ศีล สมาธิ ปัญญา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 24 มีนาคม 2008.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ถ้าเราทำความดี ฉะนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้แล้วว่า อปฺปมาโทมจฺจุโนปทงฺ ความประมาทนั้นเหมือนกับคนตายแล้ว คนประมาทคือคนตายแล้วว่างั้น คำว่าตายไม่ได้หมายถึงตายแล้วมัดมือมัดเท้าเข้าแต่โลงคือไม่มีอะไรที่จะเกิดกับคนประมาท เป็นเด็กก็ปล่อยภาษาเด็ก เด็กมีความเจตนาอะไรกับตัวเขาเองก็ไม่ได้ แม้แต่ผู้เป็นพ่อเป็นแม่อยากให้ลูกดีหลานดีก็พยายามที่จะชี้จะสอน ให้เข้าศึกษาการเล่าเรียนตามภาษา แต่เด็กนั้นมันไปติดใจอยู่กับเพื่อนกับฝูง ที่มันเดินเล่นกินฝุ่นอยู่มันจะได้อะไรตรงนั้น มันก็ไม่ได้อะไร ก็เป็นความประมาทผ่านมาจนถึงกลายมาจนเป็นตัว เป็นพ่อ เป็นผัว เป็นเมีย ไปกันใหญ่ ลงสุดท้ายไปติดอยู่ที่ตรงนี้ก็ เวลาไม่มี เวลาไม่พอ ขอโอกาสนั้นก่อน ขอโอกาสนี้ก่อน แล้วขอก็ไม่รู้ว่าขอจากใคร ขอไปจนกระทั่งว่าตายไปนี้ขอให้ไปสวรรค์ ตายไปนี้ขอให้ไปพระนิพาน ขอกัน อยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ไป พระพุทธเจ้าไม่สอนให้ขอ สอนให้เราลุกขึ้นมา อามนฺตยามิโวภิกฺขเวดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนท่านทั้งหลายปฏิเวทยามิโวภิกฺขเวขยวยธมฺมาสฺงขารา สังขารทั้งหลายนี้มันมีวันเสื่อมสิ้นไปตามกาลเวลาอัปปมาเทนะท่านทั้งหลายอย่าประมาท เมื่อประมาทอยู่อย่างใด เรามาตัวเปล่าก็กลับไปตัวเปล่า เราได้เสียอะไรมาบ้างถือเอาที่มีอยู่ก็คือตัวที่สำเร็จรูปมาคือดีกับชั่วตัวชั่วนั้นทุกคนปฏิเสธไม่ได้ เหมือนกับเราปฏิเสธ เคยร้องไห้มั๊ย ปฏิเสธว่าเคยหัวเราะมั๊ย ปฏิเสธได้อย่างไร เพราะร้องไห้เป็น ไม่ต้องเรียนว่าศิลปะการร้องไห้ ๆ ยังไง ยิ้ม ศิลปะการยิ้มเป็นยังไง ไม่ต้องหาศิลปะ

    ถ้าทุกข์มาเมื่อไหร่ มันทุกข์จากเรื่องอะไร ไม่ได้ทุกข์เพราะความได้ มันทุกข์เพราะความเห็นสูญเสียสูญเสียสิ่งที่ตนองสมมุติ สูญเสียสิ่งที่ตนเองบัญญัติ สมมุติว่า คำว่าสมมุติแกกับผู้ชายคนนี้ ผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นผัวเป็นเมียกันตั้งแต่วันที่เท่านี้ เท่านั้นแหละ แต่ยังไม่สมมุติผู้ชายคนนั้นตาย ร้อยคน ร้อยผู้หญิง คนนึ่งไม่หลั่งน้ำตาตาม ทำไมไม่ร้องไห้ ไม่หลั่งน้ำตาตาม ไม่ทุกข์ ก็เพราะไม่มีอยู่ในสมมุติว่าเป็นของเรา เป็นเมียเรา ผัวเรา ลูกเรา หลานเรา แต่เมื่อมันอยู่ในลักษณะสมมุติอย่างนี้ เรามาทำใจไว้เลยว่า อันนี้เรารักกับชังนี่มันก็อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่ว่ารัก ราบรื่น ผัวเมียแต่ละคู่ ทะเลาะกันอยู่ แต่ความรักนั้นมีอยู่ตลอดเวลานั้น มันก็ไม่ทะเลาะกัน แต่ช่วงไหนมันมีความไม่ดีเข้ามาแทรกแซงตัดความรักออกไป มันเกิดแล้วฆ่ากันได้ ด่ากันได้ เกลียดกันได้ โกรธกันได้อย่านี้เราก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปของอารมณ์เหล่านั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุมีผลของกันและกันอยู่ ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่เราไม่เห็นของจริงแล้วจะไปเอาของจริงจากไหน ใครจะไปรู้ของจริงอย่างนี้ เหมือนพระพุทธเจ้าเห็นไม่มีแล้ว เพราะพระองค์เป็นผู้คิดค้น เป็นผู้ค้นหาและทำให้ตัวพระองค์ได้ด้วย เห็นด้วย ละด้วย ปล่อยวางด้วย แล้วก็มาสอน บุคคลที่ไม่รู้ ให้ได้รู้ บุคคลที่ยังไม่เห็น ให้ได้เห็น สิ่งที่เห็นพระองค์ก็ไม่ได้สอนว่า อยู่ภูเขาเลากา อยู่ป่าอยู่ดง ความทุกข์อยู่ที่ไหนก็ทุกข์ได้ ความสุขอยู่ที่ไหนก็สุขได้เราชอบทางไหน ถ้าชอบสุขก็ใช้คำว่านตฺถิสนฺติปรมํสุขํ สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี นั่งอยู่นี่ทำให้มันสงบซี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2008
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เริ่มแต่โสดาบันบุคคลละสังโยชน์ได้ ๓ แล้วโสดามรรคโสดาผลไปถึงผลได้รับผลจากสิ่งที่ละไปตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ จนสกทาคามรรคอนาคามิมรรคจนถึงอรหัตมรรคอรหัตผลผ่านไปคิดดู..นักคิดนักค้นนักวิทยาศาสตร์ถ้าว่าโลกพระจันทร์กับโลกมนุษย์นี้ที่เขาค้นคว้ากันใช้ยานใช้อวกาศอะไรต่างๆนั้นก็เพราะว่าโลกพระจันทร์ก็อยู่อีกส่วนหนึ่งฉะนั้นเมื่อมันดึงกันไม่ได้มันก็จะถึงกันไม่ได้ลงสุดท้ายมาคิดว่าใช้ยานอันหนึ่งผลักดันเข้าไปให้เข้าไปจนถึงสิ่งดึงดูดจึงเข้าไปสำรวจโลกอันนั้นได้ว่าโลกพระจันทร์มีอะไรบ้างมีสัตว์มีชีวิตมั้ยก็เข้าไปดูนี่เขาสำรวจกันตามหลักวิชาการชองฝ่ายวิทยาศาสตร์แต่พระพุทธเจ้าของเรานั้นไม่ได้ไปคิดเอาอย่างนั้นเอาให้ละเอียดกว่าปรมาณูอีกให้เป็นอณูละเอียดลงไปๆๆจึงเป็นผู้ไม่มีอะไรเป็นเครื่องดึงดูดให้ตัวอย่างคือญาณอันหยั่งรู้สิ่งที่เป็นจริงทั้งหลายไม่ได้หวังอะไรเอาแต่เพียงว่าปจฺจุปฺปนฺนญฺจโยธมฺมํเอาธรรมเป็นปัจจุบันดูกำหนดเข้าไปนี่เหล่านั้นอะไรเพียงจะมาดูรูปก็ยังไม่เห็นเลยจะมาดูจิตใจของตัวเองก็ไม่รู้อะไรอีกจะเอาอะไรธรรมะไม่ใช่ของหยาบๆของละเอียดอ่อน
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    คนที่เป็นโจรอยู่เขาก็ว่าทำงานเพื่อ
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ขั้นต่อมาแล้วเนี่ย เด็กมันเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางจิตใจคืออะไรเด็กผู้หญิงนี่เอาผ้าสีมาผูกพอตาลูบสีแล้วเด็กจะเอื้อมมือไปกับสีนั้นได้เลย เด็กผู้ชายก็เป็นอย่างนั้นนั้นคือสิ่งที่เกิดความเศร้าหมองของจิตใจของเด็กเปลี่ยนมาจากกินแล้วก็นอนเปลี่ยนมาจากนอนก็ชอบสีต่างๆเด็กผู้หญิงชอบอย่างเด็กผู้ชายชอบอย่างนั้นแหละเมื่อชอบแล้วก็ติดใจติดใจแล้วมีเด็กคนหนึ่งมาแย่งแม้แต่ว่ามันเคยดูดนมจากคนๆนี้ เด็กคนอื่นคลานมาหวงแล้วทั้งหยิกทั้งกัดมันจะมาเอาของจากนั้นที่มันชอบอยู่นั้นแย่งมันก็ทั้งกัดทั้งหยิกเหมือนกันสู้ไม่ได้ก็ร้องไห้นั้นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจมันร้องไห้ไม่พอใจนั้นตัวโกรธเข้ามาในจิตแล้วตอนแรกไม่รู้อะไรแล้วมาว่าจากนั้นมาจนถึงเดี๋ยวนี้แหละของที่จิตที่มันเป็นอยู่เดิมมันเป็นอย่างนั้นมาเดี๋ยวนี้มันมีอะไรทับถมลงไปตั้งเยอะตั้งแยะปัญหาลูกๆปัญหาใครก็มีตลอดบ้านหลังหนึ่งเป็นภาระเป็นบริการตลอดเวลาแม้แต่ตัวเองได้กินก็สบายไม่ได้กินก็ทุกข์ร้อนทำอยู่นี่.. กินแล้วอิ่มแล้ว..อ้าว..ไปห้องน้ำใครจะไปนั่งถ่ายอยู่ไม่ไป ขี้เกียจไปไม่มี.. อาบน้ำอะไรต่างๆมันเป็นภาระหรือเปล่าลงวุดท้ายภาษาเป็นภาระหรือเปล่าภาราหเวปญฺจกฺขนฺธา ความเข้าไปยึดถือเบญจขันธ์๕คือรูป เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี่เป็นภาระเราเป็นภาระอยู่เมื่อมันเป็นภาระอยู่อย่างนี้มันก็มีทุกข์ประจำได้กินไม่ได้กินกินแล้วอาบน้ำกินแล้วเข้าห้องน้ำเป็นภาระอยู่ไม่มีใครว่าขี้เกียจกูไม่อาบให้มันละกูไม่กินให้มันก็ไม่มีใครทำได้เมื่อทำไม่ได้ก็รู้หน้าที่มันเป็นอย่างงี้นั่นแหละควรแล้วหรือว่าชาติไหนเกิดมาเป็นอย่างนี้คนยังปรารถนากันอยู่เออ.. ชาติหน้าอย่าให้ได้ผัวอย่างนี้เหอะ..เกิดมาชาติหน้าอย่าให้มีอย่างนี้เหอะ..เมียนี่เกิดมาขอให้รวย..รวย..นี่มันมีจบที่ไหนรวยแล้วมันก็เป็นอย่างนี้อยู่เพราะเราไม่ได้ถอนรากถอนโคนคือว่าอยากจะแก้นั่นแหละแก้ผิดๆไปอยู่มันจะเห็นของจริงได้ยังไงแก่ก็เห็นอยู่แต่คิดว่าเจ็บตรงไหนก็ไปหาหมอนั่นแหละหมอรักษาคนก็ตายไปไม่รู้กี่รุ่นมาแล้วไม่มีใครผ่านความตายได้มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นเองทำสำเร็จแล้วไม่มีว่าผมจะเกิดอีกแก่อีกเจ็บอีกหนีไปหลีกไปได้
     
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    กัณฑ์ที่๕
    ถอดเทปธรรมเทศนาของพระครูฐิติธรรมญาณ(หลวงปู่ลีฐิตธมฺโม)

    จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้
    วันที่๑๓กันยายน๒๕๔๑
    วัดเหวลึกบ้านบึงโนใน.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ๔๗๑๑๐

    นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ
    จิตฺตํ ทนฺตํสุขาวหํติ

    ในลำดับต่อไปก็ขอให้พากันตั้งใจภาวนานั่งขัดสมาธิตามความสบายตามความถนัดเหมือนที่เคยฝึกมาอบรมมาแล้วก็ทำตามอย่างนั้นการนั่งท่าไหนก็ตามเป็นความสบายแล้วท่านั้นล่ะเพื่อเราจะต่อสู้กับสิ่งจะเกิดขึ้นในอันดับต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอันดับต่อไปนั้นก็หมายถึงว่าขาเราปกตินั้นก็เปลี่ยนอิริยาบถอยู่ตลอดเวลายืนเดินนั่งนอนมันขัดตรงนั้นก็เปลี่ยนไปตรงนี้มันขัดตรงนี้ก็เปลี่ยนไปตรงโน้นอยู่ตลอดเวลาเพราะฉะนั้นถ้าเรามาจุปฏิบัติธรรมให้ตามหลักของการปฏิบัติแล้วก็ว่าให้นั่งท่านี้วางมือทับมือซ้ายแล้วก็ตั้งกายของตัวเองนี้ให้ตั้งอยู่ในความตรงตรงคือไม่ต้องกดไม่ต้องดันไม่ต้องเกร็งตัวคือให้เป็นลักษณะหลวม หลวม เผื่อจะลมมันจะได้ผ่านไปตามหน้าที่ของมัน หายใจก็สดวก นั่งอยู่ก็ไม่มีกด ก็เป้นความสะดวกนี่เรียกว่าเราวางแผนไว้ในเบื้องต้น คือแผนแห่งการปฏิบัติธรรม แล้วต่อไปนี้นั้นเมื่อเรานั่งไปก็จะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น

    โดยเฉพาะส่วนตัวจะเป็นปัจจุบันก็ดี จะเป็นเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้วก็ดี หรือเรื่องที่เป็นอนาคตยังไม่มา ก็ยังมีมาปรุงแต่ง มันจะเกิดอยู่ที่จิต มันจะมีอยู่อย่างนั้น ที่นี่ส่วนที่เกิดในกายก็จะมีล่ะ ว่าปวดขาเกิดเหน็บ เกิดชาขึ้นมาที่ขา ตรงไหนก็ตาม ซึ่งเป็นส่วนอวัยวะร่างกาย ก็ย่อมจะเกิดขึ้นอย่างนั้น เราไปยอมแพ้มันก็ไม่ได้ ก็ไม่ได้ชื่อว่าเราจะตั้งใจของเราเข้าสู่ตำแหน่ง ต่อสู้กับข้าศึกศัตรู เรียกว่าจะขึ้นสนามรบ การรบนี้ก็เรียกว่าศัตรูมันมีอยู่แต่ละคน ละคน คือ อารมณ์ของจิตใจก็ดี อารมณ์ส่วนที่เป็นไปในส่วนกายก็ดี หรืออารมณ์ภายนอกภายในที่มันรับรู้ รับทราบ รับเห็น รับเข้าใจ ยึดมั่นอยู่นั้น มันก็เกิดจากอายตนะภายนอกภายในกระทบกันอยู่ มันก็ปนเปกันอยู่ ไหลกันไปไหลกันมาเป็นอาหารของกันและกันอยู่นี่โดยธรรมชาติ พวกเหล่านี้แหละคือพวกเป็นศัตรู สิ่งเหล่านี้แหละเป็นศัตรูแก่ชีวิต เราไม่เข้าศัตรูเหล่านี้ จึงหนีศัตรูเหล่านี้ไปไม่ได้ ฉะนั้น ครั้นเราจะปฏิบัติธรรมให้นั่งภาวนา เราจะเอาอะไรไปสู้เขา เรานั่งในฐานที่เราจะวางแผนอย่างนี้ เหมือนทหารเค้าฝึกกัน ทหารเขา ฝึกกัน ถ้านอนก็ต้องนอนท่านี้ ท่ายืนก็ยืนท่านี้ นั่งก็นั่งท่านี้ พลิกไปทางนั้นทางนี้เขาอึดกันหมด

    การฝึกอย่างนั้นก็เพื่อจะเอาชัยชนะให้เกิดกับตัว คือให้ความปลอดภัยแก่ตัวเอง นี่เขาฝึกอย่างนั้น แล้วฝึกอย่างนั้นด้วย แล้วก็เกิดฝึกความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับสิ่งนั้นด้วย คือไม่ได้คิดว่าศัตรู จะมาหรือไม่มา ภูมิใจว่ามาเมื่อใดกูก็ฆ่าศัตรูเมื่อนั้น มาเมื่อใดกูจะต้องยิงศัตรูเมื่อนั้นนี้เป้นสัญชาติญาณของผู้ฝึกในลักษณะของผู้เป็นทหาร แต่ที่นี้การที่เรามานั่งจะเป็นทหารที่ดีแกล้วกล้าสามารถที่จะรู้เท่าทันข้าศึกศัตรู ที่จะมา ณ บัดนี้ มันจะมากวนในทางไหน ก็ให้รู้เพราะทางที่ศัตรูจะมา มันก็มาในทวารทั้งหลายที่เราเรียกในภาษาหนึ่งว่า อายตนะ อายนะนี้ เป็นชื่อเพื่อสืบสานเพื่อต่อ ที่ว่ามีอยู่ทั้งในส่วนภายในก็หก ส่วนภายนอก็หก ฉะนั้น ตาก็เป็นคู่กับรูปหูก็เป็นคู่กับเสียง จมูกก็คู่กับกลิ่น ลิ้นก็เป็นคู่กับรส กายก็เป็นคู่สัมผัสอ่อนแข็ง ใจก็เป้นคู่กับอารมณ์ที่เกิดขึ้นมนลักษณะสุขและทุกข์สลับกันอยู่ตลอดวันเวลานี่คือเป็นหน้าที่ศัตรูจะเข้ามาจะเข้ามาในทางนี้ แต่ว่าศัตรูเมื่อเรารู้ว่าเขาจะมาทางนี้ เราจะรู้หน้าที่ของศัตรูได้อาศัยอะไร ก็อาศัยสติ สติ คือความระลึกได้ รู้ตัว รู้ลักษณะว่ามองอยู่ อยู่ตรงนี้ ศัตรูมาตรงนี้ เราต้องยินตรงนี้ รู้ตรงนี้ ไม่ให้ศตรูเข้ามาภายในป้อมของเราก็คือจิตใจ ป้อมยามของเราก็คือจิตใจ ผู้ดูแลยามของเรา ภายนอกป้อม ก็คือ สติ คอยดูแลตรวจตราอยู่อย่างนั้นในทวารทั้งหลายเมื่อมันผ่านมา ถ้าตัวสติตัวคอยจ้องมองอยู่ตามหน้าที่แล้วก็ไม่ยอมให้ข้าศึกเข้าไป ให้เข้าใจตรงนี้อย่าปล่อยข้าศึกเข้าไปรบกวนจิตใจ จะทางตาเห็นหูได้ยินก็ตาม ปิดได้เลย ปิดไม่ให้ ไม่ให้ข้าศึกเข้าไป ปิดไว้อย่างนั้น

    ถ้าว่าเวรยาม คือ สตินี้ กับตัวรู้อยู่ด้วยกันอะไรผ่านมาก็รู้ อะไรผ่านมาก็รู้ แต่ไม่ปล่อยให้เข้าไป ใจก็อยู่ส่วนภายใน ตัวสติก็อยู่ส่วนภายนอก ใจกับสติกับความรู้สึก ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของข้าศึกจะมาทางด้านหนึ่งด้านใดก็ตาม มันรู้อยู่ตลอดเวลาข้าศึกก็ไม่ผ่านเข้าไปข้างใน แล้วข้าศึก ทีนี้จะบอกตั้งแต่ส่วนน้อย ๆ ย่อย ๆ ลงไป คือส่วนเล็ก ก็บอกแล้วว่า เมื่อนั่งไปมันอาจจะปวดขาขึ้นมา อันนี้คือส่วนหนึ่งที่จิตอยู่กับกายเรียกว่า ขันธ์เรียกว่า ธาตุที่มันเบียดเบียนอยู่ ตามเอ็นตามกระดูก ตามท้ายทอย ไล่ไปถึงความง่วงเหงาหาวนอน อันนี้เป็นส่วนมีที่มีอยู่ โดยธรรมชาติ โดยประจำ สิ่งนี้บางที่นั่งไปก็ไปเกิดกังวลอยู่ตรงนั้นกังวลว่า เจ็บแท้ปวดแท้ แล้วตรงที่ปวดนั้น ก็บอกว่าปวดคอเรา ขาเรา หัวเราะ อะไรต่าง ๆ

    อันนั้นมันเป็น เป็นภาษา อุปทานบ้าง เป็นภาษาบัญญัติบ้าง สมมุติบ้าง นี่แหละอันนี้ก็เป็นศัตรูในเบื้องต้น ทีนี้ว่าสิ่งเหล่านี้ที่จะปล่อยกันได้วางกันได้และเข้าใจกันได้ ก็คือ ปิด ปิด ไม่รับ คือเขาปวดก็เป็นเรื่องของธรรมะ มันปวดก็เป็นเรื่องของข้าศึกกำลังโจมจู่เข้ามากำลังตีทุกรูปแบบถ้าเราปล่อยไปว่าเออก็ทำลายไปเถอะร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของใครเป็นสมบัติของโลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วท่านผู้รู้ทั้งหลายไม่ยึดสมบัติของโลกอันนี้ปล่อยไป วางไปไม่ยึดถือเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นสภาวะของโลกมันเป็นสมมติของโลกถ้าคิดให้ดีแล้ว
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โลกเหล่านี้มันเป็นโลกที่สมมุติสมมุติในตัวเราทั้งหมดนี้โดนสมมุติทั้งนั้นตาก็สมมุติหูก็สมมุติแขนก็สมมุติอะไรสมมุติไปหมดเป็นของเราสมมุติแล้วก็เป็นของเราเหมือนกับเราอยู่คนเดียวเมื่อยังไม่มีผัวมีเมีย แต่เราก็บอกว่าเราไม่มีผัวมีเมียครั้นสมมุติให้เป็นแล้วเรามีผัวเรามีเมียแล้วมันเกิดทุกข์ไหมเมื่อผัวตาย เมียตาย ลูกตายในลักษณะสมมุติแล้วอะไรเกิดขึ้นกับกับคนนั้นมันก็มีความทุกข์ทุกข์เพราะว่าเราพลัดพรากจากของรักบ้างพลัดพรากจากของที่เราหวงแหนบ้างมันเกิดขึ้นแล้วนั้นแหละที่มันเกิดขึ้นได้อย่างนั้นทุกข์ขึ้นได้อย่างนั้นเพราะเราไม่ไปรู้รู้ต้นตอมันก็เลยแบกโลกอยู่ทั้งโลกอะไรมาทางไหนก็แบกโลกไว้ทั้งโลกนั้นแหละที่มันแบกไว้อย่างนี้เนี่ยมันขาดอะไรถึงยังแบกอยู่มันก็ขาดตัวปัญญานั้นเองคือไม่ปล่อยไปตามลักษณะของเขาคือไม่ปล่อยแล้วเราจะแบกโลกนี้ขนาดไหนอย่าว่าแบกแต่เพียงร่างกายธาตุสี่ดินน้ำลมไฟเลยอารมณ์ของจิตน่ะมันเป็นอยู่ในโลกมีมันบกพร่องตรงไหนอะไรว่าจิตที่ไม่ต้องการมีทั้งนั้นเลยแบกโลกอยู่ทั้งโลก

    ภูเขาทั้งลูกก็คงจะไม่หนักเท่านี้นี่มันแบกอยู่อย่างนี้หามอยู่อย่างนี้เราก็มีเพียงว่าหาทางออกไม่ได้ก็มีอาการของจิต คือร้องไห้เมื่อหาทางออกได้อารมณ์อื่นมาตัดทอน มาตัดรอนเราก็ว่าแก้ความทุกข์อันนั้นออกไปได้นั้นไม่ใช่เป็นแก้ความทุกข์มันเป็นเรื่องระบายของธรรมชาติ เรื่องการระบายของธรรมชาติ นี่เหมือนเรานั่งอยู่เนี่ยถ้าไม่มีพัดลมก็จะมีแต่ความร้อนถ้าเรานั่งได้ก็เพราะพัดลมเนี่ยระบายออกไปอารมณ์ของจิตใจสุขและทุกข์ก็อาศัยการระบายแค่นั้นเองไม่ใช่ละใช่ถอนฉะนั้นเมื่อไม่ละไม่ถอนเราก็แบกอยู่บนหัวอยู่ตลอดเวลาเรื่องเล็กก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องโตขึ้นไปเรื่อย เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงในขณะนี้แหละที่เราตั้งใจจะมาปฏิบัติธรรมมาตั้งใจเพื่อจะภาวนาให้เห็นธรรมรู้ธรรมนี้เป็นความหมายแต่ทีนี้คำว่าธรรมเรารู้หรือเปล่าว่าอะไรเป็นธรรมอะไรไม่เป็นธรรมความสุขหรือเป็นธรรมความทุกข์หรือเป็นธรรมในโลกนี้ก็มีอาการแห่งสุขและทุกข์หัวเราะและร้องไห้มีนี่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ อยู่ในตัวแต่สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นไม่มีใครปฏิเสธแต่ก็ยังไม่รู้ต้นตอว่าเรื่องเหล่านี้มันเกิดอย่างที่กล่าวมาแล้วคือตาก็ปล่อยไม่ได้หูก็ปล่อยไม่ได้จมูกก็ปล่อยไม่ได้ลิ้นก็ปล่อยไม่ได้กายก็ปล่อยไม่ได้อารมณ์ของใจสุขทุกข์ก็ปล่อยไม่ได้สิ่งทั้งหลายนี่ล้วนจะเป็นของหนัก เป็นของหนักทั้งนั้นเพราะมันเป็นภาระคำว่าภาระนี้ก็คือเราปรนเปรอเราปรนนิบัติดูแลเขาตั้งแต่ถ่ายทอดมาจากผู้อื่นดูแลให้เช่นเมื่อทำให้กับตัวไม่ได้พ่อแม่ก็เป็นคนดูแลเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการให้เขาหาให้หมดเขาให้ความสะดวก

    แต่ครั้นต่อมาหมดหน้าที่ท่านเหล่านั้นแล้วก็มันหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราเวลานี้เราทำอะไรกันอยู่นับไม่รู้ว่ากี่หน้าที่ก็เอาความเป็นอยู่นี้แหละเป็นหลักแต่ทั้งแม้ว่ามันเป็นภาระอย่างไรมันเป็นภาระวันหนึ่งไม่ได้กินไม่ได้อยู่ไม่ได้อาบน้ำไม่ได้เข้าห้องน้ำห้องส้วม อะไรต่าง ๆ ไม่มีแต่ขัดข้องทั้งนั้นล่ะก็ปรนนิบัติจนจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้บกพร่องไปในลักษณะใดไม่ให้อดอยากปากแห้งอะไรต่าง ๆ ก็หาพร้อมอยู่ มีอยู่ ก็ไม่ได้อดอยาก ไม่ได้หาเช้ากินค่ำแต่ก็ยังไม่วายความกังวลขวนขวายอันนี้ยังเป็นส่วนเล็กอยู่ส่วนที่เป็นภาระอยู่ภายในนั้นคืออารมณ์อารมณ์อันนี้แหละมันเกี่ยวข้องกับทางจิตส่วนสิ่งที่เราทำมาหาได้นั้นเกี่ยวข้องของทางร่างกายกายและจิตนี้มีความเป็นอยู่แตกต่างกันกายมีความเป็นอยู่ด้วยอาหารเรียกว่ากวฬิงการาหารคือต้องบริโภคอาหารเพราะกายนี้มันประกอบธาตุสี่คือดินน้ำลมไฟฉะนั้นในตัวเราก็เรียกว่ามีลักษณะอยู่สี่อย่างส่วนที่เป็นดินกระดูกเนื้อเอ็นตับปอดพังผืดไส้น้อยไส้ใหญ่อาหารเก่าอาหารใหม่ .......มาแล้วปิตังน้ำดีเสมหน้ำเสลด ก็หมายถึงธาตุน้ำธาตุเหล่านี้ก็ไปขวนขวายมาทางกายจะไปหาเงินหาทองทำไร่ ทำสวน ทำนา มาเพื่อทางกาย เริ่มไปจากของนุ่งห่มใช้สอยประจำนี่เป็นส่วนทางกายทางกายก็ขาดปัจจัยนี่ไม่ได้ก็ต้องทำอยู่ส่วนทางใจล่ะส่วนทางใจนั้นมันก็มีภาระอยู่ในอาหารของมันเพราะอาหารของใจนี้เรียกว่าผัสสาหารอาหารของกายเรียกว่ากวฬิงการาหารอาหารสำหรับบำรุงร่างกายผัสสาหาร หมายถึงอารมณ์ที่มาถูกกระทบกับจิตถ้าได้อารมณ์ดี อารมณ์เพลิดเพลินจิตใจก็ร่าเริงเบิกบานถ้าได้อารมณ์ที่ไม่ดีมีความโกรธโลภหลงเกิดขึ้นจิตใจก็หงุดหงิดงุ่นง่านฟุ้งซ่านเดือนร้อนรำคาญ
     
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    นี้ล่ะส่วนนี้ล่ะเราจะเข้าใจในทางปฏิบัติว่ากายนี้ถ้าไม่าดอาหารก็บำรุงไปได้เป็นมื้อๆ มื้อเย็นก็กินไปก็หายหิว มื้อเที่ยงกินไปก็หายหิวมื้อเที่ยงมื้อเย็นกินไปก็หายหิวมื้อเที่ยงมื้อเช้ากินไปก็หายร่างกายก็อยู่ได้ในมื้อเช้าแก้เวทนาของร่างกายได้เป็นช่วงๆแต่จิตใจ เช้าก็ไม่รู้ว่ากินอะไรเที่ยงเย็นกินอะไรสังเกตแล้วมีแต่ความทุกข์มีแต่ความวุ่นวายคืออาหารมันไม่ได้จำกัดมันเห็นรูปรักรูปชังได้ยินเสียงน่าฟังน่าไม่ฟังได้กินที่ดีไม่ดีมันเลือกเอาไม่ได้แล้วแต่อะไรจะมากระทบเมื่อกระทบที่รุนแรงเกิดความโกรธไม่พอใจก็นั้นล่ะคืออาหารที่เป็นพิษต่อจิตใจอย่างรุนแรงอย่าว่าอาหารเผ็ดร้อนที่สุดจิตใจในขณะที่มันเป็นอย่างนั้นเรียกว่ามันจะแสดงออกมาทั้งกายร้ายกาจทั้งวาจาก็ร้ายกาจทั้งจิตใจก็คิดหนักถ้าตัวโมหะเข้ามาเสริมเมื่อใดฆ่าฟันได้อย่างไม่คำนึงถึงความดีความไม่ดีนั้นแหละจิตใจนี่มันจึงไม่มีคำว่ายุติเดี๋ยวนี้เราก็ปล่อยให้จิตนี้อยู่อย่างนี้คว้าอยู่ในโลกอย่างนี้ตลอดวิ่งเร็วกว่าไฟฟ้าเสียอีกไม่รู้มันคว้าไปอย่างไรไม่รู้แหละเป็นอยู่อย่างนี้ส่วนนี้แหละเป็นส่วนที่บอกได้โดยตรงว่าพวกเราทั้งหลายยืนยันได้เลยว่าเราทั้งหลายเกิดมาใครอย่าไปลืมว่าเกิดมาครั้งเดียวสองครั้งสามครั้งเลยเกิดมาเพราะอาการความไปยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดในอารมณ์ทั้งหลายอยู่อย่างนี้นี้ละคือตัวเชื้อตัวเกิดของสัตว์ทั้งหลายเกิดอยู่อย่างนี้แล้วเราลืมความทุกข์มาตลอดเวลาเพราะอารมณ์ดีดับไปอารมณ์ร้ายเกิดขึ้นสลับกันไปอยู่อย่างนี้ถ้ามีแต่ทุกข์ก็อยู่ไม่ได้นั้นเรียกว่ามันเป็นธรรมชาติของโลกแต่เมื่อเป็นธรรมชาติอย่างของโลกนี้ท่านผู้รู้ทั้งหลายถือว่าคนเราเนี่ยสุขก็ได้สัมผัสทุกข์ก็ได้สัมผัสถ้าสัมผัสแต่สุขอย่างเทพพวกเทพยดาว่ากินของทิพย์อยู่ของทิพย์ปราสาทวิมานทิพย์อันนั้นเรียกว่ามีแต่สุขแต่ไม่มีทุกข์ก็หาความดีเลิศเลอไปก็ไม่ได้ก็ไปติดอยู่ตรงนั้นอีกฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่นิยมว่าเราจะอยู่สวรรค์ตลอดกาลหรืออยู่พรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่งตลอดกาลก็ไม่เอาเพราะมันไม่เป็นทางที่จบสิ้น

    ฉะนั้นคนเราเนี่ยน่ะมันจะว่ากันจะให้เกิดปัญญาความเฉลียวฉลาดแล้วไม่ว่าในทางวิทยาศาสตร์ไม่ว่าในทางพุทธศาสตร์ถ้ามีแต่สุขเราจะหาทุกข์จากไหนถ้ามีแต่ทุกข์เราจะหาทุกข์จากไหน ถ้ามีแต่ทุกข์เราจะหาสุขมาจากไหนอันที่จริงสุขและทุกข์มันเป็นเหตุปัจจัยของกันและกันมันอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ฉะนั้นแบบร้อนกับเย็นเย็นกับหนาวเนี่ยก็เป็นคู่กันอยู่อย่างนี้ถ้าไม่เป็นคู่กันอย่างนี้เราจะสร้างพัดลมมาเพื่ออะไรถ้าไม่มีมืดเราจะสร้างไฟขึ้นมาเพื่ออะไรเขาค้าคว้ากันในลักษณะนี้จนสำเร็จพอกลางคืนนี่โดยธรรมชาติแล้วตาก็กลางคืนทำอะไรไม่ได้กลางวันถึงจะใช้ได้สัตว์บางอย่างกลางคืนก็ทำงานได้หากินได้แต่ครั้นแล้วอาการสองอย่างนี้ล่ะจึงทำให้คนเกิดความคิดเมื่อมีสิ่งหนึ่งแล้วก็ต้องหาสิ่งหนึ่งแก้นี่โลกจึงพัฒนาการมาได้อย่างนี้แล้วทีนี้พระพุทธเข้าน่ะค้นพบมาก่อนนี้ไม่ได้ค้นพบในทางนี้ในทางวัตถุอันนี้มากนักมาค้นลงที่กายวาจาใจของเราหมายถึงว่าคนเราไม่มีทุกข์แล้วจะหาสุขจากไหนไม่มีความสุขว่ามีอยู่นั้น เราจะไปหาอะไรจึงจะเจอความสุขฉะนั้นนั่งภาวนาอยู่นี้ถ้าทุกคนบ่นกันตลอดเวลาทุกข์หนอทุกข์หนออยู่ไม่ใช่เป็นคำที่สอนให้ยึดว่าทุกข์หนอถามแล้วว่าคนนี้เป็นอย่างไง คนนี้เป็นหนี้เป็นสินยืมหนี้ยืมสินอิรุงตุงนังทำนั้นก็ไม่สมหวังทำนี้ก็ไม่สมหวังไอ้ความเป็นอย่างนี้ไม่มีใครอยากจะให้มีกับตัวแต่มันก็เกิดอยู่โดยธรรมชาติถ้าหากใช้ความสามารถความฉลาดแล้วมันก็มีทางแก้มันก็มีทางแก้

    ฉะนั้นเรามาทำความเพียรทำภาวนานี้ถ้าเราไม่เห็นความเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้จะหาธรรมะมาจากไหนฉะฉะนั้นธรรมะมันเกิดความไม่สบายใจสบายกายเนี่ยมันก็เป็นธรรมะความโกรธก็เป็นธรรมะความไม่โกรธก็เป็นธรรมะแล้วเรามาแยกว่าธรรมะนั้นเหมือนกับของเหมือนกับวัตถุวัตถุอย่างหนึ่งเป็นวัตถุที่สะอาดโดยธรรมชาติวัตถุอย่างหนึ่งเป็นของที่ไม่สะอาดเป็นลักษณะขุ่นมัวเป็นลักษณะมืดในตัวเพราะฉะนั้นถ้าเราพูดแล้วว่าธรรมดำก็คือโทสะ โมหะโลภะนี้เรียกว่าธรรมดำเป็นส่วนอกุศลเป็นอกุศลกรรมส่วนที่อโทสะไม่โกรธอโมหะไม่ หลงอโลภะไม่โลภอันนี้เรียกว่าเป็นธรรมขาวเป็นหน้ามือหลังมือมันมีสองอาการนี้

    ฉะนั้นสองอาการนี้แหละเรานั่งเนี่ยบางทีก็เป็นไปตามที่เราควบคุมคือนึกเอาสติควบคุมนึกลมหายใจเข้าออกเนี่ยไปตามแนวนี้อยู่มันก็จะดับไปดับตัวที่เป็นฝ่ายดำออกไปถ้าเราควบคุมไม่ได้ก็แว่บหนึ่งมันก็ไปทางหนึ่งแว่บหนึ่งก็ไปทางหนึ่งนี้แหละพูดแต่เบื้องต้นว่าตัวสตินั้นคือนายเวรยามดูแลอยู่ทั้งหกประตูทางหูทางจมูกลิ้นกายใจฉะนั้นตัวนี้ล่ะมันจะผ่านไปผ่านมาเมื่อเรารู้ตัวนี้แล้วเรามีสติหนึ่งมีสัมปชัญญะรู้ความเป็นไปเป็นมาผ่านไปผ่านมาของจิตดูศัตรูที่อยู่รอบนอกอย่าปล่อยให้เข้าไปข้างในถ้าปล่อยเข้าไปภายในแล้วแก้ยากแต่หากจะแก้จริงๆแล้ว ก็ไม่ยาก ก็ไม่ยากแต่สำหรับพวกเราแก้ยากเพราะว่าพระสาวกเจ้าอริยะเจ้าทั้งหลายนั้นบางองค์ได้กำลังจิตอยู่ในปากเสือขณะนั่งอยู่ภาวนาอยู่จิตยังปกปิดปกป้องไม่พอยังกังวลอยู่แต่ถ้าพอเสือคาบเข้าไปแล้วตะโกนเรียกเพื่อนว่าช่วยด้วยช่วยด้วยเพื่อนก็บอกว่า อตฺตาหิอตฺตโนนาโถ ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน โกหินาโถปะโรสิยาใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของคุณได้ผมก็ช่วยคุณไม่ได้คุณต้องช่วยคุณซิเท่านี้แหละจิตก็ปล่อยวางร่างกายอันนั้นไปเลยปล่อยว่างไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเอาล่ะเสือกินเรากินได้แต่กายเสือกินใจเราไม่ได้นั้นแหละตรงนี้สำคัญมาก

    แต่ทีนี้ที่เราทำอยู่นี้อย่าปล่อยให้ศัตรูเข้าไปคือให้อยู่ส่วนรอบนอกแล้วผู้จะคลี่คลายปัญหากับศัตรูที่จะผ่านไปผ่านมาในทางใดก็ตามขันธมารก็ตามกิเลสมารคือ อารมณ์ก็ตามไม่ให้มันผ่านเข้าไปอีกนั้นเขาก็ดูอยู่เพราะไม่มีอะไรเข้าไปรบกวนสิ่งที่ไม่ถูกรบกวนแล้วเหมือนไฟถูกไม่มีลมพัดไฟสว่างไหมร้อยแรงเทียนก็เต็มร้อยแรงเทียนก็จะเห็นไปได้ในรัศมีของความสว่างนั้นจิตของเราในเมื่อไม่มีอะไรเข้าไปปิดไปบังในอารมณ์อื่นไม่เข้าไปแล้วจิตนั้นจะมีความสว่างเหมือนลมไม่ถูกไฟเหมือนไฟไม่ถูกลมพัดจิตก็จะเป็นจิตสะอาดจิตสว่างจิตสุขจิตสบายเมื่อจิตสุขจิตสบายนี้แหละก็ถือว่าเกิดจากอะไร ก็เกิดจากการฝึกการหัดนี้เองเราฝึกได้จิตใจนั้นถ้าไม่ฝึกก็ยอมแพ้โลกนี้ก็จะยาวนานอีกล้านปีก็จะยังไม่จบฉะนั้นผู้ที่ตั้งใจไม่ยกเว้นใครๆทั้งนั้นผู้ดีมีจนอำนาจไม่อำนาจ มีความเสมอกันอย่างนี้แต่จะช้าหรือเร็วกำหนดลงไม่ได้วันเดียวตายได้สองวันตายได้หลายวันตายได้ประโยชน์ที่จะพึงได้ของความเกิดนี้ไม่รู้ว่าเราได้อะไร นี้แหละพระพุทธเจ้าให้รู้สิ่งที่ผ่านมาในอดีตเราก็ได้ไปอย่างที่ทุกคนเขาได้กันน่ะแต่ไม่ใช่เรื่องดีได้เด็กได้หนุ่มได้สาวได้ผัวได้เมียก็ได้มาเหมือนๆกันได้แต่ครั้นแล้วผลอานิสงส์เหล่านั้นเนี่ยได้อะไรบ้างมีแต่ได้เรื่องภาระเป็นภาระเป็นกังวลมีลูกหนึ่งคนก็เป็นภาระมีตำแหน่งหนึ่งก็มีภาระลงสุดท้ายภาระเหล่านั้นก็เป็นหน้าที่ของเราดีใจ เสียใจ
     
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    นอกจากนั้นแล้วร่างกายของเราเนี่ยเกิดมานี่เราตอบตัวเองได้ไหมว่าวันคืนล่วงไปทุกวันทุกวันเราได้กำไรชีวิตในลักษณะใดหรือได้เจ็ดสิบแปดสิบปีเป็นอายุเป็นสิ่งที่ภูมิใจไหมเรายังไม่ได้คิดถึงความจริงข้อนี้กันเลยประมาทกันมาตลอดชาติและทั้งในอดีตชาติด้วยนี้ล่ะถ้าเรามาภาวนาแล้วเรารู้จุดหมายปลายทางไม่ต้องไปกังวลอะไรเลย สิ่งจะมากระทบโดยเรานั่งอยู่เฉยๆคนนั้นพูดทำให้เราเสียใจทำให้เราไม่พอใจอะไรต่างๆจะไปคว้าเหล่านั้นอยู่ไม่รู้จักจบเลยขอให้เอาสตินี่ปกป้องปิดบังศัตรูเหล่านี้อย่าให้ผ่านเข้ามาในเวลาทำอยู่ก็ตามหรือนอกเวลาทำอยู่ก็ตามฉะนั้นทหารถึงแม้ว่าอยู่ในช่วงรบหรืออยู่ในช่วงสงครามก็ตามทหารย่อมไม่ประมาทย่อมฝึกวิชาทหารตลอดถึงเวลาก็สู้ได้เลยรบได้เลยทหารประเทศใดถ้าหากไม่มีสงครามก็นอนเฉยอยู่นั้นมีโอกาสจะแพ้เพราะไม่ฝึกไม่ซ้อมเหมือนพร้าเรานี่แหละถึงลับแล้วไม่ลับอีกก็ไม่ได้สนิมมันย่อมเกิด

    ฉะนั้นเมื่อเราทั้งหลายเป็นนักภาวนาเป็นนักปฏิบัติธรรมได้ขัดเกลากิเลสของตัวเองได้อย่างไรปกปิดกิเลสตัณหานั้นได้อย่างไรจิตใจเป็นอิสระหรือยังมันไม่เป็นอิสระเห็นได้ง่ายๆเลยเวลาความโกรธเนี่ยไม่ได้คิดว่าจะให้มันโกรธ มันสั่งคำเดียวเท่านั้นมันเกิดวินาทีใดก็ไม่ทราบแต่ถ้าได้นั่งภาวนาแล้วนี่ล่ะทั้งหลับทั้งง่วงคอแห้งไอค็อก ค็อกแค็ก แค็ก แค็กอยู่นั้นแหละมันไม่ได้กำหนดเข้าไปจะเป็นภาวนาได้ยังไรหนักเข้าก็หลับไปหนักเข้าก็ง่วงไปแล้วจะให้มันเห็นรู้ได้รู้ได้เห็นอย่างไรเป็นปัตจัตตังได้อย่างไรเพราะเราไม่ได้เข้าไปดูที่จิตจิตก็ถูกค่อนแคะล้มลุกคลุกคลานถูกน็อคถูกเตะอยู่นั้นมันไม่เป็นอิสระมันสั่งยังไงก็ทำอย่างนั้นเราจึงเป็นผู้แพ้มาตลอดกาลตลอดเวลาแม่แต่ในชาติในอดีตอาจจะไม่ได้นั่งภาวนาอย่างวันนี้ด้วยซ้ำไปก็ได้อาจจะได้บำเพ็ญความเพียรอย่างอื่นอยู่ที่ว่าเราเกิดเป็นคนนี้ก็เรียกว่าทานมัยศีลมัยแค่นั้นเองแหละขนาดภาวนามัย นี่ก็จะมีนิดหน่อยหรือไม่มีก็ได้เพราะถ้าหากเราจะพิสูจน์กันแล้วความโกรธเราเนี่ยมีน้อยไหมความโลภ เราเนี่ยมีน้อยไหมที่มีที่เป็นอยู่ในตัวความหลงมีน้อยไหมหรือหลงหมดทั้งโลก

    นี่ล่ะตรงนี้ล่ะว่าในอดีตเนี่ยพระพุทธเจ้าก็ผ่านเราไปตั้งเยอะตั้งแยะเราก็คงไม่รู้เรื่องภาวนาแหละแต่ทำทานนี่ก็คงจะมีล่ะรักษาศีลนี่ก็คงจะมีเพราะเห็นสมบัติความเป็นตนเป็นตัวเป็นหัวเป็นขาเป็นคนนี้แหละไม่ได้มาจากบาปเลยได้มาจากบุญแท้ๆ เลย ขาดศีลข้อหนึ่งก็เป็นคนไม่ได้สองข้อก็เป็นไม่ได้


    เพราะคนเนี่ยมันมีหัวหนึ่งแขนสองขาสองอยู่แล้วอาการห้าถ้าหัวขาดก็เป็นคนไม่ได้ถ้าศีลข้อใดขาดไปก็ครบศีลไม่ได้นี่ล่ะว่าพวกเราทั้งหลายได้ทำมาอย่างนี้สร้างบารมีมาอย่างนี้คนสร้างได้ละเอียดลออเกิดมารูปร่างสังขารหน้าตาท่าทาง ดีทั้งนั้นเรียกว่าศีลเป็นผู้ที่หล่อให้เราอย่างสองที่นี้เราก็เคยให้ท่านมานั้นแหละก็มีทานน้อยก็ได้น้อยทานมากก็ได้มากกันเองที่ทานน้อยเนี่ยก็เพราะสู้กิเลสไม่ได้สู้ยังไงกิเลสว่าจะทำบุญสักห้าสิบบาทไอ้ตัวหนึ่งมันกระซิบมาว่าอย่าเอานะห้าสิบบาทกลัววันหน้าจะไม่มีกลัววันหน้าจะไม่พอกินสารพัดเรื่องที่มันจะเกิดขึ้นถ้าใครสังเกตก็เห็นในตัวเองพอเบอร์ออกมาล่ะไม่เลยศรัทธาอย่างแรงถ้ามีพระโกหกบอกเขาไปเนี่ยนะตัวนี้แน่นอน จิ้มแล้วจิ้มอีกอ้มอีกศรัทธาแล้วศรัทธาอีกจนซะเมื่อไหร่ซะนั่นล่ะหยุดกันนั้นอำนาจกิเลสนะไม่ใช่อำนาจบุญกุศลอะไรเลยจนสุดท้ายจะไม่มีอะไรจะไปทวงวาสนาบารมีของตัวเองคว้าน้ำเหลวตลอดบุญนั้นไม่ใช่เกิดจากซื้อเบอร์ได้จึงจะเป็นบุญ แม้เพียงเกิดก็ไม่มีใครเลือกได้ ก็มาจากบุญน่ะแหละ คนที่จนก็ใช่ว่าอยากไปเกิดจนมันก็ความจนไม่มีทุนมีรอนมีบุญมีกุศลมันก็เป็นไปอย่างนั้นจะไม่เชื่อหลักกรรมอย่างนี้ได้อย่างไร

    ถ้าเราเชื่อหลักธรรมเราก็เอาซินั่งอยู่เดี๋ยวนี้แหละจะทำกรรมอันเนี่ยจะภาวนาอันเนี่ยให้มันเห็นอย่างนี้อย่างที่พูดให้ฟังเนี่ย อยู่ที่จิตใจแล้วมันจะไปถามคนอื่นยากอะไรถามตัวเองนี่แหละถ้าตั้งใจจริงจริงแล้วเอาจริงเอาจังแล้วเนี่ยนะโฮ..มันก็ต้องฆ่ากันหลายตลบฆ่าตัวนั้นออกไปตัวนี้ออกไปนี่แหละแต่เพียงว่าข้าไม่อยากซื้อเบอร์อันนี้ก็ฆ่าไม่ได้จะฆ่าไม่กินเหล้ามันก็ยังฆ่าไม่ได้จะฆ่าไม่อยากสูบบุหรี่มันก็ยังฆ่าไม่ได้เอาอะไรกันแน่เราเอาตรงไหนที่ว่าเราเลิกแล้วละแล้วสุราพระพุทธเจ้าก็วาไม่ดีฆ่ากันแกงกันก็ไม่ดีมันยังเลิกไม่ได้จะไปโทษอะไรกับอะไรนี้คือไม่เชื่อฝีมือของตัวเองว่า
    ต่อไปนี้ไปเราจะทำกรรมอะไรรู้แล้วว่าจนเราก็รู้แล้วขี้เกียจแก้จนไม่ได้ความขยันน่ะแก้จนได้ภาษาก็เรียกว่าความไม่ขี้เกียจไม่อดตายมันก็เป็นความจริงอย่างนั้น ฉะนั้นการภาวนาเราต้องสู้กับข้าศึกดังที่ว่ามาเจ็บปวดก็ต้องสู้กันสู้กันไม่ไหวก็แพ้กันเท่านั้นเองรู้เกมแพ้เกมชนะ กันอยู่ตรงนี้เราเอาเกมนี้ไม่ได้เอาเกมอื่นพลิกแพลงอยู่ในตัวน่ะแหละอย่าไปประนาฌตัวเองว่าไม่มีบุญบ้างไม่มีวาสนาบ้างอะไรต่างๆคว้าไปอย่างไม่มีสาระพระพุทธเจ้าน่ะไม่มีไม่ถืออย่างนั้นเลยทำดี ทำชั่วเป็นดีเป็นชั่วไปทั้งนั้นท่านจึงยืนยันว่าคนเรามันจะเกิดมาจากคำว่าฝึกหัดอบรมนั่นล่ะเหมือนกับเราพยายามทำงานที่เราต้องการที่เราพอใจงานทุกสิ่งทุกอย่างต้องสำเร็จลงได้
     
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นจิตใจนี้ถ้าหากว่าเราจะไปปล่อยไปตามอำนาจที่เขาเป็นเจ้าเป็นนายเราเรียกว่าตัณหาทาโสเราเป็นทาสของตัณหาก็เราไหว้พระพุทธัสสาหัสมิทาโสวะธัมมัสสาหัสมิทาโสวะสังฆัสสาหัสมิทาโสวะพุทโธเมธัมโมเมสังโฆเมสามิกิสสะโรพูดไปทำไมถ้าแปลเป็นภาษาเราว่าข้าพเจ้าเป็นข้าของพระพุทธเจ้าพุทธัสสาหัสมิทาโสวะนั้นข้าพเจ้าเป็นทาสแห่งพระธรรมธัมมัสสาหัสมิทาโสวะข้าพเจ้าเป็นทาสพระธรรมสังฆังสาหัสมิทาโสวะข้าพเจ้าเป็นทาสแห่งพระสงฆ์ใครรู้ว่าทาสมันเป็นยังไงเออ.. เดี๋ยวนี้มันสมัยหมดทาสแล้วคำว่าทาสก็ต้องทำตามหน้าที่ของนายเขาสั่งก่อนว่าทาสลบได้ เขากลายมาเป็นคนใช้ไถ่ถอนมาได้หรือซื้อมาได้แล้วแต่เรียกว่ามาเป็นทาสเขารับใช้ไปชั่วกาลนานแม่ตายพ่อตายลูกทำต่อเรียกทาสเค้าให้เช็ดตูดก็ให้เช็ดนี่เรียกว่าทาสลักษณะของผู้เป็นทาสของตัณหาแล้วเค้าใช้ให้เราโกรธเราก็โกรธแล้วเค้าใช้ให้เราโลภอยากเอาของใครต่อใครผิดถูกไม่รู้เวลารับโทษแล้วปฏิเสธพี่ไม่ได้ทำนี่เห็นไหมล่ะมันเป็นอย่างนั้นจนแล้วเนี่ยก็ว่าเอ๊ะเราทำไมจนกว่าเขาก็เลยคิดเขวไป จนกว่าเขาแล้วก็ไม่อยากจะทำสิ่งที่มันถูกต้องอาจจะเกิดความว่าจะไปทำอยู่ช้าไปฆ่าเอาดีไหมปล้นเอาดีไหมจี้เอาดีไหมนั้นตัวนายของใจสั่งใจอยู่อย่างนี้คนเราจึงหาความปลอดภัยไม่ได้ในเมื่อเราเผลอเรอเมื่อใดก็เละไปเมื่อนั้นเลยนี้เละเราเป็นตัณหาทาโสเรียกว่าเป็นไปตามคำสั่งของโทสะโมหะโลภะอวิชชาตัณหาและจะเอายังไงจะปฏิบัติยังไงจะรู้กันยังไงถ้าไม่เลือกไม่ล่ะไม่ฆ่าไม่ถอนออกไปจากตรงนี้น่ะพระนิพพานอยู่ตรงไหนใครก็พูดได้พระนิพพานแต่จะปฏิบัติเนี่ยถ้าพวกเรานี้ยังไม่ลดไม่ละยังไม่เลิกไม่ราจิตของเราไม่ถอนออกมาเป็นอิสระขับไล่พวกนี้ออกไปให้หมดแล้ว


    พวกเราต้องยอมเป็นทาสอย่างนี้แล้วว่าเป็นทาสพระพุทธเจ้านั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คน..........นิ่งทำให้คนมีศีลธรรมทำไมจึงไม่เป็นทาสพระพุทธเจ้าอย่างที่พูด พระธรรมจึงหมายถึงธรรมสั่งสอนเป็นนิยยานิกธรรมด้วยทนต่อการพิสูจน์ทุกยุคทุกสมัยมาจนถึงปัจจุบันเมื่อผู้ปฏิบัติธรรมผู้ปฏิบัติตามนำบุคคลผู้นั้นให้พ้นไปจากกิเลสทั้งปวงเรียกว่าพระธรรมส่วนพระสงฆ์จะเป็นตัวพยานเคยปฏิบัติตามโอวาทพระพุทธเจ้ามาแล้วยืนยันว่าพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาจะกล่าวถึงศีลสมาธิเป็นของที่มีจริงทั้งนั้นและไม่มีใครเคยกล่าวอย่างนี้มาก่อนท่านเหล่านี้จึงเป็นหลักฐานเป็นพยานการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นคือท่านเป็นทาสพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์พวกเรามันเป็นทาสกิเลสมันไม่หยุดนินทากันตาคว่ำตาหวาน ตาขวางตารีอยู่นั่นแหละมันยังไม่รู้ตัวเลยมันไม่มีแว่นวิเศษ คือธรรมะแว่นนั้นเรามองหน้ามองตาของเราได้ก็อาศัยแว่นความดีและความชั่วก็ต้องอาศัยแว่นคือปัญญาธรรมะคือดวงตาก็เห็น (หยุดไปช่วงหนึ่ง)
     
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    กัณฑ์ที่ ๖
    ถอดเทปธรรมเทศนาของพระครูฐิติธรรมญาณ(หลวงปู่ลีฐิตธมฺโม)

    เทศน์วันออกพรรษา
    วัดเหวลึก บ้านบึง ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ๔๗๑๑๐


    ในวันนี้เป็นวันสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาคือวันออกพรรษาแห่งพระสงฆ์ทั่วประเทศขอให้ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตั้งใจฟังธรรมโดยพากันนั่งขัดสมาธิคือนั่งให้ตามสบายแก่ตัวเองแล้วผู้จะถนัดในทางใดก็ไม่ขัดข้องเพราะไม่มีคำว่าผิดในการนั่งให้มันถูกในใจกายเนี่ย..นั่งคือให้มีความทนคือมันคล่องไม่ต้องไปกังวลเอาความเจ็บความปวดความชาแล้วจะได้เอาหูเนี่ยหรือโสตเนี่ยจดจ่ออยู่ในอันจะฟังแล้วก็มีสติควบคุมในการฟังขาก็ไม่ได้ขัดข้องนี่คือนั่งให้มันตามสบายแม้แต่มือเมื่อท่านจะเริ่มเทศน์เราก็เอามือวางไว้ที่เดิมนั่งขัดสมาธิก็เรียกว่าขาขวาทับขาซ้ายมือขวาทับมือซ้ายตั้งใจให้ตรงดำรงสติให้มั่น คือไม่ต้องเกร็งตัวปล่อยรู้อยู่ตามธรรมชาติของเขาคือไม่ยืด นั่งก็เรียกว่าไม่ยืดขึ้นไปเราสังเกตว่าเรานั่งอย่างนี้มันคล่องนั้นก็เรียกว่าเป็นเบื้องต้นในการจะนั่งแล้วก็มีสติเวลาท่านเทศน์อะไรไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าเราจะมาฟังเอาเป็นหลักทฤษฎีเราฟังเอาแล้วก็ฟังแล้วนึกเข้ามาหาตัวว่าข้อนี้เรามีหรือยังข้อนี้เราปฏิบัติได้หรือยังดูเข้ามาที่จิตน้อมเข้ามาที่จิตเราจะไปจำเอาจนขึ้นลงก็จำได้หมดมันเป็นไปไม่ได้คล้ายๆท่านแสดงไปก็เรียกว่าจะมียาสำหรับแก้โรคอยู่ในตัวว่าใครเข้าใจที่ตรงไหนก็ตรงนั้นแหละเสมือนว่ายาถูกโรคของเราเองไม่ใช่ว่าให้ใครคนอื่นถูกด้วยจะเป็นคำไหนก็ตามมันจะเป็นธรรมะนั่นเอง

    เพราะฉะนั้นเราจึงนั่งแล้วให้มีสติ ไม่ต้องเกร็งตัว หลับก็ไม่ใช่หลับให้แน่นตานั่งหลับก็เตรียมจิตไว้ไม่ให้มองเห็นเท่านั้นเอง..หลวมๆ ถ้าเกร็งตัวแล้วมันขดมันงอมันเอนมันเอียงข้างหน้าก็ข้างหลัง ประเดี๋ยวมันก็อ่อนลง..ก็ก้มล่ะ นั่งภาวนาแบบเอาหน้าลงใส่ดินเหมือนหอย ถ้าเงยขึ้นก็เรียกว่าแหงนหน้าขึ้นเหมือนนกสวาทนอนภาษาเราว่านกดักแด้นี่หนาเนี่ยว่านกสวาท มันนอนแล้วมันจะแหงนหน้ามองสูงฉะนั้นเรานั่งให้พอดีนั่นแหละดูน้ำหนักตัวเองในการนั่งนั้นเรียกว่านั่งฟังหรือนั่งภาวนานี่เป็นส่วนที่เราจะจัดแต่งเพราะกายนี้ถ้านั่งไม่ถูกที่ถูกหลักมันก็จะทนไม่ได้ก็เป็นอุปสรรคเนี่ย...ไม่ใช่อย่างอื่นปกติเราก็จะนั่งเอาขาไปไหนมาไหนมันก็ได้นั่นไม่ได้เกี่ยวกับพิธีรีตองอะไรนั้น..มันก็นั่ง

    แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังได้เปลี่ยน เหยียดขาไปทั้งวันก็ไม่ได้ผูกขาอยู่ทั้งวันก็ไม่ได้มันก็เป็นปกติของขาของรูปกายต่อไปก็ทำอย่างที่บอกทุกคนแล้วอย่าปล่อยสติกับจิตให้รู้ตามทัน..ให้รู้ตามทัน..ให้ทันกันว่าจิตนี้จะให้ถือว่าสตินี้เป็นตัวพี่เลี้ยงจิตนั้นเหมือนลูกตัวซนที่สุดในโลกไม่ใช่จะจับกุมง่ายๆเลี้ยงเด็กซนแม่ยังมีวิธีง่ายกว่าเลี้ยงจิตไม่ให้ซนนี่ไม่ให้วุ่นวายไปตามอารมณ์นี่..ยากมากถ้าเรากำหนดเข้ามาภายในก็จะควบคุมกันอยู่แถวนี้ถ้าส่งออกไปแล้วก็ไม่มีที่จะควบคุมเพราะฉะนั้นก็เรียกว่า๑. สติ ๒. ลมหายใจ๓. ติดตามไป๔. สัมปชัญญะรู้ความเคลื่อนไหวนั้นคือตัวปัญญามันเคลื่อนไหวไปทางที่มันผิดเคลื่อนไหวก็เคลื่อนไหวไปทางที่ถูกนั้นก็คุมกันอยู่อย่างนี้๔ อย่างนี้แหละเป็นตัวควบคุมทั้งหมดกำหนดใครจะปฏิบัติอย่างไหนก็ต้องหนีอย่างนี้ไม่พ้น เพราะจิตเราจะฝึกอยู่เวลานี้นั้นมันไม่ใช่เคยผ่านมาในการละการถอนแม้แต่เพียงสงบมันก็ยังไม่เคยมีอย่าว่าแต่ชาติปัจจุบันในอดีตชาติก็ไม่ได้สัมผัสเพียงแต่รู้แต่เห็นในความสงบมันไม่มีฉะนั้นมันจึงมาทำจะให้มีให้เป็นจึงใช้คำว่าภาวนาก็คือทำให้เป็นสมาะก็คือทำจิตให้เป็นความมั่นคงให้เกิดความมั่นคง เพราะมันเป็นก็คือความมั่นคง ถ้าไม่มั่นคงก็เหมือนกับปล่อยไว้ธรรมดาๆ ใครจะบอกว่าเป็นสมาธิก็ไม่ได้เพราะมาทางดีก็หลงไปมาทางไม่ดีก็โกรธไปมีแต่ปนกับกิเลสอยู่ตลอดเวลาแล้วจิตก็เลยไม่มีโอกาสเป็นอิสระไม่เป็น "หนึ่ง" มันก็เป็นทาสของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นนอยู่

    ฉะนั้นท่านจึงว่าตัณหาทาโสจิตของเราเป็นทาสของกิเลสตัณหาเขาจะบังคับท่าไหนแบบไหนในลักษณะใดจึงแสดงได้ทุกบททุกขั้นตอนถ้าเกิดความโกรธก็แสดงอย่างความโกรธมันเกิดความโลภก็แสดงหน้าที่ความโลภ และนี่มันแสดงอย่างความไม่รู้อะไรเลยมันก็เป็นอาการความไม่รู้อะไรเลยความหลงนี่..นั้นคือเป็นตัวแม่บทแห่งความโง่เขลาเบาปัญญาอวิชชาตัณหาก็ออกไปจากตัวนี้นี่ซิเหมือนกับว่าความความโลภลูกของความโลภก็คือมัจฉริยะความตระหนี่ความเห็นแก่ตัวก็ไปจากความโลภตัวเดียวทีนี้ความโกรธมันเกิดขึ้นแล้วย่อยออกมาจากความโกรธ ความโกรธนี้แปลว่าอะไรความโกรธก็คือความร้ายกาจ..ร้ายกาจถ้ามันเกิดแล้วมีความร้ายกาจอยู่ในตัวถ้าหากว่าไม่ถึงกับว่าร้ายกาจล่ะมันก็มีความหงุดหงิดมีความหงุดหงิดอยู่ในจิตนั้นคือลูกของความโกรธ..ย่อยๆออกไป

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ล้านเปอร์เซ็นต์ในจิตเพราะฉะนั้นว่าสิ่งที่เราฝึกอยู่นี้ไม่ได้สัมผัสมาในอดีตถ้าได้สัมผัสมาแล้วพวกเราก็คงจะไม่ได้เป็นอย่างนี้คงตามพระพุทธเจ้าไปแล้วฉะนั้นล่ะโอกาสที่เราทำนั้นก็หมายถึงว่าเราก็เกิดมาดีแล้ว..ได้เป็นคนไม่มีพิกลพิการในทางใดทางหนึ่งบกพร่องในทางใดทางหนึ่งสุขเกิดขึ้นก็รู้อยู่ในใจ..อารมณ์ดีทุกข์เกิดขึ้นอยู่ก็รู้อยู่ในใจว่าอารมณ์ร้ายตรงนี้แหละที่เราจะทำอยู่เดี๋ยวนี้แหละเพื่อให้รู้ตัวสุขมันยังสุขได้เพราะอารมณ์ตัวทุกข์มันเกิดได้ก็เพราะอารมณ์แต่มันก็อารมณ์ฝ่ายเสีย

    ทีนี้เมื่อเรามาคิดคำนึงถึงสิ่ง ๒ อย่างนี้อันนี้มีอยู่ทุกคน..ปฏิเสธไม่ได้แต่ทีนี้พระพุทธเจ้าสอนว่าเราจะทำยังไงให้จิตนี่ปล่อยวางความโกรธปล่อยวางความโลภความหลงออกไปจากจิตใจจนให้ใจเข้าใจว่าเราไม่มีเราไม่ได้เป็นเขาก็ไม่มีเราก็ไม่มีเขาก็ไม่เป็นเราก็ไม่เป็นตรงนี้แหละถือว่าความปล่อยวางของจิตจิตก็จะว่างอยู่ตรงนี้ถ้าให้ทำไป..ตรงนี้เราก็จะเกิดสิ่งที่ตามมาในส่วนย่อยสุขจริงว่างจริงว่างจริงแล้วความพอใจในสิ่งที่จริง..อันนั้นก็จะเกิดความขยันของจิตคืออยากจะขวนขวายให้มากขึ้นอยากจะเห็นมากไปกว่านี้มันก็ต้องมีความพยายามเดี๋ยวนี้เรานั่งก็ไม่เห็นอะไรซักทีหลายปีดีดักมันก็ฆ่าตัวที่มันกั้นกางอยู่นี่ไม่ได้เหมือนเราอยู่ฟากเขาทางหนึ่งแล้วตะวันออกมาทางหนึ่งเขาบังตรงนี้ทั้งวันเราก็ไม่เห็นแสงตะวันเมื่อไม่เห็นจะปฏิเสธว่าไม่มีแสง
     
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เพราะหลักการพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าอาภสฺสรจิตฺตํ จิตนี้เลื่อมประภัสสรมาเดิมสว่างมาเดิมไอ้คำว่าสว่างมาเดิมหรือเลื่อมประภัสสรมาเดิมนั้นไม่ใช่เป็นการละการถอนกิเลสนั้นเป็นการเกิดขึ้นเบื้องต้นของจิตมันจะเลื่อมอยู่ในลักษณะว่า..ของยังไม่มีอะไรไปปะปนปิดบังเหมือนของที่อยู่ในตู้ไม่มีฝุ่นละอองจับของนั้นวางอยู่ตรงนั้นจะเห็นแสงของมันอยู่อย่างเดิมฉะนั้นว่าจิตมันเป็นลักษณะว่าเมื่อมันมีแสงสว่างนั้นก็คือยังเป็นนิสัยของจิตนิสัยของจิตก็เรียกว่าเมื่อยังไม่มีอารมณ์ใดจิตก็ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องเศร้าหมองความโกรธโลภหลงยังมีน้อยก็จะเห็นตัวจริงอยู่แต่จะไม่มีปัญญาเท่านั้นเองนั่นแหละมัน
     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นเมื่อจิตหมดอารมณ์แล้วความรู้สึกของความหมดอารมณ์นั้นมันก็จะรู้รู้ในตัวมันเองว่าสุขนี้มันเกิดมาจากอะไรเป็นความแก่ของความสุขอยู่ด้วยไม่ใช่เพียงแต่ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างเดียวมันแก่ว่าความสุขอย่างนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับเงินล้านเกี่ยวกับอะไรทั้งหมดซึ่งเป็นโลกียวิสัยหรือโลกียทรัพย์จะมองเห็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้นมาก่อนนั้นว่าเป็นทุกข์เพราะทุกข์มี..ก็มีทุกข์เพราะความมีทุกข์เพราะความไม่มีก็มีอยู่ฉะนั้นความก็คือความกังวลขวนขวยความรักษาหวงแหนนี้แหละเชื่อหรือเปล่าว่ามีเมียคนหนึ่งไม่ใช่เป็นความสุขมันเป็นความทุกข์อยู่แต่เรายังไม่เข้าใจว่าตัวทุกข์มันคืออะไรเอาอย่างนี้ก็แล้วกันว่าเขาขออุ้มลูกอยู่ได้แต่เขาขออุ้มเมียไม่ได้แล้วความหวงแหนเนี่ย..เมียกูอีกนั่นแหละมันก็เป็นทุกข์ไปไหนมาไหนตัวไม่ไป..จิตก็ต้องติดสอยห้อยตามเมียกูจะไปอยู่ยังไงอันตรายยังไงมันติดอยู่อย่างนี้ป่วยแต่ว่าจิตว่ามันหนักมันแน่นอย่างไรนั้น มันก็แล้วแต่ความรุนแรงฉะนั้นเมื่อผิดปกติจึงเกิดความทะเลาะกันได้ไปไหนมาไหนมาทะเลาะกันเหมือนกับว่าเลี้ยงเด็กตัวเล็ก ๆ ทั้งที่โตกันแล้วเลยไม่เข้าใจกัน..นี่ก็เพราะความว่าของกูมี มันทุกข์เพราะความมีคือความทุกข์นอกจากเรื่องอย่างนี้แล้ว..ในความรักแล้วเนี่ยเราอยู่คนเดียวก็จะต้องบริการเพียง แค่นี้หาเงินแค่นี้ก็พอใช้ถ้ามีเมียคนหนึ่งก็ต้องเพิ่ม..เพิ่มหาอีกนั้นมันถูกหรือเปล่า..เพิ่มหาอีกเพื่อเรา........คนเดียวมีเมียก็คิดเผื่อของตัวเผื่อของเมียอีกหมอนก็มี ๒ ลูกอยู่ ที่ก็มี ๒ ที่ขึ้นไปลงสุดท้ายอยู่ในบ้านให้ลูกนอนยังไงให้เมียนอนยังไงจากเมียจะได้ไม่น้อยหน้าเขาเหล่านี้แหละมันทุกข์เพราะมีหรือทุกข์เพราะไม่มีนี้เรียกว่าสิ่งนี้เป็นสภาวะทุกข์คือมันเป็นสภาวะทุกข์นี่ทุกข์เพราะมี


    ทีนี้มีแล้วก็ล้มหายตายจากกันไปก็เกิดทุกข์เพราะความไม่มีอีกใช่มั้ยเงินทองที่ไม่พอใช้เนี่ยก็ทุกข์เพราะความไม่มีนี้เรียกว่าทุกข์อย่างนี้มีนไม่ใช่สุขที่เราไม่เห็นก็เพราะจินี้มันทุกข์เกิดขึ้นแวบหนึ่งอารมณ์อื่น..อารมณ์หนึ่งมาตัดออกไปเปรียบเทียบแล้วก็เหมือนว่าเราจะเล่านิทานเล่านิทานไม่จบเรื่องก็เล่าไปได้ครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ก็ยังไม่ได้เล่าก็เอาอดีตมาแล้ว..อันอื่นมาแล้ว.......คิดนิทานเรื่องนี้ไว้ก็ไปคิดนิทานเรื่องอื่นมันเป็นอย่างนี้จิตมนแกว่งไปแกว่งมานี้จะบอกว่าเราทำอย่างนี้เนี่ยก็เพื่ออยากจะให้สิ่งเหล่านั้นไม่เข้ามา......ลงตอน

    นี้คือป้องกันไว้ก่อนตัวป้องกันก็คือสติอย่าไปหลงเลยในด้านปฏิบัติถ้าไปหลงสติแล้วมีแต่สิ่งอื่นจะเข้ามาเพราะเราไม่เลือกคัดจัดสรรเหมือนบ้านจะเข้าหน้าบ้านผู้ร้ายก็เข้าได้หลังบ้านผู้ร้ายก็เข้าได้เข้ามาได้ทุกทิศทุกทางไม่มีอะไรปกป้องปิดบังจะมีอะไรเกิดขึ้นในความไม่ปิดไม่บังนั้น..มันก็เกิดได้คนดีเข้ามาทางนี้ก็ได้คนร้ายเข้ามาทางนี้ก็ได้เราเจ้าของบ้านจะเกิดความสบายใจได้ยังไงฉะนั้นสบายใจไม่ได้นี้ถ้าเทียบร่างกายของเราแล้วเรียกว่ามันมีอยู่ประตูถึง ๖ ช่องช่องตาก็เข้ามาเป็นอารมณ์ช่องหูก็เข้ามาเป็นอารมณ์ช่องจมูกก็เข้ามาเป็นอารมณ์มีทั้งผู้ดีผู้ร้ายที่เข้ามาเมื่อเข้ามาแล้วส่วนผู้ดีเราก็อย่างจะคุยกันอยู่ทั้งคืนทั้งคืนทั้งวันนั้นคือเป็นส่วนที่ดีเรียกว่าตาเห็นส่วนที่ดีหูได้ยิน...ฟังส่วนที่ดีหรือจะใช้เป็นแบบศัพท์ว่าอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์อิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ดีว่ามีสุขมีสรรเสริญมีลาภมียศนี่เป็นอิฏฐารมณ์ทุกคนจ้องมองอยากจะได้ส่วนนี้อยู่ทั้งนั้นแต่ว่าของใดที่ว่ามันมีความสุขมันก็ต้องมีความทุกข์เป็นคู่กันเมื่อมันมี ๒ อย่างก็เรียกว่าเป็นขั้วบวก เราไม่ได้ตัดออกเลยเมื่อขั้วบวกดีแล้วเนี่ยไฟนี้จะมีขั้วบวกมีเส้นเดียวนั้นก็เกิดไฟไม่ได้มันมีขั้วบวก.. ไฟมันก็ออกมาอย่างนี้จิตใจของเรามันมีขั้วบวกอยู่รักคือพระเจาชังกูไม่เอา ชังจะไม่ใช่การละ คือไม่ชอบไม่ใช่การละคือมันเรียกไม่ชอบมันก็เกิดความความโกรธความไม่พอใจคือความโกรธมันก็เป็นอยู่อย่างนี้

    ฉะนั้นว่าเราจะรู้สิ่งนี้ได้แท้จริงก็มาขัดเกลาเผากิเลสส่วนทีมันมีอยู่ใจจิตเช่นโลภมูลความโลภเป็นมูลฐานเป็นของดั้งของเดิมติดมาแต่เกิดโทสมูลความโกรธก็มีมาตั้งแต่บอกแล้วว่าเด็กนี่มันชอบสีก่อนเมื่อมันชอบสีมันชอบแล้วเนี่ย.. เกิดความรู้สึกแล้วนั้นแหละความโกรธมันก็เกิดจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อคนอื่นมาแย่งมัน หรือคนอื่นเข้าไปใกล้ ๆเด็กเกิดแล้วนั่นนั่นแหละกิเลสเกิดแล้ว มันก็เข้าไปอย่างนี้หมองไปอย่างนี้มันหวงพ่อหวงแม่ หวงอะไรของเล่นต่าง ๆ มันไม่ยอมใครให้ใครมันก็มีอย่างนั้นนอกจากว่าเด็กที่มันเข้าใจกันแล้วมันจึงจะล่นร่วมกันได้น่าสังเกตแล้วว่า..ตั้งแต่แรกมันก็กินข้าวกับน้ำแต่โตขึ้นมาก็กินข้าวอยู่อย่างเดิมกินน้ำอยู่เดิมแต่อารมณ์ของจิตใจนั้นไม่มีเหมือนเดิมเด็กโตก็มีส่วนอย่างหนึ่งเด็กปานกลางก็มีส่วนอย่างหนึ่งกลายมาเป็นหนุ่มสาวสิ่งที่เล่นมาในอดีตก็ทิ้งไปก็มาสิ่งใหม่มาได้ก็มีอาการ ไม่ได้ก็มีอาการนี้จึงเกิดเป็นตัวทุกข์ตัวร้อนกันขึ้นมาพระพุทธเจ้าก็มองเห็นอย่างนี้ว่าถ้าหลงอยู่ในลักษณะอยู่อย่างนี้แล้วเนี่ย ไม่มีทางจบสิ้นเราก็ยอมจำนนกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาตลอดเวลาถ้าเราเมาตลอดเวลาเราก็มาคว้าน้ำเหลวมาเกิดชาตินี้ก็จะให้เป็นนั้นเป็นนี้หากันอยู่อย่างนั้นจนแก่งแย่งแข่งดีกันรบราฆ่าฟันกันในสมบัติของโลกนี้จะให้มาเป็นของตัวเองก็ทำบาปทำกรรมกันอยู่อย่างนี้ไม่มีใครจะผ่านพันไปได้

    ฉะนั้นมาพูดถึงตรงนี้แล้วเหมือนเราเกิดมานี่แหละมันเป็นธรรมดาและของมีอยู่เกิดแล้วเกิดอะไรขึ้นในจิตมันแก่ขนาดไหนคำว่าแก่ไม่ใช่เอาหมายถึงเพียงว่าหัวขาวฟันหลุดเนื้อหนังหดหู่หดเหี่ยวเดินงก ๆ เงิ่น ๆ ถึงจะว่าคนแก่ท่านให้เพื่อความไม่ประมาทมันแก่เป็นเริ่มแต่ว่าเกิดนาทีหนึ่งมันก็แก่ไปนทีหนึ่งให้เห็นอยู่อย่างนี้ท่านจึงให้สอนว่าเรามีความแกเป็นธรรมดานี่ไม่มีใครแก่หรือนั่งอยู่นี้มันผ่านมาเป็นวันเป็นปีแล้วเราเชื่อพระพุทธเจ้าหรือเราจะเชื่อเราถ้าเอเราก็มามองดูตัวเราซิอะไรมันเหลืออยู่เวลานี้ก็นอกจากคนลืมตัวเท่านี้ถึงจะยอมถ้าคนไม่ลือตัวแล้วคงไม่ยอมเพราะเห็นภัยเข้ามาทุกทางมาทุกด้านทุกแง่ทุกมุมว่าเราจะเดินทางไปไหนถ้าเดินทางก็เดินทางไปทางตะวันตกเรื่อยไปไม่รู้จักมืดจักค่ำเพราะเดินไปทางตะวันตกตามตะวันไปอย่างนั้นไม่มีการ.....ตะวันตกนี้มันก็มีมืดอย่างเดียวเพราะหันหลังให้แสงสว่างเพราะวันข้างขึ้นมาอยู่ข้างหลัง

    ฉะนั้นว่าข้างขึ้นก็เรียกว่าตะวันออกคือเจริญขึ้นเหมือนกับเราเจริญมาเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่คือเจริญขึ้นช่วงนั้นเหมือนกับเราขึ้นสะพานไปถึงกลางสะพานแล้วมันจะลงสะพานเหมือนนายช่างทอหูกเบื้องต้นก็เหลือมีนิดเดียวเพราะทอไปทีละเส้นละเส้นลงสุดท้ายเข้าตั้งชื่อว่าอะไรถึงห้องใหญ่ห้องเล็กห้องกลางเขาก็ม้วนไป ๆ ลงสุดท้ายม้วนไปเต็มที่แล้วข้างหน้าก็สั้นเท่านั้นเองข้างหลังก็มากขึ้นนั้นก็คือมันเดิมไปอย่างนั้นชีวิตเราก็เหมือนกันเพิ่งสวดมาเมื่อกี้นี้ว่านั้นคือมันเดินไปอย่างนั้นชีวิตเราก็เหมือนกันเพิ่งสวดมาเมื่อกี้นี้ว่าภิกษุทั้งหลายเราขอเตือนท่านทั้งหลายว่าสังขารนี่มันเจริญขึ้นและเสื่อมลงเนี่ยให้เห็นได้ชัดเจน
     
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นละนั่งอยู่นี่ให้ภาวนาเห็นอย่างนี้ดีมั้ยมันจะไม่ได้ลืมชาติลืมภาพมันจะมีโอกาสทำคุณงามความดีทั้งยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ครุ่นคิดเอาลมหายใจเข้าออกเป็นตัวกำหนดว่าอยู่ตรงนี้เองเราอยู่ได้หัวขาวก็อยู่ได้เพราะอย่างนี้ลุกไม่ขึ้นเดิมไม่ไหวก็ชีวิตอยู่ตรงนี้แล้วเอาตัวนี้เป็นตัวกำหนดคือตัวตายนี้..เราจึงจะเห็นว่าแก่เจ็บตายเนี่ยไล่กันไปไล่ติด ๆ เลยเรานอนอยู่เขาก็ไล่ไล่กลางคืนให้ไปถึงสว่าง

    นอกจากนั้นว่าเรามีความวางอยู่ในความแก่..ไม่มี เราว่างอยู่ในความเจ็บก็ไม่มีเราว่างอยู่ในความตายก็ไม่มีถ้าเราไม่เห็นด้วยอำนาจจิตที่ขับไล่เหล่านี้ออกไปให้จิตเหลือแต่ความสะอาดเพราะฉะนั้นจิตจึงเป็นสิ่งที่ฝึกได้สอนได้ด้วยเราไม่เข้าข้างตัวถ้าเราเข้าข้างตัวแล้วโอ้ย..เจ็บขา..หยุดก่อนง่วงนอน..หยุดก่อนนั่นไม่ใช่เข้าข้างตัวมันเข้าข้างกิเลสเราจะไปเห็นยังไงถ้าภาวนาก็ตกนรกกันป๋อมแป๋มๆ อยู่ตรงนั้นแหละถ้าไปสวรรค์ก็จะรู้เลย.. มันปล่อยวางแล้วมีความสุขขึ้นมานี้คือภาวนาไปถึงส่วนของสวรรค์คือสวรรค์นั้นก็เรียกว่ากินของทิพย์ถ้าพูดตามหลักของสวรรค์แล้วจะนึกชอบอะไรรสอะไร..ก็มาเองไม่ได้ไปปรุงเองในโรงครัวโรงอาหารฉะนั้นจิตมันปล่อยวางว่างอยู่..มันก็สุขเท่านั้นไม่ได้เกี่ยวอาหารอะไรเลย ก็สุขอยู่อย่างนั้นดีมั้ยถ้าเราขยับไปหน่อยหนึ่งหรือจะไปเชื่อแต่ความง่วงความเหงานี่แม้จะเจตนาจะนอนบางครั้งมันก็ยังนอนไม่หลับมันพิการส่วนใดส่วนหนึ่งอยู่ว่าจะนอนดี..แล้วให้นอนทั้งคืนทั้งวันถ้าวันนี้มันกลับไปทุกข์อยู่กำหนดให้ใกล้ตัวเข้ามาอย่างนี้แหละ คือผู้ไม่ประมาทเมื่อเห็นข้าศึกอยู่แล้วจะมานอนร้องเพลงได้ยังไงไฟไหม้บ้านติดเข้ามาในบ้าน..หัวขาวนั่นแหละไฟเข้ามาแล้วหญ้ามุงหลังคานี่กำลังจะเปลี่ยนรสเปลี่ยนสีไปแล้วเนื้อหนังเปล่งปลั่งเดี๋ยวนี้เป็นหลุมเป็นรอยเหมือนรอยเกวียนแล้วดูมันหรือเปล่าในทางปฏิบัติท่านให้ดูอย่างนี้

    พระพุทธเจ้าก็เห็นอย่างนี้ในตัวของเรา ทุกขังอริยสัจจังทุกข์นี้เป็นของจริง ๆ ๆ ท่านก็กำหนดเอาตรงนี้เอกายโน อยํ ภกขเวมัคโค สัตตานํวิสุทธิยา ทางที่ปลอดภัยที่สุดก็บอกว่าสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปโปสัมมากัมมันโต สัมมาวาจาสัมมาอาชีโวสัมมาวายาโมสัมมสติสัมมาสมาธินี่พระองค์เรียงเหตุทิฏฐิเห็นชอบเพราะมาจากปัญญาดังนี้ชอบว่าไม่ควรจะหลงไปอย่างนี้นั่นเป็นตัวปัญญา ไอ้ส่วนที่สัมมากัมมันโตนี่ก็เรียกว่าอาศัยศีลนั่นแหละทำงาน อาศัยศีลเป็นหลักก็คือว่าเป็นงานที่ชอบที่สุดบรรดางานคือมีศีลแล้ว.. รายนี้จะไม่ทำอย่างอื่นให้เป็นบาป สัมมาวาจาก็พูดชอบคนเรารักษาศีลตัวมุสาไว้แล้วนั่นหละก็จะฆ่าตัวมุสาออกไป สัมมาวายาโมคือเพียรชอบพยายามชอบเพียรเพื่อจะออกจากทุกข์ คือตัวทุกข์นี่ถ้าหากว่าคนผู้มีความคิดเห็นในทางปฏิบัติแล้วนั่นแหละเราจะเห็นถือว่าเราเห็นตัวข้าศึกโผล่ออกมาแล้วถ้าฆ่าตัวนี้ไม่ตายเราก็จะไม่มีแท่นตรงนี้พอเห็นแท่นโผล่ขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตาแล้วยองจำนนอย่างนี้มันจะปลุกกันได้ยังไงพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ปลุกผู้บอกผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานท่านสอนเราผู้หลับไหลอยู่ในความเป็นอย่างนี้เราก็ยังไม่มองหรือยังไม่ลุกขึ้นมาดูท่านบอกว่าให้มาดูตรงนี้ ท่านไม่ได้ดูตรงอื่น คนผู้รู้ผู้เห็นตามที่บอกของพระองค์แล้วจึงเรียกว่าแหม.. ธรรมของพระองค์นี่วิจิตรพิศดาร..รับรองขึ้นมาเลยอันที่จริงของเหล่านี้เราก็มีมาแล้วแต่ยังไม่เข้าใจพระองค์มาพูดตรงนี้แล้วก็เข้าใจฉะนั้น อหํพุทธัญจะธัมมัญจะสังฆัญจะสรณังคโตแหม..พระองค์นี่แสดงธรรมแจ่มแจ้งนักแจ่มแจ้งนี้ เหมือนกับบอกทางให้คนผู้หลงทางที่มีตาจะได้มองเห็นได้ เนี่ย.. ตาก็คือตัวปัญญานั้นเองพระสงฆ์สรรเสริญในการฟังและเข้าใจแล้ว

    อีกอย่างหนึ่งว่าเหมือนว่าพระองค์นี้เปิดของที่ปิดเปิดของที่ปิดให้อยู่ใกล้ ๆ ตัว นั่งทับนอนทับอยู่ก็ไม่เห็นเมื่อพระองค์พูดแล้วเปิดแล้วมันก็อยู่ที่นี่เรียกว่าทุกขํก็อยู่นี่ อนิจจังก็อยู่นี่อนัตตาก็อยู่นี่เหมือนภาษาพูดว่ารูปัง อนิจจัง เวทนา อนิจจา สัญญา อนิจจา สงขารา อนิจจา วิฌญาณัง อนิจจา รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาสุขทุกข์ก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง จำหลง ๆ ลืม ๆ เนี่ยเรียกว่าสัญญาสัญญาแปลว่าความจำช่วงหนึ่ง ๆ ก็เรียกว่าประสาทมันทำงานครบสูตรจำได้ดีเรียกว่าผู้มีไอคิวคือพรสวรรค์สงขาราอนิจจาความปรุงแต่งในรูปในร่างสิ่งที่มีใจครองไม่มีใจครองไม่มีใจครองก็เหมือนศาลาแห่งนี้คือจะไปกำหนดว่ามันจะไปถึงล้านปีหรือความเป็นไม่เที่ยงมีนจะพัง ร่างกายของเราก็เมหือบ้านหลังหนึ่งถ้าไม่เห็น...น่านจะเห็น บ่นปวดฟันฉะนั้นละเกิดมาตั้งแต่ยังไม่ปวดโน่น เดี๋ยวอะไรก็ได้มันก็มีทังโทษทั้งคุณ ถ้าไม่มีอย่างนี้เราจะปฏิบัติไปอะไร พระพุทธเจ้าท่านมาพารื้อ พาถอน พาเลิก ไปทำไม พระพุทธเจ้าก็เบื่อแล้วเบื่อเล่าว่าสัตว์โลกนี้มันปิดกันอยู่นั่นแหละพระองค์จึงมีปณิธานเพื่อจะรื้อจะถอนจึงได้ทำมาเพื่อทนความทุกข์ทรมานไม่เห็นแก่พระองค์ ถ้าบางเรื่องบางพระสูตรที่เราฟังกันมาเนี่ยเมียก็จับไปทาน ลูกก็จับให้ทาน ทุกสิ่งทุกอย่างทานหมด นั่น.....ถ้าเฉพาะพระองค์ ๆ ก็ไม่ทนทานทุกข์ทรมานถึง ๔ อสงไขยแสนกัปก็มองเห็นว่าสัตว์โลกทุกตัวไม่ว่าสัตว์มนุษย์เดรัจฉานเกิดมาในโลกนี้หนความเป็นอย่างนี้ไม่พ้นนั่นเองแล้วเราจะหาทางเพื่อเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร....

    เนี่ยก็มาดูความมืดกับสว่างคู่ความร้อนความหนาวคู่กันเมื่อมีอดีตก็มีอนาคต เกิดเจ็บตาย มันเกิดแล้วก้มคู่กับความแก่ความตายก็คือความไม่ตายก็มีคู่กัน ครั้นมาคิดเปรียบเทียบอย่างนี้ก่อนถ้าอย่างนั้นทุกคนที่เกิดมาแล้วไม่คิดไม่เกิดสังเวชสลดใจในความเป็นของตัวเองหลงไปในสิ่งที่นิด ๆ หน่อย ๆ ว่าเป็นสุข มั่นคง ยึดถือคือมั่น ฉะนั้นถ้าสอนรอบนี้ผู้ฟังด้วยความตั้งใจก็คือปัญจวัคคีย์ ๕ องค์ที่ได้ฟังก่อนเพื่อนในเรื่องเหล่านี้ว่ารูปเที่ยงมั้ย..ไม่เที่ยงนี่ตอบไม่ใช่ตอบแบบปริยัติ...แบบปฏิบัติเราสวดได้นี่สวดแบบปริยัติพูดได้อยู่นี่พูดได้แบบปริยัติถ้าเราปฏิบัติได้เราจะพูดแบบผู้ปฏิบัติได้ ท่านก็ตอบว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า รูปังอนิจจังเที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นข้อ ๆ เลย...ไม่เที่ยงไม่เที่ยงเพราะอะไร เกิดมาแล้วมันไม่อยู่คงที่มันไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิม เรียกว่ามันไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวไปตามกาลเวลาที่นี้เวทนาสุขทุกข์ที่เกิดเป็นอารมณ์ของใจบางท่านก็หัวเราะบางท่านก็ร้องไห้อะไรเป็นเหตุมันเที่ยงมั้ยก็ตอบว่าไม่เที่ยงเพราะช่วงหนึ่งหัวเราะได้ ช่วงหนึ่งร้องไห้ได้ตัวร้องไห้คือเป็นตัวทุกข์ตัวหัวเราะก็ว่าเป็นความสุขแต่ไม่ใช่เป็นความสุขที่ถาวรมันอาศัยเหตุปัจจัยคือคนหัวเราะได้ก็มีเหตุเหตุที่จะให้หัวเราะได้ก็มาจากเหตุ
     
  14. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    คนที่จะเกิดความทุกข์ในจิตได้ก็มีอารมณ์ส่วนหนึ่งทำให้จิตทุกข์เนี่ยทุกข์สุขเหล่านี้เกิดสลับกัน ๆ เรียกว่าทุกข์จรมาแล้วก็สุขจรมา สุขจรไปทุกข์ก็จรมา สลับกันไปท่านเปรียบเทียบไว้เหมือนกับเรามองแดดจัด ๆ ลงไปกลางทุ่งเราจะเห็นพยับแดดเนี่ยไล่กันเป็นคลื่น ๆ ๆ นี่พระองค์ไม่เอาถึงขนาดเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมาเปรียบเทียบว่า ชีวิตของเราเนี่ยอารมณ์ของจิตเนี่ยเหมือนคลื่นพยับแดด สูง ๆ ต่ำ ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ หรือเหมือนกับคลื่นในทะเลเนี่ย...พระองค์เอาธรรมชาติมาเป็นสิ่งที่เปรียบเปรยแล้วเมื่อมาสอนผู้ปฏิบัติตาม รู้ตามเห็นตามแล้วเวทนามันไม่เที่ยงอย่างนี้สัญญาล่ะเที่ยงมั้ย สญญาอนิจจา...ไม่เที่ยงเพราะช่วงหนึ่งมันจะเป็นอย่างหนึ่งช่วงหนึ่งจะเป็นอย่างหนึ่งไม่เที่ยงมันหลงลืมนี้ก็บังคับมันไม่ได้นี่ก็ตอบว่ามันไม่เที่ยงสงขารา อนิจจาเที่ยงหรือไม่เที่ยง..ไม่เที่ยงเพราะมันเจริญขึ้นและเสื่อมลงมันไม่เที่ยงเหมือนขึ้นสะพาน หัวสะพาน กลางสะพาน ท้ายสะพาน ขึ้นแล้วก็ลง ลงนั่นแหละคือดับแล้ว ตายแล้วทอหูกก็เรียกว่าแรกๆ/ ก็ข้างหน้ายาม้วนอยู่บนหัวทอไปทอไปก็เรียกว่าอยู่ใกล้ ๆ ปาก...ม้วนเข้าไปเป็นรูปผ่าแล้วข้างหน้านั้นก็สั้นลงตรงนี้แหละไม่มีผิด ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกันแล้วพวกเรายังไม่ได้คิดตรงนี้ว่าวันไหนจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้คิดมีอะไรก็หลงไปตามนั้นลืมคิดสิ่งที่เป็นจริงตามที่ตามบังคับ ไล่เราไป เรายังไม่เห็นเลย (เทปปิด)

    ฉะนั้นเก้าอี้ตัวเดียวนี้เราก็ยังไม่มองว่าเราได้อะไรฉะนั้นถ้า..เรามองอย่างนี้ประมาทปล่อยชีวิตให้เป็นหมันตลอดเวลาถ้าเรามองว่าชีวิตของเรานี้น้อยหนักหนาให้พึงรู้ว่าคือลมหายใจอย่างนี้เราก็บอกว่า...เอ๊ะ....เราก็ทำมาแล้วนี่หาเงินมาก็ว่าจะให้มันมีร้านก็ยังไม่มีคิดชีวิตอยู่อย่างนี้เนี่ยอะไรหนอที่จะไปต่างจากชีวิตนี้นี้เราก็ไม่ได้คิดแถมยังว่าหาอันนี้ไว้ให้ลูกหาอันนี้ไว้ให้ลูกคนนั้นคนนี้ ลงสุดท้ายหาไว้ให้ลูก...หลานก็ออกมาก็ไปติดกันอย่างนี้ มันจะไม่ลืมแก่ยังไงมันจะไม่ลือยังไงเพราะมันมัวมันเมามันเมาแล้วก็มัวเราดูคนขี้เหล้ามองะไรไม่ชัดเจนหรอก พูดไปไม่มีจะจบนั้นหละมันเมาแล้วก็มัวฉะนั้นล่ะเมาลูกลืมตายเมาตายลืมแก่เมากิเลสตัณหาลืมพ่อลืมแม่พูดได้ยังไงฉะนั้นล่ะมันเมาลูกเมาเมีย...เมาอะไรของมันมันก็จะไม่มองกลับมาหาพ่อแม่เป็นยังไงผู้ให้บังเกิดเกล้ามีพระคุณอย่างล้นเหลือมันไม่มองมันก็ลืมพ่อลืมแม่ไป เสียผู้เสียคนไปเสียทั้งผู้เลี้ยงเสียดายแรงตัวเองได้อะไรนี่...ไม่ได้คิดเลย

    เมื่อถามว่าอนิจจังนี่ไม่เที่ยงซักอย่าง สังขารเนี่ยปรุงแต่งภาษา ปรุงแต่..ย้ายหลังหนึ่งเนี่ยทั้งดินทั้งเหล็กเรียกว่าเอามาปรึงเข้าไปเป็นหลังร่างกายของเราก็เรียกว่ารูปธรรมนามเนี่ยก็ปรุงแต่งปรุงแต่งขึ้นมาจนจะไล่ว่ากระดูกอยู่ในตัวเรา๓๐๐ท่อนหนึ่งก็เป็นฝาบนหัวก็คือผมนั่นคือหญ้ามุงบนหลังคามีห้องนำห้องส้วมอยู่ในนี้หมดนั่นแหละถ้าห้องส้วมปิดไม่ได้ก็เหม็นหึ่งมีหนังมันไม่ออกเท่านั้นเองก็ยังไม่ได้มองยังไปตำหนิกันด้วย..แกนี่สะอาดแกไม่สะอาด ลงผู้ให้กินลงไปแล้ว ทุกคนเป็นอย่างนี้หมดถ่ายออกมาเป็นยังไงไม่มีอะไรแปลกคิดแค่นี้ว่าจิตเรายังหลงยังไง ทำไมจึงมองไม่เห็นหนังติอยู่นี่ก็ไม่ได้หนาอะไรเลย

    ถ้าแทนที่จะมองเห็น..มองไม่เห็นเพราะหนังมันไม่ใช่ถุงไม่ใช่ถุงพลาสติกมันออกมาทองรูขุมขน..ขี้ไคลก็พูดกันอยู่ตะกี้คำว่าขี้ไคลมันไม่ขั้วแท้พออยู่กันได้ ไปกันได้ขี้จริง ๆ แล้วมัดอยู่กันไม่ได้ ลองมาถ่ายสัก๒คนอยู่ในนี้อยู่กันไม่ได้ทั้งศาลามันก็ออกจากตัวเรานี้แหละไปจิตเมื่อจะเห็นแล้วมันก็ออกจากตัวเรานี้แหละไปจิตเมื่อจะเห็นแล้วมันก็จะต้องเห็นไปในส่วนนี้ว่าอะไรจริงหลงกัน...คือไปก็ไขตัวราคะมันน่ารักน่าใคร่มั้ยนี่มันจะไปแก้อย่างนี้นี่.....ภาวนาฉะนั้นเมื่อถามท่านผู้ได้สดับว่ารูปไม่เที่ยงแล้วได้ความท่านก็ตามอย่างนั้นด้วยรูปังอนัตตารูปเป็นตัวเป็นตนหรือไม่ไม่..นั้นคืออะไรก็บอกว่ารูปของเราทุกคนมีธาตุ ๔ ดิน น้ำลมไฟประชุมกันอยู่เท่านั้นแม้แต่ธาตุทั้งหลายไม่สม่ำเสมอก็เกิดโรคอีกมันก็เป็นทุกข์ไล่ไปก็เป็นอนัตตาเมื่อมันเป็นอาการไม่ใช่ของเรามันก็เป็นทุกข์ทุกข์เพราะความยึดถืออุปทานขันธาทุกขาความเข้าไปยึดมั่นในขันธ์ทั้งหลายเป็นทุกข์ท่านก็เห็นไปอย่างนี้เองแล้วท่านเห็นนั้นก็ไม่ใช่เห็นออกไปอีกจากตัว เห็นเข้ามาในตัวแล้วพูดอยู่นี่ก็ให้เรานี่นั่งภาวนาเห็นในตัวนั้นเองไม่ต้องไปเห็น....ถ้าเห็นคนอื่นมีคนอื่นมีเรามีเขาอยู่เราก็จะติดอยู่ในส่วนนี้จะหนีจากเขาเราก็คิดถึงเขาถ้าให้จิตไม่มีอะไรเลย

    แม้แต่หัวแต่ขาก็ไม่มีคือไม่มีของกูคือร่าง แล้วอะไรจะมาเป็นทุกข์ฉะนั้นเมื่อสัญญา.........เกิดขึ้นมันก็จะได้รู้ว่าเออ...มันเกิดมานี่อะไรทำให้เกิดก็ย้อนต่อไปอีกทีก็ว่าพระพุทธเจ้าว่าอริยสัจจังเราได้ตรัสรูก็เพราอริยสัจ ๔ ก็ย้อนกลับ ย้อนกลับไปก็ไปเห็นว่ามันเกิดมานั่นแหละเป็นตัวเหตุตัวเหตุให้เกิดก็ตัณหาอีกแหละตัณหา..ก็กามตัณหาภาวตัณหา วิภวตัณหา เมื่อมีตัณหา ๓ ก็มีภพที่จะอยู่๑. กามภพ๒. รูปภาพ๓. อรูปภาพฉะนั้นว่าสิ่งที่เป็นอรูปภพนี้แหละภพไม่มีรูปรูปภพ..ภพมีรูปพวกมีตัณหาก็อยู่ในภพนี้ฉะนั้นเราพูดกันเท่านี้ก็ว่า....ไปดูพญานาคมันก้มีภพสัตว์อยู่ในน้ำบนบกหลายชนิดแยกไปว่ามนุษย์เนี่ยเด่นกว่าเพื่อนเท่านั้นอยู่ในโลกตรงนี้เด่นกว่าเพื่อนนอนั้นไม่มีคำว่าเด่นนี่ว่าภพที่มีรูป ภพที่ไม่มีรูปนั่นแหละ

    ทีนี้เมื่อมีภพ กิเลส ๓ ตัณหา ๓ แล้ว สัตว์ที่อยู่ในภพ ๓ นี้ก็มีที่เกิดอยู่เรียกว่าที่เกิดของสัตว์นั้นคือ อัณฑชะสัตว์บางชนิดเกิด..มีฟองไข่ฟักออกมาเป็นตัวมีในโลกนี้เนี่ยชลาพุชะสัตว์บางพวกเกิดในครรภ์เป็นตัวออกมา..คน ควาย สัตว์ทุกประเภทแหละที่ไม่มีฟองไข่คลอดออกมาเป็นตัวเลี้ยงกันด้วยนมนี่ที่เกิดของสัตว์ประเภทหนึ่งแล้วสังเสทชะ ๆ นี่สัตว์บางชนิดเกิดในวัตถุที่สะสมมาก่อนเช่นเชื้อโรค เขาประสาทอยู่ว่าพยาธิตัวกลมตัวแบนไส้เดือนแส้ม้าปากขอของใดเคลื่อนไหวได้ของนั้นมีวิญญาณครองอยู่หรือเราเห็นในใบไม้บางชนิดต้นมันยังมีใบไม้หัวมันเป็นแมงแดกแดงเกิดจากใบไม้บางชนิดนั่นคือวิญญาณก็เกิดได้ตรงนั้นฉะนั้นความสะสมมันเป็นเชื้อโรคมันก็เกิดมีชีวิตนั่นสัตว์ชนิดนั้นคือยังหาร่างที่จะเกิดให้ดีกว่านี้ไม่ได้

    นี่คือคนมีกามตัณหา ภวตัณหาแล้วก็ทำให้เกิดกามภพรูปภพรูปภพนี่มันเกิดในโยนิ ๔ นี่ที่กล่าวแล้วประเภทที่ ๔โอปปาติกะกำเนิดโอปปาตกะนี้ก็ว่ามันก็แยกออกมี ๒๑. พวกเปรตไม่มีบ้านมีช่องไม่มีที่คลอดลูกคลอดหลานแต่ก็เชื่อกันอยู่ว่าหลักของพระสูตรก็ยืนยันว่าสัตว์ทั้งหลายเนี่ยที่ยังไม่เสวยวิบกกรรมยังหาร่างที่ดีไม่ได้มันก็ไปตำแหน่งนั้นประเภทที่ ๒ ก็เรียกว่าโอปปาติกะกำเนิดก็คือเทพก็ยืนยันว่าเทพเนี่ย...ว่ามีในสวรรค์การยืนยันในสวรรค์ว่ามีเทพก็มาคิดถึงหลักปฏิบัติก่อนว่าธรรมะของเทพเนี่ยคืออะไรก็สอนเรียกว่า หิริ โอตตัปปะสัมปันนาสุกกาธัมมาสะหาหิตคนมีความละอายแก่บาปคนกลัวผลของบาปนั้นคือเทพเป็นธรรมของเทพเทพมีธรรม ๒ อย่าง ธรรม ๒ อย่างจะทำให้คนเป็นเทพได้ก็เมื่อปฏิบัติอย่างนี้มันก็ได้เป็นเทพนั่นเองจึงยืนยันว่าคนทำอย่างนี้มีอยู่ ก็ต้องเป็นเทพได้นี้ในทางปฏิบัติหรือเรียกว่าทานังทาตโสปานังสีลัง ทาตโสปานัง ภาวนานังทาตโสปานังเมื่อภาวนายังไม่ผ่านก็ยังเหมือนจะสร้างบันไดเพื่อจะก้าวผ่านทีละขึ้น ๆ กว่าจะถึงบนเหมือนกับเราขึ้นศาลาไม่มีใครหรอกขึ้นทางลัดขั้น ๑ ๒ ๓ ไปจนถึงพื้นนี้คือเราเอาระดับไป
     
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นว่าเมื่อสัตว์ทั้งหลายอยู่อย่างนี้เปรตก็เรียกว่ามันต้อง...ถ้าเราบอกว่ามีเปรตได้ยังไง..ไม่เห็นก็ดูซิว่าสิ่งที่เขาทำไปอะไรทำให้คนเป็นเปรตดูตรงนี้ก่อนคนเป็นเปรตได้นี่คือคนเห็นแก่ได้..นี่เป็นเปรตได้แล้วคนเป็นแก่กินไม่เห็นอำนาจสิ่งที่คนอื่นเขาทำขึ้นมาเนี่ยนั้นคือเป็นสัตว์ไปแล้วไม่ต้องห่วงจะมีหัวคนหัวเดียวสองแขน สองขาเนี่ยจะเป็นได้ยังไงมันทะลายมนุษย์ออกไปแล้ว มันเอนิสัยความเป็นสัตว์ลูกเขา เมียเขา บ้านเขา สิ่งของเขาไม่รู้จักเคารพสิทธิ์มันจะเป็นคนได้อีกยังไงคนมันเอาตรงไหนเป็นคนหนึ่งคนนี่เกลียดความทุกข์ที่สุด รักความสุขที่สุดแล้วคนไปแย่งของเขาเนี่ยมันจะเป็นคนได้ยังไง มันผิดปกติคนแล้วตรงนี้แหละว่ามันเป็นสัตว์เดรัจฉานไคนไม่มีคุณธรรมมกานี่เป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วถ้าไม่มีข้อธรรมะเป็นการยืนยันหรือโอวาทที่พระพุทธเจ้าวางไว้แล้วจะเอาอะไร..ใครจะเป็นคนยืนยันนั้นจึงบอกว่าเปรตมีแน่แต่ตั้งเป็นอภิสมากผู้ร้ายที่เอานิสัยเห็นแก่ได้นี่มันไม่ไปกลางวัน..มันไปกลางคืนจะเป็นกายมันได้ยังไงให้เห็นกายแล้วเราจะให้เข้าบ้านเราได้ยังไง

    นั้นแหละ มันคือทำตัวให้เอาความมืดเป็นที่กำบังคนเหล่านี้เป็นเปรตได้ยากอะไรอย่างไปพูถึงกายเลย..ถึงเป็น มันทำสิ่งที่ให้ก่อนแล้วมันจึงจะไปตรงนั้นมันอย่างนี้..มันเกิดได้อย่างนี้ฉะนั้นพระพุทธเจ้าที่สอนให้เราเนี่ยได้เข้าใจในารปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเพื่อความออกไปเนี่ยท่านจึงบอกว่าเรานี้ได้ตรัสรูเพราะอริยสัจธรรม ๔คือ มี ทุกขสัจจ์สมุทัยสัจจ์นิโรธสัจจ์ นิโรธคามินีปฏิปทา

    นี้ว่าเราได้ตรัสรู้เพราะอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ท่านพูดอย่างนี้ท่านเรียงอย่างนี้ทุกข์เนี่ยกับสมุทยัตัวไหน เป็นเหตุกว่ากันบอกได้เลยว่าตัวสมุทัยนั้นเป็นเหตุแต่เรียงตัวทุกข์ขึ้นเป็นตัวหนึ่งเอ้า..ข้อที่ ๒ถาม นิโรธสัจจ์คือความดับทุกข์นั้นก็คือตัวผลตัวเหตุของการดับทุกข์ได้ก็คือตัวมรรคมรรคก็แปลว่าหนทางนั้นเองเป็นทางเดินนั้นเองทางเดินก็มีกิโลถึงกำหนดได้เลยว่า๔๐กิโลเดินไปก็ถึง๔๐กิโลไม่ต้องคิดว่าเหนื่อยเหนื่อยก็นั่ง ไปหลาย ๆ วันก็ถึงจุดหมายปลายทางทางย่อมไม่ยืดไปแต่กิเลสจะพาเรายืดออกไปไม่มีกำหนด ไม่มีกำหนดเลยเดินอยู่ในวงกลมเหมือนมดไต่ขอบดังเหมือนคนพายเรือในอ่างพายไปไหนก็ติดอ่างจะออกไปทะลุไปทะเลก็ไม่ได้มดนี้ไต่ไปไม่รู้กำหนดเราขึ้นตรงนี้เราก็จะไต่ลงก็ลงไม่ได้ก็เลยเอ๊ะ..ทำไมมันยาวนานเดินมาเป็นวัน ๆ ก็ยังติดอยู่ในขอบกระด้งมดก็สำคัญว่าทางยาวหมดเนี่ยเราก็เหมือนกันจะเอาจริงเอาจังก็อย่างนี้ล่ะนี่จะไปเทศน์ถึงวันออกพรรษา ถามแล้วลืมตาขึ้นมาได้อะไรเห็นอะไรรู้อะไร..ไม่ได้รู้นี่มันก็วนอยู่ในกงกรรมกงเกวียน

    ฉะนั้นพระพุทธเจ้าว่าเราได้ตรัสรูอริยสัจ ๔เวลาเรียงตัวทุกข์ไว้เพราะตัวทุกข์มันอยู่ใกล้ตัวทุกคนไม่มีใครไม่รู้ทุกข์มีปัญญาอยู่รู้ทุกข์แต่ไม่มีทางออกจากทุกข์นี้ล่ะมันผิดอยู่ตรงนี้เองถ้าไม่สะสางกับอารมณ์ของจิตแล้วก็เห็นทุกข์ไม่ได้

    ฉะนั้นล่ะเมื่อเห็นตัวทุกข์เห็นยังไงท่านสอนว่าเราเนี่ยร้องไห้ก็เพราะทุกข์หัวเราะก็เพราะมีความสบายแต่สุขทุกข์เหล่าน้ไม่ใช่สุขอย่างนิรามิสสุขหรือนิรานิทุกข์สุขทุกข์เหล่านั้นมันมีเหตุและปัจจัยถ้าไม่มีปัจจัยก็สุขไม่ได้ไม่มีทุกข์นี่มันไม่ทุกข์ก็เรียกว่าไม่มีปัจจัยมันก็ไม่ทุกข์ฉะนั้นเหตุเหล่านั้นมันอาศัยปัจจัยเป็นตัวเหตุ

    ฉะนั้นตัวที่ท่านสอนนี้ว่าไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยของกันและกันเรียกว่าอยู่ว่าง ๆ ก็สุขได้นั้นเองมันสุขได้ยังไงก็เพราะมันอิ่มแล้วเป็นโลกวิทูแล้วโลกวิทู..รู้โลกหมดแล้วไม่ได้ติดใจว่าหรืออะไรต่อนี่คือไม่มีกูแล้ว ไม่มีของกูแล้วไม่มีเรามีเขาแล้วมาถึงตรงนี้มันก็ไม่มีอะไรไม่มีแม้แต่ตัวเรานี้ด้วยก็ไม่ใช่ของกูจิตไปทำงานเข้าไปตรงนี้ว่า ธาตุ ๔ดิน น้ำ ลม ไฟ มันของข้างนอกก็เป็นหนองเป็นน้ำอยู่ที่โล่งแจ้งเป็นลมอะไรไบ่เข้าใจว่าไหนตัวเราอยู่ตรงไหนนั่นคือจิตเข้าไปทำพลังตรงนั้น เห็นตรงนั้นนอกจากธาตุ ๔แล้วย้อนออกไปอาการ ๓๒ นี้ธาตุดินมีจำนวนเท่าไร่เกสาโลมา นขาทันตา ตโจว่าไปเหมือนกับเราดื่มธาตุน้ำน้ำเหงื่อน้ำลายน้ำมูกน้ำมูตรไขข้อ..........ว่าไป...........ทำแล้วตัวของเราเนี่ยจะเป็นถุงน้ำดีหรือจะเป็นอะไรมันมีที่ไหนเขามีมาก่อน

    ฉะนั้นล่ะธาตุทั้งหลายเนี่ยมันก็เกิดจากความปรุงแต่งคือสังขารก็เป็นบ้านตัวจิตนี่ที่แสวงหาที่เกิดไปเกิดร่างมนุษย์ก็ได้ในเมื่อสร้างให้ความเป็นมนุษย์อยู่ไม่ต้องมีใครเป็นคนแยกคนจัดคือเอาความว่าเราจะไม่ทำความชั่วให้เกิดขึ้นเพราะเราเกลียดความทุกข์นี่ก็หาเหตุผลเราจะรักษาความเป็นมนุษย์เอาอะไรเป็นแม่บทเอาอะไรไปแสดงมีศีล๕อย่างเท่านั้นเองมีสรณะที่พึ่งคือพระพุทธพระธรรมเท่านั้นเองตอบแทนก็ได้ว่าไม่เปลี่ยนแปลงไปในกำเนิดที่ไม่ดีตรงนี้พระพุทธเจ้ารับรองเลยว่า ผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้าผู้ใดมาถึงพระธรรมพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะไม่เชื่ออย่างอื่นผู้นั้นย่อมไม่ไปสู่อบายภูมิ......

    หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...