ลักษณะ ภูมิความรู้ ที่เกิดขึ้นในขั้น ของ สมถะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 24 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เกร็ดธรรม
    หลวงปู่พุธ ฐานิโย

    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ. นครราชสีมา




    แล้วอีกทางหนึ่ง ในเมื่อจิตมาจับลมหายใจ เมื่อจิตสงบสว่าง
    จะมองเห็นลมหายใจเป็นท่อยาว วิ่งออก วิ่งเข้า
    แล้วจิตก็จะไปยึดอยู่ที่ท่อลม วิ่งออก วิ่งเข้า
    ซึ่ง สว่างไสว เหมือนหลอดนีออน
    บางทีเป็นท่อยาว บางทีก็เดิน ตั้งแต่จมูก
    ลงไปถึงเหนือสะดือ สองนิ้ว
    บางทีก็มองเห็นแต่ข้างใน เห็นแต่อยู่ภายในกาย
    บางทีก็มองเห็นพุ่งออกมาข้างนอกด้วย ซึ่งแล้วแต่จิตจะปรุงแต่งขึ้นมา

    อันนี้เป็นประสบการณ์

    ทีนี้ ถ้าหากจิตไม่เป็นอย่างนั้น
    พอวิ่งออก วิ่งเข้า ตามลม
    ซึ่ง เข้า-ออก เข้า-ออก
    เมื่อจิตสงบนิ่ง เข้าไป มันจะไปนิ่งสว่าง
    อยู่ในท่ามกลางของร่างกาย
    เรียกว่า ดวงสว่างอยู่กลางกายนั่นเอง




    ทีนี้
    นอกจากจะสงบนิ่งสว่าง เป็นดวงสว่าง อยู่ท่ามกลางของกายแล้ว
    ยังสามารถพุ่งกระแสความสว่างออกมารอบตัว

    ในขณะนั้น จิตจะมองเห็นอวัยวะต่างๆภายในกาย ของตนเอง
    ทั่วหมด ในขณะจิตเดียว

    ตั้งแต่

    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
    จนกระทั่งถึง มัตถะเก มัตถะลุงคัง มันสมองเป็นทึ่สุด
    จะรู้เห็นในขณะจิตเดียว


    ทีนี้

    ในเมื่อ จิตไปกำหนดรู้เห็นอยู่ภายใน ภายในกาย
    รู้เห็นอวัยวะครบถ้วน อาการ สามสิบสอง จิตค่อย สงบ ละเอียด ละเอียด
    ละเอียด ลงไป ทีละน้อย ละน้อย แล้วในที่สุด เข้าไปสู่ อัปนาสมาธิ ถึงฌานที่สี่
    ร่างกายตัวตนหายไปหมด ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่งสว่าง ไสวอยู่

    ทีนี้ ถ้าหากว่าจิต ผ่านความเป็นอย่างนี้ แล้วไปสู่จุดซึ่งเรียกว่า จตุถฌาน
    จิตอาจจะมาลอยเด่นอยู่เหนือร่างกาย แล้วจะมองเห็นร่างกาย
    ขึ้นอืด เน่าเปลื่อย ผุพัง สลายตัวไป ทีละอย่าง ละอย่าง ละอย่าง
    ในที่สุดจะยังเหลือแต่โครงกระดูก
    โครงกระดูก ก็จะทรุดฮวบลงไป แหลกละเอียด
    หายสาปสูญไปกับผืนแผ่นดิน แล้วก็ยังเหลือแต่จิต สว่างไสว
    อยู่เพียงดวงเดียว

    บางทีอาจจะเป็นย้อนกลับไปกลับมาหลายครั้ง หลายหน อันนี้ก็พึงเข้าใจว่า
    จิตเป็นผู้แต่งขึ้นมา ปรุงแต่งขึ้นมา เพื่อให้เรารู้ความจริงว่า
    ร่างกายของเราจะเป็นไปเช่นนั้น ทีนี้ บางทีอาจจะมอง เห็นร่างกายแยกกันป็นกองๆ
    เป็นกองดิน กองน้ำ กองลม กองไฟ

    ทีนี้ เมื่อจิต ถอนจากสมาธิมาแล้ว
    พอรู้สึก ว่า มีกาย

    ถ้าสมาธิจิต ที่กายหายไปแล้วนี่ พอจิตย้อนกลับมาหากาย

    ตอนนี้ นักปฏิบัติ ต้องประครองสติให้ดี เพราะเมื่อจิตมาสัมพันธ์กับกาย
    เราจะรู้สึกซู่ซ่า ทั่วร่างกาย เหมือนๆ กับ ฉีดยาแคลเซี่ยม เข้าเส้นอย่างแรง
    จะวิ่งซู่ ไปทั้วกาย ตั้งแต่หัวสุดเท้า

    ตอนนี้ นักปฏิบัติผู้มีสติ สัมปชัญญะ
    จะไม่ตื่นตกใจ จิตจะมีสติ กำหนดรู้ความเป็นไป จนกระทั่ง
    มีความรู้สึกเป็นปกติ พอมีความเป็นปกติ สมาธิยังอ่อนๆ

    จิตก็จะบอกกับตัวเองว่า นี่แหล่ะ คือ การตาย
    ตายแล้วมันก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล เน่าเปลื่อย ผุ พัง
    ทุกสิ่งทุกอย่าง สลายตัวไป เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ไหนเล่า สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา มีที่ไหน

    แน๊ !! จิตมันจะว่าอย่างนี้

    ในขณะ ที่มันรู้เห็น นิ่ง อยู่เฉยๆ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น
    เห็นร่างกายตาย มันก็เฉย เห็นร่างกายเน่าเปลื่อย ผุ พัง มันก็เฉย
    แต่มันรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถบันทึกข้อมูลเอาไว้หมดทุกอย่าง
    อันนี้เรียกว่า ความรู้เห็น ในขั้น สัจจะธรรม
    สัจจะธรรมย่อมไม่มีภาษา สมมุติบัญญัติ
    และก็เป็นความรู้ ความเห็นใน สมาธิขั้นสมถะ ซะด้วยนะ

    เพราะงั้น นักปฏิบัติที่ภาวนาไม่ถึงขั้น อย่าด่วนไปปฏิเสธ ว่า
    สมาธิ ขั้น สมถะ ไม่เกิดภูมิความรู้



    จิตของคนเราแม้ไม่มีร่างกายตัวตน
    สามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่พูดไม่เป็น รู้เห็นเหมือนกับคนใบ้
    รู้เห็น นิ่งๆ อยู่เฉยๆ แต่ว่าสามารถบันทึกข้อมูลต่างๆเอาไว้พร้อมหมด
    ทำไมจึงไม่พูด ทำไมจึงไม่คิด

    ในขณะนั้น กายไม่มี จิตไม่มีเครื่องมือ จึงคิดไม่เป็น พูดไม่เป็น

    สงสัยหรือเปล่า ถ้าสงสัย ปฏิบัติให้มันถึงขั้นนี้ แล้วจะหายสงสัย
    อย่ามัวแต่ไปเถียงกันว่า สมาธิขั้นสมถะ มันไม่เกิดภูมิความรู้ ไม่เกิดภูมิความรู้
    ขอประทานโทษ ไม่ใช่ตำหนิยกโทษ
    แท้ที่จริง ตัวภาวนาไม่ถึงขั้น ไปอ่านกันแต่เพียงตำหรับตำราเท่านั้น อ่ะอื๊ม
    ถ้าหากว่านักปฏิบัติสมาธิภาวนาชาวพุทธนี่ ยังเห็นว่า
    สมาธิขั้นสมถะ ไม่เกิดภูมิความรู้อยู่ตราบใด
    พุทธบริษัทก็จะพากันโง่ จนกระทั่ง ศาสนาสาปสูนย์ไปจากโลก

    ไม่ใช่ด่านะ

    ให้พยายาม ไปพิจารณาดูให้ดี
    สมาธิ ตามความเข้าใจของนักปฏิบัติ
    เท่าที่สังเกตุดู ในปัจจุบันนี้ มันเป็นอย่างนี้
    เช่น อย่างมาภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วก็ข่มจิตลงไป
    น้อมจิตลงไป น้อมจิตลงไป อาศัยการฝึกให้คล่องตัว ชำนิ ชำนาญ
    ในเมื่อมันเกิดความคล่องตัว เราจะสะกดจิต ตัวเองให้หยุดเมื่อไหร่ก็ได้

    แต่

    ความหยุดนิ่งของจิต ตามที่เราตั้งใจ จะให้หยุดนิ่ง
    มันไม่ใช่สมาธิน๊า พระเดชพระคุณ มันเป็นแต่เพียงความสงบเท่านั้น

    สมาธิจริงๆ เมื่อจิตหยุดนิ่ง มันจะเปลี่ยนสภาวะ
    คิดปั๊ป เป็น นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
    ถ้าหากกายปรากฎ ในขณะนั้น จะมี วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคัคตา พร้อม
    นิวรณ์ห้าทั้งหลาย มันจะสงบระงับไปหมด
    อันนี้ มันจึงจะเรียกว่า สมาธิที่เป็นเองโดยธรรมชาติของสมาธิ


    อ่านต่อที่นี่ http://palungjit.org/threads/การปฏิบัติภาวนาจิต-หลวงปู่พุธ-ฐานิโย.522295/
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    "ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ"
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    มันอยู่ที่ วิธีทำ กว่าจะ พ้นโลกธรรม

    ถ้าไม่เข้าใจวิธีทำและความเพียร ก็ เสียเวลาไปอีก วนไปเรื่อย
     
  4. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    อวดดี อวดธรรม น่ะถูกแล้ว

    มีดีมาอวด มีธรรม มาอวด

    ถ้าเอา ชั่ว เอาอธรรม มาอวด เนี๊ยะ ปวดกะบาลไปหลายชาติเจียวน๊า
     
  5. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ขี้แต่พอดี จะเป็นปุ๋ยของต้นไม้ นาฮับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...