การบ้านยากไปรึเปล่าน้า
เงียบหายไปหมดเลย
หรือรอลอกการบ้านเพื่อนกันอยู่ก็ไม่รู้
วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.
หน้า 32 ของ 166
-
ในส่วนของการธรรมปฏิบัติของทางสายพุทธภูมินั้น
นอกเหนือจากหลักสูตรภาคบังคับที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
ก็ยังมีวิชชา และสมาธิจิตที่เราต้องใช้ในการโปรด การสงเคราะห์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย อาทิเช่น วิชาทางด้านการแพทย์ วิชาด้านการพัฒนาตนเอง พัฒนาในเชิงสังคม เพื่อการยังประโยชน์สุขต่อส่วนรวมในสภาวะที่ยังมีร่างกายขันธุ์ห้า กันอยู่
นอกจากนี้ก็ยังมีวิชาเฉพาะตนที่เป็นความรู้พิเศษของแต่ละท่านที่ ได้อธิฐานเอาไว้เป็นบารมีพิเศษอีกด้วย ก็พึงอธิฐานเก็บ อธิฐานเรียกกลับมาเพื่อใช้งาน
ตรงจุดเหล่านี้ ขอให้ไปทำกันเอง ไม่ยากเกินวิสัยของทุกๆท่าน
แต่จะมีจุดสำคัญอยู่จุดหนึ่ง ของท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ จุดนั้นก็คือ
"ในการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ได้ถูกกระบวนการลบสัญญา ทำให้ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตชาติก็ดี หน้าที่ที่ได้ตั้งใจลงมาสร้างลงมาบำเพ็ญก็ดี พันธกิจที่ได้สัญญา เอาไว้ก็ดี สรรพวิชชาที่เคยได้เรียน ได้เจริญ ได้ฝึกฝนมาก็ดี กลับยังฟื้นคืนมาไม่ได้ทั้งหมด หลายท่านยังอยู่ในสภาวะแห่งการหลับไหลอยู่
หากการปลุกตื่นแห่งพุทธภูมิทั้งปวง ได้ปรากฏขึ้น จะก่อให้เกิดการรวมใจกันสร้างบารมีครั้งยิ่งใหญ่ สร้างยุคสมัยที่มีความเจริญสมดุลกันทางโลกและทางธรรม พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองประดุจสมัยแห่งพระพุทธองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่ มากด้วย พระอริยะเจ้า พระสุปฏิปันโน และพระโพธิสัตว์เจ้าผู้ช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
การณ์นี้จะทรงความรุ่งเรืองในดินแดนแห่งสัมมาทิษฐิ ไปได้อีกเป็นเวลา หนึ่งพันปี มีผู้บรรลุธรรมได้ในช่วงเวลานั้นเป้นจำนวนมากมายมหาศาล จากนั้นความเจริญทางด้านจิตใจก็กลับเสื่อมถอยลงไปอีกตามกฏแห่งอนิจจะลักษณะ
ท่านผู้ที่ลาก็ไปพระนิพพานกันก่อน ส่วนท่านที่อยู่ต่อก็นัดกันลงมาบำเพ็ญบารมีกันใหม่ " -
เด็กอนุบาลส่งการบ้านคุณครูคณานันท์เรื่องแยกธาตุ4ครับ
ขอโทษที่ต้องให้คุณครูทวงการบ้านค้าบ:) ผลการฝึกเป็นดังนี้ครับ
1. ตอนที่พิจารณาธาตุ 4 ตามตำราโดยไม่ได้เข้าสมาบัตินั้น รู้สึกว่พิจารณาได้ช้า ภาพที่พิจารณาก็เห็นไม่ค่อยชัดเจน จิตรู้สึกเบาสบายพอสมควรครับ
2. เมื่อเข้าสมาบัติแล้วพิจารณา พิจารณาได้เร็วขึ้น ภาพธาตุ4ที่เกิดในจิตชัดขึ้น และพอนึกภาพพระหลังพิจารณาธาตุ4 ภาพพระสว่างขึ้นกว่า 1 และจิตเบากว่า 1 ครับ
3. เมื่อทำมโนมยิทธิตัดขันธ์ห้าขึ้นไป พิจารณาธาตุ4 บนนิพพาน รู้สึกว่าจิตเบาสบายมากและเห็นภาพพระบนพระนิพพานสว่างชัดขึ้นกว่าตอนที่ขึ้นไปเฉยๆแล้วไม่ได้พิจารณาธาตุ4 บนพระนิพพาน
ส่วนความแตกต่างอย่างอื่นระหว่าง 3 กับ 2 นั้น เด็กอนุบาลไม่ทราบชัดเจนครับ
ตอนนี้มีปัญหาว่า พอขึ้นไปบนพระนิพพานนานๆแล้วจะเริ่มรู้สึกนึกถึงลมหายใจขึ้นมาอีก คราวนี้จะเริ่มกังวลว่าถ้าเรารู้สึกถึงลมหายใจตามปกติขึ้นมาเมื่อไหร่ เราอาจจะอยู่บนพระนิพพานไม่ได้เพราะกำลังฌานตกลง อยากให้คุณคณานันท์ช่วยอธิบายหน่อยครับว่า ถ้าเรากลับมารู้สึกถึงลมหายใจขึ้นมาเมื่อไรจะทำให้เราไม่สามารถคงอาทิสมานกายเราอยู่ที่พระนิพพานได้นั้น จริงหรือไม่ครับ และอยากให้ช่วยแนะนำว่าทำอย่างไรเราจึงจะอยู่บนพระนิพพานได้นานขึ้น
เท่าที่ผมทราบ หลวงพี่เล็กท่านแนะนำให้หางานให้จิตทำ เช่นอฐิษฐานขอสวดมนต์ถวายพระไป xx จบ ถ้ายังสวดได้ไม่ถึงที่ตั้งใจไว้จะไม่ยอมลงจากนิพพาน ผมเองตอนนี้ก็ใช้วิธีนี้อยู่ แต่รู้สึกเหนื่อยเวลาสวดนานๆ :) -
หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี
*** ถึง ผู้ที่ปรารถนานิพพาน ****
จะหลุดพ้นได้... ก็ต้องหมดกิเลส
จะหมดกิเลสได้ .... ก็ต้องหมดนิสัย
จะหมดนิสัยได้ ... ก็ต้องหยุดนิสัยให้ได้จริง
จะหยุดนิสัยให้ได้จริง .... ก็ต้องมี "สัจจะ"
ผู้ที่สำเร็จได้ทุกคน...ก็ด้วย "สัจจะ"
เพราะ โลกุตตระได้ย่อการปฏิบัติจนเหลือแค่ สัจจะ
โลกุตตระธรรม... คือ ธรรมเหนือโลก นำพาสัตว์ให้หลุดพ้น ด้วยสัจจะ
- " หนุมาน ผู้นำสาร " -
ตรวจการบ้านก่อนครับ
ที่มีการบ้านให้ในแบบนี้เพราะ มีวัตถุประสงค์
-อยากให้รู้แนวทางในการปฏิบัติตั้งแต่ สุขขะวิปัสโก ขึ้นไปจนถึง การปฏิบัติการตัดกิเลสด้วยกำลังของฌาน ขึ้นไปถึงอภิญญา
-อยากให้แยกแยะได้ในอารมณ์ในการปฏิบัติว่า การพิจารณาแบบที่จำจากตำรา ว่าได้คล่อง แต่ธรรมไม่ชะโลมรดดวงใจเราเลย กับ การพิจารณาการตัดขันธ์ห้าที่ปรากฏกับดวงจิตเราอย่างลึกซึ้งนั้นอย่างไหนจะมีผลให้เกิดความรู้แจ้งแทงตลอดได้มากกว่ากัน เกิดนิพพิทาญาณ จนจิตคลายตัวจากความยึดมั่นถือมั่นใน ร่างกายเป็นสังขารุเบกขาญาณมากกว่ากัน
-อยากให้ทุกท่านได้เข้าใจในอารมณ์ใจที่ละเอียด ที่หากพิจารณาโดยผิวเผินดูไม่ต่างกันนัก แต่ที่จริงก็มีความแตกต่างกันอยู่
ส่วนความแตกต่างระหว่างวิธีที่ 2 และ 3 นั้นก็คือ การพิจารณาขันธุ์ห้าบนพระนิพพาน จะมีความเห็นจริงกระจ่างแก่ใจและปลดเปลื้องถอดถอนอวิชชา ได้ลึกซึ้งกว่า เหตุผลก็เพราะ
-เป็นกำลังใจสูงสุด คือพิจารณาด้วยอารมณ์นิพพาน ประการหนึ่ง
-เห็นความเปรียบเทียบที่แตกต่างราวฟ้ากับดิน ทั้งด้านรูป (กายเนื้อที่สกปรกโสโครก กับกายพระวิสุทธิเทพที่สะอาด ว่าง) และทั้งด้านอารมณ์ ที่เปรียบเทียบอารมณ์ของโลก กับอารมณ์ใจพระนิพพาน ซึ่งปราศจากความกังวลใดๆแล้ว
ส่วนปัญหาในการไม่อาจทรงอารมร์ไว้บนพระนิพพานไว้ได้นาน นั้นเนื่องจากมาจับลมหายใจใหม่อีกครั้ง วิธี แก้ไข ก็คือให้ใช้อาทิสมานกายมองมาจากบนพระนิพพานมาดูร่างกายเนื้อ มองดูร่างกายเนื้อแสดงอาการหายใจ ประหนึ่งเราดูร่างกายของบุคคลอื่นอยู่ อย่าไปรู้สึกว่าเรากำลังเป็นผู้หายใจ ส่วนที่หลวงพี่เล็กท่านแนะนำนั้นดีแล้วครับ แต่เราเองเป็นฝ่ายกังวลเองว่าอยากอยู่บนพระนิพพานนานๆ จึงกลายเป็นนิวรณ์พลอยทำให้ วางกำลังใจหนักเกินไปนิดหนึ่งครับ ต้องย้อนมาวางอารมณ์ใจเบาๆสบายๆใหม่ครับ จากข้างบนพระนิพพานได้เลย
ส่วนท่านอื่นมีผลปรากฏในการปฏิบัติกันอย่างไรบ้างครับ -
หลายๆท่านอาจสงสัยว่าทำไมผมเองจึงได้เน้นเรื่องสัมมาทิษฐิมากมายนัก ก็ขออนุญาตอธิบายให้ฟังในโอกาสนี้ว่าเพราะอะไร
"สัมมาทิษฐิเป็นหลักของทิษฐิ ความคิดเห็น ที่ถูกต้องตามทำนองครองธรรม และตามแนวทางปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
หลักไม่ยึดตามหลักนี้เอาไว้แล้ว โอกาศในการปฏิบัติที่จะผิดเพี้ยนไปจากหลักคำสอนขององค์พระศาสดา ก็จะมีสูงมาก เมื่อตนปฏิบัติผิดก็มีผลเสียมากมายแล้ว แต่ยิ่งเป็นพุทธภูมิ ต้องแนะนำสั่งสอนสรรพสัตว์อีกเป็นจำนวนมาก เมื่อสอนผิดแนะนำผิดก็พาเขาหลงทางไปอีก ทั้งหมด
หลวงพ่อท่านเคยเล่าเอาไว้ในหนังสือว่ามีช่วงหนึ่งที่ท่านมาเรียนบาลีในกรุงเทพ และพลอย"นิพพานสูญ" ไปตามเขา อภิญญาสมาบัติที่หลวงพ่อปานท่านได้ถ่ายทอดให้ก็หายไปด้วย ท่านจึงกลับมาพิจารณาใหม่ และต้องกลับมาเทศน์ตามหาคนที่ท่านเคยไปบอกเขาว่านิพพานสูญให้กลับ ทิษฐิเสียใหม่ให้ถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้นนอกจะเป็นโทษต่อตนเองแล้ว ก็จะเป้นโทษต่อผู้ฟังธรรมไปด้วย
ส่วนท่านผู้เป็นพุทธภูมิหากแม้ ตนเองเป็นมิจฉาทิษฐิ(อาจจะรู้ตัว หรือไม่ก็ตาม) ต้องรีบแก้ทิษฐิให้ถูกต้องเป็นสัมมาทิษฐิโดยเร็ว เพราะหากเราไปพาคนเขาผิดแล้ว เราต้องไปตามแก้เขาอีกมากมายหลายชาติ บางทีตามเจอบ้างไม่เจอบ้าง ต้องเกิดตามหากันไป เพื่อแก้คืนให้เขา เป็นกรรมที่ต้องใช้เวลา และทำให้เสียโอกาสในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไปเป็นอย่างมาก
วิธีการป้องกันตนของพุทธภูมิในเรื่องนี้ก็คือ การอธิฐานว่า
"ข้าพเจ้าขอตั้งจิตมุ่งตรงเป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ รู้เห็นธรรม เข้าใจธรรม อย่างรู้แจ้งแทงตลอด และเข้าถึงธรรมตามที่องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธประสงค์เอาไว้ทุกอย่างทุกประการ
หากแม้นคราใด มารสิงใจให้ข้าพเจ้าผิดพลั้ง จากแนวทางแห่งสัมมาทิษฐิแล้วไซร้ ขอเทพพรหมเทวา สัมมาทิษฐิผู้มีฤทธิ์ได้โปรดเมตตา มาดลดวงจิตดวงใจของข้าพเจ้าให้กลับมาทรงซึ่งความเป็นสัมมาทิษฐิเอาไว้เสมอตราบเท่าเข้าถึงอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลด้วยเ เทอญ"
แต่ในแนวทางปฏิบัติตามความเป็นจริงอีกประการหนึ่ง ที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้และถ่ายทอดสืบต่อกันมา ท่านทำแบบนี้ในยามแสดงธรรม
ตั้งจิตปรารถนาในผลแห่งการปฏิบัติของผู้รับฟังธรรมนั้นๆ ทั้งคนทั้งเทวดา จากนั้นทำกำลังใจในอุเบกขาญาณ เข้าฌานเจริญวิปัสสนา ตัดขันธ์ห้า จับภาพพระพุทธเจ้าท่านให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก จากนั้นอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้เมตตาถ่ายทอดธรรมสู่ดวงจิตของผู้ฟัง โดยตรง โดยที่ตัวของเราเองเป็นตัวกลางที่ซึมซับธรรมมะนี้เข้าสู่ดวงจิตของเราแล้วถ่ายทอดออกไป เป็นกระบวนการที่ถ่ายทอดจากจิตสู่จิต ธรรมสู่ธรรม ไม่ผ่านการปรุงแต่งจากสมอง หรือกิเลสใดๆ
ธรรมมะหลั่งไหลจากดวงใจที่บริสุทธิ์ ผู้ฟัง ผู้สัมผัสได้จะเข้าใจได้อย่างตรงวาระจิต อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เพราะเป็นธรรมที่มุ่งเน้นผล ความก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติของผู้ฟังธรรมเป็นสำคัญ
ฟังดูเหมือนยาว ต้องตั้งท่ากันมาก แต่อันที่จริง รวดเร็วเรียบง่าย เป็นธรรมชาติอย่างที่สุด
หัวใจอยู่ที่
-ความเมตตาในผู้ฟัง เราต้องการให้เขาก้าวหน้าเจริญในธรรม ไม่ได้หวังให้เขามาสรรเสริญเรา
-วางอุเบกขา วางเฉย อธิฐานให้เป็นธรรมจากองค์พระศาสดาท่านเมตตาโดยตรงต่อบุคคลนั้นเอง
-เราเป็นผู้ให้ ส่วนเขาจะรับหรือไม่รับ เห็นประโยชน์ เห็นค่าหรือไม่ จะปฏิบัติตามเพื่อตัวเองหรือไม่ เราปล่อยวาง
เหล่านี้เป็นวิธีการในการถ่ายทอดธรรม ในขณะที่ผมเองพิมพ์อยู่นี้ ก็ทรงภาพ อาราธนาสมเด็จองค์ปฐมท่านทรงอยู่เหนือเศียรเกล้า วางอารมณ์ใจปรารถนาในผลแห่งการปฏิบัติสู่ท่านผู้อ่านที่อยู่ในวิสัยที่จะเจริญในธรรม วางใจเป็นอุเบกขา จากนั้น ก็จะเกิดอารมณ์ผุดรู้ขึ้นมาในจิต นิ้วก็พิมพ์ไปของมันเอง โดยอัตโนมัติ ผมเองเคยมาทบทวนดูข้อความต่างๆในกระทู้วิชชานี้ บางครั้งก็ยังงงตัวเองอยู่ว่า พิมพ์เข้าไปได้ยังไงกันตั้งมากตั้งมายขนาดนี้
ดังนั้นการเผยแพร่ธรรมก็กระทำในฌานด้วยกำลังของสมาธินั่นเอง
ขอให้ความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกดวงจิตที่น้อมนำไปในกุศลด้วยเทอญ -
กว่าจะได้ทำการบ้านก็เพิ่งสี่ทุ่มที่ผ่านมา ส่งช้าหน่อยนะคะ คุณครู<O:p</O:p
ข้อเดียวพิจารณา 3 ชั้น 3 แบบให้พิจารณาร่างกายของเราเอง แยกออกเป็นธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลมไฟโดย
1. พิจารณาเอาง่าย ๆ ตามที่เคยอ่านมาในหนังสือธรรมะ หรือที่จำเขามา
<O:p</O:pพิจารณาในชีวิตประจำวัน จะมองเห็นชัด ๓ ธาตุในร่างกายของเรา คือ ดิน ลม และไฟ ส่วนธาตุน้ำมองเห็นไม่ค่อยชัด ดินจะเห็นชัดเมื่อไปกระทบสิ่งอื่น เห็นความหนักหน่วง ลมเห็นเมื่อตามดูลมหายใจที่เคลื่อนไหวกระทบทางเดินหายใจตั้งแต่จมูก ช่วงคอ อก ท้อง ไฟ พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยสบายเป็นไข้หวัด จะเห็นชัดถึงความร้อนในกาย โดยเฉพาะช่วงอกสำหรับธาตุน้ำ ปกติจะไม่ค่อยรู้สึก นอกจากตอนก่อนและขณะเข้าห้องน้ำทั้งหนักและเบาค่ะ<O:p</O:p
2. ให้จับลมสบายให้ได้ก่อน จนเป็นลมละเอียด กำลังใจสูงสุดจนเป็นฌานที่เราทำได้ จากนั้นทรงอารมณ์และพิจารณาในฌาน และให้แยกแต่ละธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เป็นกองกสิณด้วย
<O:p</O:pจับลมหยาบ ลมสบาย และลมละเอียดได้ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าได้ฌานขั้นไหน อาจจะยังไม่ถึง ๔ เพราะยังมีลมหายใจอยู่ค่ะ แต่เบามาก ยังได้ยินเสียงพัดลมและเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ค่ะ แต่เสียงที่ไกลออกไป เช่น ตู้เย็น ไม่ได้ยิน จึงมาพิจารณาธาตุ ๔ ก็จะเห็นชัดเจนขึ้น โดยเริ่มพิจารณาจากธาตุดินก่อน เห็นความหนักหน่วงมากขึ้น ที่แทรกเข้ามาคือ การเคลื่อนไหวของลำตัวที่เปลี่ยนไป จากการนั่งสมาธิหลังตรง เป็นค่อย ๆ แหงนคอขึ้น มีความรู้สึกแน่นที่คอมากขึ้น จนหน้าหงาย หลังติดเบาะพนักเก้าอี้ จึงฝืนตัวถอยกลับมา ก็หงายไปอีก และแน่นที่คอ เห็นคุณสมบัติของธาตุดินชัดขึ้น ความแน่น ก็ฝืนตัวกลับมาอีก คราวนี้พิจารณาไปก็ก้มตัวไปเรื่อย ๆ ก็ฝืนกลับมาอีก กายก็ก้มไปใหม่ คราวนี้หัวหมุนไปทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปทางขวากลับมาตรงกลาง มันเป็นไปของมันเองนะคะ ก็ดูมันอยู่ว่าคราวนี้จะแสดงอะไรล่ะ แล้วหัวก็ค่อย ๆ เงยเหมือนมุดอะไรสักอย่าง ในใจก็ผุดว่าหรือจะแสดงให้เห็นถึงจากการตายแล้วย้ายมาการเกิด เพราะตนเองทราบจากผู้มีญาณและการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาที่ผ่านมา ว่าชาติที่แล้วผูกคอตายหนีการแต่งงานที่ไม่ปรารถนามาค่ะ (cry)
<O:p</O:pส่วนธาตุน้ำ พิจารณาไม่ชัดค่ะ ธาตุลมก็ตามดูลม เห็นความไหว และธาตุไฟ ก็เห็นความร้อนที่มีอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ทราบว่าพิจารณาเช่นนี้ถูกต้องมั๊ยคะ อ้อ มีคำถามเรื่องฌานหน่อยนะคะ คือ ไม่ทราบว่าที่ตนเองทำได้อยู่ในขั้นไหน ที่ผ่านมาก็จับลมของตนเองจนไม่สามารถจับได้และมาพิจารณาการนั่งแทนก็เคย จนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างก็เคย ที่เป็นปัญหาของตนเอง คือ เมื่อตั้งใจทำงานอะไร เช่น อ่านหนังสือ ทำรายงาน จะไม่ได้ยินเสียงทีวี วิทยุที่เปิดอยู่ หรือแม้คนที่คุยด้วยข้าง ๆ ทำให้มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นอยู่บ้าง เพราะเค้าพูดไป ตนเองไม่ได้ยิน ก็รู้สึกว่าเค้าจะหาว่าเราไม่สนใจเค้า ก็เราจะทำงาน พอทำงานแล้วมันไม่ได้ยินน่ะ ก็พยายามจะฝึกฝนตนเองด้านนี้ให้ทำงานพร้อมกับอยู่ร่วมกับผู้อื่นไปด้วยได้ เพราะไม่งั้นสงสัยต้องอยู่คนเดียวอย่างนี้ตลอดไป แหะ แหะ
3. ทำอย่างข้อสองก่อน จากนั้น ใช้กำลังของมโนมยิทธิเอากายเนื้อขึ้นไปตัดพิจารณาบนพระนิพพาน
(b-ng) ข้อนี้ก็ไม่รู้อีกว่าตนเองได้มโนมยิทธิถึงไหน เพราะไม่ค่อยได้ฝึก แต่ลองทำคราวนี้ก็พยายามจินตนาการว่าถอดอาทิสมานกายไปพระนิพพาน ไปถึงก็ไปกราบสมเด็จองค์ปฐมและท่านย่า ๓ ครั้ง ก็รู้สึกว่าท่านเอามือมาจับศรีษะ คงจะคิดไปเองมากกว่า แล้วบอกท่านว่าขอไปพิจารณาตามที่อาจารย์คณานันท์ให้การบ้านมาค่ะ แต่ก็มองไม่เห็นกายเนื้อของตน ก็คิดว่ามันจะพิจารณาธาตุ ๔ ได้ยังไง ก็มีแต่อาทิสมานกายที่เป็นแก้วใส ๆ แล้วไปลาท่านกลับ ก็คงจะคิดไปเองมากกว่าว่า ท่านบอกว่า ไปดีมาดี แล้วก็ลงมาตอบคำถามการบ้านอาจารย์เนี่ยล่ะค่ะ
<O:p</O:pอาจารย์กรุณาช่วยแนะนำให้ด้วยนะคะว่าผิดถูกอย่างไร ไม่ต้องเกรงใจค่ะ อยากฝึกฝนให้ได้ของจริงสักทีค่ะ [b-wai]<O:p</O:p -
วันนี้เด็กอนุบาลได้มีโอกาสไปกราบหลวงพี่เล็กที่บ้านอนุสาวรีย์ จึงขอนำข้อสนทนาที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆมาฝากครับ
เด็กอนุบาลได้ถามหลวงพี่เรื่องการปฏิบัติธรรมโดยพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายแต่ละคนที่เราเจอในชีวิตประจำวันเป็นเหมือนซากศพเดินได้ และสุดท้ายร่างกายเค้าก็ต้องสลายไปไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่จิตดวงเดียวที่ไปตามบุญตามกรรม เด็กอนุบาลพบปัญหาในการปฏิบัติคือ เวลามองร่างกายของคนที่ผ่านไปมา โดยเฉพาะสาวๆ มองนานๆแล้วรู้สึกว่าเค้าจะรู้ตัว ทำให้เกิดความลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย :)
หลวงพี่ได้เมตตาตอบว่า เค้าไม่ให้มองนานๆ มองนานไปแทนที่จะไปตัดกิเลส อาจจะกลับกลายไปเพิ่มกิเลสได้ สงสัยว่าหลวงพี่อาจจะรู้จริตของเด็กอนุบาลว่ามองนานแล้วจะยุ่งกันใหญ่ ไม่เหมือนอีกหลายๆคนที่จิตใจเค้าเข้มแข็งพอ :)
และหลวงพี่ก็ได้กล่าวเตือนว่า คนที่ปรามาสพระสงฆ์ที่ออกไปต่อสู้เพื่อพระศาสนา ว่าถ้าพระไม่เป็นกำลังในการปกป้องพระศาสนาแล้วใครเล่าจะควรทำ ตรงข้อนี้ เด็กอนุบาลโดนเต็มๆ เพราะเคยมีมิจฉาทิษฐิคิดว่าพระปฏิบัติอย่างนั้นไม่เป็นการสมควร คราวนี้ก็เลยต้องตั้งใจขอขมาท่านและปรับความเข้าใจใหม่ให้ถูกต้อง เลยต้องขอขมาพระรัตนตรัยและคิดว่าต่อไปจะไม่ประมาทคิดอะไรล่วงเกินพระสงฆ์ท่านแล้ว ก่อนจะสรุปอะไรต้องถามพระท่านก่อนทุกครั้ง Y_Y
ส่วนที่เหลือก็เป็นการพูดคุยเรื่องทั่วไป หลวงพี่ท่านก็เล่าให้ฟังว่าท่านต้องทำบุญปล่อยสัตว์อยู่นานกว่าจะทุเลาจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า การทำความดีต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่องจริงๆ
สุดท้ายนี้เด็กอนุบาลกราบขอบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ช่วยบันดาลกุศลผลบุญที่เด็กอนุบาลได้ทั้งหมดจากการไปกราบหลวงพี่ในวันนี้ ให้สำเร็จแด่เพื่อนๆทุกคนที่ปรารถนาในพุทธภูมิก็ตาม สาวกภูมิก็ตาม ขอให้เพื่อนๆเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป มีพระนิพพานเป็นที่ไปอันประเสริฐ ตามวาระที่ทุกท่านตั้งใจไว้ทุกประการเทอญ :) -
ใครมี จตุคาม รามเทพ พ่อองค์ดำละก้อ
คงต้องใช้ "ธูปสีดำ" ในการไหว้บูชานะครับ
นอกจากนี้ สีธูปต่างๆ ยังใช้แตกต่างกันไป
เพื่อบูชาเทพองค์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
อีกด้วย อยากทราบ คลิก
http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=86137
<!-- / message --><!-- sig --> -
ขออนุญาตตอบการบ้านจากคุณหนูน้อยครับ
ข้อเดียวพิจารณา 3 ชั้น 3 แบบให้พิจารณาร่างกายของเราเอง แยกออกเป็นธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลมไฟโดย
1. พิจารณาเอาง่าย ๆ ตามที่เคยอ่านมาในหนังสือธรรมะ หรือที่จำเขามา
<O:p</O:pพิจารณาในชีวิตประจำวัน จะมองเห็นชัด ๓ ธาตุในร่างกายของเรา คือ ดิน ลม และไฟ ส่วนธาตุน้ำมองเห็นไม่ค่อยชัด ดินจะเห็นชัดเมื่อไปกระทบสิ่งอื่น เห็นความหนักหน่วง ลมเห็นเมื่อตามดูลมหายใจที่เคลื่อนไหวกระทบทางเดินหายใจตั้งแต่จมูก ช่วงคอ อก ท้อง ไฟ พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยสบายเป็นไข้หวัด จะเห็นชัดถึงความร้อนในกาย โดยเฉพาะช่วงอกสำหรับธาตุน้ำ ปกติจะไม่ค่อยรู้สึก นอกจากตอนก่อนและขณะเข้าห้องน้ำทั้งหนักและเบาค่ะ<O:p</O:p
2. ให้จับลมสบายให้ได้ก่อน จนเป็นลมละเอียด กำลังใจสูงสุดจนเป็นฌานที่เราทำได้ จากนั้นทรงอารมณ์และพิจารณาในฌาน และให้แยกแต่ละธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เป็นกองกสิณด้วย
<O:p</O:pจับลมหยาบ ลมสบาย และลมละเอียดได้ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าได้ฌานขั้นไหน อาจจะยังไม่ถึง ๔ เพราะยังมีลมหายใจอยู่ค่ะ แต่เบามาก ยังได้ยินเสียงพัดลมและเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ค่ะ แต่เสียงที่ไกลออกไป เช่น ตู้เย็น ไม่ได้ยิน จึงมาพิจารณาธาตุ ๔ ก็จะเห็นชัดเจนขึ้น โดยเริ่มพิจารณาจากธาตุดินก่อน เห็นความหนักหน่วงมากขึ้น ที่แทรกเข้ามาคือ การเคลื่อนไหวของลำตัวที่เปลี่ยนไป จากการนั่งสมาธิหลังตรง เป็นค่อย ๆ แหงนคอขึ้น มีความรู้สึกแน่นที่คอมากขึ้น จนหน้าหงาย หลังติดเบาะพนักเก้าอี้ จึงฝืนตัวถอยกลับมา ก็หงายไปอีก และแน่นที่คอ เห็นคุณสมบัติของธาตุดินชัดขึ้น ความแน่น ก็ฝืนตัวกลับมาอีก คราวนี้พิจารณาไปก็ก้มตัวไปเรื่อย ๆ ก็ฝืนกลับมาอีก กายก็ก้มไปใหม่ คราวนี้หัวหมุนไปทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปทางขวากลับมาตรงกลาง มันเป็นไปของมันเองนะคะ ก็ดูมันอยู่ว่าคราวนี้จะแสดงอะไรล่ะ แล้วหัวก็ค่อย ๆ เงยเหมือนมุดอะไรสักอย่าง ในใจก็ผุดว่าหรือจะแสดงให้เห็นถึงจากการตายแล้วย้ายมาการเกิด เพราะตนเองทราบจากผู้มีญาณและการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาที่ผ่านมา ว่าชาติที่แล้วผูกคอตายหนีการแต่งงานที่ไม่ปรารถนามาค่ะ (cry)
<O:p</O:pส่วนธาตุน้ำ พิจารณาไม่ชัดค่ะ ธาตุลมก็ตามดูลม เห็นความไหว และธาตุไฟ ก็เห็นความร้อนที่มีอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ทราบว่าพิจารณาเช่นนี้ถูกต้องมั๊ยคะ อ้อ มีคำถามเรื่องฌานหน่อยนะคะ คือ ไม่ทราบว่าที่ตนเองทำได้อยู่ในขั้นไหน ที่ผ่านมาก็จับลมของตนเองจนไม่สามารถจับได้และมาพิจารณาการนั่งแทนก็เคย จนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างก็เคย ที่เป็นปัญหาของตนเอง คือ เมื่อตั้งใจทำงานอะไร เช่น อ่านหนังสือ ทำรายงาน จะไม่ได้ยินเสียงทีวี วิทยุที่เปิดอยู่ หรือแม้คนที่คุยด้วยข้าง ๆ ทำให้มีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นอยู่บ้าง เพราะเค้าพูดไป ตนเองไม่ได้ยิน ก็รู้สึกว่าเค้าจะหาว่าเราไม่สนใจเค้า ก็เราจะทำงาน พอทำงานแล้วมันไม่ได้ยินน่ะ ก็พยายามจะฝึกฝนตนเองด้านนี้ให้ทำงานพร้อมกับอยู่ร่วมกับผู้อื่นไปด้วยได้ เพราะไม่งั้นสงสัยต้องอยู่คนเดียวอย่างนี้ตลอดไป แหะ แหะ
3. ทำอย่างข้อสองก่อน จากนั้น ใช้กำลังของมโนมยิทธิเอากายเนื้อขึ้นไปตัดพิจารณาบนพระนิพพาน
(b-ng) ข้อนี้ก็ไม่รู้อีกว่าตนเองได้มโนมยิทธิถึงไหน เพราะไม่ค่อยได้ฝึก แต่ลองทำคราวนี้ก็พยายามจินตนาการว่าถอดอาทิสมานกายไปพระนิพพาน ไปถึงก็ไปกราบสมเด็จองค์ปฐมและท่านย่า ๓ ครั้ง ก็รู้สึกว่าท่านเอามือมาจับศรีษะ คงจะคิดไปเองมากกว่า แล้วบอกท่านว่าขอไปพิจารณาตามที่อาจารย์คณานันท์ให้การบ้านมาค่ะ แต่ก็มองไม่เห็นกายเนื้อของตน ก็คิดว่ามันจะพิจารณาธาตุ ๔ ได้ยังไง ก็มีแต่อาทิสมานกายที่เป็นแก้วใส ๆ แล้วไปลาท่านกลับ ก็คงจะคิดไปเองมากกว่าว่า ท่านบอกว่า ไปดีมาดี แล้วก็ลงมาตอบคำถามการบ้านอาจารย์เนี่ยล่ะค่ะ
<O:p</O:pอาจารย์กรุณาช่วยแนะนำให้ด้วยนะคะว่าผิดถูกอย่างไร ไม่ต้องเกรงใจค่ะ อยากฝึกฝนให้ได้ของจริงสักทีค่ะ [b-wai]<O:p</O:p<!-- / message --><!-- edit note -->
ข้อที่หนึ่งนั้นนับเป็นการพิจารณาธาตุสี่ในอาการปรากฏของธาตุนั้นครับ แต่สิ่งที่ขาดหายไปจากอารมณ์พิจารณา ก็คือการพิจารณาจนสุด คือจนถึงอารมณ์ ที่เกิดความเห็นธรรมดาของธาตุทั้งสี่ทั้งในร่างกายเราจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายขันธ์ห้าครับ
ข้อที่สอง แสดงให้เห็นได้ว่าคุณหนูน้อยทำสมถะได้ในระดับฌานแล้ว โดยเฉพาะการทำงานนั้นจิตก็จะรวมเป็นสมาธิเองโดยอัตโนมัติทำให้เป็นผู้ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าคนทั่วไป
ส่วนอาการปรากฏในเรื่องราวในอดีตชาติก็เป็นเพราะสัญญาที่ฟื้นคืนจากอำนาจของสมาธิ และก็มีวิธีแก้ด้วยเช่นกัน โดยการชำระล้างปลดปล่อยสัญญานี้ออกไปจากดวงจิตของเรา ซึ่งจะทำให้อาการทางกายที่เกิดขึ้นบรรเทา จนหายไปในที่สุดครับ
ส่วนในข้อสองนั้นก็ยังเป็นการพิจารณาธาตุโดยอาการ ลักษณะนั้นอยู่ ยังไม่สุดอารมณ์กรรมฐาน ดังนั้นจึงไม่ได้เสวยผลแห่งวิปัสนาญาณเท่าที่ควร ควรพิจารณาเพิ่มเติมจนเกิดอารมณ์ปล่อยวางจากขันธ์ห้า ที่เป็นอารมณ์วางแล้วจิตใจเราปลอดโปร่งขึ้น เบาขึ้นครับ หากยิ่งพิจารณาขันธ์ห้าแล้วอารมณ์ใจเรายิ่งเครียดยิ่งหนักนี่ นับเป็นการวางกำลังใจและอารมณ์ที่ยังไม่ถูกครับ
ข้อที่สามนั้น คุณเป็นผู้ที่ได้มโนมยิทธิอย่างมีความคล่องตัวครับ ที่ผมทำสีแดงเอาไว้ นั้นพิจารณาดูคุณจะพบได้ด้วยตนเองว่าปัญหาในการฝึกมโนมยิทธิของคุณอยู่ตรงจุดไหน และ จุดนี้เองที่ทำให้คุณไม่ค่อยอยากใช้มโนมยิทธิเท่าที่ควรครับ
ส่วนการทำการบ้านข้อนี้ พึงนำเอาร่างกายเนื้อบนโลกยกขึ้นไปพิจารณาบนพระนิพพานเลยครับ ยิ่งพิจารณาเปรียบเทียบสภาพ สภาวะ กันระหว่าง กายหยาบในธาตุสี่ กับ อาทิสมานกาย ธาตูธรรมแล้วจะยิ่งไม่อยากเกิด
สมณะ พร้อม ภูมิธรรม ภูมิปัญญา พร้อม ขาดเพียงการมุ่งจุดของการวางอารมณ์กรรมฐานที่มุ่งตรงนิดเดียวเท่านั้นครับ
ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมอย่างพลิกขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยครับ -
ส่วนเมื่อสักครู่ สวดมนต์ทำสมาธิ พระท่าน หลวงพ่อ ท่านได้เมตตามาสอน เรื่อง อารมณ์พระนิพพานของพุทธภูมิเอาไว้ให้ดังนี้
"เมื่อพุทธภูมิผู้ได้ลิ้มรสแห่งอารมณ์พระนิพพาน แล้วย่อมมีจิตที่มั่นคงผูกพันในพระนิพพาน แม้เป็นสภาวะเพียงชั่วคราวก็ตามยังไม่อาจที่จะสิ้นอาสวะกิเลสได้เนื่องจากมีภาระในการการรื้อขนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วย อยู่
แต่ก็ขอให้เราเป็นผู้มั่นคงในพระนิพพานไม่แปรเปลี่ยน ดวงจิตของเราเองให้ยึดพระนิพพานให้มั่นคงเข้าไว้ เพราะเรานั้นทั้งปรารถนาพระนิพพานเพื่อผู้อื่น ทั้งหลายด้วย และก็เพื่อตนเองด้วย ดังนั้น ก็อุปมาดั่งเราต้องยึดโยงเชือกอยู่บนหน้าผาสูงชัน ตัวเราอยู่ด้านบนส่วนปลายเชือกก็มี ผู้คนทั้งปวงเกาะยึดตามเราอยู่ หากเรายึดเชือกไม่มั่นคง ตัวเราก็หลุดพลาดพลั้งพาคนทั้งปวงตกเหวไปด้วย
อุปมาฉันใดก็ฉันนั้น เรามุ่งหมายให้คนหมู่มากให้ถึงซึ่งพระนิพพาน แต่ตนเองกลับทิ้งอารมณ์พระนิพพาน ไม่ทรงไว้ให้มั่นคงแน่นหนา ก็นับว่าประมาทอยู่มาก
จงทรงอารมณ์พระนิพพานเอาไว้ ประหนึ่งว่าเราเป็นคนจากนิพพานลงไปทำภาระกิจในภพภูมิอื่นเพื่อดึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
ใจเราพึงใจในพระนิพพาน แต่ใจยินดีเสียสละลำบาก ไปจุติในภพภูมิอันหยาบกว่าเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย "
เมื่อผมได้ปฏิบัติตามกำลังใจที่พระท่านเมตตาสั่งสอนแล้ว ผลที่ปรากฏชัดเป็นที่อัศจรรย์ใจก็คือ มีแรงดึงจากพระนิพพานที่มีกำลังสูงมากดึงจิตอาทิสมานกายของเราไว้กับพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งใช้ปัญญาไตร่ตรองตามเหตุตามผล ก็ทำให้เชื่อที่พระท่านสอนอย่างสิ้นสงสัย ว่า เมื่อเรามีเป้าหมายที่สิ่งใด หากเราละทิ้ง ละเลยเป้าหมายนั้นเราจะถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร
ในเมื่อเราทุกคนไม่ว่าจะปรารถนาพุทธภูมิก็ดี หรือสาวกภูมิก็ดี เราล้วนต้องการพระนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นควรหรือที่เราจะละอารมณ์พระนิพพานเสียกระนั้น
ขอความมั่นคงในอารมณ์พระนิพพานจงมีต่อทุกๆท่านด้วยเทอญ -
ขอโมทนากับทุกๆท่านในสัมมา กาย วาจา ใจ โดยเฉพาะพี่คนานันครับ
วันนี้ไปทำบุญที่สายลม กับ หลวงพี่เล็กมาครับฝากมาให้ยินดีกันครับ
ขอทำประโยชน์เเก่ พระศาสนา ชาติ คนโดยมาก ด้วยเลือดเนื้อ ทุกหยดทุกส่วน
ขอโมทนา กับ ทุกๆสัมมาปฎิบัติ ทุกๆการบำเพ็ญบารมี ทุกท่านๆ พุทภูมิ,ปัจเจกภูมิ,สาวกภูมิ ทั้งอดีต ท่านผู้เจริญเเล้ว ทั้งปัจจุบัน ท่านผู้จะถึงพร้อม อนาคต ด้วยกาย วาจา ใจ จิตนับแต่บัดนี้ด้วยเถิด -
-
<HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kananun
ขออนุญาตตอบการบ้านจากคุณหนูน้อยครับ...
ส่วนอาการปรากฏในเรื่องราวในอดีตชาติก็เป็นเพราะสัญญาที่ฟื้นคืนจากอำนาจของสมาธิ และก็มีวิธีแก้ด้วยเช่นกัน โดยการชำระล้างปลดปล่อยสัญญานี้ออกไปจากดวงจิตของเรา ซึ่งจะทำให้อาการทางกายที่เกิดขึ้นบรรเทา จนหายไปในที่สุดครับ
...
</TD></TR></TBODY></TABLE>
ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่กรุณาช่วยชี้แนะ (b-flower) มีข้อสงสัยหน่อยน่ะค่ะ ที่อาจารย์ว่ามีวิธีแก้โดยการชำระล้างปลดปล่อยสัญญานี้ออกไปจากดวงจิต ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร ขอขยายความหน่อยนะคะ เพราะอยากหลุดออกไปจากอาการนี้แล้วค่ะ
------------------------------------------------------------------------
มีเพื่อนโรงเรียนเก่าคนหนึ่งของผมครับ หลังจากที่ได้เรียนวิชชามโนมยิทธิไปแล้ว ก็สามารถระลึกชาติได้ได้อดีตังสญาณ
ก็ได้ไปรู้ว่า มีอดีตอยู่ชาติหนึ่งที่ ได้ถูกคนใช้มีดแทงที่ลิ้นปี่จนเสียชีวิต อาการในชาติปัจจุบันนั้น เวลาห้อยพระ หากสายสร้อยยาวเกินไปพระมากระทบที่จุดนั้น จะรู้สึกเสียว และเจ็บมาก จนผิดปกติจากคนทั่วไป
จึงได้แนะนำว่า เรารู้(กระจ่างจากอวิชชา) ก็เพื่อการปล่อยวาง เมื่อเรารู้เหตุที่ทำให้เกิดอาการ เราก็แก้ที่เหตุ
เหตุก็คือสัญญาเก่าในอดีตชาติกลับมาส่งผลกับกายเนื้อในปัจจุบัน
การล้างสัญญาเก่าก็คือ
การรู้เหตุและปล่อยวางโดยการไม่เอาจิตกลับไปยึดติดกับเรื่องราวเดิมเป็นประการที่หนึ่ง (หากเป็นผลทางด้านลบหรืออกุศลกรรม ควรละควรเลิกยึดติด หากเป็นผลทางด้านกุศล ควรหมั่นพินิจพิจารณาและระลึกเอาไว้เสมอ เก็บรวบรวมสัญญาอันเป็นกุศลเอาไว้)
การละล้างสัญญาโดยการทำให้กรรมในอดีตเป็นโมฆะกรรมอีกประการหนึ่ง ซึ่งสามารถทำได้โดย การอธิฐาน ขออโหสิกรรมทั้งปวงต่อบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็ดี การขออโหสิกรรมโดยจำเพาะเจาะจงต่อเหตุนั้นๆ เรื่องนั้นๆ ในบุคคลที่เกี่ยวข้องก็ดี
เมื่ออโหสิกรรมแล้วก็ทำการชำระล้างสัญญาออกไปจากกายและจิต โดยการอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าท่านจากพระนิพพานเป็นกระแสบริสุทธิ์ เย็น สะอาด สงบเหมือนเป็นน้ำทิพย์ ชะโลมล้างดวงจิต และกายเนื้อบริเวณที่เคยระลึกสัญญา ให้หายสลายออกไปจนหมด จิตปล่อยวางจากใจที่เคยยึดติดกังวลจากกรรมอันนั้นเสีย เหลือเพียงใจที่ปล่อยวางสงบ เย็น เห็นโทษภัยในทุกข์แห่งกฏของกรรม
หากยังปรากฏก็ล้างออกไป บ่อยๆจนหมดสิ้นจากอนุสัย ให้เครื่องเศร้าหมองออกไปจากใจเราจนหมด
เพื่อนคนนั้นปัจจุบันก็หายจากอาการดังกล่าว ปฏิบัติธรรมอย่างตั้งใจทั้งบ้าน
คุณหนูน้อย และทุกๆท่านก็สามารถนำไปใช้ได้เช่นกัน ขอให้มีความศรัทธา มีความเพียร มีปัญญามองเห็น ก็ย่อมมีอานิสงค์แห่งการปฏิบัติได้ไม่ต่างกัน
<!-- / message --> -
เด็กอนุบาลขอความเห็นจากเพื่อนๆและคุณ kananun
ได้อ่านข้อความของคุณคณานันท์แล้ว ฉุกใจคิดถึงการประยุกต์ใช้ญาณย้อนกลับไปดูบาปกรรมร้ายๆ ที่เพวกเราเคยได้ทำไว้ในอดีต จนเป็นเหตุให้เราประสบปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน ถ้าแบบนี้ก็เท่ากับว่าเราสามารถทำกรรมฐานแก้กรรมได้ด้วยตัวเราเอง เพื่อขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรนั้นๆได้อย่างจำเพาะจงจง อย่างนี้ชีวิตของพวกเราก็จะดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย แบบว่าแก้ปัญหาได้ตรงจุดขึ้น อย่างนั้นหรือเปล่าครับคุณคณานันท์:)
อย่างนี้เราต้องใช้ญาณให้รู้ชัดถึงชื่อเจ้ากรรมนายเวรหรือสมัยที่เกิดเหตุการณ์นั้นๆ ได้ชัดเจนเพื่อขออธิษฐานอโหสิกรรมหรือเปล่าครับ ใช้คำอธิษฐานแบบกว้างๆแทนได้ไหมครับ เช่น ขออโหสิกรรมให้กับ "ไก่ตัวที่ข้าพเจ้าเห็นในญาณที่กำลังมาตัดรอนชีวิตข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้"
เด็กอนุบาลเห็นประโยชน์เรื่องนี้มากครับ เพราะเท่ากับว่าเราจะได้กุศโลบาย กระตุ้นให้คนหันมา รักษาศีล ภาวนา ฝึกมโนมยิทธิเพื่อแก้ปัญหาชีวิตใหญ่ๆอันเกิดจากกรรมเก่าใหญ่ๆของพวกเขา ในขณะเดียวกันเราก็จะได้ค่อยๆสอดแทรกเรื่องการปฏิบัติเพื่อ มรรค ผล นิพพาน ให้พวกเขาเข้าไปด้วย แนวทางก็คล้ายๆการเผยแพร่ตำราแก้กรรมแบบ "Do It Yourself" ของฝรั่งนะครับ
แนวทางนี้น่าจะเหมาะกับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้คนบางกลุ่มที่ไม่ได้สนใจในการได้เกิดเป็นเทวดา พรหม หรือไปนิพพานหลังจากเค้าตาย แต่ที่เค้าต้องการคือแนวทางที่จะช่วยให้ชีวิตเค้าพ้นจากเคราะห์กรรมหนักๆ ของเค้าในปัจจุบันได้มากกว่าครับ
คิดถึงตรงนี้เด็กอนุบาลเหมือนกำลังหาแนวทางเผยแพร่พุทธศาสนาในปัจจุบันและอนาคต ว่าทำไงดี ให้พวกเราเผยแพร่พระพุทธศาสนาเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนในสังคมได้อย่างแท้จริง อย่างกว้างขวาง ประมาณว่า needs ของคนแต่ละคนที่อยากเข้าหาพระศาสนาต่างๆกันไปอะครับ เราน่าจะทำ marketing ให้เหมาะกับ needs ของคนแต่ละกลุ่มเพื่อให้พระศาสนาตอบโจทย์และเข้าถึงสังคมทั้งหลายได้กว้างขวางขึ้น เอ...นี่เด็กอนุบาลคิดอะไรไม่รอบคอบไปหรือเปล่าครับเพื่อนๆ ช่วยกันแชร์ไอเดียได้เลยนะครับ จะด่าว่าเด็กอนุบาลก็ได้ที่ดันคิดใช้หลัก marketing กับการเผยแพร่พระศาสนา เช่น
-เด็กๆ: ติดเล่นเกมส์+ต้องการความสนุก-->ทำเกมส์สนุกๆทั้ง hardware และ software ออกมาให้เด็กๆเล่น เช่น เกมส์ปล่อยนกปล่อยปลา เกมส์สร้างวัด เกมส์รักษาศีลเก็บพลังบุญ สมุดพกประเมินเกรดบุญและประวัติการทำบุญของเด็กๆ ให้คุณครูในโรงเรียนต่างๆช่วยทำขึ้นมา
-คนแก่: ต้องการตายดี--> ตั้งชมรมปฏิบัติธรรม จัดกิจกรรม "ตายดี มีสุข"
ไปใหญ่แล้วครับเพื่อนๆ -
จะพยายามทำตามที่อาจารย์ได้ให้คำแนะนำมาใช้บ่อย ๆ ให้อกุศลสัญญานี้หมดสิ้นจากอนุสัยนะคะ เพื่อความก้าวหน้าทางธรรมต่อไป ขอบคุณมากค่ะ
สำหรับความคิดของคุณเด็กอนุบาล เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ เคยคิดเหมือนกัน โดยเฉพาะพอดีอยู่ในวงการแพทย์พยาบาล การรักษาดูแลผู้เจ็บป่วย โรคบางโรครักษาไม่หายโดยการแพทย์แผนปัจจุบัน และจากประสบการณ์ของตนในการนำพุทธศาสตร์ หลักกฎแห่งกรรม ประกอบคำแนะนำของผู้ที่มีอดีตังสญาณ (บิดาในชาติก่อน เจอกันโดยบังเอิญ ท่านได้มโนมยิทธิ รู้อดีต อนาคต และมีพลังรักษาโรคได้ค่ะ) มาดูแลรักษาตนเอง บิดามารดา และคนรอบข้าง ก็ทำให้โรคหายหรืออาการดีขึ้น เคยคิดนะคะว่าจะหาทุนวิจัย (พอดีอยู่ในวงการวิจัย) มาทำการทดลองเปรียบเทียบวิธีการรักษาว่าแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว และใช้ร่วมกับดังกล่าวที่ว่ามา วิธีไหนจะได้ประสิทธิผล ประสิทธิภาพต่างกันเพียงใด พอมีผลการวิจัยที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ก็มาทำ marketing สำรวจ needs ของแต่ละกลุ่ม เสนอระบบการดูแลรักษาให้เป็นทางเลือก หรือจะให้ดีออกเป็นกฎสาธารณสุข รักษาวิธีนี้เบิกได้ ก็จะได้เผยแผ่พุทธศาสนาไปด้วยในตัว เสริมสำหรับเกมส์ เคยเข้าไปในเว็บไหน จำไม่ได้แล้ว มีการเสนอแนะให้มีคนสร้างเกมส์พุทธภูมิ โดยมีการเก็บคะแนนแต้มสะสมบารมีให้ครบ ๓๐ ทัศน์ในแต่ละชาติ ไม่ทราบมีคนสร้างแล้วหรือยัง อยากเล่นจัง อิ อิ -
ถูกครับ หากเราได้อภิญญาสมาบัติ ได้อดีตังสญาณ และภูมิธรรม มีปัญญาจากธรรมสูงจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เราก็อาจจะ(ใช้คำว่าอาจจะ) แก้กรรมด้วยตนเองได้จริงๆครับ
แต่ในความเป็นจริงนั้น ปัจจัยที่จะทำให้แก้กรรมได้นั้นมีดังนี้ครับ
-เราเองมีกุศลเพียงพอ
-เราเองมีพรหมวิหารสี่สูงเพียงพอ
-เจ้ากรรมนายเวรเอง (หากเป็นสัมมาทิษฐิก็คุยง่ายหน่อย หากเป็นมิจฉาทิษฐิรุนแรง หรือ ความอาฆาตพยาบาทรุนแรงก็ต้องใช้เวลามากหน่อย)
-ชนิดของกรรมนั้นๆ ด้วย กรรมบางประเภทก็ไม่อาจแก้ไขได้ เช่นกรรมฝ่ายอนันตริยกรรม ในกรณีนี้ปลงและวางอุเบกขากันอย่างเดียวครับ
ต้องอธิบายให้ผู้ตั้งใจ ได้ทราบในเรื่องนี้ด้วย หากจะเน้นการปฏิบัติสมาธิธรรม เพื่อให้ชีวิตราบรื่น รุ่งเรืองแล้วนั้น จะมีสายวิชชาที่เกี่ยวข้องดังนี้
-แก้กรรมเก่าฝ่ายอกุศลให้เป็นโมฆะกรรม (ลบพลังงานด้านลบที่ฉุดรั้งชีวิต)
-ทำปัจจุบันให้ดี (ให้ทานรักษาศีลทำสมาธิ งดการทำชั่วบาปอกุศลทั้งปวง)
-การอธิฐานรวมบุญบารมีที่เท่าทำมานับแต่อดีตให้ส่งผลมายังปัจจุบันชาติ
-การอธิฐาน ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งผังชีวิต ด้วยกำลังแห่งกุศลธรรม(เป็นแนวทางของวิชชาธรรมกาย)
หากประสงค์แบบนี้ก็ทำได้ครับ จากนั้นก็พิจารณาให้แนบแน่นด้วยอิทธิบาทสี่ จนสำเร็จเป็นรูปธรรมจริงๆ
เมื่อชีวิตราบรื่น รุ่งเรือง มีคุณธรรมความดีแล้ว ก็กลับเป็นกำลังของพระพุทธศาสนา ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา รวมทั้งช่วยเหลือผู้คนผู้ยากลำบากกว่า อ่อนแอกว่าได้ครับ ครอบครัวก็เป็นสกุลสัมมาทิษฐิ เป็น ครอบครัวเข้มแข็งเป็นตัวคูณของสังคมไทยอีกทีครับ
หากสังคมไทย มีคน มีครอบครัว มีกลุ่มคน ที่พร้อมและเข้มแข็งทุกๆด้านแบบนี้ ขอรับรองว่าเจริญขึ้นในทุกๆด้านแน่นอนครับ
หากสนใจกัน จะจัดเป็นหลักสูตรให้ครับ จะได้แข็งแรงกันยืนได้กัน -
สำหรับการฝึกสมาธิและนำไปใช้ในการแพทย์นั้น จะเข้าดีกันในเรื่องของพาเซโบเอฟเฟค ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการส่งผลทางการรักษา แม้ให้ยาหลอก
สำหรับการใช้สมาธิในการแพทย์นั้นประยุกต์ใช้ได้มากมายหลายประการด้วยกันครับ
-การรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อเสริมผลกันในการรักษา
-การใช้กำลังสมาธิอธิฐาน เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาของยา
-การใช้กำลังสมาธิอธิฐาน เพื่อการลดการเกิดไซด์เอฟเฟคที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และการทรีตเมนต์ เช่นการทำคีโม
-การใช้ปัจจุบันสญาณ สแกน ดูอาการของโรคที่ปรากฏอยู่ภายใน และการใช้ในการวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องแม่นยำ
-การใช้สมาธิเพ่งสลายก้อนเนื้อและมะเร็ง
-การใช้ตบะบังคับ ทั้งกระตุ้นและชลอการทำงานของต่อมไร้ท่อ และกล้ามเนื้อออโต้โนมิคเนอร์เวอร์สซีสเต็ม
-การใช้กำลังสมาธิลดการไหลของเลือดในระหว่างผ่าตัด และการทำฟัน
-การใช้กำลังสมาธิในการลดความเจ็บปวด ในการผ่าตัด
-การใช้การอธิฐาน ในการรักษาผู้มีบุตรยาก
-การใช้สมาธิเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
-การใช้สมาธิเพื่อกระตุ้นโกรทธ์ฮอร์โมน เพื่อชลอความชรา
-การใช้สมาธิลดเวลาการซิมูเลท โมเดลในการวิจัยและทดลอง (โดยการซิมูเลทในสมาธิเป็นต้นแบบก่อน)
หากสนใจในเรื่องใดแจ้งให้ทราบได้ครับ
เหล่านี้คือการนำไปใช้กับการแพทย์แผนปัจจุบันได้ทันทีครับ ทำกันได้แล้วมีการพิสูจน์แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าบุคลากรทางการแพทย์แห่งใดจะเปิดใจยอมรับได้มากน้อยแค่ไหนได้เท่านั้นครับ หากแพทย์ที่มีจริยธรรม มีจิตที่วางเอาไว้ในกุศล ปรารถนาให้ ผู้ป่วยที่ตนรักษาหายเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ศาสตร์เหล่านี้ก็พร้อมที่จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติทันทีครับ
แต่ตอนนี้ก็พอเห็นแสงสว่างรำไรแล้ว บุคคลที่เหมาะสมที่จะได้รับการถ่ายทอดปรากฏตัวแล้ว
ด้วยดวงจิตที่ทรงด้วยพรหมวิหารสี่อัปปันนาณญาณ และสรรพวิชชาความรู้ทั้งปวงแห่งพรหมศาสตร์นั้น เปรียบเสมือนอยู่กลางมหาสมุทรแห่งสรรพปัญญา มีองค์ความรู้มากมายมหาศาลในทุกๆด้าน ทรงคุณค่าต่อสัตว์โลกหากนำไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร
แต่หามีผู้เห็นประโยชน์และตักตวงไปใช้ประโยชน์ไม่ นับว่าน่าเสียดายอย่างที่สุด
ขอให้สรรพวิชชาทั้งปวงที่เบื้องบนท่านเมตตาให้ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นได้ใช้ประโยชน์นั้น ขอให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมด้วยเทอญ -
เรื่องเกมส์ธรรมะ เคยได้ยินหลายท่านคุยกันเป็นคอนเซปป์ครับ รออยู่ว่า ใครจะหาญกล้าทำเป็นเกมส์จริงๆ แต่ไม่แน่นะ "พลังจิตมีเดีย " อาจนำไปทำเป็นเจ้าแรกก็ได้ครับ อย่างเกมส์นี่คงแฝงนัยไว้บ้าง เช่น เกมส์บารมีสามสิบทัศน์ เก็บบารมีความดีไปเรื่อยๆ จนชนะแล้ว ได้เป็นพระโพธิสัตว์ จะไปบอกว่าชนะในเกมส์แค่นี้แล้วเป็นพระพุทธเจ้าเลยไม่ได้ เป็นการปรามาสอีก
ผมเองก็พยายามหลอกล่อคุณโจโฉให้ออก อัลบั้มเพลง ที่จะช่วยปรับดวงจิตของคนฟังให้เป็นสัมมาทิษฐิอยู่เลย เรื่องนี้ทำได้จริงๆครับ ตั้งแต่การอธิฐานจิต ภาพบนปก บีทของดนตรีที่สัมพันธ์กับคลื่นสมอง แมสเสจที่ส่งเข้าซับคอนเชียส เนื้อเพลงที่ช่วยดึงจิต ต้องค่อยๆคุยกันครับ
แต่ไหนๆ ก็เป็นพลังจิตมีเดีย แล้ว ก็ น่าที่จะรวบรวมศิลปินที่ใฝ่ดี มีศีลธรรม หลายๆคน เป็นกลุ่ม My(mind) Hero & My (Mind) Angle เอาไว้เป็นต้นแบบของเยาวชนไทยกันด้วยก็ดีครับ -
(||) โอ้โห ตาลุกวาว เห็นที่อาจารย์โพสมาแล้ว อยากขอเรียนเชิญมาเป็นวิทยากรซะแล้ว เดี๋ยวขอวิจัยสิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก่อนนะคะ แล้วเรื่องที่อาจารย์ว่ามาทั้งหมดค่อยหลังเรื่องนี้ แต่ขณะนี้ก็จะขออนุญาตปรึกษาและเรียนรู้ที่อาจารย์เขียนมาทั้งหมดเป็นระยะ ๆ ขอแบ่งความรู้มาซักหางอึ่งก็ยังดีค่ะ งั้นขอเริ่มเรียนรู้งานแรกก่อนได้มั๊ยคะ พอดีจะต้องไปแนะนำการฝึกสมาธิให้เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเพื่อฝึกระงับความเจ็บปวดในสองสัปดาห์หน้า อาจารย์ว่าสมาธิวิปัสสนาแบบไหนเหมาะสมที่สุดคะ มีเวลาประมาณ ๓๐ นาทีที่จะสอนเค้า และควรจะใช้เวลาให้เค้าฝึกกี่นาทีดีคะ เพื่อให้มั่นใจว่าเค้าสามารถนำไปสอนผู้ป่วยให้ได้ผลได้ดีที่สุด หรือว่าเรียนโทรปรึกษาจะดีกว่า แต่ก็ไม่แน่ใจ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่นที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ
หน้า 32 ของ 166