เรื่องเด่น วิธีเพิ่มกำลังจิต กำลังสติ (หลวงพ่อสำราญ ธัมมธุโร)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 16 ตุลาคม 2012.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    [​IMG]


    ปุจฉา:
    หลวงพ่อช่วยชี้แนะวิธีเพิ่ม<wbr>กำลังจิต เพิ่มกำลังสติ ด้วยครับ


    หลวงพ่อกล้วย:
    การเพิ่มกำลังให้จิต ถ้าพูดตามหลักธรรมแล้วก็คือ<wbr> สมถะนั่นแหละ สร้างกำลังจิต หนุนกำลังสติ เข้าไปพิจารณาให้รู้เห็นตาม<wbr>ความเป็นจริง ถ้าเราไปพิจารณาได้เลย นอกจากจิตของเราจะสงบแล้ว ถึงสติปัญญาของเราพิจารณาได<wbr>้ตลอดเวลา อันนี้กลายเป็นปัญญาพิจารณา<wbr>ได้ตลอดเวลา

    ถ้าจิตยังเกิดอยู่เค้าเรียก<wbr>ว่าเราต้องดับ ต้องควบคุม แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคลว่า จะดับด้วยวิธีไหน ดับด้วยการกำหนด หรือสร้างความรู้สึกอยู่ที่<wbr>การหายใจ หรือว่าสร้างความรู้สึกอยู่<wbr>ที่การเดิน หรือจะใช้อุบายไปทำอย่างอื่<wbr>น เราพยายามดับตั้งแต่ต้นเหตุ<wbr> แล้วก็หนุนกำลังสติเข้าไปวิ<wbr>เคราะห์หาเหตุหาผล ถ้าเรายังไม่เห็นนะ

    ถ้าเราเห็นอาการของจิต เราก็ต้องตามดูให้รู้เห็นตา<wbr>มความเป็นจริงเสียก่อน แล้วค่อยเอาสติปัญญาไปพิจาร<wbr>ณา ให้จิตรับรู้ ทุกเรื่องเขาถึงจะยอมรับได้<wbr> ถ้าเราไม่สร้างสะสมกำลังจิต<wbr> จิตเกิดส่งออกไปภายนอก จิตหวั่นไหว จิตผวา จิตเป็นทาสของอารมณ์ จิตเป็นทาสของกิเลส อันนี้เขาเรียกว่าจิตส่งออก<wbr>ไปภายนอกตลอดเวลา กำลังมันก็ไม่มี ถึงมันจะมีกำลังแต่มันก็ยัง<wbr>อาศัย อำนาจของกิเลสอยู่ ทิฐิของกิเลสอยู่

    ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ จิตจะขาดพลังทันที เพราะว่ามันขาดเพื่อน เพื่อนเก่าคือตัวขันธ์ 5 หรือว่าทิฐิที่เกิดจากจิต จะขาดพลัง เหมือนกับว้าเหว่วังเวงเลยท<wbr>ีเดียว เราต้องเจริญสติเข้าไปเป็นเ<wbr>พื่อนของจิต ไปหมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเ<wbr>วลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตจะเกิดส่งออกไปข้างนอกเร<wbr>าก็ ดับ จิตจะเกิดยินดียินร้าย จิตหวั่นไหว จิตผวา เราก็ดับ เราก็หยุด ดับ หยุด ให้เค้านิ่ง ให้เขารับรู้ เพราะว่าจิตเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้จิตของเรายังหลงอ<wbr>ยู่ เราต้องคลายความหลงเสียก่อน<wbr> แยกรูปแยกนามก็จะคลายความหล<wbr>งออกจากใจของเรา แล้วก็สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิ<wbr>ดทางให้

    ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไ<wbr>ปซักกี่เที่ยว ซักกี่ครั้ง เพียงแค่การเจริญสติเราก็ยั<wbr>งทำไม่ต่อเนื่อง เพราะความเคยชินเก่า ความคิดเก่า ปัญญาเก่า อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมุต<wbr>ิแค่นั้นเอง เราต้องพยายามเจริญความรู้ต<wbr>ัวให้มากๆ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ อย่าไปเกียจคร้านตรงนี้ ถ้าสติหรือว่าความรู้สึกตัว<wbr>ของเรายังรู้ไม่เท่าทันจิตก<wbr>ับความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ 5 แยกออกจากกัน กำลังสติความรู้สึกตัวของเร<wbr>าจะพลั้งเผลอ ถ้าเราแยกกันได้แล้ว ถ้าเราสังเกตจิตของเราคลายอ<wbr>อกจากความคิดแล้ว กำลังสติของเราจะตามทำความเ<wbr>ข้าใจ การเกิดการดับของขันธ์ 5 หรือว่า รู้อนิจจัง ทุขขัง อนัตตา ในขันธ์ 5 ทุกเรื่อง ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์พิจารณ<wbr>าตามดู กำลังสติก็จะมากขึ้น มากขึ้น จนยับยั้งไว้ไม่อยู่ จนกลายเป็นมหาสติ ถ้าเราไม่พิจารณาเค้าก็กลับ<wbr>คืน สู่สภาพเดิม มันก็มีไม่มาก ถ้าเราจะเอาจริงๆ มีไม่มาก แล้วก็ไม่ยากด้วย

    แต่พวกเราทำให้ยาก เพราะว่าอยู่ภายในกาย ภายในใจ ของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน เอาเรื่องนู้นมาปิดเอาไว้ เอาเรื่องนี้มาปิดเอาไว้ จิตมันก็ปกปิดของเขาเอาไว้อ<wbr>ีก ขันธ์ 5 ก็มาปิดเอาไว้อีก นิวรณ์ก็มาปิดเอาไว้อีก กายเนื้อก็มาปิดเอาไว้อีก ภาระหน้าที่การงานภายนอกก็ม<wbr>าปิดเอาไว้อีก มันหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน<wbr>

    อันนี้อยากจะให้ชี อธิบายเรื่องหัวหอมให้ฟังก็<wbr>ดี เพราะว่าชอบปลอกหัวหอม ชอบเข้าครัว ปลอกไปปลอกมาก็เห็นจิตของตั<wbr>วเอง มันมีหลายชั้นหลายขั้นหลายต<wbr>อน เห็นจิตแล้วก็หลงดีใจอยู่อย<wbr>่างนั้น เป็นปลื้ม จิตก็เกิดอยู่อย่างนั้น แต่มันไม่ยึด ทำยังไงเราถึงดับการเกิดเข้<wbr>าไปอีก ไม่ต้องการให้จิตเกิดไปก่อภ<wbr>พ ก่อชาติอีก จิตเค้าได้ก่อในภพของมนุษย์<wbr>เราจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เราก็ต้องทำความเข้าใจในจุด<wbr>นี้ ถ้าคนเราจะรู้ความเป็นจริงแ<wbr>ล้ว เราต้องขยันหมั่นเพียร ตั้งแต่เริ่มแรก เริ่มในการเจริญสติ มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา น้อมใจเข้ามาในความเสียสละ ความอดทน มีความยินดีในการเสียสละ มีความพอใจในการฝึกฝนของตนเ<wbr>อง หมั่นฝักใฝ่ หมั่นสนใจ ถ้ารู้แล้วเห็นแล้วจะสนุก ฝึกเพื่อดู เพื่อรู้ เพื่อทำความเข้าใจ แล้วก็รู้ความจริงแล้วก็วาง<wbr>ให้หมด มีไม่มากหรอก ถ้าคนเราจะเอา ฟังนิดเดียวไปเร่งทำความเพียรเอา


    ----------------------------------------------

    พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อสำราญ ธัมมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 ตุลาคม 2012
  2. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603


    กราบนมัสการพระอาจารย์หลวงพ่อสำราญ ธัมมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)<!-- google_ad_section_end -->
    ขอบูชาคุณพระอาจารย์ด้วยชีวิต ด้วยเศียรเกล้า สาธุ

    ..._/l\_..._/l\_..._/l\_...






     
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ขอบคุณพี่ทีครับ ที่ทำให้ผมรู้จักครูบาอาจารย์ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบเพิ่มขึ้น ^ ^
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สาธุกับทุกท่านด้วยครับ และ

    ขอขอบคุณ Moderator2 ด้วยครับ ที่ช่วยเพิ่มรูปหลวงพ่อท่านให้ สาธุ ๆ
     
  5. j-adirek

    j-adirek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +204
    อนุโมทนา สาธุครับ
    อาการของจิตจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ถ้าเรามีสติสัมปะชัญญะความรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลาจะเห็นว่า ธรรมดามันเป็นเช่นนี้เอง
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    มีคนถามเรื่อง อาจารย์และสถานที่ที่จะใช้ในการปฏิบัติธรรม...


    การ มาดูจิตการมาติวเข้มเรื่องจิตการมาระมัดระวังเรื่องจิตเนี่ย อย่างนี้ต้องออกจากบ้านเรือนด้วยมั้ยคะ เช่นจะต้องไปอยู่วัด ต้องปลีกวิเวกจะต้อง จะต้องหยุดการทำงาน อันนี้จำเป็นมั้ยเจ้าคะ...

    ถ้าว่าจำเป็นก็จำเป็น ถ้าว่าไม่จำเป็นก็ไม่จำเป็น ทำไมถึงพูดอย่างนี้เพราะ ว่าการที่เราวางภาระหน้าที่การงานช่วงที่เราไม่เข้าใจ เราก็ต้องแสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์เสียก่อน ถ้าเราเข้าใจแล้วอยู่ที่ไหนก็สงบได้ทั้งนั้น อยู่กลางโรงหนัง กลางตลาด อยู่ที่ในบ้านในเมือง อยู่ทำการทำงานอันนั้นเป็นบททดสอบเป็นอาจารย์สอบอารมณ์เราได้ตล อดเวลา ถ้าจิตของเราแยกรูปแยกนาม จิตของเราตกกระแสธรรม จิต ของเราอยู่ในความว่าง อยู่ในองค์ธรรม ตากระทบรูปหูกระทบเสียง เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั่นแหละก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เราไม่จำเป็นต้องไปหลบหลีก ตามีทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เราไปห้ามตาได้มั้ยห้ามไม่ให้ดูก็ไม่ได้ ห้ามหูไม่ให้ฟังก็ไม่ได้ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาเสีย เราแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากจิตของเรา หูตาจมูกลิ้นกายเขาก็เป็นทางผ่านเข้าไปถึงดวงจิตดวงวิญญาณของเ รา เราก็ต้องพยายามดูจิตของเรา เกิดความยินดีมั้ยยินร้ายมั้ย มีกิเลสมั้ย ผลักไสมั้ย ดึงเข้ามามั้ย เป็นกลางมั้ย นี่แหละเราก็จะได้เอารูปรสกลิ่นเสียงเป็นอาจารย์สอบอารมณ์เราตล อดเวลา

    ถ้า เรามีสติคอยตรวจสอบ สตินี้แหละคือครูบาอาจารย์แท้จริงเข้าไปตรวจสอบ จิตของเรานี้แหละเป็นลูกศิษย์ จะสอบได้หรือสอบตก จะมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสเราก็ต้องพยายามขัดเกลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา เราไม่เข้าใจเราก็ถึงต้องพึ่งครูบาอาจารย์เสียก่อน พึ่งสถานที่เสียก่อน แต่เราก็เคารพครูบาอาจารย์ เคารพสถานที่ไม่ใช่ว่าไม่เคารพ ถ้าเราเข้าใจแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลาตั้ งแต่ตื่นขึ้นมา มีนิวรณ์เข้ามาครอบงำมั้ย มีความเกียจคร้านมั้ย มีความกังวลมั้ย สติเราพลั้งเผลอมั้ย เพียงแค่การสร้างกับการรักษาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารักษาเราสร้าง สติให้ต่อเนื่องการแล้วรึยัง นี่แหละจิตของเราส่งออกไปสักกี่เรื่อง เราเคยทวนดูมั้ย ไม่เลย ไปเอาก็มีตั้งแต่จะไปฝึกเอาตั้งแต่ธรรม เอาตั้งแต่ธรรม ตัวธรรมเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ตัวที่จะเข้าไปรู้ธรรมเป็นอย่างไรก็ไม่ได้สร้าง จะไปรู้ได้ยังไง การสร้างสติสร้างอย่างนี้นะ การควบคุมจิตควบคุมอย่างนี้นะ ลักษณะของจิตที่สงบ ลักษณะของจิตที่ปล่อยวาง ลักษณะของจิตที่แยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างนี้ เราต้องตามทำความเข้าใจ สนุกสนานเพลิดเพลินในการดูการทำความเข้าใจ อยู่ที่ไหนจะมีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าเราเข้าใจในหลักตรงนี้ เราก็จะเพลิดเพลินในการวิเคราะห์ในการพิจารณา อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลาตั้งแต ่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ นี่แหละที่คนรู้จักดูตัว รู้กายแล้วก็รู้จิต ส่วนมากทั่วไปก็มีตั้งแต่จิตไปแสวงหา มันยิ่งแสวงหายิ่งห่างไกล ยิ่งดิ้นรนเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกล เราต้องสร้างผู้รู้เข้าไปดับเข้าไปควบคุมเข้าไปคลายเข้าไปแยก เอาสติตามทำความเข้าใจให้จิตของเรายอมรับความจริง จิตของเราอยากจะ ปล่อยอยากจะวาง ถ้าไม่รู้จุดวางก็วางไม่ได้เหมือนกันนะ ต้องรู้จุดรู้จุดวางแล้วตามทำความเข้าใจแล้ว จิตเค้าจะวางของเค้าได้เองโดยปริยาย เพราะว่าการเกิดเป็นทุกข์ การหลงเป็นทุกข์ การเป็นทาสของอารมณ์ก็เป็นทุกข์เขาก็จะไม่เกิด


    ถามถึงเรื่องอานิสงส์การปฏิบัติ...

    ที่นี้แล้วพอมีสติมาแล้วเป็นตัวรู้ เป็นตัวที่ไปทำงานแทนจิต จิตเค้าก็จะอยู่ว่าง ๆ สบาย ๆ อย่างนั้นใช้มั้ยเจ้าคะมันจึงเป็นอานิสงส์ของคนที่เข้าใจในเรื่ องจิตแล้วเจ้าคะ...

    อัน นั้นก็ถูกต้อง ก็ถูกต้อง แต่ต้องพยายามทำให้เต็มเปี่ยม สติต้องตามค้นคว้าให้ได้ทุกเรื่อง ให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่มลทินต่าง ๆ นิวรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องกางกั้นจิต และก็มลทินต่าง ๆ กิเลสหยาบ ๆ มลทินต่าง ๆ ไล่ละเอียดลึกลงไปจนเหลือแต่ความบริสุทธิ์ความว่างความสะอาด ความบริสุทธิ์ความว่างนั่นแหละคือเครื่องอยู่ของจิต เค้าเรียกว่า วิหารธรรม จิตที่ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น อันนั้นเป็นปลายเหตุ

    ทำอย่างไรเราถึงจะเจริญสติเข้าไปดูตั้งแต่เขาเกิดเขาก่อตัวยังไง เขาเริ่มเกิดยังไง ขันธ์ 5 ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตได้ยังไง เราพยายามเจาะให้เห็นตรงนี้ให้ได้เสียก่อน

    คนทั่วไปนั้น ถ้าหลวงพ่อจะพูดนะ ถ้าประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วคือ เด็ดยอดตำลึงกันซะมากกว่า เด็ดยอดหนึ่งมันแตกออกไปสักกี่ยอด ไม่ยอม ไม่พยายามพากันสาวลึกลงไปถอนโคนตำลึง มีตั้งแต่ไปประพฤติปฏิบัติเด็ดตั้งแต่ยอด ยอดนั้นก็แผ่ปกคลุมอยู่เรื่อย ๆ แผ่ปกคลุมอยู่เรื่อย ๆ ก็เลยไม่เห็นต้นเหตุสักที เราต้องพยายามสาวลึกให้เห็นต้นเหตุการเกิดของจิต จิตมันก่อตัวตรงไหน เรื่องอะไรที่มันเกิด ขันธ์ 5 มันเกิดตรงไหน จิตของเราเข้าไปรวมได้อย่างไรซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอารมณ์ ตรงนี้ให้ละเอียดเสียก่อน ต่อไปข้างหน้าเราจะคิดเรื่องอดีต เราจะคิดเรื่องอนาคตเป็นเรื่องของปัญญา ดำเนินได้ตลอดเวลา เอาการงานเป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานอยู่ตลอดเวลาขณะทำการทำงานนั้นจิตของเราก็ได้พักผ่อน จิตของเราก็ไม่เครียด ทำงานไปด้วยจิตก็รับรู้ ตั้งมั่นรับรู้อยู่ในกายของเราไปด้วย เกิดความผิดพลาดเราก็แก้ไขใหม่ จิตของเราก็ไม่ไปทุกข์ไปกังวล มีความสุขกับการกับงาน มีความสุขในชีวิตของเรา อยู่ก็มีความสุข ไปก็มีความสุข เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้โยมจะไม่ว่าดีได้อย่างไรล่ะ

    ถ้าเรามารู้ความจริงตรงนี้ เราก็อยากจะให้คนอื่นเค้าได้รับความสงบความสุขด้วย เราก็ไม่อยากจะปล่อยวันเวลาทิ้ง

    เรามาเข้าใจง่าย ๆ เหมือนกับคนอื่นเค้าจะมาเข้าใจง่าย ๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะว่าเราสร้างตบะสร้างบารมีมาก่อน ความเสียสละ ความอดทน อดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา เราสร้างมาก่อนไม่ใช่ว่ามาเห็น มาเห็นง่าย ๆ มันเห็นตั้งแต่บั้นปลายง่าย ๆ แต่ผ่านกาลผ่านเวลาผ่านความทุกข์ยากลำบากมันผ่านมามากตรงนั้น เราถึงมาเข้าใจตรงนี้ เพราะว่าเราผ่านกาลผ่านเวลาผ่านความทุกข์ผ่านความสุขมามากมาย เราถึงมาเข้าใจในเรื่องการปล่อยการวางการแยกรูปแยกนามได้ง่าย ๆ เพราะว่ามันผ่านมาหมดแล้ว ไอ้ที่เรามาพูดกันนี่มาพูดกันเฉพาะปลายเหตุเท่านั้นเอง...

    ที่มา : http://www.managerroom.com/forums/forum_posts.asp?TID=3108&PN=1
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    _/\_ _/\_ _/\_ คารวะท่านอาจารย์ ทางโลกที่สอนสมาธิและเรื่องการเดินปัญญา..

    ยินดีกับคุณ Tboon ด้วยนะคับ..
    และขอบคุณ ผู้ดูแลเป็นอย่างยิ่งสำหรับรูปภาพครับ..
     
  8. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    การรักษากำลังจิตให้ทรงตัว หรือไม่ให้จิตตกนี้มี เหตุปัจจัยว่า

    กำลังจิตตั้งมั่นอยู่ได้ ก็ด้วยอาศัย กำลังสมาธิ และกำลังสติ อันกำลังสตินี่เองจะช่วยควบคุมกำกับให้จิตไม่ไหลลงสู่ที่ต่ำ กำลังสติดีมากเกิดตลอดได้ ก็ย่อมนำจิตห่างไกลทุกข์เป็นที่สุดได้สำเร็จ

    อันกำลังสมาธิ กำลังสตินี้ จะเกิดขึ้นตั้งมั่นได้ก็อาศัย กำลังของศีล คือวินัยปราการด่านป้องกันไม่ให้กระทำบาบ เมื่อกาย วาจา และจิตตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในกุศลความดีงามแล้ว
    จิตย่อมมีกำลังจากอำนาจของบุญของความดี สมาธิสติก็ดีมีกำลัง ฉะนั้นแล้วคือต้องเริ่มจากศีล และหิริโอตับปะ นั่นเอง เมื่อถึงพร้อมแล้ว สติสมาธิก็ถึงพร้อม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
    กำลังจิตก็ถึงพร้อมเช่นกันครับ สาธุ




     
  9. เมธญา

    เมธญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +1,584

    หลวงพ่อกล้วย:
    การเพิ่มกำลังให้จิต ถ้าพูดตามหลักธรรมแล้วก็คือ<wbr> สมถะนั่นแหละ สร้างกำลังจิต หนุนกำลังสติ เข้าไปพิจารณาให้รู้เห็นตาม<wbr>ความเป็นจริง ถ้าเราไปพิจารณาได้เลย นอกจากจิตของเราจะสงบแล้ว ถึงสติปัญญาของเราพิจารณาได<wbr>้ตลอดเวลา อันนี้กลายเป็นปัญญาพิจารณา<wbr>ได้ตลอดเวลา

    ถ้าจิตยังเกิดอยู่เค้าเรียก<wbr>ว่าเราต้องดับ ต้องควบคุม แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคลว่า จะดับด้วยวิธีไหน ดับด้วยการกำหนด หรือสร้างความรู้สึกอยู่ที่<wbr>การหายใจ หรือว่าสร้างความรู้สึกอยู่<wbr>ที่การเดิน หรือจะใช้อุบายไปทำอย่างอื่<wbr>น เราพยายามดับตั้งแต่ต้นเหตุ<wbr> แล้วก็หนุนกำลังสติเข้าไปวิ<wbr>เคราะห์หาเหตุหาผล ถ้าเรายังไม่เห็นนะ

    ถ้าเราเห็นอาการของจิต เราก็ต้องตามดูให้รู้เห็นตา<wbr>มความเป็นจริงเสียก่อน แล้วค่อยเอาสติปัญญาไปพิจาร<wbr>ณา ให้จิตรับรู้ ทุกเรื่องเขาถึงจะยอมรับได้<wbr> ถ้าเราไม่สร้างสะสมกำลังจิต<wbr> จิตเกิดส่งออกไปภายนอก จิตหวั่นไหว จิตผวา จิตเป็นทาสของอารมณ์ จิตเป็นทาสของกิเลส อันนี้เขาเรียกว่าจิตส่งออก<wbr>ไปภายนอกตลอดเวลา กำลังมันก็ไม่มี ถึงมันจะมีกำลังแต่มันก็ยัง<wbr>อาศัย อำนาจของกิเลสอยู่ ทิฐิของกิเลสอยู่

    ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ จิตจะขาดพลังทันที เพราะว่ามันขาดเพื่อน เพื่อนเก่าคือตัวขันธ์ 5 หรือว่าทิฐิที่เกิดจากจิต จะขาดพลัง เหมือนกับว้าเหว่วังเวงเลยท<wbr>ีเดียว เราต้องเจริญสติเข้าไปเป็นเ<wbr>พื่อนของจิต ไปหมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเ<wbr>วลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตจะเกิดส่งออกไปข้างนอกเร<wbr>าก็ ดับ จิตจะเกิดยินดียินร้าย จิตหวั่นไหว จิตผวา เราก็ดับ เราก็หยุด ดับ หยุด ให้เค้านิ่ง ให้เขารับรู้ เพราะว่าจิตเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้จิตของเรายังหลงอ<wbr>ยู่ เราต้องคลายความหลงเสียก่อน<wbr> แยกรูปแยกนามก็จะคลายความหล<wbr>งออกจากใจของเรา แล้วก็สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิ<wbr>ดทางให้

    ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไ<wbr>ปซักกี่เที่ยว ซักกี่ครั้ง เพียงแค่การเจริญสติเราก็ยั<wbr>งทำไม่ต่อเนื่อง เพราะความเคยชินเก่า ความคิดเก่า ปัญญาเก่า อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมุต<wbr>ิแค่นั้นเอง เราต้องพยายามเจริญความรู้ต<wbr>ัวให้มากๆ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ อย่าไปเกียจคร้านตรงนี้ ถ้าสติหรือว่าความรู้สึกตัว<wbr>ของเรายังรู้ไม่เท่าทันจิตก<wbr>ับความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ 5 แยกออกจากกัน กำลังสติความรู้สึกตัวของเร<wbr>าจะพลั้งเผลอ ถ้าเราแยกกันได้แล้ว ถ้าเราสังเกตจิตของเราคลายอ<wbr>อกจากความคิดแล้ว กำลังสติของเราจะตามทำความเ<wbr>ข้าใจ การเกิดการดับของขันธ์ 5 หรือว่า รู้อนิจจัง ทุขขัง อนัตตา ในขันธ์ 5 ทุกเรื่อง ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์พิจารณ<wbr>าตามดู กำลังสติก็จะมากขึ้น มากขึ้น จนยับยั้งไว้ไม่อยู่ จนกลายเป็นมหาสติ ถ้าเราไม่พิจารณาเค้าก็กลับ<wbr>คืน สู่สภาพเดิม มันก็มีไม่มาก ถ้าเราจะเอาจริงๆ มีไม่มาก แล้วก็ไม่ยากด้วย

    แต่พวกเราทำให้ยาก เพราะว่าอยู่ภายในกาย ภายในใจ ของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน เอาเรื่องนู้นมาปิดเอาไว้ เอาเรื่องนี้มาปิดเอาไว้ จิตมันก็ปกปิดของเขาเอาไว้อ<wbr>ีก ขันธ์ 5 ก็มาปิดเอาไว้อีก นิวรณ์ก็มาปิดเอาไว้อีก กายเนื้อก็มาปิดเอาไว้อีก ภาระหน้าที่การงานภายนอกก็ม<wbr>าปิดเอาไว้อีก มันหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน<wbr>

    อันนี้อยากจะให้ชี อธิบายเรื่องหัวหอมให้ฟังก็<wbr>ดี เพราะว่าชอบปลอกหัวหอม ชอบเข้าครัว ปลอกไปปลอกมาก็เห็นจิตของตั<wbr>วเอง มันมีหลายชั้นหลายขั้นหลายต<wbr>อน เห็นจิตแล้วก็หลงดีใจอยู่อย<wbr>่างนั้น เป็นปลื้ม จิตก็เกิดอยู่อย่างนั้น แต่มันไม่ยึด ทำยังไงเราถึงดับการเกิดเข้<wbr>าไปอีก ไม่ต้องการให้จิตเกิดไปก่อภ<wbr>พ ก่อชาติอีก จิตเค้าได้ก่อในภพของมนุษย์<wbr>เราจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เราก็ต้องทำความเข้าใจในจุด<wbr>นี้ ถ้าคนเราจะรู้ความเป็นจริงแ<wbr>ล้ว เราต้องขยันหมั่นเพียร ตั้งแต่เริ่มแรก เริ่มในการเจริญสติ มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา น้อมใจเข้ามาในความเสียสละ ความอดทน มีความยินดีในการเสียสละ มีความพอใจในการฝึกฝนของตนเ<wbr>อง หมั่นฝักใฝ่ หมั่นสนใจ ถ้ารู้แล้วเห็นแล้วจะสนุก ฝึกเพื่อดู เพื่อรู้ เพื่อทำความเข้าใจ แล้วก็รู้ความจริงแล้วก็วาง<wbr>ให้หมด มีไม่มากหรอก ถ้าคนเราจะเอา ฟังนิดเดียวไปเร่งทำความเพียรเอา


    ----------------------------------------------

    พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อสำราญ ธัมมธุโร (หลวงพ่อกล้วย)[/QUOTE]

    _/\_ กราบ กราบ กราบ สำหรับพระธรรมคำสอนของหลวงพ่อ ลูกขอน้อมรับปฏิบัติ ..
     
  10. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จิตพระเป็นจิตอย่างไร?
     
  12. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ผมรู้ว่าคุณเป็นใคร ก็แค่เปลี่ยนชื่อนึงเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ
     
  13. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ป...............ธ

    ข่มใจไว้ไม่อยู่นะ
     
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เป็นที่รู้กันทั่วไปโดยสาธารณะ ไม่ได้มีการปิดบัง แม้รูปผู้ใช้งาน ก็จงใจให้เป็นรูปเดิม เพื่อที่คนจะรู้ได้ว่าเป็นใคร ในกระดานข้อความ ก็มีผู้บอกไว้ ว่าเป็นใคร โดยเรียกถึงชื่อเดิมอยู่ตลอด อย่าได้เอาจิตไปปรุงแต่งเรื่องธรรมดาสามัญ ให้มันไม่ธรรมดาเลย

    จิตพระ เป็นจิตเช่นไร?
     
  15. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ต้องไปถามหลวงพ่อกล้วย ถ้ามีโอกาสอยากให้ไป อยู่ที่ขอนแก่น ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไปกราบท่านมาเรียบร้อยแล้ว ท่านเป็นผู้มีเมตตาบารมีมาก เป็นผู้มีปัญญารู้รอบ น้อมจิตกราบไหว้อย่างไม่ต้องลังเลสงสัย

    หาจิตพระภายในตนเองให้เจอเถิด ท่าน khomeraya มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ในใจของท่านนั่นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2012
  17. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ก็ดีแล้วละ ที่ได้ไปกราบท่าน
     
  18. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
    เป็นครูบาอาจารย์ที่มีภูมิปฏิบัติ

    มีประวัติการภาวนา ใช้ภาษาเรียบง่าย อ่านแล้วเข้าใจง่าย

    อย่างเช่น ในย่อหน้าที่5 ที่กล่าวถึง การแยกรูปแยกนาม จนมาถึงย่อหน้ารองสุดท้าย ชัดเจน...สาธุ
     
  19. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    วัดกาย - พระใจ
    ทำกายให้เป็นวัด
    ทำจิตให้เป็นพระ
    แล้วหมั่นเจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ
    ----------------------------------------

    วิเคราะห์ตัวเรา
    เราต้องพยายามดูเรา วิเคราะห์เรา
    จิตของเราสงบหรือไม่ ปกติหรือไม่
    เราควบคุมจิตของเราได้หรือไม่
    ความรู้ตัว สติปัญญา
    เราเอาไปใช้แทนจิตได้หรือไม่
    ----------------------------------------

    บังคับตัวเอง
    อย่าให้คนอื่นบังคับ
    เราต้องบังคับตัวเอง
    ให้มีความขยันหมั่นเพียรในการดูจิต
    ----------------------------------------

    สอนตัวเอง
    อยู่คนเดียวก็หมั่นพร่ำสอนตัวเอง
    ดูตัวเองทั้งสมมติและวิมุตติ
    ดูภาระหน้าที่ตัวเอง
    ความรับผิดชอบ
    ทำอย่างนี้ อยู่คนเดียวก็มีความสุข
    อยู่หลายคนก็มีความสุข

    บุคคลที่มีสติปัญญา
    จะพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
    ไม่ต้องคอยให้ผู้อื่นมาพร่ำสอนหรอก
    --------------------------------------

    อย่าปิดกั้น
    อย่าปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาส
    อย่าปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีเวลา
    ที่จริงแล้วทุกคนมีโอกาส มีศรัทธา
    มีบุญกันทุกคนกันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว
    เพียงแต่เข้าวัดเพื่อวางภาระทางโลก
    มาสร้างสติ มาสร้างบุญข้างในกัน
    -------------------------------------

    เวลา
    อย่าปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลาเปล่าๆ
    ถ้าเราเข้าใจเรื่องจิตจะไม่ปล่อยเวลาทิ้ง
    ไม่ว่าจะเป็นเวลาภายนอกหรือภายใน
    เวลาภายใน คือ การชำระจิตให้สะอาด บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา
    เวลาภายนอก คือ สมมติ สิ่งไหนขาดตกบกพร่องก็ดูแลให้พร้อม
    ---------------------------------------------------




    ที่มา : เขาคัดจากหนังสือ "วาทะธรรม คำหลวงพ่อ" มาลงอีกทีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...