เงียบเลยนะคะ ช่วงนี้
ลงไปอยู่ข้างสนามนี่เอง
ร่วมแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการประคองศีล 5 กันคะ่
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ren, 22 กรกฎาคม 2009.
หน้า 13 ของ 18
-
-
เขาไม่ได้รู้เรื่องวิหารธรรม เหมือนเด้กน้อยเพิ่งหัดภาวนา
คุยอธิบายมาก็มากแล้ว แต่ ยังอ่อนไม่มีปัญญาจะเห็น
ก็ต้องให้เขาภาวนาจนเห้นจุดนัดพบนั่นแหล่ะ :D -
นาที 33.00.....เป็นต้นไป ถึงนาที 41.00
ลองดูและพิจารณาครับ...
นี่อาจารย์ผม...ที่ออเจ้าทักถึงบ่อยๆ -
ที่ต้องให้ทำลายผู้รู้
เหตุเพราะเข้าใจผิดเห็นว่าจิตคือผู้รู้
ผู้รู้ของจริงไม่ใช่จิต -
ไม่จริงอ่ะฮับ...
คุณแนนอ่ะพิศวารอะไรผม...หรือเปล่า
หรือเป็น..."คู่แค้นแสนรัก"ฮับ
ที่จำได้...
วันก่อนโน้น...คุยกะคุณป.ปราบ
คุณแนน....ก็เข้ามา...ชวนคุย
....เรียกร้องให้ผมสนใจ
ล่าสุด...
ผมคุยกับน้องชมพู...กับออเจ้า
คุณแนน...ก็เข้ามา...ชวนผมคุยอีก
เออเพิ่งสังเกตุ....นะนี่
เอ้!!....มันชักยังไง.....หรือ?????o_Oo_O
หยอกๆฮับ....
สาวๆในสต๊อกผมเยอะล่ะ -
จิตคืนสู่ธรรมชาติแล้ว
เหลืออะไร
อย่าบอกนะว่าไม่เหลืออะไรเลย -
เคล็ดลับการประคองศีล
คือมีเมตตาอยู่ตลอดเวลา
คนเข้าถึงเมตตาจริงๆ
แม้แต่มดตัวเล็กๆก็ไม่กล้าเหยียบ -
เคล็ดลับการประคองศีล
คือมีกรุณาอยู่ตลอดเวลา
แม้เก็บของมีค่าได้
ก็ส่งให้ตำรวจประกาศหาเจ้าของ -
ศีลจะบริสุทธิ์บริบูณร์ได้
ก็ด้วยปัญญา
เพราะปัญญาจะตัดสินว่า
สิ่งใดผิดศีล.สิ่งใดผิดธรรม -
ผู้รู้ก้อจิตอัตตา ที่ทำให้เราไม่เห็นตรงไตรลักษณ์ หากไม่มีจิตอัตตามาแต่แรก เราก้อคงไม่ต้องมาเสียเวลาฝึกกันหรอก
แล้วสายวิปัสสนา ก้อไม่ได้ฝึกแบบที่ หมูไหม้หรืออ.ประเสริฐ มโนไปเองด้วย พระท่านที่สอน เขาก้อมีดีของเขาแหล่ะ มาจากทางพระวัดป่า เข้าชานตัวแข็งมาก่อนก้อเยอะ ไอ้การไปสร้างรู้ซ้อนรู้ คือมโนไปเอง
คำว่า "กำหนดรู้ ตามรู้" เป็นคำสมมุติ พระทางวิปัสสนาท่านนิยมคำนี้ แต่เวลาฝึก ไม่ใช่ไปบิ้วอารมณ์ โลภ โกรธ หลง ขึ้นมา หรือไปจ้องรอดับ อะไร ...วิปัสสนานำ เขากำหนดเร็ว กระทบแล้วรู้ รู้ รู้ แล้วผ่านเลย ไม่แทรกแซงอะไร เร็วเท่าๆ กับ ลมอานาปานั่นแหล่ะ ...จิตมันกระทบตลอดเวลา ไม่มีว่างเว้นหรอก คำว่า รู้แล้วไปไหนต่อ ของหมูไหม้ที่เคยถาม << รู้แล้วก้อไป ระลึกรู้การกระทบตัวต่อไปไง
การรู้ตามอายตนะ คือสร้างความว่าง จากโลภ โกรธ หลง เข้าจิต ยิ่งทำเยอะ ยิ่งดี เพราะจิตอุเบกขา กับกำลังตั้งมั่น จะเกิดเร็ว < วิธีนี้ใช้ขณิกะก้อเพียงพอ แบบ ลพ.ปราโมทย์บอกนั่นแหล่ะ จิตมันจะสะสมความรู้สึกตัวเล็กๆ เป็นขณะๆ แบบนี้ ไปสู่ของที่ใหญ่ได้
คำว่า "ตามรู้ กำหนดรู้" มันก้ออาการเดียวกับ หยุดที่รู้... รู้เฉยๆ ระลึกรู้ ...พระบางรูปใช้คำว่าสติก้อมี << ภาษาพวกนี้การใช้เปลี่ยนแปลงตามท้องถิ่นที่พระท่านอยู่ แต่ทั้งหมดก้อคืออาการรู้เฉยๆ ไม่พากษ์ ไม่แทรกแซงนั่นแหละ -
ศึกษาและตีความเกี่ยววิหารธรรมและเลือกปฏิบัติกันตามควรแก่คุณของตน ดังนี้
คับ
วิหารธรรม คือ ธรรมเป็นคุณเครื่องอยู่ของผู้บรรลุธรรม ขั้นต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปตามระดับของผู้ภาวนา ควรนับตั้งแต่
1.วิหารธรรมจากการเจริญสติในเบื้องต้น เรียกว่า สติญาณ
2.วิหารธรรมจากการเจริญฌาน เรียกว่า สมาปัตติญาณ
3.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน เป็นต้นไป เรียกว่า ผลสมาปัตติญาณ
4.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคตั้งแต่พระอนาคามี ขึ้นไป อันประกอบด้วยสมาปัตติญาณเรียกว่า นิโรธญาณ
5.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอิรยะบุคคตั้งแต่พระอรหันต์ ขึ้นไป อันประกอบด้วย สมาปัตติญาณ เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ
6.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคลแบบวิปัสสก ในการประกอบด้วยสติญาณ เรียกว่า สุญญตมหาวิหารสมาปัตติญาณ
7.วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบุคคลแบบเจโตวิมุิตติ อันปราศจากนิมิต เรียกว่า เจโตสมาธิอนิมิตสมาปัตติญาณ
ยังมีอธิบาย ใน ญาณ 72 ในพระไตรปิฏก ปฏิสัมภิทามรรค อีก
เเละ ยังมี วิหารธรรม อันเป็น ญาณเฉพาะองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอีกด้วยคับ -
นักปฏิบัติผู้มีทิษฐิอันเคร่งครัด
ย่อมมีศัตรูหลักที่ถาวร
มันถึงขนาดนั้นรึยังฮัญ 55 -
ขอย้อนตอบให้อีกสักประเด็นนี้นะคะ
การเห็นอารมณ์ที่กระเพื่อมขึ้นมา ทำไมมันคือการกระโดดลงไปดูล่ะ
ในเมื่อมันโผล่มาให้เห็นเอง เหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน ตามันเห็นเอง ไม่ได้ไปเรียกเขามาให้เดินผ่านซะทีไหน
ถูกต้องการเพ่งจ้องรอให้จิตกระเพื่อม มันจะไม่กระเพื่อม เพราะจิตเปลี่ยนเป็นเพ่งแบบสมถะไปเรียบร้อย จะเจอแต่จิตนิ่งๆว่างๆ ซึ่งไม่ถูกต้องในการภาวนาเพื่อเดินปัญญา และไม่จำเป็นว่าต้องเพ่งแค่จิตหรอก เพ่งอะไรก็ตาม ผลไม่ต่างกัน นิ่งๆว่างๆ ไม่เห็น กาย จิต ทำงานอย่างแท้จริง
คำว่ากระโดดเข้าไปดู ตัดออกไปเลย แนนไม่เคยเจตนาเพ่งอะไรระหว่างวัน แนนเพ่งแค่ตอนนั่งสมาธิ ขนาดตั้งใจนั่งสมาธิเพ่ง มันยังแฉลบออกมากลายเป็นตามเห็นกายใจแทนเลย เพ่งไม่ค่อยถึงความนิ่งตามรูปแบบสมถะเท่าไหร่แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไร มันก็สงบไปอีกแบบนึง
ส่วนเรื่องตามดูเพื่อให้มันดับ ไม่เคยบังคับดับ ดับบ้างไม่ดับบ้าง ไม่ได้กังวล ก็ ปกติ ของจิต เหตุมันยังอยู่ เห็นแล้วฟู เห็นแล้วฟู แบบนั้น มันย่อมมีจังหว่ะที่ทันและไม่ทัน เพราะจิตมันไว อีกอย่างส่วนตัวเราไม่ได้มาเห็นแค่อารมณ์อย่างเดียว มันเห็น วนไปทุกอย่าง กาย ใจ ไม่ได้เจาะจง ว่าต้องมาเอาแต่อารมณ์เท่านั้น ช่วงไหนกระเพื่อมชัดก้อเห็นจิต ช่วงไหนทำกิจกรรมในบ้านอยู่ก้อเห็นกาย ระหว่างนี้ถ้าจิตกระเพื่อมก้อเห็นจิต วนเวียนไปไม่เลือก
ข้อดีของการฝึกใช้ให้เป็นทุกฐาน จะตีลังกา เดิน นั่ง นอน ทำได้หมด ใช้ประโยชน์จากกายใจทุกวินาทีให้คุ้มค่า ก่อนหมดโอกาส
-
รู้ตามอายตนะทำไง -
."แนนขอบอกอีกรอบ 3 ว่าที่เห็นทันตอนมันเกิด ตอนจิตตั้งมั่นเท่านั้น มันถอยมาเห็นเอง ไม่ได้ตามไปดู รู้จักสภาวะที่มันถอยออกมาเห็นมั้ยคะ เห็นกายเหมือนก้อนวัตถุเคลื่อนที่ได้ เห็นใจมันทำงานแบบอัตโนมัติวิ่งไปไปมาไม่มันหยุด รับรู้ทุกสัดส่วนที่เกิดขึ้นในกายใจแบบทั่วถึงไม่มีพลาด กายใจทำงานเป็นเอกเทศไปหมด …พูดแบบนี้ คนที่เคยเจอ จะอ๋อ ตั้งแต่พูดครั้งแรกแล้ว จิต ปิติสุข อุเบกขา มันจะเกิดขึ้นนับจากตรงนี้ …ที่สัมผัสได้คือ จิตมันอลังการเบ่งบาน แบบคนกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในจิต ไม่กลัวสิ่งใด มันมีความยิ้มให้กิเลสที่มันแทรกมาไม่ได้ ส่วนอุเบกขาแต่ละครั้งนานไม่เท่ากัน บางครั้งแปบๆ บางครั้งเป็นสัปดาห์"
ตื่น รู้ เบิกบาน ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ........
พอมันเป็นแบบนี้ได้ เราก็จะเริ่มรู้ว่าเราแพ้ตรงไหน ไม่ตื่น ไม่รู้ตรงไหน -
รึไม่เรานี่ล่ะที่โหลยโท่ยเอง -
หรือถ้าใครจะเลยไปถึงเสียงอะไร ก้อรู้ต่อไปได้เรื่อยๆ << แต่อันนี้ระลึกช้าไปหน่อย -
ไม่ว่าอายตนะไหน มันก้พุ่งไปหาจิตหมดนั่นแหล่ะ เรียก ว่า เงา ก่อนเหมือนกัน
แม้แต่จะบอกว่า กำหนดรู้ที่จิต ก็ยังไม่ใช่ จิต เงาเหมือนกัน
จนกว่าจะรู้ทัน การรู้ทันมันจึงจะเรียกว่า ทันจิตไม่ใช่เงา
แต่อาศัยเงา ตามหาต้นตอของเงา
จึงเรียกว่า ต้องมีความเพียรกันแบบไม่หยุดหย่อน -
เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจ ไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลย มาถึงวันนี้พอเริ่มมองออก ครูเห็นว่าเราไม่มี สติ สมาธิพอ
ให้เราหน่วงไว้ก่อนมาจิต ก่อนปรุง จนกว่าสติจะทันถึงให้ทำแบบอื่นต่อ
เมื่อก่อนเวลา ผัสสะอะไรนี่ เหมือนกับเกิด พล็อต ละครสั้นขึ้น 1 เรื่องเลย ปรุงเร็วมาก แล้วไม่รู้ตัวด้วย -
ใจไม่ตั้งมั่น ไม่เกิดปัญญา
“เวลาเรารู้สภาวะอะไรทั้งหลาย ใจเรามักจะเคลื่อนไปอยู่ที่ตัวสิ่งที่เรารู้ อย่างตาเห็นรูป ใจก็เคลื่อนไปอยู่ที่รูป หูได้ยินเสียงก็เคลื่อนไปที่เสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสก็เคลื่อนไป เวลาใจมันคิด ใจก็เคลื่อนไปในความคิด เวลาคิดถึงการปฏิบัติอยากปฏิบัติ ใจก็เคลื่อนไปแสวงหาว่าจะดูอะไรดี มันเคลื่อนตลอดเวลาใจมันไม่ตั้งมั่น ใจไม่ตั้งมั่นมันไม่เกิดปัญญา จิตมันไหลไปรวมเข้ากับอารมณ์ หรือจิตเที่ยวแสวงหาอารมณ์ จิตแสวงหาอารมณ์ก็ส่ายไปส่ายมา พอไปเจออารมณ์ที่ชอบใจก็โดดจับเอาไว้ เจออารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็โดดจับเอาไว้อีก ใจก็ถลำลงไป ไม่สามารถแยกตัวเอง ออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดูได้ การฝึกตัวเองให้จิตเป็นผู้รู้ขึ้นมาให้ได้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนมากก็ทำไม่ค่อยได้ คนไม่เคยรู้จักเลยว่าจิตมันเป็นผู้รู้ได้อย่างไร”
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม
Youtube : Dhamma.com
หน้า 13 ของ 18