......ได้รับพระแล้ว ขออนุโมทนา
......เหรียญรัศมีพรหม มีผู้รู้ (ท่านดูให้โดยตาใน) บอกว่า พุทธคุณสูง พกพามีบารมี คนเกรงขามยกย่อง
......ก็แค่เล่าให้ฟังนะครับ
ร่วมทำบุญบูชา ทิพย์โอสถ"ตัวชุบบุญฤทธิ์"ชุบลาภพระเจ้าเบิกหัตถ์(ฤทธิ์ทางใจเต็มกำลังครู) พ่ออาจารย์พล
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.
หน้า 18 ของ 457
-
-
วันนี้ติดตามกันดีๆนะครับ กับมงคลวัตถุที่ได้ชื่อว่าเป็นมหามงคลสูงสุดแก่ชีวิตผู้ครอบครองจริงๆ เหมือนเป็นของขวัญให้ตนเอง เพราะเเม้เเต่ตัวพ่ออาจารย์ท่านยังตั้งใจกดเอาไว้ห้อยคอตัวท่านเอง ซึ่งในจำนวนพระเนื้อผงที่เคยสร้างมาที่พ่ออาจารย์เอาขึ้นคอท่านเองก็เห็นจะมีแต่รุ่นนี้
-
ความรู้
วันนี้ในตอนเช้า ก็จะมาพูดถึงโอวาทของพ่ออาจารย์กันต่อ อย่าเบื่อกันนะครับ สิ่งที่จะหยิบมาพูดในวันนี้ก็คือเรื่องของความรู้ ความเข้าใจ
แต่เดิมนั้นโบราณจารย์ได้กล่าวสอนเอาไว้ว่า อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ดังนั้นบุคคลใดก็ดีมีความรู้ เป็นผู้รู้จักใคร่ครวญพิจารณา ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเขี้ยวเล็บเป็นปราชญ์ที่ควรค่าแก่การสนทนาเเละทำความรู้จัก
เมื่อมองในเเง่ของศาสนา ความรู้ก็เป็นตัวแปรสำคัญในการทำควาดีด้วยเช่นกัน กล่าวคือสัจธรรมทั้งหลาย ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น มันมาจากสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว สิ่งนั้นคือกฏความเที่ยงแท้ ความจริงแห่งธรรมชาติและวัฏสงสาร
หากคนไม่ศึกษาไม่ทำความเข้าใจเเล้วก็ยากแก่การเข้าถึง ถือว่าเป็นเรื่องดีเเละกระทำได้ง่ายเพราะพระพุทธองค์ทรงสรุป จำแนก แจกแจง และแยกแยะไว้ให้เเล้ว ดังนั้นหน้าที่ในการศึกษาทำความรู้ความเข้าใจให้กระจ่าง จึงควรเป็นหน้าที่ของเหล่าพุทธศาสนิกชนที่มีจิตใจซื่อตรงต่อธรรมมะทั้งหลาย
เมื่อคนสามารถเข้าใจถึงสัจธรรมได้ ความเข้าใจนี้แหละจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อไปในการทำให้คนเป็นคนดีเป็นตัวแปรสำคัญในเเง่ของคุณธรรมศีลธรรม เพราะเราควรอบรมสัจธรรมให้เข้าใจก่อนนั่นเอง เมื่อเราเข้าใจเเล้วการประพฤติปฏิบัติในแง่คุณธรรมเเละศีลธรรมให้เที่ยงเเท้ต่อสัจธรรมนั้นก็จะเป็นไปได้โดยง่าย
ถึงแม้จะมิได้มีข้อบังคับไว้ก็ตามว่าจะต้องทำอย่างไรถึงเรียกว่าถูก ไม่สมควรทำอะไรที่เรียกว่าผิด แต่จิตใต้สำนึก ความรู้สึกนึกคิดที่ถูกบ่มเพาะอบรมมาในทางที่งาม ที่ถูกต้อง ก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนสติของเราโดยอัตโนมัติด้วยนั่นเอง ว่าสมควรทำอะไรสิ่งไหนดีหรือชั่ว เราก็จะเเยกแยะได้โดยง่าย
เมื่อเราศึกษาสัจธรรมทั้งหลายดีเเล้ว เราลองมาพิจารณาชีวิตที่ผ่านมาของเราเองดู เรามาดูซิว่าประเด็นใดที่เราสามารถทำความเข้าใจได้ว่าเราทำไปแล้วเป็นสิ่งที่ดีงามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง ในที่สุด พิจารณาเลยไปถึงบุคคลอื่นเเละธรรมชาติแวดล้อมรอบข้าง อาศัยสติเป็นพาหนะนำไป ค่อย ค่อย ช้า ช้า พิจารณา พิจารณา โดยใช้สติตรึกตรองดู ว่าสิ่งใดเราทำถูกแล้วชอบเเล้วสิ่งใดเราทำไม่ถูกไม่ควร เราก็จะได้บทเรียนสำคัญอันใหญ่หลวง มีค่ามากกว่าคำสอนใดๆไว้สอนซึ่งชีวิตของตนเอง
เพราะว่าไม่ว่าเหตุใด จะดีหรือชอบ ถูกหรือผิด ก็มีผลมาจากการกระทำของเราทั้งนั้น สิ่งนี้ก็เป็นสัจธรรมที่ส่งผลสืบต่อมาจากคุณธรรมในตัวตนเราเช่นกัน
ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าคุณธรรมนั้นมีผลสืบเนื่องมาจากสัจธรรมโดยแท้ ผู้ที่ไม่รู้สัจธรรมไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดีไม่ได้ ในขณะเดียวกันผู้ที่รู้สัจธรรมก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไป เพราะสัจธรรมนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยคุณธรรม กล่าวให้เข้าใจง่ายๆคือรู้ผิดชอบชั่วดีเเยกแยะผิดถูกได้ ถ้ารู้เเล้วปฏิบัติ ก็คือการเดินไปตามวิถีสัจธรรมนั่นเอง เเบบนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนมีคุณธรรม แต่หากรู้แก่ใจว่าผิดเเล้วยังกระทำ เช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่าโฉดเขลาไปเสียสิ้น เพราะรู้แก่จิตสำนึกแล้วยังทรยศต่อจิตสำนึกของตนเอง
ก็สรุปได้ว่าการเป็นคนดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ยากเกินกว่าการกระทำหรือจะทำความเข้าใจในระดับสติปัญญาของสัตว์โลกทั้งหลายเลย แม้ในธรรมชาติ ในสัตว์โลกทั้งหลาย ในพิภพต่างๆทุกภพภูมิ ล้วนปรากฏสัจธรรมเช่นเดียวกันอย่างเเน่ชัดอิงอาศัยสัจธรรมเหมือนกันทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่เราจะศึกษาสัจธรรมต่างๆ และนำมาปฏิบัติให้เป็นคุณธรรมประจำใจของตนเอง ไม่มีคำว่าช้าว่าสายสำหรับผู้ที่สติระลึกชอบเห็นชอบในสิ่งที่ดีงามทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วเมื่อศึกษาสัจธรรมต่างๆจนกระจ่างแก่ใจเเล้ว ก็ใช้สติพิจารณาควบคู่ไปกับจิตใต้สำนึกแห่งตนเองเถิด เกิดมาชาติหนึ่งอย่าให้เสียชาติมนุษย์ ที่ว่ามีสติปัญญาเเยกเเยะวิเคราะห์สิ่งต่างๆได้ อย่าให้อายสัตว์เดรัจฉาน เมื่อเกิดมาแล้วก็ควรเดินไปตามครรลองเเห่งคุณธรรมนั่นเถิด เพื่อมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ อันจะสืบได้ไปได้ในอนาคตกาลภาคหน้าต่อไป -
-
-
ธรรมมะวันละนิด
เช้าวันนี้ก็จะนำ ธรรมมะเเละเเง่คิดเตือนใจมานำเสนอต่อไปเช่นเคย
พลังจิต เชื่อแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงคำนี้เเล้ว หลายๆคนย่อมคิดไปถึงกฤษดาภินิหาริย์หรือสิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตธรรมชาติต่างๆอันเกิดขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์และผู้เล่นไสยศาสตร์ทั้งหลาย
อันที่จริงเเล้วเราต้องกล่าวก่อนเลยว่า ไอ้ตัวพลังจิตพลังใจนี่ มันเป็นของกลาง ใครก็มีใครก็ครอบครองได้ทั้งนั้น เพราะพลังก็คือกำลังจิตก็คือความจำได้หมายรู้ พลังจิตนั้นแท้จริงเเล้วคือพลังบริสุทธิ์ในความจำได้หมายรู้นั่นเอง
ทุกคนเป็นผู้มีสิ่งที่เรียกว่าพลังจิตในตนเองทุกคนทุกผู้อยู่เเล้ว หากเเต่ว่าจะเป็นพลังงานแบบนั้น ยกตัวอย่างง่ายก็คือ หากตัวเรามีจิตใจเป็นกุศลปราศจากมิจฉาทิฏฐิจิตดวงนั้นก็จะมีความบริสุทธิ์ ยิ่งจิตบริสุทธิ์มากจิตก็ยิ่งมีกำลังมีพลังงานมาก เพราะทั้งนี้จิตดวงนั้นๆย่อมปราศจากความเศร้าหมองขุ่นมั่วทั้งหลาย ในทางตรงกันข้ามหากจิตใจนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องอกุศล ย่อมเป้นจิตที่หยาบกระด้าง ความบริสุทธิ์ของจิตก็จะมีน้อยลง พลังจิตของคนผู้นั้นก็จะเต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่พลังจิตอันบริสุทธิ์อีกต่อไป
แต่เดิมนั้น มนุษย์ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับความบริสุทธิ์อยู่แล้วทุกผู้ทุกนาม แต่ภาวะทางสังคม สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู ในหลายสิ่งหลายอย่างได้ประกอบกันเข้ามา มีผลอยู่สองสถาน
1.คือถูกความโลภโกรธหลงและกิเลสนำพาไปสู่ความเสื่อม ทำให้จิตที่บริสุทธิ์และสะอาดเเต่เดิมกลายเป็นจิตสีเทาขุ่นมั่ว
2.คือจิตที่ถูกอบรมบ่มเพาะอย่างดี ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ไม่ถูกชักพาด้วยกิเลสเเละตัณหาทั้งสาม จิตนั้นก็จะใสสว่างบริสุทธิ์เช่นเดิม
เราควรจะรักษาระดับกำลังของจิตตัวนี้ไว้ให้ดี เพราะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด ในที่นี้คือการรักษากำลังอันบริสุทธิ์ไว้ ลดเรื่องกิเลสหมั่นใช้สติพิจารณาใคร่ครวญถึงเหตุผลเบื้องต้น ระหว่างกลางเเละในที่สุดของสิ่งต่างๆทั้งหลาย โดยตนเองนั้นจะเป็นผู้อบรมเละเตือนตนเองตลอดเวลาด้วยสามัญสำนึกที่ดีงาม เพื่อไม่ให้จิตตกสู่ความเสื่อมเเละถูกตัณหาเเละอวิชชาต่างๆครอบงำและชักจูงไป
เมื่อกระทำได้เช่นนี้เเล้วความวิบัติเเละหายนะต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้นแก่ตนเอง เพราะเราได้เรียนรู้ที่จะปรับปรุงและเเก้ไขตนเองไว้อย่างดีเเล้ว บุคคลผู้หมั่นฝึกอบรมตนเองเเละคอยเตือนสติตนเอง ให้ดำเนินอยู่ในครรลองคลองธรรม บุคคลนั้นย่อมไม่ตกสู่ความเสื่อม
ก่อนจะมาคุยกันถึงระดับพลังงานของจิตที่มีความละเอียดลึกซึ้งนั้น สิ่งนี้เป็นพื้นฐานเเรกเริ่มก่อนจะทำสิ่งใดที่เราสมควรแก้เเละปฏิบัติ หมั่นดูจิตให้เข้าถึงให้รู้ใจตนเองก่อน ตนเองยอมรับตนเองซื่อสัตย์กับตนเองเพียงไหน เพราะคนทุกคนนั้นย่อมมีความคิดผิดชอบชั่วดีเป็นธรรมดา แต่เราก็มีวิจารณญาณมีลางสังหรณ์มีจิตใต้สำนึกกันอยู่ทุกคน พอที่จะรู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก สิ่งใดควรหรือไม่ควร ก็นำสิ่งเหล่านั้นเเหละมาใช้พิจารณาตนเองเพื่อดูจิตของตนเองว่าเป็นแบบใด
หากยังไม่นับหนึ่งก็เป็นการยากที่จะเหยียบขึ้นชั้นต่อๆไป การฝึกอบรมจิตนั้นฝังดูอาจเป็นเรื่องยาก เพราะมันคือนามธรรมไม่สามารถจับต้องได้ แต่สำหรับปราชญ์ทั้งหลายแล้วกลับง่ายเพราะสิ่งนี้ไม่ต้องเเสวงหา ไม่ต้องเสียเวลาใดๆในการทำเลย เพียงช้างกะดิกหู งูแลบลิ้นเท่านั้น ทุกคนก็รู้ทันจิตใจของตนเองกันหมดเเล้ว
ก็ฝากไว้เป็นการบ้านให้หมั่นตรวจสอบความคิดเเละจิตใจของตนเอง เพื่อยกระดับพลังงานพลังจิตของตนเองนั้น ให้สว่างเเละบริสุทธิ์ห่างไกลจากความเสื่อมทั้งปวง -
ปราถนาอยากจะได้มาก แต่ยังไม่พร้อม ขอบารมีสมเด็จพ่อองค์ปฐม เมตตาให้ลูกได้มีโอกาสเป็นเจ้าของสักองค์หนึ่งเถิดพระพุทธเจ้าข้า ขอให้ลูกพร้อมและเมื่อพร้อมแล้วขอให้ได้มีโอกาสครอบครองเป็นเจ้าของด้วยเถิด
-
ผลเเห่งกรรม
เช้าวันนี้ก็จะนำ ธรรมมะเเละเเง่คิดเตือนใจมานำเสนอต่อไปเช่นเคย
วันนี้จะกล่าวถึงเรื่องของกรรม ซึ่งเป็นของที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด กรรมนี้เป็นกฏพื้นฐานของธรรมชาติที่ใครๆก็หนีไม่พ้นซักผู้เดียวแม้แต่พระพุทธเจ้า
วันนี้เราจะมากล่าวถึงกรรมที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนนั้น ย่อมเดินไปบนเส้นทางที่เรียกว่ากรรมลิขิต พูดง่ายๆก็คือตัวเองทำตัวเอง วนเวียนอยู่เช่นนี้ในรูปแบบแห่งห่วงโมเบียสไม่รู้จักจบสิ้น คือการวนกลับไปกลับมาในลักษณะเลข8
เมื่อเราทุกคนเดินไปอยู่บนกฏแห่งกรรมนั้น แน่นอนว่า ที่เสวยกรรมดีก็ได้รับความสุข เมื่อคนมีความสุข ก็ละเลยสิ่งต่างๆเช่นบุญเเละการกุศลเพราะมัวเเต่ฟุ้งเฟ้อไปกับผลบุญที่ตนกำลังเสวยอยู่ในภพนี้ชาตินี้ ในขณะเดียวกันสำหรับใครที่กรรมให้โทษอยู่ก็จะรู้สึกท้อเเท้สิ้นหวัง จุดนี้แหละสำคัญ
ไม่มีใครที่กรรมชั่วไม่ส่งผลทั้งนั้น หลายคนอาจจะมองว่าคนเลวๆมีเยอะเเยะ คนโกงบ้านโกงเมืองทำไมเค้ายังอยู่กันดี เราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า การที่กรรมจะส่งผลของมันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรือวันสองวัน เพราะบางคนเค้าสะสมมาเป็นเอนกอนันต์ชาติ แบบนี้พอส่งผลเเล้วไม่ใช่จะส่งผลเเค่ชาติเดียวฉับพลันทันทีเเต่เค้าจะต้องเวียนว่ายใช้กรรมชั่วนั้นไปเป็นเอนกอนันต์ชาติเช่นกัน
ให้พึงจำไว้เสมอว่า ทั้งกรรมดีเเละกรรมชั่วทั้งหลายนั้น มีวาระในตัวมันเอง มีความหนักเบาเป็นตาชั่งที่เที่ยงแท้เเน่นอน ว่าสิ่งไหนควรเกิดก่อน ที่เห็นคนชั่วมีความสุขได้ดีนั้น ก็เพราะผลบุญและการกุศลอันเคยตั้งมั่นดำรงค์ไว้ให้ผลก่อนนั่นเอง กรรมนั้นย่อมสนองถ้วนหน้ากันหมดไม่เลือกผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น
แต่ในอีกกรณีหนึ่งก็ยังมีวิธีการที่จะผ่อนปรนกรรมหนักต่างๆให้เบาลงได้ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องขัดกับกฏแห่งกรรมเช่นกัน การจะลดทอนอกุศลกรรมนั้น ก็ต้องด้วยวิธีประกอบกุศลกรรมขึ้นมาแทน จริงอยู่ว่าไม่สามารถเอาความดีไปล้างความชั่วได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอดีตได้ แต่การแก้ไขที่ตัวเราเเละจิตใจของเรา การอบรมตนเองให้ประกอบกุศลนั้นก็ช่วยชะลอกรรมเก่าได้เช่นกัน เหมือนมีน้ำทะเลอยู่แก้วหนึ่งแน่นอนว่าน้ำทะเลนั้นย่อมเค็มเพราะมีปริมาณของเกลือมาก หากเรานำเอาน้ำเปล่าคอยเติมคอยผสมเข้าไปเรื่อยๆ ความเค็มของน้ำในแก้วก็จะค่อยๆลดลง ฉันใดก็ฉันนั้น
ทีนี้เราก็ควรเร่งประกอบกุศลกรรมเสีย อย่าไปโทษเทพเจ้าว่าท่านลิขิตชะตาเรา เพราะเรานั่นแหละ คือผู้ลิขิตชะตาตัวเองมาเเล้วเป็นเอนกอนันต์ชาติ เมื่อรู้เช่นนี้ก็ควรเริ่มทำตัวใหม่ เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนใหม่
ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดผลดีง่ายๆเลย เชื่อว่าเราทุกคนต้องเคยเรียนเคยอ่านเคยรู้จักกันมาเเล้วนั่นคือพระองคุลิมาลเถระ นี่ก่อนที่ท่านจะเป็นอรหันต์ ท่านได้ฆ่าคนทำร้ายชีวิตมามากมาย แน่นอนว่ากรรมที่จะสนองท่านก็คือการตายตกตามกันไปสถานเดียวเท่านั้น แต่ว่าท่านได้รับการบวชเเละบรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้ฝึกอบรมจิตประกอบคุณงามความดียิ่งใหญ่เช่นนี้ เวลาท่านไปบิณฑบาตร ท่านยังโดนก้อนหินเขวี้ยงปาใส่ให้หัวร้างข้างแตก เป็นอย่างไร เห็นมั๊ย นี่ก็คือกรรมที่สนองพระองคุลิมาลท่าน แต่จากกรรมที่ควรจะถึงแก่ชีวิต ก็กลายเป็นเบาบางลงเหลือเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บมีอันตรายเกิดขึ้นเท่านั้น
เอาล่ะ เราคิดว่าน่าจะพอจับเค้าได้เเละเข้าใจกันบ้างเเล้ว กรรมอันลิขิตโดยสัตว์โลกทั้งหลายนั้น ทั้งผลดีเเละผลร้ายที่ปรากฏต่อเรา ไม่ใช่เราเพิ่งทำเเต่ชาตินี้ แต่กรรมนั้นเราทำไว้เป็นเอนกอนันต์ชาติ ทั้งที่ส่งผลไปเเล้ว ที่ส่งผลอยู่ในปัจจุบัน และที่รอส่งผลในอนาคตกาล นี่เห็นมั๊ยมีครบทั้ง 3 สถานทีเดียว เพราะกรรมนั้นได้จำแนกการเกิด มันจำแนกแม้กระทั่งว่าต้องต้องเกิดที่ไหนจุดไหน เกิดเป็นลูกของใครชาติไหน นั่นแหละคนเราถึงได้ชื่อว่ามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เพราะมันจำแนกของมันอย่างลึกซึ้งทีเดียว
* เราจะเตือนใจอะไรพวกคุณกันซักหน่อย คนเราเมื่อกรรมทั้งหลายส่งผล ให้จิตใจได้รับความกระทบกระเทือน ชะตาชีวิตตกต่ำ ก็มักจะไปแสกนกรรมตรวจกรรมกัน เพื่อจะหาที่มาของกรรมว่าเกิดเพราะอะไร
ก็ขอกล่าวไว้เลยว่ากรรมทั้งหลายเกิดขึ้นนั้นเพราะตัวของพวกคุณเอง ถึงคุณรู้อะไรเเล้วคุณแก้ไขอดีตได้รึเปล่า คุณควรจะเร่งสร้างกุศลกรรมเสียมากกว่าเอาเวลาไปทำอะไรทั้งหมด
ซึ่งนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบันเป็นต้นมา แม้เเต่พระอรหันต์ที่ประกอบด้วยฉฬภิญญาอรหันตานุภาพเพียบพร้อมบริบูรณ์ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นยังไม่สามารถบอกกล่าวหรือจำแนกกรรมที่ส่งผลแก่มนุษย์ได้เลย นับประสาอะไรจะวิ่งเร่ไปหาหมอทั้งหลายให้เขาหลอก เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้ผู้เดียวที่จะล่วงรู้เเละไขปริศนาได้ก็คือพระพุทธเจ้าผู้เป็นสัพพัญญู รู้โลกเข้าใจโลกเเละเข้าใจกฏแห่งกรรมโดยแท้ เรียกได้ว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวเฉพาะตน เฉพาะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บรมศาสดา ไม่มีปรากฏแม้ในพระอรหันต์ใดๆ
เพราะการจะหาสาเหตุของกรรมนั้น จะต้องใช้อตีตังสญาณระลึกชาติกลับไป ไม่ใช่แค่ชาติสองชาติ แต่มันใช้เวลาเป็นเอนกอนันต์นับโกฏิปีแสนโกฏิปีเลยทีเดียวที่จะรู้ว่ากรรมที่สั่งสมไว้เเต่ชาติปางไหน กำลังสุกงอมเเละส่งผล ดังนั้นนี่คือความสามารถของพระพุทธเจ้าโดยแท้ แม้เเต่พระอรหันต์ผู้มีคุณธรรมสูงทั้งหลายยังไม่สามารถตรวจสอบได้
เราไม่ต้องไปหาหมอดูหมอกรรมที่ไหน เพราะนอกจากจะได้เรื่องแต่เรื่องเเต่ง หรือกรรมอันเป็นกะพี้เเล้ว เราจะไม่สามารถเข้าไปถึงแก่นได้เลย ทุกๆคนผู้เป็นพุทธศาสนิกชน เรามีพ่อคนเดียวกัน นั่นคือพ่อพระพุทธเจ้า เพียงเหตุผลนี้ เราควรเชื่อพ่อของเราหรือไม่ หากเรายังไม่เชื่อสิ่งที่พ่อท่านสอน ก็ไม่เป็นไรที่เราจะไปเวียนว่ายเพื่อเเสวงหาเเนวทางแห่งสัจธรรมด้วยการเริ่มต้นใหม่ด้วยตนเองอีกซักครั้ง แต่มันคงกินเวลานานอีกนับแสนโกฏิปีเลยทีเดียว -
ขอจอง 1 องค์ครับ
พระสมเด็จองค์ปฐมประทานพรพุทธภูมิเปิดโลก(ฝังแร่โคตรเศรษฐีตะกรุดพิชัยศาสตรา) -
ผลของกรรม(วจี)
เช้าวันนี้ก็จะนำ ธรรมมะเเละเเง่คิดเตือนใจที่พ่ออาจารย์ได้สั่งสอนไว้มานำเสนอต่อไปเช่นเคย สำหรับวันนี้ จะพูดกันต่อไปในเรื่องของกรรม
สัตว์โลกย่อมเดินไปตามวิถีแห่งกรรม สิ่งนี้ไม่ใช่ลัทธิหรือความเชื่ออะไรทั้งสิ้น หากแต่เป็นเรื่องจริงของวงจรธรรมชาติที่ตอบสนองสิ่งมีชีวิตทุกรูปนาม ทุกชนชาติ ทุกศาสนา
กรรมดีและกรรมชั่วนั้นแบ่งได้จากการกระทำ 3 ทาง คือทางกาย ทางวาจา ทางใจ เป็นทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม
เมื่อพูดถึงจุดนี้ วันนี้ก็จะพูดถึงสิ่งที่หลายๆท่านสงสัย นั่นคือทำกรรมแต่ละรูปแบบ เช่นใดเรียกว่าได้บุญมากและเช่นใดเรียกว่าได้บาปมหันต์
เราจะยังไม่พูดไปถึงกุศลและอกุศลกรรม มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมกันก่อน กรรมนั้นแยกเป็น 3 นั่นคือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นี่เห็นมั๊ย สิ่งที่ซ่อนอยู่ใน 3 สิ่ง มันก็คือมโนวิญญาณหรือจิตใจของเรานี่เเหละที่มันเป็นใหญ่ที่สุดการคิด คิดดีทำดีคิดชั่วทำชั่ว มันก็เริ่มต้นมาจากตรงมโนกรรมนี่แหละ
พอไอ้ใจตัวนี้มันคิด ปากคนไวเท่าใจคิดมันก็พล่ามก็พูดออกไปแบบนี้ พอใจคิดปากพูดร่างกายมันก็อยากลงมือกระทำ เห็นมั๊ยนี่เป็นระบบที่เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติเลย ทุกท่านลองสำรวจตนเองดูสิ พอใจเราคิดอะไรเเล้วปากเราได้พูดแล้วร่างกายเราจะอยากลงมือกระทำมั๊ย
เอาล่ะเรามาดูในเรื่องผลของกรรมกัน นี่ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นอกุศลกรรมจะทางใจ ทางวาจาหรือด้วยกระทำมันบาปทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าใจคิดก็ได้ชื่อว่าบาปว่าผิดทางใจ ถ้าปากพูดมือทำด้วยเเล้ว นี่บาปเต็มรูปแบบเลย
ผลของกรรมนั้นจะหนักหรือเบา เราเองไม่สามารถไปเพ่งโทษมันได้ แต่เราสังเกตุเเละดูจากการกระทำนั้นๆได้ แบบนี้ เช่น ใจเราคิดร้ายต่อผู้อื่น ปากเราไปพูดร้าย ประทุษร้ายผู้อื่น นี่เป็นไรผิดไปแล้วถึง 2 กระทงจริงมั๊ย
แต่วิถีแห่งกรรมมันไม่ได้หยุดเพียงนั้นนะ มันโหดร้ายกว่านั้น เพราะไอ้คนที่ฟังเราพูดๆไปทั้งหลายเนี่ยคนพวกนี้เชื่อมั๊ย สมมุติว่าเชื่อตรงนี้บาปยังไม่เกิดเท่าไหร่ไอ้คนที่ฟังเขาพูดมานี่นะ แต่เชื่อเเล้ว ไอ้คนที่ฟังเค้ามานำไปพูดต่อแต่งเสริมเติมเรื่องจุดชนวนทำให้ส่งผลกระทบเสียหาย อันนี้แบบนี้บาปเต็มๆเเละหนักด้วย
เพราะเราดูที่ความเสียหายอันเกิดขึ้น สิ่งที่พูดออกไปนั้น สร้างความเสียหาย เสียประโยชน์ให้กับผู้ใดบ้าง เช่นนี้แหละที่ว่าบาปมหันต์จนไม่สามารถเพ่งโทษได้ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้หากเกิดกับผู้มีบุญบารมีและมีคุณธรรมสูงเท่าใด มันก็พาลให้ติดบ่วงกรรมหนักมากขึ้นเท่านั้น แต่ในกรณีเดียวกันถ้าพูดออกไปแล้วมันไม่มีคนเสียหาย นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ถามว่าบาปมั๊ย มันบาปไปแล้วแต่แรกนั่นแหละ แต่หากผลแห่งการกระทำนั้นมันไม่สำเร็จ ไม่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดได้ กรรมนั้นก็ถือว่าไม่หนักมากเพราะเพียงแค่ผิด 2 กระทง คือมโนทุจริต วจีทุจริต แต่หากมีกายทุจริตร่วมด้วยนี่ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะคุณ เป็นกรรมที่ผูกขึ้นมาเเล้วเเละหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องรอเวลาที่ผลกรรมสุกงอมเเละก้มหน้ารับผิดไป
เห็นมั๊ย ลองพิจารณาดีๆ ไอ้คนฟังเค้าพูดแล้วเชื่อนำไปพูดต่อ ไปเพิ่มเสริมการกระทำต่างๆ พูดให้มันมั่วเข้าไว้ นี่บาปมันเกิดเเล้วตรงนี้ แต่ที่หนักสุดเลยคือไอ้คนเเรกที่พูด ยิ่งมีผลเสียหายมากขึ้นเท่าไหร่ วงจรแห่งกรรมเค้าไม่ได้เลือกไม่ได้ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เรียกได้ว่ามันจะกอบโกยเอาไปไว้ที่คนแรกที่เป็นต้นเรื่องเยอะสุดเลยก็ว่าได้
ปราชญ์ทั้งหลายควรสำนึกแก่ใจไว้ว่า ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว คุณทั้งหลายให้พิจารณาเหตุที่เกิด ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เราพิจารณาบาปบุญที่สิ่งเดียวเท่านั้นคือ ผลสำเร็จของการกระทำ เมื่อองค์ประกอบทั้ง 3 อย่างนี้ รวมกัน เราถือว่าเป็นบุญและบาปที่สำเร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ผลแห่งกระทำนั้นมันมากน้อยเพียงใดเล่า อย่างเช่นที่ยกตัวอย่างไปบาปที่เกิดจากปากพล่อยๆ หากมันลุกลามใหญ่โต ก็จะกลายเป็นมหันต์โทษ ถ้าถึงกับทำให้คุณธรรมเสื่อมเสียผู้ทรงศีลทั้งหลายเดือดร้อนด้วยเเล้ว นี่ไม่ต่างจากอนันตริยกรรมเลย เพราะคุณต้องเวียนว่ายชดใช้ผลกรรมเหล่านั้นในคราบสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานเป็นร้อยเป็นพันชาติ
เอาล่ะ เราจะเตือนท่านทั้งหลายให้ระวังสังวรณ์ไว้ให้ดี เพราะสิ่งที่ลึกสุดหยั่งนั้นก็คืออน้ำใจคน และที่เร็วเท่าใจคิดนั่นก็คือปากของคน บางทีคนเราคิดว่าพูดอะไรก็ได้ ถ้าเป็นเพียงคำพูดธรรมดาก็ไม่เป็นไร สิ่งนี้มันเป็นจุดที่ล่อแหลม พูดดีก็ให้คุณมาก แต่ถ้าพูดมากมันก็ไม่ดี
ถ้าเราพูดดี คำพูดเรายังประโยชน์ให้เกิดกับสาธารณชนและคนหมู่มากได้ นี่เป็นสิ่งประเสริฐ หากใช้คำพูดทำให้สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ผู้ทรงศีลผู้มีคุณธรรมทั้งหลายได้นี่ก็ถือว่าได้บุญหนักเพราะบุญมันต่อยอดมาจากเพียงคำพูดเล็กๆของเรา เห็นมั๊ยว่าตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น เราจะเเก้ไขตนเองได้อย่างไร คุณๆทั้งหลายอย่าได้ประมาทมองข้ามวจีกรรมไป เพราะมันอาจจะทำให้คุณติดบ่วงกรรมได้มากมาย ที่สำคัญติดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวทีเดียว
เราจะระวังตัวเรื่องนี้กันได้อย่างไร มันต้องเริ่มจากฝึกตนเองให้มองคนอื่นในแง่ดี ไม่ต้องไปเพ่งโทษอะไรเขา เราไม่ใช่กฏแห่งกรรมที่จะไปตามสนองใคร มองแต่ในแง่ดีมุมดีเข้าไว้ เช่นนี้เมือจิตใจเราเบิกบานอิ่มเอิบ มันจะส่งผลโดยตรงกับอีกหลายเรื่องรวมไปถึงเรื่องคำพูด
คุณๆทั้งหลายจงหยุดพูดคำหยาบคาย ค่อยๆลด พยายามให้มันน้อยลง น้อยลง เพื่อผ่อนคลายความหยาบกระด้างทางวาจา ให้ละไปทีละเล็ก ทีละน้อย หมั่นพูดเเต่ถ้อยคำที่สุภาพอ่อนหวาน พูดแต่มธุรสวาจา คือวาจาที่รื่นหูที่ใครๆก็อยากฟังอยากได้ยิน เช่นนั้น ฝึกให้เป็นนิสัยซะ อย่าได้ละเลยหรือมองข้าม เพราะสิ่งเล็กๆที่เรานึกไม่ถึง มันจะก่อภัยใหญ่โตมาให้เราได้ในวันใดวันหนึ่งเหมือนเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว
พิจารณาตามนี้ แล้วลองสังเกตุตัวเรา รอบๆตัวของเราเองดู ว่าในหนึ่งวันนั้นเราเห็นอะไรบ้าง พิจารณาไป ใคร่ครวญไป ทำกลับไปกลับมาเช่นนี้ จนมองเห็นธรรมภายในเรื่องวุ่นวายทั้งหลายให้ได้ บ้านเมืองนี้จะสงบสุข ประกอบด้วยประชากรที่มีคุณภาพ เป็นพลังขับเคลื่อนที่ดีของสังคมได้ ตัวเราเองต้องเริ่มที่ตัวเราเอง เริ่มซะ -
สาธุ ได้ตื่นมาอ่านคำสอนของอาจารย์พ่อครูทุกวันทำให้ชีวิตผมมองเห็นอะไรเยอะขึ้นและได้ปรับปรุงอะไรหลายหลายอย่าง ขอให้ครูบาอาจารย์มีบารมีสูงยิ่งๆขึ้นไป สาธุ
-
วันวาเลนไทน์ อย่าลืมรักพ่อรักแม่กันให้มากนะครับ
มีประสบการณ์จากศิษย์ท่านหนึ่งมาเล่า เค้าอยากได้เศียรครูพระสยมมากๆ ก็มาตื้อพ่ออาจารย์หลายรอบ เนื่องจากเศียรพระสยมนั้นสร้างน้อยเเละมวลสารหายาก เวลาจะให้ใครไปบูชาจึงต้องดูกันดีๆ เมื่อเค้าได้บูชาไปสมใจ เขาว่าเขาขอตอนซื้อหวยให้ถูกหวยจะทำสังฆทานชุดใหญ่ถวาย 4 ชุด ปรากฏว่างวดที่ผ่านมาเขาถูก 200 บาท น่าจะได้เงินหลักหมื่น ผมจึงถามเขาว่า พี่ไปบนท่านยังไงหรอ เขาตอบแบบมั่นใจว่าผมแค่คิดในใจ แต่ท่านรู้ เราก็งงว่าทำไมมั่นใจขนาดนั้นว่าแค่คิดในใจท่านก็รู้ คงจะเป็นด้วยศรัทธาความเชื่อความตั้งมั่นของเค้า อะไรทั้งหลายก็เป็นไปได้ เพราะปกติผมไม่ซื้อหวยอยู่เเล้ว พอได้ยินอะไรเกี่ยวกับหวยเลยค่อนข้างตั้งใจฟังนิดๆ ก็นำมาบอกกล่าวไว้เพราะเป็นศิษย์ที่ไม่ได้เล่นเวปพลังจิต -
-
ที่ผมว่าโอเคคือห้อยเเล้วชีวิตมันมีอะไรดีๆเยอะขึ้นเพราะอะไรที่ไม่ใช่ท่านจะปัดให้เรา ให้พ้นทางเราไปเลยไม่ต้องมาเสียเวลากับมัน เห็นมีไลน์มีโทรมาถามว่าผมห้อยอะไรของพ่ออาจารย์ผมก็ไม่เคยตอบใครนะ ตอบเลี่ยงๆเอา ยกเว้นคนที่เจอแล้วมาขอดูสร้อยคอเราถึงจะเห็น เพราะว่าเหรียญนี้มี 3 เนื้อ เทนำฤกษ์ได้รวมกันตก 11 เหรียญ แล้วก็นำมาอุดผงว่านนิลกาฬที่พ่ออาจารย์ท่านหวงแหนมาก ท่านว่ายานี้เป็นสุดยอดยาของชาติสยาม ประกอบยาได้ยากและมวลสารหายาก ที่สำคัญ แม้แต่ยาจินดามณีของสายวัดกลางบางแก้วก็มีสรรพคุณไม่ได้ถึงครึ่ง
เหรียญหล่อเศียรองค์พระสยมนี่อารมณ์จะประมาณว่าห้อยเเล้วสบายใจไม่หนักคอเปล่าๆ แต่อธิษฐานทางใจลอยๆนี่ผมไม่รู้จริงๆนะเพิ่งรู้ ไม่รู้ว่าพี่ที่ได้ไปเขาไปเจออะไรมาถึงได้มั่นใจว่าแค่คิดในใจท่านก็รู้ แต่ที่เราลองใช้ดูเราก็ไม่ได้ขอไม่ได้อะไรท่านเลยนะ ครูพระสยมท่านคงจะรู้จริงๆเพราะว่าชีวิตมันพลิกกลับ คนเลวๆร้ายๆแม้แต่ผู้หญิงเลวๆก็หายไปหมดไม่มายุ่งกับเราเอาดื้อๆ ปกติเวลาห้อยของเเรงๆร่างกายผมมันจะตอบสนองเพราะต้องปรับธาตุมีอาการถ่ายท้องบ้างอะไรบ้าง แต่กรณีนี้ไม่มีการปรับธาตุแบบนั้น เหมือนท่านจะรักษาสมดุลย์ธาตุในร่างกายเรามากกว่า
สามวันก่อนกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าสมัยมัธยม ก็เหลือครูที่เรารู้จักอยู่สามสี่คน ที่เหลือก็เกษียรออกไปหมดเเล้ว เราก็ไปนั่งคุยด้วย ครูเขาทักว่าหน้ายังเหมือนเดิมเลยนะดูไม่ออกเลยว่ามีอายุขึ้นแบบนี้เดินเจอกันข้างนอกครูก็กล้าทักหน้าเธอใสดีชะมัด แล้วนี่ไปทำอะไรมาผอมกว่าเดิมตั้งเยอะ ฟังแล้วเราก็คิดในใจว่าอาจารย์ยอเกินไปหรือเปล่า ผมยังเครียดๆเรื่องสุขภาพอยู่เลยไขมันสะสมก็มีเยอะขึ้นสมัยเรียนนี่สิโคตรจะผอมหน้าก็เรียวจริงๆ พูดอย่างกับมองเราเป็นคนละคน
ที่จริงก็คันปากมีเรื่องอยากเล่าอยู่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาใช้เหรียญหล่อเศียรครูองค์พระสยม แต่ว่ามันพูดออกมาสื่อไม่ได้เพราะค่อนข้างจะโลดโผนไปหน่อย ว่างๆจะมาเล่าเป็นวิทยาทานไว้ -
มีสอบถามเรื่องเหรียญหล่อเศียรครูองค์พระสยมภูวญาณเข้ามาเเล้ว 4 ท่าน เพื่อความสบายใจไว้รอลงข้อมูลทีเดียว ดวงใครจะได้จะบูชาก็ของคนนั้นแบบนี้สบายใจดีครับ
-
เกินพอดี
เช้าวันนี้ก็จะนำ ธรรมมะเเละเเง่คิดเตือนใจที่พ่ออาจารย์ได้สั่งสอนไว้มานำเสนอต่อไปเช่นเคย สำหรับวันนี้ จะพูดกันต่อไปในเรื่องของโอวาทและการเทศนาธรรม
ธรรมมะนั้น ชนทั้งหลายย่อมแสวงหาพ่อแม่ครูอาจารย์ต่างๆ เพื่อจะขอโอวาทเเละธรรมเทศนาจากท่านผู้รู้ทั้งหลาย หลายคนเกิดความเข้าใจผิดเเละดั้นด้นเดินทางไปเสาะหาไปปฏิบัติตามแนวทางต่างๆที่ได้รับโอวาท ได้ยินได้ฟังมามากมาย
ก่อนอื่น เราจะต้องทำให้เรื่องนี้แจ้งก่อนแก่ผู้พิศมัยในธรรมทั้งมวล ขึ้นชื่อว่าซึ่งธรรมมะนั้น ล้วนเป็นปัจจัตตัง เป็นสิ่งที่ผู้รู้พึงรู้ได้เฉพาะตน หากเรารู้เเล้วเราจะไปบังคับให้คนร้อยคนหมื่นคน รู้แบบที่เรารู้นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้
เอาล่ะ เราจะมาพึงสังวรณ์ในสิ่งที่ถูกต้องเเละเป็นปัจจัตตังนี้กันซักครั้งหนึ่ง พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายที่บรรลุคุณธรรมวิเศษระดับต่างๆนั้น เมื่อมีคนไปขอฟังธรรม ท่านก็หยิบยื่นธรรมมะให้ด้วยความยินดี แต่ธรรมทั้งหลายนั้นก็เป็นธรรมที่ออกมาจากจิตใจของท่านเหล่านั้น อาจจะแฝงอุบายแยบยลต่างๆไว้ในการปฏิบัติให้ผู้มีปัญญาสังเกตุเห็นเเละระลึกได้เช่นนี้เป็นต้น
นี่ถือว่าสำคัญมาก การให้ธรรมมะนี่เรียกว่าให้ยอดของดีของวิเศษเชียวแหละ แต่ ต้องย้ำไว้ชัดๆเลยนะว่าแต่ มันก็ของดีเป็นคุณธรรมที่ออกมาจากจิตวิญญาณของพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลาย ไม่ใช่ของดีของเรา ของวิเศษของเรา แม้เราไปรับมาเราก็ไม่สามารถรักษาให้อยู่กับเนื้อกับตัวเราได้นาน แม้จะจำได้ติดหู แต่ก็ไม่ได้ฝังใจ พอเวลาจำเนียรกาลผ่านเลยไปก็อาจจะทำให้ลืมได้สิ้น ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ในทุกๆภพทุกชาติ เพราะมันไม่ใช่ของเรา ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
เพราะหากสิ่งใดก็ตามมันเป็นของเราเเล้ว เราจะจำได้ติดหูเเละฝังใจ สามารถระลึกถึงเเละเข้าใจถ่องแท้รู้แจ้งแทงตลอด สามารถนำกลับมาทบทวนได้ นี่จึงเรียกว่าเป็นของเราโดยแท้มิใช่ของผู้อื่น ธรรมเหล่านั้นแหละที่จะติดเนื้อติดตัวเราไปในทุกภพภูมิเป็นสมบัติประจำตัวของเรา
แม้เราตื่น ยามเจ็บไข้ แม้เราขึ้นสู่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดแห่งวัฏฏสงสาร ถึงแม้เราตายได้ไปเกิดในสุขคติภูมิทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ก็จะติดตัวเราไป เป็นสมบัติของเราแล้วเห็นมั๊ย มันจะเเยกจากเราไม่ออกเเบบนี้ ส่วนสมบัติของคนอื่นนั้นเราได้แค่มองทำยังไงก็ไม่มีวันใช่ของเรา
เราไปรับธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายนั้น เหมือนท่านหยิบยื่นทรัพย์มีค่าให้ เเต่เราจะรักษาทรัพย์นั้นๆได้เเละแปรเปลี่ยนมาเป็นทรัพย์ส่วนตัวของเราได้รึเปล่า อันนี้สำคัญนะ ไม่ต้องวิ่งโร่ไปหาใครที่ไหน ถ้าทำตามนี้ไม่ได้มันก็ป่วยการณ์ ไปแล้วได้กลับมาก็ถือว่าไร้ค่า
วิธีการเปลี่ยนธรรมมะจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายให้เป็นคุณธรรมของเราโดยตรงนั้น ก็คือการปฏิบัติแบบจริงจังตามปฏิปทาของท่านเหล่านั้น ไม่ใช่รับมาวันนี้พรุ่งนี้ก็ลืม เช้าชามเย็นชาม เอาจริงจังอะไรกับชีวิตคนเหล่านี้มิได้ แบบนี้เรียกว่าเสียเวลาโดยแท้ เเม้เห็นธรรมก็ไม่สามารถครอบครองหรือรักษาได้ แม้เจอยอดอริยสงฆ์ก็เสียชาติมนุษย์ที่ได้เกิดมาพบ จะกระทำได้ก็เพียงแต่คุยโวว่าเป็นศิษย์ท่านผู้ใดเคยพบเคยเจอท่านผู้ใด แต่กลับไม่ได้อริยทรัพย์อันประเสริฐจากท่านทั้งหลายเหล่านั้นเลย เช่นนี้เป็นต้น
ปราชญ์ทั้งหลายให้พึงระลึกไว้เสมอ อันว่าคุณธรรมนั้นให้รับมาปฏิบัติ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปจิตมันจะมีพัฒนาการของมันไปเองทีละขั้น ทีละขั้น อย่าไปเร่งอย่าไปฝืน บางคนเข้าใจผิดไปรับข้อวัตรปฏิบัติจากพ่อแม่ครูอาจารย์หลายสำนักมามากมายมาคิดทบทวนไม่ถูกใจก็ไปหาที่ใหม่ เช่นนี้ การรับธรรมหลายๆที่นั้นแท้จริงแล้วมิได้เกิดผลดีแต่อย่างใดกับจิตใจผู้ปฏิบัติเลย เพราะมันจะพาลทำให้จิตของพวกเธอนั้นฟุ้งซ่าน เกิดความสงสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้า เกิดความลังเลเกิดอคติ สิ่งเหล่านี้มันล้วนชะลอเเละหยุดการพัฒนาการทางจิตทั้งสิ้น คนเราหากเสพความรู้มากจนเกินไปโดยที่ปฏิบัติไม่ได้ตามความรู้ที่เสพย์มานั้น นี่อันตรายนะ เพราะเวลาปฏิบัติจริงมันเลือกไม่ถูกที่จะทำจุดไหนก่อนจะเริ่มจากตรงไหน เราจึงสอนให้เริ่มจากสิ่งเล็กๆ และให้จิตเกิดพัฒนาการที่ยิ่งใหญ่ไปทีละลำดับขั้น
การปฏิบัติธรรมนั้น ชนทั้งหลายจะติดอยู่ในหัวข้อความลังเลและสงสัย เพราะอะไร เพราะคิดตามแต่ไม่ทำ เพราะรับมามากเกินไปพยายามหาเหตุผลหลอกตัวเองโดยใช้ธรรมหรือสมบัติของคนอื่นมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งมันล้วนมิใช่ของตนไปเอาลมหายใจเค้ามาต่อลมหายใจเรามันเป็นเรื่องทำแทนกันไม่ได้ เราจึงควรเริ่มขึ้นบันไดไปทีละขั้น เพื่อฝึกจิตให้มีพื้นฐานที่แน่นและพร้อมจะมีพัฒนาการต่อไป
การปฏิบัตินี้ต้องปราศจากความลังเลสงสัย หากจะไปยืดแนวทางของพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านใดแล้ว แน่นอนว่าท่านเหล่านั้นต้องได้ใจได้ความศรัทธาเราไปเต็มเปี่ยม เราจึงพร้อมที่จะเดินตามรอยเท้าเดินตามแนวทางของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ในวันที่เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ สามารถนำทรัพย์เหล่านั้นมาเป็นทรัพย์ภายในของเราได้ มันจะเป็นวันที่เราปราศจากความลังเล และสิ้นข้อสงสัยอย่างเด็ดขาด ซึ่งเราต้องทำด้วยตัวของเราเอง ไปเอาสัจธรรมเเละการค้นพบของผู้อื่นมาใช้ไม่ได้ ทำได้เพียงเป็นแนวทางให้เราเดินตามอย่างจริงจังเท่านั้น -
พระอินทร์แรงมากผมก็ฝันเห็นผู้หญิงคนนึงสวยมากบ่อยๆเข้าใจว่าน่าจะอยู่ในพระองค์นี้
-
ประสบการณ์น้ำมัน
เมื่อวานได้ฟังประสบการณ์วัตถุมงคลที่มีส่วนผสมของน้ำมันเสน่ห์ภูติพระเจ้ามา 2 ท่าน
ท่านเเรกที่บูชาพระองค์อินทร์ไปนั้น ท่านฝันเห็นผู้หญิงสาวสวยและเป็นสาวบริสุทธิ์ด้วย มาหาในความฝันถึง 2 คืนติดกัน และได้ปลุกปล้ำร่วมหลับนอนด้วย จากที่ฝังพี่ท่านนี้เล่าท่านว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากเเละขาวมากทีเดียวแล้วก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องโชคลาภ ฟังมาคร่าวๆแบบนี้
ท่านที่สอง เนื่องจากฟังมาคร่าวๆและผมกำลังรีบอยู่จึงได้วางสายไปไม่ได้สนทนากันมากอันนี้ต้องขออภัยจริงๆ ท่านนี้บูชาตะกรุดแฝดชุบน้ำมันไป ท่านว่าเห็นแต่ไม่ได้ฝัน เป็นการปรากฏตัวให้เห็นทางจิตชั่วพริบตาหนึ่ง ท่านว่าเห็นทั้งหมดสามคน เห็นวันละคน เป็นหญิงสาว เป็นผู้ชาย(อันนี้มีรายละเอียดเครื่องแต่งกายด้วยถ้าจะไม่ผิดน่าจะเหมือนพวกแขกอิสลาม) แล้วก็เห็นเด็กหรือกุมาร
ก็เป็นประสบการณ์น้อยๆที่ได้รับฟังมา ตามที่บอกกล่าวเเต่เเรกว่าน้ำมันนี้มีธาตุที่เป็นตัวรู้พุทธคุณอิทธิคุณที่ฟังจากพี่ที่ใช้พระองค์อินทร์มา ท่านว่าท่านจะรู้ใจเราว่าเราต้องการอะไรด้านไหน พุทธคุณก็จะออกมาแบบนั้น อันนี้ฟังมาโดยตรงจากผู้ใช้เลย
แล้วก็เป็นธรรมดาที่พระอินทร์ท่านจะนิรมิตรนางอัปสรหรือสาวสวรรค์ตลอดจนสิ่งมงคลต่างๆให้มาคอยดูแลรักษาผู้ที่เคารพศรัทธาท่าน ในส่วนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าพ่ออาจารย์ท่านเดินมนต์หรือเสกอะไรเสริมเอาไว้รึเปล่า เท่าที่ลองถามท่านดู ท่านว่าเราผูกรูปผูกธาตุขึ้นมา ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ อาจจะเสกเเถมไปให้จะได้สื่อได้ใช้ได้ไวก็เป็นได้ -
สำหรับท่านที่นางฟ้านางสวรรค์อัปสรจำพวกหนึ่งลงมาร่วมรักหลับนอนด้วย อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว เรื่องเสน่ห์จะเเห้ว เพราะนางนั้นจะหวงแหนเรามาก แต่จะได้ดีกับเรื่องอื่นเเทน เช่นโชคลาภฟลุ้คๆ เงินทองอะไรทำนองนี้ แต่ถ้าเเค่มาให้เห็นไม่ถึงกับจู่โจมร่วมหลับนอนได้เสียกับเราอันนี้ขอท่านให้หาคู่ให้ได้เลย -
หน้า 18 ของ 457