ถูก กับใครทั้งสิ้น เพราะทุกคนมีวิบากกรรม ที่ติดตัวมากันทั้งนั้น มีสติปัญญา มีการพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติสัมปชัญญะ ตามแต่กรรม วิบากกรรมของแต่ละท่านเอง

    หาก เราลองมองย้อนกลับไป เวลาเราพบคนที่เขายังนับถือต้นไม้ใบหญ้า นับถือก้อนหินก้อนดิน เราจะคิดว่า ทำไมเขาไม่มีปัญญามองเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันไร้สาระ มันช่วยไม่ได้จริง มันเป็นสิ่งที่ผิด มันไม่ใช่ทางหลุดพ้น

    แต่คนกลุ่มนั้น เขาย่อมมองเห็นว่าเขาทำถูกต้อง มองเห็นว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของเขาแล้ว เพราะเขามีปัญญาแค่นั้น มีวิบากอย่างนั้น ต้องเกิดมาอยู่ในถิ่นที่มีความเชื่อแบบนั้น ซึ่งเป็นการยากที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อเขาเหล่านั้น

    หากท่านเป็นห่วง อยากช่วยเหลือ อยากเปลี่ยนแปลงเขาเหล่านั้น ท่านก็เป็นทุกข์เอง เพราะความทุกข์มันเกิดอยู่ในขันธ์ห้าของท่าน แล้วยื่นออกไป ทั้ง ๆ ที่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย

    ท่านจึงต้องใช้ปัญญาเพื่อพิจารณาแล้วปล่อยวาง ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเองตามเหตุปัจจัย สติปัญญาของเขามาได้...เท่ากับวิบากของเขาเท่านั้น

    หากท่านมองไปยังจุดอื่น ๆ ในปัจจุบัน มีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปยังจุดต่าง ๆ มากมาย มีหลากหลายวิธีการปฏิบัติ หลากหลายสำนักมากมาย แต่ละที่ แต่ละแห่ง ก็มีการมุ่งเน้นปฏิบัติเพื่อการออกจากวัฏฏะสงสารทั้งสิ้น แล้วแต่จะเป็นรูปแบบ หรือวิธีใด ๆ

    นั่นก็มิได้หมายความว่า เขาเหล่านั้นคิดผิดหรือคิดถูก แต่มันถูกต้องตามจริต ตามปัญญา ตามกรรม วิบากกรรมที่ส่งมานั่นเอง

    ดังนั้น อย่าได้ไปมองว่าคนนั้นโง่ คนนี้ฉลาด เราคิดถูก เขาคิดผิด หรือมีมุมมองใด ๆ ที่จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบขึ้นมา

    เพราะ ทุกคน ต้องรับผิดชอบดวงจิตของตนเอง ต้องหมั่นพิจารณาไตร่ตรอง ต้องปฏิบัติจนเห็นความเบาบางจางคลายจากการยึดมั่นถือมั่นด้วยตนเอง

    และที่สำคัญ ห้องเรียนของท่านคือขันธ์ห้าขันธ์นี้ ต้องหมั่นที่จะพิจารณาขันธ์ห้าของท่าน เพื่อการปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่น ในขันธ์ของท่านเอง

    ไม่ต้องไปช่วยขันธ์ห้าอื่น ๆ เขาปล่อยวางหรอก เพราะช่วยกันไม่ได้ ของใครของมัน ได้แต่เพียงชี้แนะแนวทางให้ได้เท่านั้น

    แต่ละท่าน ก็ต้องทำเอาเอง

    ระบบ ก็เพียงแต่ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติตามทฤษฎีของระบบ เพื่อให้ปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าของท่านเอง

    ดังนั้น การเข้ามารับรู้ เข้ามารับทราบ ในกฏธรรมชาติที่ระบบได้ถ่ายทอดไว้นี้ ท่านต้องนำไปพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวท่านเอง แล้วลองนำไปปฏิบัติ

    เมื่อผลการปฏิบัติออกมาแล้ว

    ท่านก็จะทราบได้ว่า ท่านมาถูกทางหรือไม่?

    เพราะทุกอย่างเป็นปัจจัตตัง ที่ท่านเท่านั้นจะรู้เอง เห็นเอง และสัมผัสเอง.

    ระบบจึงเพียง แจ้งเพื่อทราบ เท่านั้น

    และจะยังคง แจ้งเพื่อทราบ ต่อไป

    ขออนุโมทนากับทุก ๆ ท่านค่ะ.

    ...


    ที่มา
    ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3
     
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ...
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน
    ขันธ์ห้า มิได้เป็นตัวตน มิได้เป็นตัวใคร เป็นเพียงการรวมกันของธาตุทางธรรมชาติ แล้วมีอุปาทานขันธ์ห้าเป็นยางเหนียวยึดเหนี่ยวกันไว้เท่านั้น
    พระพุทธองค์ ท่านตรัสรู้แล้ว ท่านเห็นแล้ว ท่านนำมาบอกแล้ว ว่ามันไม่ได้เป็นตัวใครของใคร เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น

    เพียงแต่ปัญญามนุษย์ จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น

    น้อยคนนักที่จะเข้าใจได้จริง จะเห็นได้จริงอย่างที่กล่าวไว้

    ถ้าเข้าใจได้จริง เห็นได้จริง ก็จะไม่ไปอุปาทานว่าขันธ์ห้าเป็นตัวเรา สิ่งต่าง ๆ เป็นของ ๆ เรา

    ความทุกข์ก็จะไม่เกิด ความโศกเศร้าโศกา ความร่ำไรรำพันก็จะไม่เกิด ความแห้งใจ ความวิปโยคโศกเศร้าทั้งหลาย ก็จะไม่เกิด

    เพราะไม่มีตัวตนของผู้ที่จะรับทุกข์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น...นั่นเอง

    เมื่อมีตัวเราที่ไหน ทุกข์ที่นั่น

    เพราะทุกข์เกาะได้ที่ตัวเรา

    พระพุทธองค์สอนแค่ 2 อย่างเท่านั้นในอริยสัจ 4

    คือสอนเรื่องทุกข์ กับการดับทุกข์

    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    ทุกข์ - ขั้นตอนแรกต้องเห็นก่อนว่า กำลังทุกข์อยู่

    สมุทัย - เมื่อรู้ว่ากำลังทุกข์อยู่ จึงจะหาสาเหตุแห่งความทุกข์ได้ ว่ากำลังทุกข์เรื่องอะไรอยู่ ที่กำลังร้อนรนอยู่นี่ กำลังเสียใจอยู่นี่ มาจากเรื่องอะไร คือหาเหตุแห่งทุกข์ให้เจอ

    นิโรธ - คือความดับทุกข์ ดังนั้นเมื่อหาสาเหตุของความทุกข์เจอแล้ว ก็ไปดูว่า ทางที่จะดับเหตุแห่งทุกข์ได้นั้น มีอะไรบ้าง คราวนี้ต้องพึ่งพระธรรมคำสั่งสอน ต้องอาศัยธรรมะเป็นเครื่องนำทาง จึงจะมีปัญญาดับทุกข์ได้ ไม่ใช่ดับทุกข์ทางโลกชั่วครั้งชั่วคราว แล้วมันก็จะกลับมาทุกข์ใหม่ แต่พระธรรมคำสั่งสอนได้ชี้ทางแห่งการดับทุกข์ไว้ให้แล้ว ดับที่ขันธ์ห้า ดับที่อุปาทานว่าเป็นตัวเราของเรานั่นเอง

    มรรค - คือการปฏิบัติ เพื่อการพ้นทุกข์ คืออริยมรรค 8 ประการ เพื่อเข้าสู่ทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง คือพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานทั้งปวงนั่นเอง


    ...




    ที่มา
    ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3
     
  10. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ...
    ดัง นั้น ถ้ารู้ว่า จุดทุ่งหมายที่เป็นแก่น ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ทรงสั่งสอน ทรงชี้ทางสว่างให้กับเวไนยสัตว์ มีแค่นี้ มีแค่เรื่องของทุกข์ กับการดับทุกข์แค่นี้ มีแค่ให้หลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์ห้า ละการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนแค่นี้

    มีแค่นี้ ออกแค่นี้ ทำได้เดี๋ยวนี้ ก็หายทุกข์เดี๋ยวนี้

    ไม่ต้องใช้สถานที่ไหน มันอยู่ในขันธ์ห้าของแต่ละท่านเท่านั้น

    ไม่มีใครช่วยใครได้อย่างแท้จริง นอกจากแค่ชี้แนะ อธิบาย ขยายความเท่านั้น

    ที่เหลือนอกนั้น
    ท่านต้องทำของแต่ละท่านเอง

    แม้แต่พระพุทธองค์ ท่านยังช่วยใครให้บรรลุธรรมไม่ได้เลย
    ท่านเป็นเพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น

    ถ้าใครเข้าใจ ปฏิบัติตามอย่างถูกต้องตรง ตามแนวทางนั้น ไม่นานก็พ้นทุกข์

    อย่างสมัยพุทธกาล เทศนาธรรมแต่ละครั้ง มีผู้บรรลุธรรม มีผู้มีดวงตาเห็นธรรม มากมาย

    มีทั้งภิกษุ มีทั้งภิกษุณี มีทั้งอุบาสก มีทั้งอุบาสิกา มีทั้งฆารวาสที่มาฟังธรรมในแต่ละครั้ง

    และทุกคน ก็นำขันธ์ห้ามาเป็นเครื่องมือเพื่อเรียน เพื่อรู้ เพื่อละ เท่านั้น มิได้แบกอุปกรณ์อื่น ๆ มาช่วยเลย

    การ เรียนรู้ก็ไม่ได้ท่องจำมากมาย ไม่ได้รู้ในพระไตรปิฏกมากมาย หรือบางคนรู้แค่ตัวเองกำลังทุกข์อยู่เท่านั้น ไม่ได้รู้หนังสือ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟังธรรมะด้วยซ้ำไป

    แล้วทำไม พอมารับฟัง พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ทรงชี้ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ ทรงชี้แนะทางออกจากทุกข์ คือการละอุปาทานเหล่านั้น

    ผู้ ปฏิบัติตามแล้วเกิดเห็นจริง เห็นโทษภัยในวัฏฏสงสาร เห็นว่าเป็นเพราะไปอุปาทานว่าขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเรา ความทุกข์นี้จึงเป็นของเราไปด้วย

    พบว่าเหตุแห่งทุกข์ เพราะความมีตัวเรานั่นเอง

    เมื่อพบเดี๋ยวนั้น ละเดี๋ยวนั้น ก็บรรลุธรรมเดี๋ยวนั้น ณ ที่นั้น

    จึงมีผู้บรรลุธรรมมากมาย ในสมัยพุทธกาล


    ...


    ที่มา ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ...
    ในสมัยนี้ล่ะ เรียนรู้กันจนมากมาย หนังสือธรรมะเป็นตู้ เป็นตั้ง เต็มลัง เต็มกล่องมากมายไปหมด

    อ่านมากมายแค่ไหน ก็จะเป็นเพียงแนวทางเท่านั้น ถ้าไม่ปฏิบัติก็จะไม่เห็นจริง จะออกจากทุกข์ไม่ได้จริง

    เราจึงยังเห็นคนมีธรรมะมากมาย ดูเหมือนมีความเข้าใจ แล้วทำไมเขายังทุกข์อยู่

    นั่นเป็นเพราะ ยังเข้าใจไม่ถึงแก่น ยังตีไม่ตรงจุดนั่นเอง

    วันนี้ เราลองมาลองจำกัดพื้นที่ให้แคบลงดีไหม? เราจะใช้แค่ขันธ์ห้าเท่านั้นเพื่อการเรียนรู้ให้แตกฉาน ให้รู้เท่าทันกลไก การหลอกใช้ของอวิชชา

    เรา แค่ดูเข้าไปในขันธ์ห้า ..... กางตำรา.... เรียนรู้มันทีละขั้นตอน....ทำความรู้จักกลไก .... เข้าใจ ...แล้วปล่อยวาง...จากอุปาทานในขันธ์ห้าเหล่านั้น

    ไม่ยากเกินไป .... แม้จะไม่ง่ายเสียทีเดียว

    แต่จะสัมผัสถึงความเบาบางจางคลายจากความทุกข์ได้ ... ในเวลาอันรวดเร็วทีเดียว

    ซึ่งมีพยานมากมาย ที่เบาบางจากทุกข์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

    วันนี้ เราลองมาเรียน ในห้องเรียนขันธ์ห้า ที่ทุกคนแบกกันมานานแสนนาน..... ดีไหม?
    ..
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ประโยชน์ตนคือ ออกจากขันธ์ห้าได้โดยความเข้าใจกลไกของอุปาทาน

    ประโยชน์ท่านคือ ขันธ์ห้าก็จะมีการทำงานโดยระบบ โดยแผนที่วางไว้ เพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ นั่นเอง

    ถ้าจะเทียบเคียงกับการเกิดมาตามกรรม วิบากกรรม ตามเหตุปัจจัยที่ส่งมา ก็จะเป็นดังนี้

    เหมือนคนธรรมดา ๆ ไม่สนใจธรรมะ ไม่สนใจปฏิบัติ เที่ยวสนุกสนานไปวัน ๆ

    แต่เมื่อไรที่เขามีความทุกข์ โศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ เขาก็จะหาทางที่จะออกจากทุกข์นั้น ๆ ซึ่งมีหลายวิธี เที่ยวเตร่ หาเพื่อนฝูง หรือทำสิ่งใด ๆ ในทางโลก เพื่อที่จะหาทางดับทุกข์ในขณะนั้นให้ได้ ซึ่งก็สามารถทำได้ แต่เป็นการชั่วคราว แล้วทุกข์ก็เกิดขึ้นอีก

    แต่หาก คนคนนั้น มีปัญญา แล้วเกิด แอ๊ะ...ในทุกข์ที่เกิดขึ้น ว่าทำไมเราจึงต้องทุกข์ ทำไมคนเราจึงต้องพบเจอแต่ความวุ่นวาย ทุรนทุราย แล้วทางไหนจะทำให้เบาบางจางคลายจากทุกข์ได้

    นั่นแหละ เมื่อเขามีคำถาม เขาก็จะค้นหาคำตอบ หาคำอธิบาย ทดลองปฏิบัติ และพบหนทางที่จะดับทุกข์ ด้วยความเข้าใจในธรรมะ หรือธรรมชาติ เขาคนนั้น ก็จะสามารถออกจากทุกข์ได้อย่างถาวร

    เช่นเดียวกัน เมื่อเราไม่เคยรู้ถึงเหตุปัจจัยเก่าที่เคยสร้างไว้ เมื่อมาปรากฏในชาตินี้ ความทุกข์ ความไม่สมหวัง ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ การถูกโกง การถูกเอารัดเอาเปรียบ การเจ็บป่วย ความร้อนรน กระวนกระวาย ความไม่มีลาภ ความเป็นผู้อาภัพในทรัพย์สินปัจจัย
    สิ่งเหล่านี้ หากเราไม่เข้าใจกฏแห่งกรรม ไม่เข้าใจเหตุปัจจัยที่สร้างไว้เอง มาหลายภพหลายชาติ ไม่เข้าใจกลไกของธรรมชาติที่ต้องส่งมาให้ตามเหตุปัจจัยที่ได้สร้างไว้นั้น

    ก็จะตีอกชกหัว โทษดินฟ้า โทษเทวดา โทษโชคชะตา โทษโน่นโทษนี่ ขอให้มีผู้ที่จะรับผิดชอบเป็นใช้ได้

    เคยคิดบ้างไหม ว่าเหตุปัจจัยที่ส่งให้มาเป็นอย่างนี้นั้น มันมาจากไหน มันมาอย่างไร?


    ที่มา ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตนชุด 3
     
  13. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ...
    มันมาจากความไม่รู้ จากการยึดมั่นถือมั่น ว่ายังมีฉัน มีแก มีเรา มีเขา มีนั่น มีนี่ นั่นแหละ ที่มันเป็นตัวเก็บ เป็นตัวประมวลผล เป็นตัวส่งให้มายืนอยู่ ณ วันนี้

    เพราะยังมีอุปาทาน ว่ามีตัวตน มีของตน มีตัวเรา มีตัวเขา จึงยังต้องวนเวียนอยู่ในอุปาทานเหล่านี้ หาทางออกไม่ได้

    ความไม่รู้จริง จึงไปอุปาทานว่าขันธ์ห้านี้ มีตัวเรา เป็นตัวเรา จึงทำเพื่อตัวเรา เก็บไว้ให้ตัวเรา

    ธรรมชาติ ก็ต้องรวมดินน้ำลมไฟ ให้เกิดใหม่อยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ตัวอุปาทาน มีที่อยู่ ที่อาศัย จึงต้องเกิดใหม่ ซ้ำซากอย่างนี้

    แล้วเมื่อไรจะเห็นจริงสักที ว่ามันไม่ได้มีตัวเรา หรือตัวใครทั้งสิ้น

    ถ้าเห็นได้ ว่าไม่มีใครเกิดขึ้น ไม่มีใครดำเนินอยู่ หรือไม่ได้มีใครตายไป เป็นกลไกของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวธรรมนั้น ๆ ทุกอย่างล้วนเป็นกระแสธรรมชาติที่ไหลไปตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ

    เพียงแต่อุปาทานมันมาหลอกว่ามีตัวเรา ให้เข้าไปยึดธรรมชาติว่าเป็นตัวตน นั่นแหละ เมื่อไปหลงกล ติดกับ ก็เลยออกจากอุปาทานไม่ได้ ออกจากตัวตนไม่ได้นั่นเอง

    พอมีตัวตน พอมีตัวเรา การเก็บสะสมก็เริ่มขึ้น การมีบุญ มีบาป มีกรรม วิบากกรรม ก็เริ่มเกิดขึ้น ความทุกข์ ความสุข จึงเริ่มมีขึ้น นับจากนั้น

    ธรรมชาติไม่เคยลำเอียง ยุติธรรมที่สุด ทำไว้อย่างไร ก็ส่งคืนให้อย่างนั้น

    จึงยังต้องส่งให้เวียนเกิด เวียนตาย เวียนมาใช้ความเป็นตัวเรา สืบทอดทุกชาติไป

    ถ้าอินทรีย์แก่กล้า มีปัญญาเห็นธรรมของพระพุทธองค์ได้ แล้วเริ่ม แอ๊ะ...ว่า

    .... หรือ....มันไม่มีตัวเรา หรือ...มันไม่ได้มีตัวใคร อย่างที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้จริง ๆ

    พระพุทธองค์ท่านทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์...ในกฎของธรรมชาติ ที่มันไม่ได้เป็นตัวใครของใคร

    เมื่อนั้น ท่านอาจจะมองเห็นทาง ที่พระพุทธองค์ท่านทรงชี้ไว้ ว่าไม่ได้มีตัวใครของใครในขันธ์ห้าเหล่านั้นเลย

    ทางที่จะออกจากสังสารวัฏอันยาวนาน ก็จะเริ่มมองเห็นรำไร เมื่อตั้งเป้าให้ตรงไปที่การละอุปาทานขันธ์ห้าเหล่านั้น นั่นเอง
    ...

    ...
     
  14. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
  15. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    คลิปเสียง ธรรมะเพื่อละวางอัตตาตัวตน ชุดที่ 1



    <OBJECT classid=clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000 width=853 height=480>


























    </p>&nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    &nbsp
    <embed src="http://www.youtube.com/v/FJfTeD5MlqI?version=3&hl=en_US&quot;" width="853" height="480" play="true" loop="true" quality="high" AllowScriptAccess="never" /><noembed>http://www.youtube.com/v/FJfTeD5MlqI?version=3&ampamp;hl=en_US&ampquot</noembed></OBJECT>​


    ขออนุโมทนากับท่านผู้ใช้เสียงบรรยายด้วยครับ

     
  16. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน 1/7 - YouTube

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Qai1oexmdME&feature=player_detailpage]ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน 2/7 - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=_qFaGK3yGRA&feature=player_detailpage]ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน 3/7 - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=zoZOsvMS72w&feature=player_detailpage]ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน 4/7 - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=FZhH10be8Cg&feature=player_detailpage]ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน 5/7 - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=aYHsgtyzEoY&feature=player_detailpage]ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน 6/7 - YouTube[/ame]


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=yOuZ2ST_qYc&feature=player_detailpage]ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน 7/7 - YouTube[/ame]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...