ศักดิ์สิทธิ์ ลี้ลับ ผีสาง เทวดา พระเครื่อง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 30 ตุลาคม 2012.

  1. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    กระทู้นี้ กับ อภินิหารพระอาจารย์ในดง มีความเกี่ยวพันกันนะครับ ควรอ่านทั้ง 2 เรื่อง จึงจะได้น้ำได้เนื้อ และต้องเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บ sanyasi.org ด้วยนะครับ
     
  2. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    การสร้างพระพุทธรูปในประเทศไทย

    การสร้างวัตถุมงคลนี้มีมาตั้งแต่ประเทศอินเดียแล้วโดยเริ่มจาการสร้างรูปเคารพก่อน เชื่อกันว่าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์กรีกคือผู้นำประเพณีการสร้างรูปเคารพเข้าสู่อินเดีย เพราะประเทศกรีกชอบแกะสลักหินเป็นเทวรูปต่าง ๆ มาก่อน เมื่อมาอยู่อินเดีย เกิดความเคารพนับถือพุทธศาสนาจึงแกะสลักรูปพระพุทธเจ้าขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งก่อนหน้านั้นพระเจ้าอโศกมหาราชได้แกะสลักต้นโพธิ์เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า แกะสลักเสมาธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์ของพระธรรม ผ่านมาอีก ราว พ.ศ.๕๐๐ กว่า จึงเกิดมีรูปหินแกะสลักพระพุทธเจ้าขึ้น การแกะสลักหินเป็นพระพุทธรูปและเทวรูปได้พัฒนาขึ้นมากในยุค ที่แกะสลักถ้ำอชันต้า ราว พ.ศ.๖๐๐ เป็นต้นมา ประเพณีแกะสลักรูปเคารพก็แพร่ระบาดไปทั่วอินเดีย เพราะสามารถค้นพบรูปแกะสลักทั่วทุกภาคของอินเดีย ของทุกศาสนา รูปแกะสลักนั้นมีขนาดตั้งแต่หน้ากว้าง ๒ นิ้วขึ้นไปจนถึงใหญ่โตอลังการ เมื่อปี ๒๕๒๗ ขณะที่เรียนอยู่ที่อินเดีย ผมได้รับเทวรูปของท้าวกุเวร เป็นหินดำขนาดหน้ากว้าง ๒ นิ้ว มีอักษรเทวนาครีโบราณสลักไว้ด้านล่าง ซึ่งขุดค้นพบที่มหาวิทยาลัยนาลันทาอันเก่าแก่ และบริเวณมหาวิทยาลัยนาลันทานั้นเต็มไปด้วยรูปแกะสลักหินโบราณจมอยู่ตามไร่นาและหมู่บ้านทั่วไป

    ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาตันตระได้แพร่ระบาดเข้าสู่แหลมทองทางใต้ ตั้งแต่นครศรีธรรมราช ไชยยา หรืออาณาจักรทวาราวดีศรีวิชัยในยุคนั้น การสร้างรูปเคารพเป็นวัตถุมงคลก็เริ่มเกิดขึ้น ซึ่งหลักฐานที่ปรากฏเป็นจำนวนมากคือเทวรูปของท้าวกุเวรซึ่งมีการขุดพบหลายพื้นที่ตั้งแต่นครศรีธรรมราชจนถึงเพชรบุรี ทั้งนี้เพราะชาวฮินดูยุคนั้นเชื่อว่าท้าวกุเวรเป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์ สามารถดลบันดาลให้พ่อค้าประสบความสำเร็จในการค้าขาย นอกจากนั้นก็สามารถคุ้มครองป้องกันพ่อค้าที่ล่องเรือไปมาพ้นจากอันตรายในขณะเดินทางได้ ขณะเดียวกันชาวพุทธก็เคารพท้าวกุเวร เพราะเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จเช่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นท้าวโลกบาลอีกด้วย
     
  3. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ในยุคของพระเจ้าชัยวรมันมีการแกะสลักรูปเคารพมาก ทั้งได้สร้างปราสาทหินขึ้นอีกมากมายหลายแห่ง ในช่วงของแต่ละกษัตริย์ ต่อมาเมื่อพุทธศาสนารุ่งเรืองขึ้นก็มีการสร้างพระพุทธรูปสำคัญขึ้นหลายองค์ เช่นพระแก้วมรกต เป็นต้น แต่ประวัติความเป็นมายังขัดแย้งกันอยู่ ที่น่าสนใจอีกองค์คือพระแก้วขาว หรือพระเสตังคมณี ซึ่งเป็นพระประจำพระองค์ของพระนางจามเทวี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ และอีกองค์หนึ่งอยู่ที่พระที่นั่งสวนอัมพร ยังไม่ชัดแจ้งว่าองค์ไหนคือพระแก้วขาวของพระนางจามเทวี เพราะองค์ที่อยู่วัดเชียงมั่นนั้นไม่ทราบที่มา หลังจากพระเจ้าไชยเชษฐาอัญเชิญไปล้านช้างพร้อมพระแก้วมรกตและพระสิหิงค์ เมื่อปี 2091 เมื่อทางเชียงใหม่ไปทวงก็ได้แต่พระพุทธสิหิงค์กลับคืนมาเท่านั้น

    แต่องค์ที่อยู่สวนอัมพรนั้นมีประวัติในวิกิพีเดียว่า “พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย องค์นี้ สันนิษฐานว่า คือพระแก้วขาว ซึ่งปรากฏเรื่องราวในพงศาวดารโยนก ความว่า พระอรหันต์ได้แก้วขาวมาจากจันทรเทวบุตร จึงขอให้พระวิษณุกรรมแกะสลักเป็นพระพุทธรูป แล้วบรรจุพระบรมธาตุ 4 องค์ไว้ที่พระเมาลี พระนลาฏ พระอุระ และพระโอษฐ์ พระแก้วขาวนี้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้ จนกระทั่งพระนางจามเทวีอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ เมืองหริภุญชัย ในปี พ.ศ. 2011 พระเจ้าติโลกราชแห่งเมืองเชียงใหม่ ได้อัญเชิญจากเมืองหริภุญไชยไปเมืองเชียงใหม่ ประดิษฐานคู่กับพระแก้วมรกตเป็นเวลา 84 ปี

    จากนั้นในปี พ.ศ. 2093 พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงอัญเชิญพระแก้วขาว และพระแก้วมรกตจากเมืองเชียงใหม่ ไปประดิษฐานที่เมืองหลวงพระบาง และเมื่อย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางไปตั้งที่เวียงจันทน์ในปี พ.ศ. 2107 นั้น ไม่ปรากฏว่าได้อัญเชิญพระแก้วขาวไปพร้อมกับพระแก้วมรกตด้วย สันนิษฐานว่าคงเคลื่อนย้ายไปซ่อนไว้ ณ ถ้ำเขาส้มป่อย ดังความในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานว่า “ลุจุลศักราช ๑๐๖๘ (พ.ศ. ๒๒๖๒) ปีมะโรง ฉศก มีพรานป่าคนหนึ่งนำความแจ้งต่อแสนท้าวพระยาว่า เห็นพรานทึงพรานเทือง ข่าบ้านส้มป่อย นายอน (คือที่เป็นเมืองสพาดเดี๋ยวนี้) ได้พระแก้วผลึกมาเข้าใจว่าเป็นรูปมนุษย์น้อย นายพรานเอาเชือกผูกพระสอให้บุตรลากเล่นจนพระกรรณบิ่นไปข้างหนึ่ง ครั้นความทราบถึงเจ้าสร้อยศรีสมุท จึงให้แสนท้าวพระยาไปเชิญรับพระแก้วผลึกแห่มาประดิษฐานไว้ ณ เมืองจำปาศักดิ์ มีการสมโภช 3 วัน แล้วให้พวกที่มาส่งพระแก้วนั้นตั้งอยู่บ้านขามเนิง เรียกว่า ข่าข้าพระแก้วมาจนบัดนี้ แลตั้งให้พรานทึง พรานเทือง เป็นนายบ้าน ควบคุมพวกข่าบ้านส้มป่อย นายอนให้เป็นส่วยขี้ผึ้งผ้าขาว ถวายพระแก้วต่อมา จนส่งพระแก้วลงมากรุงเทพฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    5 องค์แรกคือพระเสตังคมณีที่ประดิษฐานอยู่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ แต่ 2 องค์แรกเป็นพระที่ทำขึ้นมาจำหน่าย องค์จริงคือองค์ที่อยู่บนแท่นบุศบก
    ส่วนองค์สุดท้ายคือพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ซึ่งประดิษฐานที่สวนอัมพร
    ความจริงผมอัปโหลด4 องค์ แต่ไม่ทราบทำไมถึงลงองค์เดียว ลองดูหลายทีก็ทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เป็น jpg เหมือนกัน ใครทราบช่วยตอบที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้ข้าหลวงไปปลงศพเจ้าพระวิไชยราชขัตติยวงศา (เจ้าหน้า - เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ลำดับที่ 3) ที่เมืองนครจำปาศักดิ์ ในปี พ.ศ. 2354 ข้าหลวงได้เห็นพระแก้วผลึกสีขาว จึงมีใบบอกให้นำความกราบบังคมทูลถวายพระแก้วผลึก โดยตั้งขบวนแห่ตั้งแต่เมืองสระบุรี และมีการสมโภชตามหัวเมืองรายทางตลอดมาจนถึงกรุงเทพฯ
    เมื่อเสร็จงานสมโภชที่กรุงเทพฯ แล้ว โปรดให้ประชุมช่างจัดหาเนื้อแก้วผลึกเหมือนองค์พระ เพื่อเจียระไนแก้วติดปลายพระกรรณขวาที่แตกชำรุดให้สมบูรณ์ และขัดชำระองค์พระให้เป็นเงางามเสมอกัน กับพระราชทานพระราชดำริ ให้ช่างปั้นฐานต่อองค์พระตามที่พอพระราชหฤทัย แล้วหล่อด้วยทองสำริดแต่งให้เกลี้ยงหุ้มด้วยทองคำ ส่วนยอดพระรัศมีรับสั่งให้ช่างแผ่ทองคำหุ้มส่วนพระเศียร ดุนเป็นเม็ดพระศกต้องตามแบบแผนของพระพุทธรูป ต่อกับพระรัศมีลงยาราชาวดีประดับเพชร ใจกลางหน้าหลังและกลีบต้นพระรัศมี แต่เมื่อถวายสวมเครื่องทองส่วนยอดพระรัศมีแล้ว สีพระพักตร์ไม่ผ่องใสเหมือนสีองค์พระ จึงแก้ไขด้วยการเอาเนื้อเงินไล่ขาวบริสุทธิ์แผ่หุ้มก่อนชั้นหนึ่ง ขัดเงินให้เกลี้ยงเป็นเงางามแล้วจึงสวมพระศกทองคำบนแผ่นเงิน ทำให้พระพักตร์ใสสะอาดขาวนวลเสมอกับพระองค์ แล้วรับสั่งให้ทำพระสุวรรณกรัณฑ์น้อย สอดในช่องบนพระจุฬาธาตุเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ และนำทองคำลงราชาวดีขาวดำฝังแนบพระเนตรให้งดงาม ทำฉัตรทองคำ 5 ชั้น ชั้นต้นเท่าส่วนพระอังสาลงยาราชาวดีประดับพลอย มีใบโพธิ์แก้วห้อยเป็นเครื่องประดับ แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในหอพระเจ้า (หอพระสุราลัยพิมาน) ด้านตะวันออกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณ
     
  6. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระเบญจาตั้งบุษบกสูง เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแล้ว ในการพระราชพิธีใหญ่ต่างๆ โปรดให้อัญเชิญพระแก้วผลึกสีขาวตั้งเป็นประธานในพิธีแทนพระแก้วมรกต

    รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2404 โปรดให้ช่างทำเครื่องประดับองค์พระและฐานพระพุทธรูปใหม่ พร้อมทั้งฉัตรกลางและซ้าย ขวา แล้วตั้งการฉลองสมโภชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ระหว่างวันที่ 15 – 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2404 และถวายพระนามพระแก้วผลึกนี้ว่า “พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย” กับทั้งโปรดให้สร้างพระวิหารศิลาในพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐาน พระราชทานชื่อว่า “พระพุทธรัตนสถาน”

    ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชในปี พ.ศ. 2416 นั้น โปรดให้ผูกพัทธสีมาพระวิหารพระพุทธรัตนสถาน เป็นพระอุโบสถเพื่อทำสังฆกรรม หลังจากนั้นพระพุทธรัตนสถานก็เป็นสถานที่ทำพุทธบูชาของฝ่ายใน และเมื่อทรงสร้างพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตแล้ว โปรดให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ ไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้วจึงอัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ กลับไปประดิษฐาน ณ พระพุทธรัตนสถานตามเดิม

    ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ กลับไปประดิษฐาน ณ หอพระ พระที่นั่งอัมพรสถานสืบมาจนทุกวันนี้
     
  7. PraKhoonPhan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    881
    ค่าพลัง:
    +6,625
    พี่ครับผมก็เคยให้เซียนลองส่องพระสมเด็จ(ที่สมเด็จโตให้พ่อ)เขาบอกมันผิดพิมพ์แต่เนื้อใช่นะแล้วเขาก็เอาพระสมเด็จของเขามาให้ดูแถมโชว์องค์ที่เหมือนของสส.ประชา ประสพดี
    ผมก็ถามว่าน้าเช่ามาเท่าไหร่ เขาบอกเช่ามาถูกๆไอผมก็ลองขอดูแต่สายตาที่ผมมองนั้นอ่ะผมว่ามันดูแห้งๆแข้งกระด้างไปนะครับเนื้อก็เหมือนยังใหม่ๆอยู่เลยแต่ผมไม่อยากพูดเพราะเซียนมันไม่ยอมรับหรอกว่าของมันปลอม

    ผมก็นึกในใจว่าถ้ามีพระสมเด็จแล้วไมมึงไม่ห้อยวะ
     
  8. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    555 เขามีไว้ขาย ไม่ได้มีไว้ห้อย เวลาห้อยเขาห้อยพระที่เขาคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ทราบว่าเดี๋ยวนี้พวกเซียนพระหลายคนห้อยพระสมเด็จวัดพระแก้วกันนะ ส่วนสมเด็จวัดระฆังเขาใส่ตู้เซฟไว้ และทราบว่าเดี๋ยวนี้วงการค้าพระสมเด็จวัดระฆังปั่นป่วนหนัก คนที่ซื้อไปราคาแพง ๆ ก็ขอคืนของ พวกเซียนก็พยายามหลบ ๆ หลีก ๆ เงินตั้งหลายสิบล้าน ได้มาก็แจกจ่ายกันไป ใครเป็นคนเชียร์บ้างล่ะ ก็ต้องมีส่วนแบ่ง ตอนขึ้นเวทีประกวดใครเป็นกรรมการตัดสินบ้าง หลังประกวดและปล่อยพระได้แล้วก้ต้องมีส่วนแบ่งให้เขา แล้วนี่ลื้อจะมาเอาอะไรกับอั๊วะคงเลียววะ ไปทวงกักคงอื่งบ้างไล่มั้ย อั๊วะล่ายมาก็ไช้ไปหมกเลี้ยว ไอ้หย่า...ซยสิกหาย มาทวงกังล่าย 555
     
  9. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ตำนานเมืองเหนือ
    เรียบรียงค้นคว้าโดย “สงวน โชติสุขรัตน์”
    โอเดียนสโตร์ 2505

    ได้กล่าวถึงประวัติตำนานการสร้างพระแก้วขาวว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไปแล้ว 700 ปี ในวันเพ็ญเดือน 7 สุเทวฤๅษีได้นำเอาดอกจำปา 5 ดอกขึ้นไปบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้พบปะสนทนาด้วยพระอินทร์ ซึ่งพระอินทร์ได้บอกแก่สุเทวฤๅษีว่า ปีนี้ในเดือนวิสาขะเพ็ญ ที่ลวะรัฎฐจะสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยแก้วขาว ครั้นสุเทวฤๅษีกลับจากดาวดึงส์เทวโลกแล้วจึงไปสู่เมืองละโว้ ขณะนั้นพระยารามราชเจ้าเมืองละโว้กับพระกัสสปเถรเจ้าปรารภการที่จะสร้างพระแก้ว ซึ่งพระอรหันต์ไปได้แก้วขาวบริสุทธิ์บุษยรัตน์มาจากจันทเทวบุตรแล้วขอพระวิศณุกรรมมาเนรมิต สำเร็จรูปเป็นองค์พระพุทธปฏิมากร สุเทวฤๅษีและฤๅษีอื่นๆก็ได้ไปประชุมช่วยในการสร้างพระด้วย เมื่อสำเร็จแล้วจึงได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 4 องค์ไว้ในพระโมลี (กระหม่อม) 1 องค์ พระนลาต (หน้าผาก) 1 องค์ พระอุระ (หน้าอก) 1 องค์ พระโอษฐ์ (ปาก) 1 องค์ รวม 4 แห่ง

    เมื่อสร้างเสร็จแล้วพระแก้วขาวจึงได้ประดิษฐานที่เมืองละโว้มาเป็นเวลาช้านาน จนกระทั่งสุเทวฤๅษีสร้างนครหริภุญชัยขึ้นแล้ว จึงได้เชิญเสด็จพระแม่เจ้าจามเทวี พระราชธิดาพระเจ้ากรุงละโว้มาครองนครหริภุญชัย พระแม่เจ้าจามเทวีจึงได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ พระแก้วขาวจึงประดิษฐาน ณ นครหริภุญชัยมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
     
  10. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พญามังรายได้ยึดครองนครหริภุญชัยได้ใน พ.ศ. 1824 และได้เผาเมืองวอดวายเกือบสิ้น เมื่อได้เสด็จตรวจความเสียหาย พบว่าหอพระในพระราชวังไม่ได้ถูกเพลิงไหม้ จึงได้เสด็จเข้าไปตรวจค้นจึงพบพระแก้วขาวประดิษฐานอยู่ ณ ที่หอพระ จึงเกิดพระราชศรัทธาอัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานยังที่ประทับของพระองค์ และบูชาเป็นพระพุทธรูปพระจำพระองค์ เมื่อเกิดศึกสงครามพระองค์ก็อัญเชิญพระแก้วขาวไปคุ้มครองป้องกันพระองค์ทุกครั้ง เมื่อพระองค์สวรรคตแล้วพระแก้วขาวก็ยังประดิษฐานที่วัดเชียงมั่นตลอดมา

    จนถึงรัชกาลที่ ๙ พระเจ้าติโลกราชขึ้นครองราชสมบัติ (1985-2030) เป็นยุคทองของเชียงใหม่โดยแท้ เพราะบ้านเมืองได้เจริญรุดหน้าทุกด้าน ทั้งศิลปะวัฒนะธรรม การศึกษา พระพุทธศาสนา เป็นยุคที่พระนักปราชญ์เกิดขึ้นมากที่สุด หลายรูปสำเร็จการศึกษาจากลังกา เชียวชาญภาษาบาลีราวกับภาษาของตนเอง จึงมีตำราภาษาบาลีเกิดขึ้นมากมายหลายเล่มที่รจนาโดยพระนักปราชญ์ชาวเชียงใหม่ เช่นมงคลทีปนี รจนาโดยพระศิริมังคลาจารย์เป็นต้น และมีการสังคายนาชำระพระไตรปิฎกที่วัดเจ็ดยอด ในสมัยนี้เองได้โปรดให้สร้างวัดเจดีย์หลวงขึ้น แล้วให้สร้างหอพระแก้วตามอย่างโลหะปราสาทของกรุงลังกา เมื่อเสร็จแล้วได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระแก้วขาวประดิษฐาน ณ โลหะปราสาทนั้น

    จนกระทั่งพระเจ้าติโลกราชเสด็จสวรรคคตปี 2030 ความที่พระองค์มีแต่พระราชธิดา ทางขุนนางข้าราชการจึงพร้อมใจกันอัญเชิญพระราชนัดดาทรงพระนามว่า “ท้าวยอดเชียงราย” มาครองเมืองเชียงใหม่ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๑๐ แห่งรางวงศ์เม็งราย (ราชวงศ์เม็งราย 1801-2101)

    ในปี พ.ศ.๒๐๓๕ พระยอดเชียงรายได้สร้างวัดตะโปทาราม (วัดร่ำเปิง) ที่เชิงดอยสุเทพ (ทิศใต้ของสนามบินเชียงใหม่) แล้วได้สร้างหอพระขึ้น เมื่อสร้างเสร็จก็จะอัญเชิญพระแก้วขาวเสตังคมณีไปประดิษฐานที่นั่น ก็ทราบว่าพระหายไป ชำระได้ความจากอ้ายกอน ทาสของท้าวเอื้อยหอขวาง (พระราชธิดาของพระเจ้าติโลกราช) ได้ความว่า มีพระภิกษุชาวใต้ชื่อสุริยวงศ์ มาจำพรรษาอยู่วัดกู่เต้า( วัดเวฬุวัน) มีความชอบพอกับท้าวเอื้อย และอยากได้พระแก้วขาว จึงให้ท้าวเอื้อยนำออกมาให้ ท้าวเอื้อยจึงแกล้งป่วย แล้วขออาราธนาพระแก้วขาวมากราบไหว้บูชาเพื่อรักษาโรคให้หาย พันจุฬาผู้รักษาก็อนุญาตให้นำไป เมื่อผ่านไปหลายวัน พันจุฬามาเตือน ท้าวเอื้อยก็ให้ทองคำพันหนึ่งแก่พันจุฬา เป็นสินบนห้ามมิให้เตือน ต่อมานางก็ซ่อนพระไว้ในกระติ๊บข้าว ให้อ้ายกอนนำไปมอบให้พระสุริยวงศ์ ๆ จึงนำไม้มะเดื่อมาแกะให้เป็นองค์พระ ให้กลวงข้างใน แล้วซ่อนองค์พระแก้วขาวไว้ข้างใน นำไปเมืองใต้ (อยุธยา)

    เมื่อพระยอดเชียงรายทราบดังนั้นจึงมีพระราชสาส์นไปอยุธยาขอพระแก้วขาวคืน ทางพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาแต่งพระราชสาส์นตอบว่า”สืบหาความแล้วไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ หาพระไม่ได้” พระเจ้ายอดเชียงรายทรงพิโรธมาก จึงยกกองทัพไปกรุงศรีอยุธยา ตั้งทัพอยู่เดือนหนึ่ง จึงได้พระแก้วขาวคืน
     
  11. PraKhoonPhan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    881
    ค่าพลัง:
    +6,625
    แต่ตอนนี้พระสมเด็จมาอยู่บนคอผมแล้วตอนแรกคิดว่าใช่ของจริงป่าวหว่าเลยอธิษฐานว่าหากเป็นของสมเด็จโตจริงขอให้ทำให้ลูกรับรู้หรือให้ลูกเห็นในฝัน
    ตกกลางคืนก็ฝันเห็นพระสมเด็จมีเส้นผมยาวงอกออกจากอกพระตื่นเช้าต้องรียบอกเลยว่าลูกเชื่อแล้ว
     
  12. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พระแก้วขาวประดิษฐานอยู่เมืองเชียงใหม่จนถึง พ.ศ.2089 เมื่อทางเชียงใหม่หาผู้สมควรครองเมืองเป็นกษัตริย์ไม่ได้ จึงพร้อมใจกันไปล้านช้าง(กรุงศรีสัตนาคนหุต) ทูลขอพระอุปวโยราช พระราชนัดดาของพระเมืองเกษเกล้า อันเกิดกับพระเจ้าโพธิสาร เจ้าเมืองล้านช้างมาครองเชียงใหม่ ครองอยู่ได้ ๑ ปี พระเจ้าโพธิสาร กษัตริย์ล้านช้างไปคล้องช้างป่า ถูกช้างล้มทับสิ้นพระชนม์ พระโอรสสองพระองค์แก่งแย่งจะเป็นกษัตริย์ แต่งทัพจะรบกันอยู่ เจ้าอุปวโยราชทรงทราบดังนั้นก็วิตกถึงแผ่นดินล้านช้างจะลุกเป็นไฟ จึงเสด็จกลับล้านช้าง พร้อมกับได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระเสตังคมณี พระพุทธสิหิงค์ พระแทรกคำ และอื่น ๆ ไปด้วย ในปี 2091 เมื่อพระราชทานเพลิงศพพระบิดาเสร็จแล้วก็เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ ทรงพระนามว่า “พระอุภัยพุทธบวรไชยเชษฐาธิราช” แต่คนไทยเรารู้จักในนาม”พระไชยเชษฐา”

    เชียงใหม่ว่างกษัตริย์อยู่ 3 ปี จนถึง พ.ศ.2094 ชาวเมืองเชียงใหม่จึงไปเชิญเจ้าฟ้าเมกุฏิ อันสืบเชื้อสายมาจากขุนเครือ พระราชบุตรของพระเจ้าเม็งรายที่ถูกพระบิดาเนรเทศไปอยู่เมืองนายเมื่อต้นกรุง มาเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ทรงพระนามว่า “พระเจ้าสุทธิวงศ์” หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์พร้อมด้วยเสนาอำมาตย์พากันไปเฝ้าพระเจ้าไชยเชษฐา ณ เมืองล้านช้าง เพื่อขอพระพุทธรูปทั้งหลายคืน พระไชยเชษฐาคงคืนให้เฉพาะพระพุทธสิหิงค์เท่านั้น นอกนั้นยังอยู่ในล้านช้าง ต่อมาเมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาย้ายเมืองไปอยู่เวียงจันทร์ ก็อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย ซึ่งมีประวัติเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่พระแก้วขาวกลับสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์ แล้วกลับมาอยู่วัดเชียงมั่นเมื่อไร อย่างไร ? ทางประวัติตำนานของเชียงใหม่ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงเลย
     
  13. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    เทพดลใจ
    ชีวิตคนเรานี้ นอกจากเราจะคิดกระทำอะไรต่าง ๆ ด้วยตนเองแล้ว แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่เรากระทำไปด้วยแรงกระตุ้นหรือดลใจจากสิ่งลี้ลับซึ่งเรามองไม่เห็น นั้นคือจากอำนาจของเทพพรหมซึ่งมีสูงกว่าเรา เช่นเราเดินทางไกล ระหว่างทางจะต้องมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนท้องถนน เราไม่มีทางรู้แน่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมักมีอะไรมาขัดขวางเราไว้ไม่ให้ไปพบสถานการณ์ในเวลานั้น บางทีรถเสีย บางทีหิวข้าวต้องแวะกินข้าว บางทีปวดท้องกะทันหัน ต้องแวะหาทางผ่อนทุกข์ บางทีมีสัตว์บางชนิดมาขวางไว้ สิ่งเหล่านี้มิใช่เกิดโดยบังเอิญ แต่มีผู้ชักนำให้เป็นไป นั่นคือเทพยดาที่เรามองไม่เห็นตัวตน อาจเป็นเทพที่ติดตามรักษาเรา อาจเป็นเทพที่อยู่กับพระเครื่องที่เราห้อยคออยู่ เป็นได้ทั้งนั้น มีบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคนที่รอดชีวิตมาได้เพราะการดลใจจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ

    คนบางคนถูกฟ้าสั่งลงมาเกิดเพื่อกระทำการบางอย่าง ตราบใดที่การกระทำนั้นยังไม่เกิดขึ้นใครก็ฆ่าเขาไม่ตาย เช่นผู้มีบารมีมากล้น เกิดมาเพื่อรู้แจ้งแทงตลอดเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ มีตัวอย่างในสมัยพระพุทธเจ้าคือสามเณรสังกิจจะ ซึ่งแม่ตายทั้งกลม ถูกเขาเอาไปเผาในป่าช้า ร่างของแม่มอดไหม้เกือบหมด สัปเหร่อเอาตะขอไปเกลี่ยพลิกบางส่วนที่เหลือเพื่อให้ไหม้ ก็พบทารกยังดิ้นอยู่ จึงนำออกมาล้างทำความสะอาด แล้วเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ แต่เพราะที่หัวคิ้วถูกตะขอเกี่ยวเป็นรอยจึงมีชื่อว่าสังกิจจะ พออายุได้ 7 ขวบก็ได้เป็นสามเณรของพระสารีบุตร สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในไม่กี่วันเอง และพระองคุลีมาร เกิดมาเป็นชาติสุดท้าย เป็นมหาโจรฆ่าคนตายเกือบพันศพ ทหารเป็นกองทัพก็ไม่สามารถทำอะไรแก่องคุลีมารได้ เมื่อถึงเวลาสิ้นเคราะห์กรรมพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปโปรด สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    คนเกิดมาจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ใคร ๆ ก็ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้ เพราะมีเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองรักษาอยู่ ดูจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม สิครับ ถูกลอบสังหารตั้งหลายครั้งยังไม่ตาย สมัยกบฏแมนฮัตตัน ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง นำโดย น.ต.มนัส จารุภา รน. ทำการกบฏจี้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม ระหว่างเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนสัญชาติอเมริกัน ชื่อ แมนฮัตตัน ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยนำไปกักขังไว้ในเรือหลวงชื่อ "ศรีอยุธยา" ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกฝ่ายตรงข้ามเอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดลงกลางเรือ ท่านยังกระโดดจากเรือรอดชีวิตมาได้ ถ้าถูกฆ่าตายง่าย ๆ ก็หมายถึงบุญบารมีไม่มากพอที่จะเป็นใหญ่คับแผ่นดิน อย่าคิดมากเลยครับ และไม่จำเป็นต้องสาวหาความว่าใครเป็นผู้ฆ่า เพราะมันเป็นคำสั่งจากสวรรค์

    พระพุทธรูปสำคัญบางองค์ถูกบงการจากสวรรค์ สร้างขึ้นเพื่อชนชาติใดชาติหนึ่ง เมื่อชาตินั้นประเทศนั้นจะเกิดอันตรายในภายหน้าก็มักเกิดเหตุถูกลักลอบโยกย้ายหนี ก็ไม่มีอะไรอื่น เทพท่านบงการอยู่เบื้องหลังโดยมนุษย์ไม่รู้เรื่อง เช่นพระแก้วขาว และพระแก้วมรกต ถ้าพระไชยเชษฐาคืนให้กลับมาอยู่เชียงใหม่ ป่านนี้พระทั้งสององค์อยู่ที่พม่า แล้วถูกอังกฤษนำไปไว้ที่ประเทศอังกฤษแล้ว แต่เทพเทวาท่านเห็นเหตุอันจะเกิดขึ้นในอนาคต จึงบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น ก็ดูสิ ถูกซ่อนอยู่ในถ้ำมาไม่รู้กี่สิบปีหรือเป็นร้อยกว่าปี พอถึงคราวที่จะเปิดเผยตัวก็ดลใจให้นายพรานเข้าไปพบ ดลใจให้เด็กผูกเชือกลาก ดลใจให้ผู้ที่เห็นความสำคัญมาพบ เรื่องจึงถึงเจ้าเมือง แล้วท่านก็ถูกอัญเชิญขึ้นแท่นสักการบูชาเหมือนเดิม ถึงแม้พระกรรณ(หู)จะบิ่นจะหักก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มีคนต่อให้ใหม่สวยเหมือนเดิม เห็นมั้ยครับ และเริ่มต้นอยู่กับชาวมอญ ชะรอยเทพยดาเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าว่าต่อไปชาติมอญจะสาบสูญ จึงไม่ได้ช่วยพระยายีบากู้บ้านเมือง ปล่อยให้ข้าศึกเผาเมืองจนวอดวาย แต่รักษาเฉพาะหอของท่านมิให้ถูกไฟไหม้เท่านั้น ท่านจึงได้มาอยู่กับชนชาติไทย ซึ่งจะเป็นผู้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปในภายภาคหน้า ทุกอย่างมีคำตอบเสมอ

    เช่นเดียวกับพระแก้วมรกต ท่านถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นที่เคารพบูชาสักการะของชนชาติไทย ไม่ว่าจะเป็นไทยลาว ไทยลานนา ไทยขาว ไทยดำ ไทยสยาม ไทยใต้ ไทยเหนือ ไทยเชียงตุง ไทยยูนนาน ไทยสิบสองปันนา ล้วนเป็นเผ่าไทยด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นเทพท่านก็จะให้นำไปประดิษฐานตามเมืองต่าง ๆ ที่คนไทยอยู่อาศัย เพื่อให้คนไทยได้กราบไหว้บูชาเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เพราะทางเบื้องบนท่านรู้ว่าชนชาติไทยจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ดีที่สุด
     
  14. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    มีประวัติพระแก้วมรกตอีกมุมมองหนึ่งที่คนไทยเรายังไม่ได้อ่าน ลองอ่านดูสิ ได้ความรู้อีกแง่มุมหนึ่ง ผมนำมาจากเว็บไซด์ www. HolidayThai.com

    ตำนานการสร้างพระแก้วมรกต

    พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวไทย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกอ่อนสีเขียวแวววาวดังมรกต แต่ขุ่นทึบแสง เกือบใสทั้งก้อน เป็นหินธรรมชาติจากเทือกเขาสูง องค์พระพุทธรูปสกุลศิลปะก่อนเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ พระพักตร์อิ่มเอิบ มีพระอุณหิสระหว่างพระขนง พระเมาลีตูม พระกรรณยาว พระนาสิกโด่ง ประทับนั่งซ้อนพระบาทขวาบนพระบาทซ้าย และวางพระหัตถ์ขวาบนพระหัตถ์ซ้ายเหนือหน้าตัก จีวรแนบพระมังสะเปิดบ่าขวา ปิดบ่าซ้าย สังฆาฏิพาดบนพระอังสะซ้ายห้อยลงมา ขนาดหน้าตักกว้าง 43 เซนติเมตร หรือ 17 นิ้ว สูง 55 เซนติเมตร หรือ 21 นิ้ว ภายใต้ฐานที่ประทับมีเศษหินเนื้อแก้วมิได้ตัดให้ราบยื่นยาวออกไปสำหรับบังคับให้ต้องวางบนพื้นที่เจาะ เพื่อมิให้องค์พระเคลื่อนจากที่ตั้ง โดยมีความยาว 28 เซนติเมตร (คนทั่วไปไม่ค่อยรู้เพราะจะต้องยกองค์พระขึ้นดูจึงจะเห็น) บนพระอุณาโลมของพระแก้วมรกต เดิมมีเพชรเม็ดเล็กๆ ฝังอยู่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระราชศรัทธาในองค์พระแก้วมรกตมาก ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ถวายเพชรเม็ดใหญ่ขนาดเท่าเม็ดบัว น้ำบริสุทธิ์งดงามมาเปลี่ยนใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2397 (เชื่อว่าเพชรเม็ดเดิมก็มาฝังไว้ในสมัยพระเจ้าติโลกราช แห่งนครเชียงใหม่ เพราะแต่เดิมคงจะไม่ได้มีเพชรเม็ดนี้อยู่)

    สำหรับพระพุทธลักษณะของพระแก้วมรกตนั้นยังไม่มีผู้ใดลงความเห็นแน่ชัดลงไปได้ว่าสร้างขึ้นในสมัยใด บางพวกก็เชื่อตำนานพระแก้วมรกตซึ่งเขียนเป็นภาษามคธ (เขียนในสมัยกรุงธนบุรี) ก็พากันสันนิษฐานว่า สร้างขึ้นโดยฝีมือช่างอินเดียและลังกา แต่มีนักศิลปโบราณคดีบางท่านตั้งข้อสังเกตว่า ทรวดทรง พระพักตร์ของพระแก้วมรกต มีความละม้ายคล้ายกับพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนตอนปลาย ที่เรียกกันว่า “สิงห์สาม” มาก จึงทำให้น่าเชื่อจะสร้างขึ้นในยุคนี้
     
  15. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงมีพระราชนิพนธ์เรื่องราวของพระแก้วมรกตไว้ และยังทรงสันนิษฐานด้วยว่า พระแก้วมรกตนี้เป็นฝีมือช่างทางเมืองฝ่ายเหนือของไทย อันเป็นฝีมือช่างเชียงแสนนั่นเอง เมื่อปี พ.ศ. 2455 กรมศิลปกรได้มอบหมายให้ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี นายช่างผู้เชี่ยวชาญศิลปะชาวอิตาเลียน ซึ่งเข้ามารับราชการอยู่ในประเทศไทย เป็นผู้ศึกษารูปทรงของของพระแก้วมรกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน ท่านศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี สรุปความเห็นเกี่ยวกับพุทธลักษณะของพระแก้วมรกตไว้ว่า “น่าจะเป็นฝีมือช่างท้องถิ่นในอาณาจักรลานนาไทย หรือเป็นฝีมือช่างทางเมืองเหนือของไทย ถ้าจะจัดยุคสมัยทางโบราณคดี พระแก้วมรกตน่าจะสร้างขึ้นในสมัยเชียงแสนรุ่นหลัง ไม่ใช่ฝีมือช่างชาวต่างประเทศ ดังเข้าใจมาแต่เดิม” แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่าเนื้อหินมรกตขององค์พระนี้ มีอายุเก่าแก่กว่ายุคเชียงแสน น่าจะถูกแกะสลักมาแล้วประมาณสองพันปีแล้ว ซึ่งมิใช่ช่างฝีมือแบบคนไทยอย่างแน่นอน

    ทั้งนี้ จากหลักฐานประวัติศาสตร์ของไทย ต่างระบุตรงกันว่า พระแก้ว (คำเรียกเดิม) องค์นี้พบครั้งแรก ในพ.ศ. ๑๙๗๙ ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ นครเชียงแสน (ปัจจุบันคือวัดพระแก้วงามเมือง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย) สภาพเป็นพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง ซ่อนอยู่ภายในเจดีย์เก่า ต่อมาองค์พระเจดีย์ถูกฟ้าผ่าพังลง ชาวบ้านและพระสงฆ์จึงอัญเชิญออกจากพระเจดีย์ ภายหลังปูนบริเวณพระนาสิกได้เกิดกะเทาะออก เห็นเป็นเนื้อหินสีเขียวมรกต จึงกะเทาะปูนออกทั้งองค์ ปรากฏเป็นองค์พระพุทธรูปปางขัดสมาธิเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์

    หลังจากนั้น พระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งเชียงใหม่ (นครพิงค์) ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปองค์นี้ จึงอัญเชิญใส่หลังช้างจะมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ ด้วยว่าเชียงใหม่เป็นเมืองเอกมีความเข้มแข็งกว่า แต่ช้างทรงพระแก้วมรกตกลับไม่เดินทางไปยังเชียงใหม่ หากเดินเลี้ยวไปทางเมืองลำปาง (เขลางค์นคร) แทน แม้จะเปลี่ยนช้างเชือกอื่นให้ไปเมืองเชียงใหม่ ช้างก็ยังเลี้ยวไปเมืองลำปางถึงสามครั้ง ทางเชียงใหม่ก็เห็นว่าลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนา จึงยอมให้นำไปไว้ที่วัดพระแก้วดอนเต้า นครลำปางก่อนถึง ๓๒ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๐๑๑ สมัยพระเจ้าติโลกราช ก็ค่อยอัญเชิญพระแก้วมรกตมายังเชียงใหม่ โดยผ่านเส้นทางเมืองลำพูนและประดิษฐานให้ชาวเมืองลำพูน (หริภุณชัย) สักการะก่อนประมาณ ๒ ปี เมื่อองค์พระแก้วมรกตมาถึงเมืองเชียงใหม่ก็ได้มีการเตรียมการสร้างปราสาทเพื่อประดิษฐานองค์พระแก้วไว้ล่วงหน้า แต่ถูกฟ้าผ่าหลายครั้งทำให้ไม่ปรากฏร่องรอยปราสาทหอพระแก้วของเดิมในสมัยนั้น
     
  16. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    พระแก้ว หรือพระแก้วมรกตได้ ประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่อยู่ ๘๖ ปี จนกระทั่งครั้นเมื่อถึง พ.ศ. ๒๐๙๕ สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นญาติวงศ์กับราชวงศ์ล้านนาโดยมาอภิเศกสมรสกับพระราชธิดาของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ครั้นตอนพระเจ้าไชยเชษฐาจะเสด็จไปครองเมืองหลวงพระบาง (เมืองเชียงทอง) ก็ได้แอบอัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย และได้นำไปประดิษฐานอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ๑๒ ปี แต่ด้วยเกรงว่าเมืองหลวงพระบาง หรือเมืองเชียงทองในสมัยนั้นจะถูกรุกราน จากล้านนาและพม่า เพื่อแย่งองค์พระแก้วไป อาณาจักรล้านช้างจึงย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาที่เวียงจันทน์ โดยถือว่าเวียงจันทร์เป็นแคว้นเอกราช ไม่เกี่ยวข้องกับล้านนาอีกต่อไป โดยได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาที่นครเวียงจันทร์ด้วย ใน พ.ศ. ๒๑๐๗ พระแก้วมรกตจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์อีก๒๑๔ปี

    จนกระทั่งใน พ.ศ. ๒๓๒๑ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง พระองค์ได้โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๑ ) อัญเชิญพระแก้วมรกต มาจากเวียงจันทน์เพื่อประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มาประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ และโปรดให้เรียกว่าพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จนถึงปัจจุบัน

    มีตำนานเล่าขานถึงที่มาที่ไปขององค์พระแก้วมรกต โดยคนไทยสมัยก่อนเชื่อว่า พระแก้วมรกตนี้ สร้างขึ้นในปี พุทธศักราช ๕๐๐ โดยพระนาคเสนเถระ เป็นพระอรหันต์วัดอโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ในแผ่นดินพระเจ้ามิลินท์ ประเทศอินเดีย (เมนันเดอร์) โดยเชื่อว่ามีสมเด็จพระอมรินทราธิราช (พระอินทร์ที่เป็นใหญ่) พร้อมกับพระวิสสุกรรมเทพบุตร ผู้เป็นเทพบนสวรรค์ได้นำแก้วโลกาทิพยรัตตนายก มีสีเขียวทึบ (หยกอ่อน) นำมาจำหลักเป็นพระพุทธรูปถวายให้พระนาคเสน และถวายพระนามว่า พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต พระนาคเสนจึงได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๗ องค์ (ชิ้น) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แก่พระโมลี พระนลาฏ พระนาภี พระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา พระเพลาซ้าย และพระเพลาขวาลงไปในองค์พระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต โดยไม่มีรอยตัดต่อของเนื้อหินเลย เมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้วก็อัญเชิญขึ้นประดิษฐานให้ประชาชนสักการะ ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น พระนาคเสนจึงได้พยากรณ์ว่า พระแก้วองค์นี้ จะเสด็จไปโปรดสรรพสัตว์ในเบญจประเทศ คือ ลังกาทวีป กัมโพชะศรีอโยธยา โยนะวิสัย ปะมะหละวิสัย และ สุวรรณภูมิ
     
  17. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ตำนานนี้ยังเล่าต่อว่า ในพุทธศักราช ๘๐๐ สมัยแผ่นดินพระเจ้าศิริกิตติกุมาร พระเชษฐ์ราชโอรสในพระเจ้าตักละราช ซึ่งได้ขึ้นครองราชสมบัติเมืองปาฏลีบุตรในช่วงที่เมืองปาฏลีบุตรเกิดมหากลียุค คือมีการจลาจลภายในและข้าศึกภายนอกจู่โจม พุทธศาสนิกชนในเมืองปาฏลีบุตรที่เคารพนับถือพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกต ได้นำพระแก้วมรกตลงเรือสำเภาแล้วเดินทางลี้ภัยไปยังลังกาทวีป (เกาะศรีลังกา) เมื่อถึงลังกาทวีปพระเจ้าแผ่นดินลังกาทวีปในสมัยนั้น (ไม่ได้ระบุพระนาม) ทรงรับพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกตมาเก็บรักษาเป็นอย่างดียิ่ง และทรงอุปถัมภ์ค้ำชูชาวปาฏลีบุตรที่ลี้ภัยเป็นอย่างดี

    ในประมาณปีพุทธศักราช ๑๐๐๐ สมัยแผ่นดินศรีเกษตรพุกามประเทศ พระมหากษัตริย์ผู้ครองนครขณะนั้นคือพระเจ้าอนุรุทธราชาธิราช หรือในภาษามอญคือ มังมหาอโนรธาช่อ เป็นกษัตริย์ที่มีพระอานุภาพมาก บริบูรณ์ด้วยพลช้างพลม้าและทหารมากมาย และทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างดี ได้มีพระราชโองการ ส่งพระราชสารและเครื่องมงคลบรรณาการ ไปยังลังกาทวีป เพื่อขอคัดลอกพระไตรปิฎกและขอพระแก้วมรกตกลับมาด้วย แต่เรือที่บรรทุกพระแก้วมรกตได้ถูกพายุพัด พลัดเข้าไปทางอ่าวกัมพูชาแทน พระเจ้านารายณ์ราชสุริยวงศ์ เจ้ากรุงอินทปัตถ์มหานคร (นครธม) แห่งแคว้นกัมพูชา สั่งให้อำมาตย์คุมสำเภากลับไปถวายคืนแก่พระเจ้าอนุรุทธ แต่ส่งกลับไปเพียงพระไตรปิฎกเท่านั้น มิได้ส่งพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกตไปด้วย พระแก้วมรกตจึงได้ประดิษฐานอยู่กรุงอินทปัตถ์นานพอสมควร(ไม่ได้ระบุปี)
     
  18. บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,045
    เอ๊ะๆๆๆ..องค์ 20 ล้าน..ทำ 20 องค์ถึงได้องค์หนึ่งหรือเปล่าน๊า..55555
     
  19. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ต่อมาในแผ่นดินพระเจ้าเสน่ห์ราช ได้เกิดพายุฝนขนาดใหญ่ตกเป็นนิจกาลยาวนานหลายเดือน(ไม่ได้ระบุ) พระเจ้าเสน่ห์ราชก็สวรรคตด้วยอุทกภัยนั้น พระมหาเถระ(ไม่ปรากฏพระนาม) ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นสำเภาหนีไปยังที่ดอน พระเจ้าอติตะราช (อาทิตยราช) เจ้าครองนครอโยธยา(หมายถึงเมืองอยุธยาในสมัยโบราณ) ทราบเรื่องจึงเสด็จไปเองโดยกระบวนพยุหยาตรา เพื่อไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ในที่ปลอดภัย โดยทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตประดิษฐานในพระมหาเวชยันต์ปราสาท (ไม่สามารถระบุปี พ.ศ.ได้) และได้ประดิษฐานในนครอโยธยาต่อมาในอีกหลายรัชสมัย

    ภายหลังเจ้าเมืองกำแพงเพชร ซึ่งเป็นพระญาติกับกษัตริย์อโยธยาสมัยนั้น ได้ทูลขอนำพระแก้วมรกตขึ้นไป ประดิษฐานที่เมืองกำแพงเพชรอีกหลายรัชสมัย ซึ่งว่ากันว่า ปัจจุบันก็คือวัดพระแก้วกำแพงเพชร ในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ต่อมา พระเจ้าพรหมทัศน์เจ้านครหิรัญนครเงินยาง แห่งเชียงแสนได้ทูลขอพระแก้วมรกตต่อพระเจ้ากำแพงเพชร พระเจ้ากำแพงเพชรก็ยอมมอบให้นครเชียงแสน ต่อมานครเชียงแสน ได้เกิดมีศึกกับเมืองศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เจ้าผู้ครองนครเชียงแสนในเวลานั้นได้ทำการพอกปูนจนทึบและลงรักปิดทองเสมือนพระพุทธรูปสามัญทั่วไป แล้วบรรจุเก็บไว้ในเจดีย์วัดป่าญะในเมืองเชียงราย จากนั้นกษัตริย์และพระราชวงศ์อพยพผู้คนลงมาทางใต้ ส่วนเมืองเชียงแสนก็ถูกตีแตกและถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของเชียงรายและอาณาจักรล้านนาในที่สุด พระนามพระพุทธรัตนพรรณมณีมรกตจึงหายสาบสูญไปแต่นั้นมา ในปี พ.ศ.๑๙๗๙ ได้เกิดฟ้าผ่าที่องค์เจดีย์นั้น ชาวเมืองเชียงรายจึงได้พบเห็นพระพุทธรูปลงรักปิดทองโบราณ และต่อมาปูนที่ลงรักปิดทองได้กะเทาะออก กลายเป็นการค้นพบพระแก้วมรกตในแผ่นดินไทยเมื่อประมาณ ๕๗๐ ปีที่ผ่านมาเอง

    แต่นักโบราณคดีชาติ อื่น ๆ อาจมีความเห็นเกี่ยวกับพระแก้วมรกตแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ น่าจะเป็นไปได้ว่าพระแก้วมรกตถูกสร้างขึ้นในราว ๕๐๐ ถึง ๘๐๐ ปี หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์นิพพาน หรือไม่น้อยกว่า ๑๕๐๐ ปีมาแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีอาณาจักรไทยที่ชัดเจน ในประเทศอินเดียสมัยนั้นนิยมทำการหล่อเทวรูปด้วยสัมฤทธิ์ หรือสลักด้วยหินชนิดอื่น ไม่นิยมใช้หยกหรือมรกตในการทำพระพุทธรูป อุตสาหกรรมเหมืองหยก หรือหินอัญมณีมรกตก็ไม่มีในภูมิภาคนี้ในสมัยนั้น แหล่งหยก หรือมรกตที่จะหาอัญมณีสีเขียวขนาดใหญ่ขนาดนั้นเมื่อประมาณ ๑๕๐๐ ปีก่อนมีที่เดียวคือ อาณาจักรน่านเจ้า หรือเมืองต้าลี่ในมณฑลยูนนานเท่านั้นครับ
     
  20. Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,281
    ว่ากันว่าฝีมือแกะสลักพระพุทธรูปแบบนี้ก็มีอยู่ที่ตอนใต้ของจีนที่เดียว เพราะสมัยนั้นการสลักพระพุทธรูปจะใช้ปูนปั้น หรือหินชนิดอื่น ในศรีลังกา พม่า และอินเดียก็ใช้หินทราย หินศิลาแลง หรือสัมฤทธิ์ ไม่มีใครใช้หยกเลยนอกจากคนจีน พระพักต์ของพระแก้วมรกต (ตอนถอดเครื่องทรง) ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเป็นศิลปแบบจีนยูนนาน ยิ่งไปกว่านั้น ความมหัศจรรย์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ ในองค์พระแก้วมรกตนั้น มีช่องกลวงบรรจุพระอุรังคธาตุหรือกระดูกพระอุระของพระพุทธเจ้า ซึ่งถูกอัญเชิญจากอินเดียไปจีน ผ่านมาทางพม่า องค์พระแก้วถูกแกะสลักจากหินสีเขียวก้อนเดียวและบรรจุพระอุรังคธาตุโดยไม่มีรอยตัดเชื่อมต่อเลย เทคโนโลยีนี้เป็นความลับที่สูญหายไปของชาวจีนโบราณยุคนั้น คนอินเดีย พม่า และไทย ไม่เคยมีสลักพระพุทธรูปด้วยเทคนิคเช่นนี้ หากจับองค์พระแก้วเขย่าดู จะได้ยินเสียงสั่นให้รู้ว่าภายในองค์พระแก้วมีรูกลวง และบรรจุวัตถุอยู่ประมาณ 6-7 ชิ้น ไม่มีหลักฐานใดเชื่อได้ว่าเป็นพระโมลี พระนลาฏ พระนาภี พระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา พระเพลาซ้าย และพระเพลาขวาของพระพุทธเจ้า แต่มีตำนานเล่ากันว่าตอนที่มีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าหลังจากการถวายพระเพลิงนั้น ส่วนกระดูกพระอุระและข้อนิ้วพระหัตถ์ถูกอัญเชิญไปทางประเทศจีน พระเกศาธาตุถูกอัญเชิญไปทางพม่า พระเขี้ยวแก้วถูกอัญเชิญไปศรีลังกา ผงเถ้าทุลีถูกแบ่งออกแล้วเชิญไปยังอินเดียตอนใต้ ศรีวิชัย และเปอร์เซีย ดังนั้นหากพระแก้วมรกตถูกสร้างด้วยหินหยกเขียวทางตอนใต้ของจีนสมัยอาณาจักรน่านเจ้า หรือฟูนันก็น่าจะมีการบรรจุพระอุรังคธาตุไว้ด้วยก็ได้

    นักโบราณคดีจีนมีหลักฐานหลายอย่างที่เชื่อได้ว่าพระแก้วมรกตถูกสร้างที่เมืองต้าลี่สมัยอาณาจักรน่านเจ้ารุ่งเรืองเมื่อ 1500 ปีก่อน แต่ปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้รู้ถึงจักรพรรดิจีนในราชวงศ์ถังเรืองอำนาจ ต่อมาจักรพรรดิจีนได้ยินข่าวว่าเมืองต้าลี่มีสมบัติล้ำค่า ก็ยกทัพจะมายึดไป ชาวน่านเจ้าก็แอบนำพระแก้วลงมาทางใต้ มาประดิษฐานไว้ที่วัดพระแก้วในเมืองเชียงรุ้ง มีวัดพระแก้วอยู่ที่เชียงรุ้งและวัดนี้มีอายุมาแล้วประมาณ 1300 ปี เมื่ออิทธิพลของกองทัพจีนมารุกรานถึงเชียงรุ้ง พระแก้วมรกตก็ถูกลักลอบหนีมาอยู่ที่เมืองเชียงตุง และคาดว่าจะประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้วในเมืองเชียงตุงมาเกือบ 300 ปี โดยที่ปกปิดไว้ไม่ให้รู้ว่าองค์พระเป็นมรกต ต่อมาเมื่อไม่ถึง 600 ปีมานี้มีการค้นพบว่ามีพระแก้วมรกตที่หุ้มด้วยปูนซ่อนอยู่ในเจดีย์ของเมืองเชียงราย ซึ่งอยู่พ้นจากอิทธิพลของกองทัพจีน และมองโกล พระแก้วมรกตจึงถูกเปิดเผยออกมาสู่ประวัติศาสตร์ของไทยโดยไม่ต้องซุกซ่อนอีกต่อไป
     

แชร์หน้านี้