อนุโมทนาบุญกับกุศลที่ทุกท่านกำลังปฏิบัตินะครับ
วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.
หน้า 30 ของ 166
-
-
สำหรับคำกล่าวที่ว่า "ผู้ใดไม่เห็นทุกข์ ผู้นั้นไม่เห็นธรรม" เห็นด้วยอย่างมากค่ะ เพราะที่ตนเองสนใจเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาก็เพราะมีทุกข์ เริ่มจากความผิดหวังที่สอบเอ็นไม่ติดในคณะที่ตนต้องการ ศึกษาจนได้เป็นประธานชมรมพุทธศิลป์คณะหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ต่อมาก็การงานไม่เป็นดั่งใจ ผิดหวังในความรัก และล่าสุดก็ป่วยไข้ไม่สบาย เคยทุกข์มากจนคิดจะออกบวชเป็นชีไม่สึก และเคยปฏิบัติปลงอสุภะเห็นตัวเองตาย ได้กลิ่นเหม็น กลิ่นไหม้ และกลิ่นหอมออกจากร่างกายตน เคยอธิษฐานปฏิบัติขอบรรลุอย่างน้อยโสดาบันเพราะไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว โดยเฉพาะลงอบายภูมิ อย่างมากก็สุคติภูมิอีก ๗ ชาติ เคยได้ยินเสียงมาบอกว่า ปฏิบัติต่อไปจะได้อนาคามี (ก็ไม่รู้ว่าหูแว่ว เพี้ยนไปเองหรือเปล่า หรือว่ามีมารมาทดสอบ?) แต่ตอนนั้นทำใจไม่ได้ ยังมีห่วงตัดไม่ลง ก็กลับมาคิดว่าถ้าตนปฏิบัติต่อไปก็เป็นไปได้ที่จะถึง เพราะรู้ว่าตนเองเป็นคนบ้า บ้าทำอะไรแล้ว ก็จะจริงจัง แต่ก็กลับคิดว่าแล้วคนรอบข้างล่ะ บิดา มารดา ผู้มีพระคุณ คนที่เรารักทั้งหลาย พอได้มาศึกษาหลักสูตรพุทธภูมิแล้ว เออ ถ้าจะเหมาะกับตนดี ก็ไม่รู้ว่านี่จะเป็นชาติแรกและชาติสุดท้ายที่ปรารถนาหรือเปล่า (ไม่รู้ว่าเคยอธิษฐานมาก่อนในชาติที่ผ่านมาหรือเปล่า?) แต่รู้ว่านี่เป็นกำลังใจให้เราอยู่ในทางโลกต่อไป ไม่ลาเข้าสู่ทางธรรมเต็มตัว ก็กำลังเพียรพยายามฝึกฝนตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นสะสมบารมีอยู่ค่ะ
เรื่องของกามฉันทะ ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ใช้อสุภกรรมฐานทราบมาว่าจะตรงสุด ลองหาทางศึกษาและปฏิบัตินะคะ รู้สึกว่าตนเองได้ผล ร่วมกับศีล ๕ คิดเอาเองนะคะว่าตราบใดที่ยังมีความปรารถนาในพุทธภูมิ กิเลสตัณหาตัวนี้ก็ยังตัดไม่ขาด เพราะยังต้องใช้เพื่อให้เป็นแรงผลักอย่างหนึ่งในการทำสิ่งต่าง ๆ ในโลก รู้ว่าละได้แต่ยังไม่ละ หรือว่ายังละไม่ได้ (tm-love) แต่ก็ต้องให้อยู่ในขอบข่ายของศีล ๕ ลองคิดดูนะคะว่า เราอยากเป็นพุทธภูมิเพราะอะไร เพราะความเมตตาในสรรพสัตว์ใช่หรือไม่ ถ้าการมีกามฉันทะของเรา จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หมายถึงผู้ที่เป็นเจ้าของที่ไม่ยินยอม เราจะทำได้ลงคอหรือ เพราะเรากำลังทำให้ผู้นั้นเป็นทุกข์ ถ้าหากจะมีก็ด้วยความถูกต้อง นั่นคือการทำให้ทุกฝ่ายเป็นสุข...เอาใจช่วยนะคะ... -
เรื่องของกามฉันทะ ผมว่าเจอกันทุกคนครับ เพราะพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สืบพันธ์แบบอาศัยเพศ คิดว่าต้องเอาชนะด้วยปัญญาเท่านั้น เมื่อก่อนผมก็เอาชนะด้วยพิจารณาอสุภ เหมือนกัน แต่มันชนะไม่ขาด พอคุณชนะจนเริ่มคิดว่าคุณชนะแล้วไม่มีปัญหา คุณจะชนะมันต่อได้อีกไม่กี่ครั้ง พอคุณไปหากรรมฐานตัวใหม่มาสู้ มันก็วนอยู่แบบเดิม เพราะจิตเป็นธาตุรู้ มันหลบหลีกอัตโนมัติของมัน ถ้าคุณไม่เอะใจก็ยากจะจับทางมันทัน ผมเลยหันมาเจริญวิปัสสนาแทนมองมันไปเลยตรงๆว่าจะทำอะไร มีสติไปทุกขณะ ให้จิตเราเป็นผู้เลือก ผู้ตัดสินใจเอง ถ้ามันเห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษเมื่อไหร่ วันหลังจากนั้นมันจะหลีกเองเพราะไม่รู้จะไปคลุกเคล้าทำไม เพื่ออะไร
คุณหนูน้อยครับ วิปัสสนา ไม่มีทำให้เป็นบ้าแน่นอน มีสติรู้กายรู้ใจเนืองๆ ทำถูกทางจะสุขอิ่มๆ
อยู่กับสังคมทั่วไปเราก็มีสติ กิเลสมันชอบหลอกให้เราลืมกายลืมใจ เอาอะไรแปลกๆใหม่ๆมาหลอกให้ลืมดูทุกที -
ขออนุญาตตอบคุณหนูน้อยก่อนนะครับ
กรรมฐานกองที่ดีที่สุด หรือการฝึกสมาธิในแบบที่ดีที่สุด ก็คือ แบบที่ตัวเราเองทำแล้วรู้สึกว่าเราก้าวหน้าครับ แต่แบบ สไตล์ ทาง ของใครก็ของคนนั้นครับ
เราเองปฏิบัติแบนี้ดี เราก็ว่าของเราดี คนอื่นปฏิบัติแบบเขา เขาก็ว่าเขาดีอีก สรุปรวมความแล้ว เราเลือกปฏิบัติให้ตรงกับ
-บุพเพกัตตะบุญญตา แนวทางตามบุญเก่าในอดีตชาติที่เราปฏิบัติมา
-จริต
-อารมณ์ใจในขณะนั้น เช่นเกิดกิเลสข้อใด ก็ใช้กรรมฐานเครื่องแก้อารมณ์นั้นออกไปเสีย
อย่างนี้การปฏิบัติจึงจะได้ผลและก้าวหน้าครับ
ส่วนหลักสูตรเร่งรัดที่ว่านั้น เป็นการเร่งรัดให้ได้ถึงฌานสี่ให้ได้ในเวลาที่ค่อนข้างเร็ว ทำได้ภายในวันเดียว แต่ก็แปลก พอได้ง่ายไป บางครั้งหลายคนกลับไม่เห็นคุณค่าเท่าที่ควร ไม่ค่อยรักษากันเอาไว้ได้ มีเพียงบางท่านเท่านั้นที่ยังทรงอารมณ์เอาไว้ได้ตลอดเวลา ตลอดทุกอิริยาบท
ส่วนการประยุกต์ใช้นั้น ที่จริงกำลังแห่งสมาธินั้นสามารถประยุกต์ใช้ได้ แทบจะทุกๆ อย่าง ตั้งแต่ การเรียนรู้ การแพทย์ การฝึกพลังจิตให้ปรากฏผลออกมาทางกาย การตัดแต่งพันธุกรรมของร่างกายตนเอง การประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ และอีกมากมายครับ (ไม่นับรวมด้านการตัดกิเลสที่เป็นเป้าหมายตรง)
การประยุกต์ใช้ด้วยวิชชามโนมยิทธินั้น ผมขอรับรองว่าเป็นวิธีการที่รวดเร็ว คล่องตัว สะดวก และได้ผลเร็วที่สุดแล้ว จึงขออนุญาต สอนการประยุกต์ใช้จากวิชชานี้ ดังนั้นต้องให้ได้ วิชชามโนมยิทธิให้คล่องกันก่อน จะให้คล่องก้มีการบ้านดังนี้
-จับลมสบายให้ได้เป็นปกติ ทุกอิริยาบท
-ทรงศีลเป็นปกติ
-มีพรหมวิหารสี่ประจำใจ
-คล่องในพุทธานุสติกรรมฐาน ผสมในกสิณแสงสว่าง
-มีวิปัสนาญาณ ที่เป็นปกติ
ส่วนเรื่องที่อยาก พัฒนาตนเองในทุกๆด้านนั้น ต้องขอบอกเลยว่า เป็นกำลังใจที่ถูกต้องที่สุดเลยครับ
มีพลังอยู่อย่างหนึ่งที่เป็น เครื่องแบ่งคนที่ก้าวหน้าไปสู่ระดับสูงได้ กับคนที่ยืนอยู่ที่เดิม ก็คือ "พลังแห่งการเรียนรู้"ครับ คนที่มีพลังนี้มาก จะมีแรงผลักดันจากภายใน ให้คิดให้สังเกตุให้ค้นหาวิธีการต่างๆที่สร้างสรรค์และดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
มีสภาษิตจีนที่บอกไว้ว่า "ลูกผู้ชายไม่พานพบ สามวัน พึงประเมินใหม่" ซึ่งหมายความว่า แม้ไม่เจอเพียงไม่นาน คนเราก็อาจที่จะพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดด ไปอย่างมากๆเลยก็ได้ และอีกมุมหนึ่งก็คือ อย่าได้พึงประมาท คนที่แต่ก่อน อาจไม่เก่ง หรือไม่มีความสามารถในวันวาน วันนี้เขาอาจเก่งกว่าเราก็อาจเป็นได้
ดังนั้นพลังแห่งการเรียนรู้และพัฒนาตนเองนั้น เป็นสิ่งแรกๆที่ผมอยากให้ทุกๆคนมีอยู่ในตัวเอง กันตั้งแต่ต้น
น่ายินดีแทนคุณหนูน้อยด้วยครับ -
ขออนุญาตตอบคุณ เด็กอนุบาลต่อไปเลย
ยังไม่ต้องกังวลใจมากครับ เรื่องที่ได้เล่ามา เพราะตราบที่เรายังไม่บรรลุอรหันต์ สติเราไม่รู้เท่าทันในอารมณ์กระทบและกิเลสได้ทั้งหมดหรอกครับ เพราะเรายังมีอวิชชา ความไม่รู้(เท่าทัน)อยู่
มีอีกเทคนิคหนึ่งที่อาจเหมาะสมกับจริต และเป้าหมาย ของคุณเด็กอนุบาล ที่หวังการฝึกให้ได้ สมาบัติแปด (ฌานแปด ) และจะใช้กำลังของสมาบัติแปดตัดเข้าสู่ความเป็นอรหันต์ผล ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าท่านที่เลือกวิธีการนี้ ก็ย่อมหวังในความเป็นปฏิสัมภิทาญาณเป็นธรรมดา
"ตามวิสัยท่าน ที่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาแต่เดิม เมื่อลาก็ขอให้ได้ในระดับสูงที่สุด"
เทคนิคที่ว่านี้ ก็คือ ลองกำหนดเวลาดู เช่น ระหว่างนั่งเล่นๆ อยู่ ในสิบนาทีนี้ เราฝึกว่า เมื่อตามองเห็น ภาพของสิ่งใดก็ตาม เราจะใช้กำลังใจพิจารณาแยกส่วนประกอบและวัตถุธาตุของของสิ่งนั้น ออกไปจนสลายไปสิ้นไม่เหลืออะไรเลย (ตัวที่เป็นการพิจารณาการสลายตัวไปนั้น เป็นอรูปฌานกองหนึ่ง) เช่น เห็นแมวเดินมา เราก็พิจารณาแยก ขนมันออก ใช้ใจพิจารณาว่าแมวตัวเกลี้ยงๆมันน่ารักไหม ลอกหนังออก แมวตัวแดงๆเห็นเลือดเนื้อ น่าดูไหม จากนั้น แยกเนื้อ ออกเหลือแต่โครงกระดูก ดูว่าเป็นอย่างไร จากนั้นมองให้เห็นกระดูกค่อยๆผุพังจนกลายเป็นผงธุลีหายไปในที่สุด ที่แท้ แมวก็ไม่มี อะไร เป็นธาตุสี่ที่มาประชุมกันไปเอง
หรืออย่างวัตถุ ก็มาพิจารณาดูว่า สิ่งของต่างๆ เช่น ปากกา จับแยกออกเป็นชิ้นๆ แยกออกจนถึงระดับอณู จนสลายตัวไปในที่สุด
ฝึกพิจารณาอย่างนี้จนคล่องจนชำนาญ จากนั้น ก็มาพิจารณาต่อไปว่าอะไรที่เรารู้สึกชอบ รู้สึกรัก รู้สึกพอใจ ไม่ว่าจะเป็น คน ก็ดี สัตว์ ก็ดี สิ่งของก็ดี เราก็ฝึกแยกให้เห็นความเสื่อม ความสลายไปในที่สุดเอาไว้ แล้วถามใจของเราเองว่า หากสิ่งนั้นเสื่อมสลายไป ใจของเราจะทุกข์หรือไม่ ฝึกใจของเราให้ปล่อยวางออกจากความสำคัญมั่นหมายในสิ่งนั้น เป็นความรู้สึกเฉยๆ เป็นอุเบกขา มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่อยากได้ หรือหากครอบครองอยู่หายไปก็ไม่เสียดายไม่ทุกข์ ฝึกปล่อยวางในทุกสิ่ง
ค่อยๆฝึกไปทีละน้อย ทีละน้อย แต่สม่ำเสมอครับ -
จริงอย่างที่ คุณหลับตาว่าไว้ครับ
ในยุคนี้สังคมทุนนิยม เสื่อมทรามลงไปสู่การใช้กามรมณ์เป็นเครื่องล่อเพื่อกระตุ้นความอยากของคน ให้ซื้อสินค้า สัเกตุได้จากปกหนังสือ และแฟชั่นทุกวันนี้ได้ว่าเป็นอย่างไร
เมื่อสิ่งล่อ เครื่องกระตุ้นมาก จิตคนเราส่วนใหญ่ก็ย่อมถูกฟอกย้อมไปด้วยกันทั้งสิ้นครับ
แต่ขอให้เรารักษาเนื้อในของใจเราเอาไว้ให้ได้เป็นสำคัญ หาเวลา หาโอกาสออกไปจากสังคมสิ่งเร้าแบบนี้บ้างตามจังหวะโอกาสอันเหมาะสมครับ -
รูป..สังขาร(ภาวะ)
วิญญาณ..เวทนา(อารมณ์)
ตัด..ภาวะ อารมณ์..เท่ากับ
ตัด..สัญญา..จาก
วัฏฏสงสาร..โลกียะ..ภพภูมิ..สู่
นิพพาน..อันเป็นที่ตั้งของ..ทุกสรรพสิ่ง
ดังนั้น
ธรรม...สายกลาง
ธรรมดา...สบายๆๆๆ
ธรรมชาติ...สมดุลย์...พอดี..พอเพียง
ค่อยๆปรับ
ค่อยๆเปลี่ยน
จาก บัญญัติ
ไปสู่ ปรมัตต
ในที่สุด............... -
หนึ่งในวิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หนึ่งในวิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ
ปัจจัย ๔ ล้วนรวมกันอยู่ในป่าไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ
ใช้ชีวิตอย่าง อยู่ง่าย ๆ กิน ง่าย ๆไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วิชาที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ
ศีล สมาธิ ปัญญา
พระรัตนตรัยเป็น ที่พึ่งไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สรุปว่า อยากเรียนมากที่สุดค่ะ ไม่ทราบว่าอาจารย์จะสอนที่ไหน เมื่อไหร่คะ ตอนนี้ก็ทำการบ้านไปก่อนหรือเปล่าคะ เป็นไปได้มั๊ยคะ ที่จะเรียนทางไกล ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เพราะช่วงนี้เร่งงานเรียนที่เชียงใหม่อยู่ ขอบคุณมาล่วงหน้านะคะ -
เรื่องหลักสูตรเร่งรัดนั้นตั้งใจว่า จะเปิดสอนในช่วงเข้าพรรษานี้ครับ เป็นวันอาทิตย์ ที่กรุงเทพเพื่อจะได้สะดวกกับผู้สนใจ
วันแรกที่เปิดสอนจะแจ้งให้ทราบในกระทู้นี้ครับ ขออนุญาตให้ผู้ที่สนใจใฝ่รู้จริงๆ และหวังที่จะนำความรู้ที่ได้ไปใช้ช่วยเหลือส่วนรวม หรือเพื่อความหลุดพ้นครับ
ส่วนที่จะให้เปิดสอนทางไกลนั้น ก็พอทำได้แต่ก็อาจไม่เต็มร้อยนัก ขอให้ไล่อ่านจากที่ได้ลงเอาไว้ ฝึกไปวันละบท จนผ่านขึ้นไปเรื่อยๆ หากติดขัดข้อใดก็ลงถามในกระทู้นี้เพื่อ ท่านอื่นๆจะได้รับประโยชน์ด้วยครับ
หรือมีอะไรเร่งด่วนก็โทรถามผมได้ครับ มีโทรมาสอบถามหลายท่านอยู่ -
เรามาต่อกันในเรื่องของการปฏิบัติในแบบของพุทธภูมิกันครับ
พุทธภูมิ นั้น เป็นการบำเพ็ญบารมีเพื่อการเป็นผู้นำ(นำไปสู่ความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด) ของชาวบ้านเขา ดังนั้นคำว่าไม่รู้จึงไม่อาจมีได้สำหรับเรา ด้วยเหตุนี้ พุทธภูมิจึงต้อง ทำการบ้านมากกว่าชาวบ้านเขา มีความเพียร ความอดทนมากกว่า และที่สำคัญต้องมีความใฝ่รู้และละเอียดในทุกแง่มุม
ในส่วนของการปฏิบัติ
กรรมฐานบางกอง สาวกภูมิใช้เวลาฝึกแง่มุมเดียว ก็สามารถบรรลุธรรมกันได้แล้ว แต่หากเป็นพุทธภูมิก็ต้องเรียน ต้องรู้กรรมฐานกองดังกล่าวได้อย่างชำนาญในทุกแง่ทุกมุมในการปฏิบัติ
-สิ่งใดเป็นเครื่องส่งเสริมกรรมฐานกองนี้
-สิ่งใดเป็นโทษต่อกรรมฐานกองนี้
-สิ่งใดเป็นข้อพึงปฏิบัติในกรรมฐานกองนี้
-กรรมฐานกองนี้ มีการวางอารมณ์ใจอย่างใด
-กรรมฐานกองนี้ มีนิมิตรเช่นใด
-ผลของกรรมฐานกองนี้ เป็นเช่นใด
-อานิสงค์ของกรรมฐานกองนี้เป็นเช่นใด
-อารมณ์ใจที่ได้หลังการเจริญกรรมฐานกองนี้เป็นอย่างไร
-กรรมฐานกองนี้เมื่อปฏิบัติผิดมีอาการอย่างไร
ก็มีโดยประมาณดังนี้ จะไม่ขออธิบายอย่างละเอียดไปเสียทุกกอง เพราะท่านผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องเป็นผู้ไป ฝึก ไปเรียนรู้ ไปพิจารณาใคร่ครวญดูกันเอาเอง
ส่วนหลักสูตรภาคบังคับที่ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิต้องทำได้ก็คือ
-มหาสติปัฐฐานสี่
-กรรมฐานสี่สิบกอง
-พรหมวิหารสี่อัปปันนาณฌาน
-บารมีสามสิบทัศน์
-อารมณ์พระนิพพาน
ขอขยายเรื่องอารมณ์พระนิพพานหน่อยครับ ว่าเป็นการรู้ อารมณ์ การยกระดับอารมณ์ของสรรพสัตว์ เช่น
สัตว์นรกมีอารมณ์ใจเช่นนี้
เทวดา พรหม มีอารมณ์ใจเช่นนี้
จิตมนุษย์ที่เคลื่อนจากมิจฉาทิษฐิ ไปสู่สัมมาทิษฐิมีอารมณ์ใจเช่นนี้
จิตมนุษย์ที่เคลื่อนถอยไปสู่ความชั่วเป็นมิจฉาทิษฐิมีอาการ อารมณ์อย่างนี้
จิตที่เคลื่อนเข้าสู่ความเป็นโสดาปฏิมรรคมีอารมณ์อย่างนี้ มีจิตน้อมไปอย่างนี้
จิตที่เคลื่อนเข้าสู่ความเป็นโสดาปฏิผลมีอารมณ์ใจอย่างนี้
ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงอารม์พระนิพพาน
สิ่งเหล่านี้รู้ด้วยจิต ไม่ใช่การท่อง การจำ การฟังจากตำรา เป็นการฝึก การไปเรียนรู้ จากพระท่าน
อย่าได้ไปสำคัญผิดว่า เราปรารถนา พุทธภูมิ เรื่องพระนิพพานเป็นเรื่องไกลตัวเพราะเรายังอีกนานกว่าจะบรรลุ
อย่าลืมไปว่าทำไม เราถึงปรารถนาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า คำตอบก็คือเพื่อนำพาเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เข้าถึงซึ่งพระนิพพานใช่หรือไม่ ดังนั้นมาในชาตินี้ เราได้รู้ได้สัมผัสอารมณ์พระนิพพาน เข้าถึพระนิพพานแล้ว ไยจะทิ้งไปเสีย
ดังนั้นพึงอธิฐานเก็บรวบรวมสรรพวิชชาและอารมณ์กรรมฐาน เอาไว้ดังนี้
"หากข้าพเจ้าได้เกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีในชาติใดสมัยใดก็ตาม
ขอให้ข้าพเจ้า สามารถรำลึกรู้จดจำ พระชาติต่างๆที่ข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อสร้างบารมีได้ในทุกๆชาติไป
ปฏิปทาและกรรมฐานทุกกอง สมาบัติแปด ญานโสฬสทั้งสิบหกประการ จงพึงปรากฏแจ้งแก่ใจของข้าพเจ้าได้ในทุกพระชาติไป
มโนปฏิญาน ทั้งสิบสองประการ จงมั่นคงอยู่เสมอ
ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ทรงสัมมาทิษฐิ ทศพิธราชธรรม มั่นคงไม่แปรเปลี่ยน
ขอจงกำเนิดในสกุลแห่งสัมมาทิษฐิ ดำรงในศีล ในธรรม ในสัปปายะประเทศ และในเขตแห่งพระพุทธศาสนา มั่งคั่ง มั่นคงทั้งอริยทรัพย์และโภคทรัพย์ทั้งปวง
เป็นผู้ฟื้นตื่นสู่ความเป็นพระมหาโพธิสัตว์โดยเร็วพลัน
และขอให้เทพพรหมเทวาทั้งปวงผู้พิทักษ์รักษาข้าพเจ้า ได้โปรดคุ้มกาย คุมจิตของข้าพเจ้ามั่นคงทรงคุณธรรม ตราบจนข้าพเจ้าได้บรรลุถึงพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ" -
การปฏิบัติของพุทธภูมินั้น เราต้องเก็บประมวลสรรพวิชชาความรู้การปฏิบัติเอาไว้ทั้งหมด
การเรียนรู้ต้องยิ่งไปกว่าเขา
-เรียนถูก ว่าทำอย่างนี้ถูกมีผล มีอานิสงค์ ทรงอารมณ์อย่างนี้ ใช้กำลังใจอย่างนี้
-เรียนผิด ว่า ทำอย่างนี้มีผลเสียแบบนี้ มีอารมณ์ที่ดึงไปแบบนี้อาการอย่างนี้ เป็นโทษแบบนี้
ตัวอย่างการเรียนผิดที่ผมเองประสบมากับตัวก็เรื่อง"นิพพานสูญ" เจอเองเข้าเต็มๆในช่วงก่อนที่จะมาได้พบหลวงพ่อท่าน
อารมณ์ที่ปรากฏ นั้นจะพบเองว่า ใจมันแห้งๆ ว่างแบบ โหว้งๆ จิตไม่เต็ม แถมยังมี ความรู้สึกเอะใจอยู่ลึกๆ
การไปเรียนผิด เป็นครูที่ดีของเราเสมอเพราะหากไม่ประสพด้วยตนเองก็ย่อมไม่รู้ว่า อารมณ์ที่ผิดนั้นเป็นอย่างไร
แต่การไปเรียนผิดนั้นข้อควรระวังก็คือ อย่าไปลากยาว จะกู่ไม่กลับ หรือกว่าจะกลับสู่แนวทางที่ถูกต้องได้ก็ใช้เวลานาน ดังนั้นเราต้องขีดแนวทางในการบำเพ็ญบารมีของเราอยู่ใน แนวทางแห่งสัมมาทิษฐิเอาไว้เสมอ
เพื่อการบำเพ็ญบารมีและการปฏิบัติของเราจะได้เป็นเส้นลัดตัดตรง มุ่งที่ผลหวังจะยังประโยชน์ต่อมวลสรรพสัตว์ให้ได้มากที่สุด ช่วยผู้คนให้ได้มากที่สุด ยังประโยชน์ส่วนรวมให้มากที่สุด -
ขอบคุณมากค่ะคุณหลับตา ที่ช่วยเตือนสติ สติปัฏฐาน ๔ เป็นยอดกรรมฐานจริง ๆ ขาดสติแล้ว ชอบหลงลืมโดนหลอกอยู่เรื่อย :cool:
คุณ kananun จะเริ่มสอนอาทิตย์แรกเมื่อไหร่คะ จะพยายามจัดสรรเวลาลงกทม. ไปร่วมด้วยค่ะ เพราะใจหนึ่งก็คิดอยู่เหมือนกันว่า การเรียนรู้ภาคปฏิบัติถ้าจะให้ผลดีควรจะเป็นอย่างที่อาจารย์ว่า เอ แล้วไม่ทราบจะโทรสอบถามอาจารย์ได้ที่เบอร์ไหนคะ? -
จตุธาตุววัฏฐาน ๔ พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ขอโมทนากับทุกท่านครับ _/\_ -
ทางตรงมันก็สั้นเร็วสุดเนอะฮะ
แต่ว่าทางเบี่ยงนี่มีได้นับล้านไม่ถ้วน
เลยเถออกนอกง่ายกว่าเดินตรงทางอะก๊า.. อิๆๆ -
อ๊า... อาทิตย์นี้ก็ตรงกะงานชุมนุม "จอมยุทธ" ของเพ่ เม้าท์ฯ อะดิคร้าบบบ
-
เด็กอนุบาลโมทนากับธรรมทานที่แนะนำแบบฝึกหัดฝึกแยกธาตุ4
ขอบคุณมากครับที่เพื่อนๆให้แบบฝึกหัดใหม่ๆแก่เด็กอนุบาลในการฝึกสมาบัติ จะได้ก้าวเป็นเด็กประถมกับเขาเสียทีครับ :)
เด็กอนุบาลจะฝึกโดยแบ่งเวลาใช้การฝึกนี้กับตอนที่เดินเจอผู้คนหรือนั่งประชุมกับเพื่อนร่วมงานละกันครับ แต่ก่อนฝึก ก็ขอถามตามประสาเด็กช่างสงสัยครับ
-การฝึกแยกธาตุ 4นี้ จัดเป็นแค่ขั้นกรรมฐานหรือควบวิปัสสนาด้วยครับ ถ้าให้เด็กอนุบาลเดาคือถือเป็นทั้งคู่ใช่ไหมครับ
-เส้นแบ่งแยกระหว่างการทำกรรมฐานกับวิปัสสนาอยู่ตรงไหนหรือครับ เด็กอนุบาลอยากทราบเพื่อจะได้ทำใจให้ถึงวิปัสสนาทุกครั้งที่พิจารณาสภาวะธรรมใดๆครับ
1.เห็นทุกข์(ความเกิด,ความแก่,ความเจ็บ,ความตาย,ความสกปรกของกาย)
2.เห็นว่าสภาพทุกข์นั้นน่าเบื่อ ไม่น่าที่เราจะต้องมาทนอยู่กับทุกข์นี้
3.เห็นว่าทุกข์นั้นๆเป็นของธรรมดาโลก
4.เห็นว่าทุกข์ที่เป็นธรรมดาโลกนั้นๆ มีสภาพไม่เที่ยง เช่นเด็กทารกที่เกิดมาเดี๋ยวก็ต้องแก่ ความเจ็บป่วยที่เรารู้สึกอยู่เดี่ยวก็หายไป ที่เรารู้สึกหิวอยู่เดี่ยวก็ต้องหายหิว
5.เห็นว่าทุกข์ที่เป็นธรรมดาโลกนั้น มีแก่เรา จากสาเหตุที่เราดันมีร่างกาย และที่เรามีร่างกายก็เพราะเราดันเกิดมา และที่เราเวียนว่ายตายเกิดมาก็เพราะเราดันติดใน รัก โลภ โกรธ หลง
6. คิดต่อจาก 5. ว่าเรารู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว การไม่ต้องเกิดนั้นแลดีที่สุด เราจะตั้งใจดับไฟรักโลภด้วยการให้ทาน ดับไฟโกรธด้วยการเมตตา ดับไฟหลงด้วยการคิดว่า จริงๆแล้วไม่มีอะไรในโลกที่เป็นตัวเรา ของเรา
- อารมณ์เบื่อแบบไหนที่ถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณครับ ผมเกรงว่าจะเบื่อผิดแบบครับ เพราะผมสังเกตุตัวเองว่าเวลาปฏิบัติธรรมคิดเบื่อสิ่งต่างๆในโลก ใจผมมันจะเศร้าหมองยังไงพิกล เลยคิดว่ามาผิดทาง คิดเบื่อยังไงไม่ให้ใจหมองครับ
- เบื่อรถติด-->หมอง
- เบื่อที่ตัวเราต้องมาป่วยอยู่อย่างนี้-->หมอง
- เวลาเรามองคนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นซากศพเดินได้ เราควรพิจารณาธรรมแบบนี้ไหมครับ ผมสับสนว่าคิดอย่างนี้จะกลายเป็นเราไม่ได้รู้สภาวะธรรม ณ. สภาพปัจจุบัน ของสิ่งนั้นๆหรือเปล่าครับ เช่น
1. เวลาเรามองกายผู้หญิงสวยที่ยังเต่งตึงอยู่เดินผ่านเรา ตอนเราเห็นเค้า เค้ายังไม่ได้เน่าเฟะ เป็นศพเลยนี่ครับ ถ้าเราไปคิดว่าเค้าเน่าออกมาให้เราเห็นแบบนั้นจะกลายเป็นเราไปคิดถึงอนาคต ไม่จดจ่ออยู่กับสภาวะปัจจุบันของกายนั้นๆ หรือเปล่า
2. แต่เวลาเราไปดูร่างกายคนตายตามโรงพยาบาลที่เราเห็นตับไตไส้พุงเขา หรือศพที่เน่าให้เราเห็นคาตา อย่างนี้ผมไม่สับสนครับ เพราะเรากำลังพิจารณาสภาวะธรรมของสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันขณะของเขาจริงๆ :) น่าจะพิจารณาวิปัสสนาต่อได้จริง
3. แล้วที่เราคิดว่าวันพรุ่งนี้เราอาจต้องตาย แต่ภาวะปัจจุบันเรายังไม่ตาย ถ้าเราวิปัสสนาในใจว่า พรุ่งนี้หนอ เราอาจต้องตาย คิดอย่างนี้จะไปคิดถึงอนาคต คือถือว่าไม่พิจารณาสภาวะธรรมในปัจจุบันหรือเปล่าครับ ตกลงควรคิดไงดีครับ เด็กอนุบาลชักงง อะไรคือนิยามของสภาวะธรรม ณ ปัจจุบัน ที่เราควรใช้ต่อยอดทำวิปัสสนากันแน่หนอ เด็กอนุบาลยังปัญญาน้อย วอนท่านผู้รู้ช่วยให้ธรรมทานด้วย
หน้า 30 ของ 166