หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี<table class="alt1" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="middle"></td></tr></tbody></table>
วิธีหาจิต
แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2524
วันนี้จะอธิบายถึงเรื่องวิธีหาจิต จิต เป็นของสำคัญที่สุด เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องมีจิตทุกคน แต่หากเราไม่เห็นจิต เราเกิดมาก็เพราะจิต เป็นอยู่ก็เพราะจิต เราจะตายไปก็เพราะจิต จิตแท้นั้นคืออะไร จิตนี้ไม่มีตัวมีตน มองก็ไม่เห็น ความรู้สึกความนึกความคิดนั่นแหละคือ ตัวจิต เพราะฉะนั้น ลืมตาจึงมองไม่เห็น ถ้าหลับตาแล้วเห็นหรอก
ถ้าหากเราไม่เห็นตัวจิต จิตมันจะพาเราไปเที่ยวฟอนทุกสิ่งทุกอย่าง กิเลสทั้งหลายทั้งปวงหมดเกิดจากจิตทั้งนั้น ที่ท่านพูดถึงเรื่อง เจตสิก ก็คืออาการของจิตที่เรียกว่ากิเลสทั้งหลายร้อยแปดพันประการนั้นก็เกิดจากจิต อันเดียว ผู้ที่รู้มากมายหลายเรื่องก็ว่าไปตามตำรา แต่ตัวจิตแท้ไม่เห็น กิเลสตัณหาก็ว่าไปตามเรื่องตามราวตั้งแต่ขันธ์ 5 อายตนะ 6 เรื่อยไป ขันธ์ 5 มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมลงมามี 2 อย่าง คือ รูปกับนาม รูปมองเห็นได้ แต่นามคือจิต มองไม่เห็น
ทำอย่างไรจึงจะเห็นจิต ถ้ามิฉะนั้น จิตก็จะพาเราว่อนอยู่อย่างนั้นแหละ เที่ยวเหนือล่องใต้ไปทั่วทุกทิศทุกทาง ถ้าเราคุมจิตไม่อยู่ รักษาจิตไม่ได้ ก็จะพาให้เราทุกข์เร่าร้อน เศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ ถ้าไม่มีจิตแล้ว ตัวของเราก็เหมือน กับท่อนไม้ท่อนฟืน ใครจะสับจะบั่น ใครจะเผาจะอะไรๆ ต่างๆ ไม่รู้สึกทั้งนั้น การปรากฏเห็นภาพทางตา เขาเรียกว่า จิต แต่คนไม่เห็นตัวจิต คือตาเห็นภาพนั่นน่ะ เข้าใจว่าจิตเห็น ไม่ใช่จิต ตาเห็นต่างหาก แสงกระทบเข้ามาก็เห็นเท่านั้น หูได้ยินเสียงก็เหมือนกัน เสียงมาเข้าหูกระทบกันเข้ามันก็ได้ยิน จมูกสูดกลิ่น ลิ้นถูกรส กายสัมผัสอะไรต่างๆ อันนั้นไม่ใช่ตัวจิต เป็นเรื่องกระทบกันต่างหาก กระทบกันแล้วก็หายไป ถ้าเช่นนั้น จิตมันอยู่ที่ไหน ให้ลองหาดูในตัวเรานี่แหละ หาให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ดูว่าจิตแท้มันอยู่ที่ไหนกัน เมื่อหาจิตไม่เห็นแล้ว คนที่หาน่ะไม่เห็น คนไหนเป็นคนหา มันยังมีซ้อนอีก ใครเป็นคนค้นหา สิ่งที่ไปหานั้นเห็น แต่ผู้หาไม่เห็น อย่างว่าเห็นรูป รูปนั้นเห็นแล้ว แต่ผู้เห็นน่ะใครเป็นคน เห็น มันต้องหาตัวนั้นซีจึงจะเห็น
จิตมันต้องเป็นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่หนึ่งแล้วก็ไม่ใช่จิต จิตเป็นหนึ่งกลายเป็นใจละคราวนี้ ตัวจิตนั่นแหละกลายเป็นใจ อันที่นิ่ง เฉย ไม่คิดไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง ความรู้สึกเฉยๆ นั่นแหละมันกลายเป็นใจ จิตมันกลายเป็นใจ ในหนังสือต่างๆ ก็ พูดอยู่หรอกจิตอันใดใจอันนั้น ใจอันใดจิตอันนั้น บางแห่งท่านก็พูดเป็นจิต บางแห่งท่านก็พูดเป็นใจ อย่างท่านพูดว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ธรรมทั้งหลายมีใจอันถึงก่อน มโนคือใจ ผู้นึกผู้น้อมทีแรก นั่นแหละ ไม่ใช่คิด นึกน้อมทีแรกนั้นแหละคือตัวใจ มโนเสฎฐา มโนมยา ใจเป็นของประเสริฐ สำเร็จแล้วด้วยใจ ท่านพูดถึงเรื่อง มโนคือใจ คราวนี้พูดถึงเรื่อง จิต ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุ เกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ จิตเป็นของประสัสสร คือมันผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา อาคันตุกกิเลสต่างหาก มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา นี่พูดเรื่อง จิต ให้คิดดูว่า หากจิตเดิมเป็นของเศร้าหมองแล้ว ใครจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ไม่มี เลย เหตุนั้นท่านจึงว่า ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ จิตเป็นของประภัสสรตลอดเวลา ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าจิตประภัสสร จิตกับใจเข้ามารวมกันแล้ว คราวนี้มารวมกันเข้าเป็นใจ เมื่อมันเป็นประภัสสรมันรวมกันเป็นใจ ประภัสสรนั้นหมายความถึงจิตไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง จึงจะเห็นจิต เรียกว่าใจ ถ้าหากยังคิดนึกปรุงแต่งอยู่มันเศร้าหมอง ถ้าจิตผ่องใสแท้มันต้องสะอาดปราศจากความคิดความนึกความปรุงความแต่งจึงเรียก ว่าใจ
เรามาพยายามขัดเกลากิเลสตรงนั้นแหละ ตรงอาคันตุกกิเลสอันนั้น ไม่ให้มันมีไม่ให้มันเกิดขึ้นในที่นั้น จึงจะรู้เห็นสิ่งต่างๆ คำว่าใสสะอาดมันก็เห็นนะซี มันจะไม่เห็นอย่างไร น้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ ย่อมมองเห็นเงาตนเองได้ เพชรนิลจินดา เขาเจียระไนแล้วเป็นของใสสะอาด เพราะ เนื้อมันเป็นของใสมาแต่เดิม ถ้าหากเป็นเหล็กก็จะไม่ผ่องใสหรอก เพราะธรรมชาติ ไม่ใช่ของใสสะอาด จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลส ออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ คราวนี้จะไม่เรียกว่าจิต จะเรียกว่าใจ เราเรียกธรรมชาติของที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ว่าใจ ในขณะที่เราทำความเพียรภาวนา ทำใจให้เป็น กลางๆ เฉยๆ สบาย มันก็ถึงใจ ความสบาย นั่นแหละเป็นใจ ความเฉยๆ นั่นแหละ เป็นใจ ไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัวเฉยๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรทั้งหมด ความคิดความนึกความปรุงความแต่ง มัน ออกไปจากใจ เรียกว่าจิต จิตคือผู้คิดนึก ปรุงแต่ง จิตเป็นคนสั่ง สารพัดทุกอย่างในโลก ส่วนใจสงบคงที่
เหตุนั้นพระพุทธศาสนาจึงสอนเข้าถึงใจ คือสอนถึงที่สุด คือเข้าถึงความบริสุทธิ์นั่นเอง สุดนั้นก็คือที่สุดของทุกข์นั่นเอง ถ้าเข้าถึงใจแล้ว ไม่มีทุกข์ไม่มีร้อน ไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่คิดไม่นึก ก็หมดเรื่องเท่านั้นละ ถ้าปรุงแต่งก็จะไปกันมากมาย หลงใหลไม่มีที่สิ้นสุด เหตุฉะนั้น จึงว่าคนเราไม่เคยเห็นใจของตน แต่ไหนแต่ไรมา เกิดก็เกิดเพราะใจ เวลาตายก็ตาย เพราะใจปรุงแต่ง คิดนึกสารพัดทุกอย่าง คนทั้งหลายโดยส่วนมากพูดกันถึงเรื่องใจทั้งนั้น พุทธศาสนาก็พูดถึงเรื่องใจ ใจบุญ ใจกุศล ใจบาป ใจอำมหิต ใจคิดประทุษร้าย สารพัดทุกใจ พูดกันถึงเรื่องความดี ความงาม ก็ใจบุญ ใจกุศล ใจใสสะอาดบริสุทธิ์ พูดถึงเรื่องใจอันเดียว
ใจต้องเป็นอันเดียวไม่ใช่หลายอย่าง ที่หลายอย่างนั่นน่ะมันจิตต่างหาก พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงตัวหนึ่ง ตัวใจนี่แหละ จึงจะเห็นเรื่องทั้งหลายทั้งหมด ถ้าไม่เห็นตัวหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งนั้น อย่างเรานับหนึ่งขึ้นเบื้องต้น นับหนึ่งเสียก่อน หนึ่งสองหน ก็เป็นสอง หนึ่งสามหนก็เห็นสาม สี่หน ห้าหน จนถึงเก้าหน สิบหน ก็เป็นสี่ ห้า จนถึงเก้า ถึงสิบ ก็มาจากหนึ่งอันเดียวนั่นแหละ จะนับเป็นสิบเป็นร้อย แท้ที่จริงก็นับจากหนึ่งอันเดียวเท่านั้น คนเราลืมหนึ่งเสีย ไปนับสอง สาม สี่ ห้า ถ้านับหนึ่งแล้วหมดเรื่อง เหตุนั้นการทำสมาธิภาวนาคุมจิตให้ถึงใจรวมเป็นหนึ่งนี่แหละ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น สอนใจอย่างเดียว คนส่วนมากเห็นว่าการทำสมาธิภาวนาไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสเป็นเรื่องของพระ พระบางท่านบางองค์ ก็ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราหรอก เป็นเรื่องของพระกัมมัฏฐาน แท้ที่จริงคนเรามีใจด้วยกันทุกคน ใครเข้าหาใจได้แล้วก็เป็น กัมมัฏฐานด้วยกันทั้งนั้นแหละ เป็น ภาวนา สมาธิแล้วทั้งนั้น เว้นไว้แต่เรา ไม่ทำ
อธิบายถึงเรื่องใจ ให้ค้นหาใจ ให้พิจารณาเข้าถึงใจ ขอยุติเพียงเท่านี้
คัดลอกจาก วิธีหาจิต (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
วิธีหาจิต (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 27 ธันวาคม 2010.
-
-
เป็นจริงเช่นนั้น อนุโมทนาครับ สาธุ ขอให้เจริญในธรรมครับ
-
ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
*
เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com
<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
*
-
เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium
พี่จินนี่นำธรรมะดีดีมาให้อ่านเสมอเลย :cool:
โมทนาสาธุครับ -
ธรรมะนี้ดีจริงๆ ขออนุโมทนาด้วยครับ
ว่าแต่ว่า ทุกคนตามหาใจกันเจอมั๊ย? ม่ายช่าย...ไตหาหัวจาม... นะ (ตามหาหัวใจ)..หุหุ -
อนุโมทนา สาธุ ค่ะ ( ^ /\ ^ )
อธิบายได้ลึกซึ้งเห็นธรรมค่ะพระคุณเจ้า -
ลุงมหาครับ ผมขอความรู้เพิ่มครับ เพื่อจะได้นำมาปฏิบัติให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น
ที่ลุงมหาบอกให้พิจารณาสังขาร นั้น พิจารณายังไงหรอครับ
ขอบคุณครับ -
อนุโมทนาคะ
...........................................................................
ขอเชิญร่วมลงนะมหาสิทธิโชคสิทธิมงคลขจัดภัยกับ ครูบาคำเป็ง
Click ลงนะมหาสิทธิโชคสิทธิมงคลขจัดภัยกับ หลวงปู่ครูบาคำเป็ง รับปีใหม่ 2554 -
ลุงมหา สังขารในที่นี้ ที่กองใหญ่ ที่เห็นง่าย ไม่ใช่เป็นรูปสังขาร กายสังขารหรือครับ ไฉนจึงกล่าวไปถึงสังขารที่เป็นนามธรรมที่ปรุงแต่ง ผมมองว่าสังขารความคิดที่ลุงมหากล่าวมันก็เห็นได้ยากกว่า รูปหรือกายสังขารนะครับ
มีอ้างอิงไหมที่หลวงตากล่าวไว้ -
ยังมีคำอีกคำหนึ่งที่ผมมองว่านักปฎิบัติส่วนใหญ่ยังเข้าใจไม่ตรงนัก นั่นคือ "แยกรูป แยกนาม"
ซึ่งมักเข้าใจไปว่าเป็นการทำสมาธิถึงขั้นไม่ค่อยจะมีความรู้สึกทางกาย หรือไม่สนใจกายแล้ว ให้สนใจมองแต่นามธรรม ดูแต่จิต
แท้จริงแล้วในการปฎิบัติ มันต้องละเอียดกว่านั้น อะไรเกิด อะไรดับ ก็ควรพิจารณาสิ่งนั้น การแยกรูป แยกนาม ที่ผมเข้าใจ นั่นหมายถึง แยกแยะ จำแนก รับรู้ และปล่อยวางได้ โดยที่ให้เกิดทุกข์น้อยที่สุด หรือไม่เกิดเลย สิ่งนี้รูปนะ สิ่งนี้เวทนา สิ่งนี้สัญญา สิ่งนี้สังขาร สิ่งนี้วิญญาณ ซึ่งในขณะสติทำงานเต็มที่ ก็จะมีกำลังที่เท่าทันเห็นรูปนามเหล่านี้เกิดดับไล่เรียงกันไปเป็นสาย เห็นการส่งต่อ เห็นการทำงานร่วมกัน โดยเห็นได้ทีละอย่างไล่กันไปตามเหตุปัจจัย
คำว่ารูป ไม่ได้หมายแต่กายภายนอก แต่ในขณะสมาธิ เห็นเป็นรูป ในความจำ เป็นคน สัตว์ สิ่งของ มันก็ได้ มันก็เป็นรูปเช่นกัน
เป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น -
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ขอบูชาพระธรรมด้วยครับ
อนุโมทนา สาธุ ๆ
กับท่านทั้งหลายที่ได้ร่วมกันเผยแพร่พระธรรม
และทำบุญสร้างกุศลทุกอย่างในกาลนี้ด้วยครับ
การสะสมบุญ เป็น การสะสมความสุข
นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
( เจตนาที่เป็นกุศล คือ ความดีทุก ๆ อย่าง ที่กระทำแล้ว อย่างแรงกล้า )
แสงเทียนที่ถูกจุดขึ้นแล้วด้วยใจ
แสงแห่งบุญนั้นย่อมสว่างไสวไปไกลทั่วแดนโลกธาตุ <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> -
ไฟล์เสียง วิธีหาจิต ของหลวงปู่เทสก์
เผื่อใครอยากได้ไว้ฟังนะไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อ่านแล้วเหนว่ามีประโยชน์มากเลยดึงขึ้นมาไห้อ่านอีก
ไม่มีข้อคิดเหนเพิ่มเติมเพราะเราทำผิดเรอถุกเรายังไม่รู้เลย แต่เหนว่าดีเลยขุดมาไห้อ่านกัน -
อนุโมทนา สาธุ ครับ... -
อนุโมทนาค่ะ
ที่ทราบมา ขณะเริ่มนั่งสมาธิ ช่วงขณะนั่ง
ให้หยุดทุกอย่างก่อน ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ การงาน
ตั้งจิตไว้ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เพราะสุดท้ายไม่มีใครไปกับเราได้เลย และเราก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้
มีแต่ ดวงจิต ที่บันทึกบาป บุญเท่านั้น
ข้าพเจ้าก็กำลังฝึกอยู่ บุญเก่ามีมาน้อยค่ะ ต้องฝึกอีกนาน -
อ่านแล้วเข้าใจเรื่องสมาธิมากขึ้นเยอะ ขอบพระคุณมากครับ....
-
"..จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลส ออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิทํ จิตฺตํ คราวนี้จะไม่เรียกว่าจิต จะเรียกว่าใจ เราเรียกธรรมชาติของที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ว่าใจ ในขณะที่เราทำความเพียรภาวนา ทำใจให้เป็น กลางๆ เฉยๆ สบาย มันก็ถึงใจ ความสบาย นั่นแหละเป็นใจ ความเฉยๆ นั่นแหละ เป็นใจ ไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัวเฉยๆ นั่นแหละ ไม่มีอะไรทั้งหมด ความคิดความนึกความปรุงความแต่ง มัน ออกไปจากใจ เรียกว่าจิต จิตคือผู้คิดนึก ปรุงแต่ง จิตเป็นคนสั่ง สารพัดทุกอย่างในโลก ส่วนใจสงบคงที่.."
กราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
-
ขออนุโมทนาสาธุ ค่ะ
สามารถเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้นเลยทีเดียวค่ะ -