เคยส่งเงินให้คนในเวบพลังจิตท่านหนึ่งจำนวน 5000 บาทบอกว่าป่วยอยู่กับลูกสาวเล็กๆแต่ภายหลังมีเพื่อนสมาชิคท่านหนึ่งพีเอ็มบอกว่าเพื่อนสมาชิคท่านนั้นไม่ได้ลำบากอะไรแล้วก็เป็นมิจฉาชีพ เพราะเขาก็เคยให้เหมือนกันค่ะ…
สงสารคนอื่นๆที่ลำบาก@ดีไหม? ..ในยุคปัจจุบันนี้
ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย ubon2555, 22 มีนาคม 2014.
-
อนุโมทนาจิตกรุณาของท่านจขกทครับ ทีนี้ต้องระวังว่าในเว็บสาธารณะนั้น เราไม่ทราบว่าใครบ้างทุกข์จริงหรือเป็นมิจฉาชน..
แต่เอาละ...เมื่อช่วยเขาแล้ว ท่านจขกท พึงรักษาเจตนาแรกของตนให้ดี หากแม้เขาเป็นมิจฉาชน บุญของท่านจขกท ก็ไม่สูญหายไปเลย ท่านพึงปลื้มใจในการสละเงินที่ตนหวงแหนได้ด้วยเจตนาเอื้อเฟื้อคนทุกข์..เขาก็คงทุกข์จริงจึงมาขอเงินใครๆเช่นนั้น..
พึงดีใจที่ตนได้ทำบุญแล้ว ไม่อาลัยเสียดายอีก เพราะทรัพย์นี้ บัดนี้แปรเป็นอริยทรัพย์ที่จะตามไปรักษาอุปการะตนในภพต่อๆไปอีกมากภพนะครับ -
-
ถ้าไม่เดินมรรคะ ก็จะสงสัย
ดูเหมือนว่าสงสัยหนะดี สงสัยก็ถาม ทางอยู่ที่ปาก
แต่ในแนวทางอริยะสัจจะ ทางไม่ได้อยู่ที่ปาก
ทางอยู่ที่ นิโรโธ เดินไปถามไปไม่ได้
ถ้ามาแบบจะเดิน มรรคะ นิโรโธ
ต้องกำหนดรู้ทุกข์ให้จับใจก่อน แล้วก็มาดูตัญหาในอวิชชา
ก็เดินไปถามไปนิ อวิชชา เราเดิน เราถามเพราะอวิชชา กำหนดรู้ทุกข์
ก็เดินไปถามไปกำหนดรู้ทุกข์ไป
ปรกติคนเรายางหัวไม่ออกไม่จำหรอก
ยิ่งถามยิ่งไม่รู้ เพราะศรัทธาในอวิชชา
อย่าเพิ่งตกใจ ใครๆก็เชื่อว่าทางอยู่ที่ปาก
น้อยคนที่เชื่อว่าทางอยู่ที่ อริยะสัจจะ -
ทุกข์เกิดจากอาหารของมัน คือผัสสะ
สุขด้วย ไม่สุขไม่ทุกข์ ด้วย
ถ้าตัดกินในที กินนอกที มันจะอวิชชา
ยิ่งถามยิ่งกินยิ่งสงสัย ยิ่งฟุ้ง ยิ่งอวิชชา เป็นอาหารดี
แต่กิน ให้ กินเฉพาะในไป เสมอ
หรือถ้าเก่งจัดจะกินข้างนอกไปเสมอ
กินอย่างนี้อยู่เสมอ
เรามีปรกติกินอย่างนี้ คือ กินเฉพาะข้างในเสมอ
นี่แหละ เสมอด้วยทิฏฐิ
เสมอด้วยวาจา เสมอด้วยอาชีโว เสมอด้วยสมาธิ -
สาริกาป้อนเหยื่อ
กินเฉพาะฝั่งจะ มรรคะ -
ถามว่า การให้ทานแก่คนอนาถา
หรือทำอาการเหมือนอนาถา จะดีหรือไม่
ก็มีอานิสง ให้รวยไปทุกชาติภพ เห็นอภิมหาเศรษฐี ไปจนนิพพาน
ก็เสมอด้วยทิฏฐิ นี่ ก็มีอาการรวยอย่างนี้เสมอ -
ให้เป็นเครื่องปรุงจิต
เป็นอธิจิตตะสิขขา
ให้เพื่อตัดใจจากสมบัติ -
ตัดใจจากสมาบัติ นั้นแหละ
ดูราคะ ดูฉันทะ
ให้เพื่อเป็นเครื่องปรุงจิต
จิตตะสังขาร -
บุญอยู่ที่ใจ บาปอยู่ที่ใจ เราช่วยเขาเราได้บุญ เขาหลอกเราก็สงสารเขาที่เขาพลาดทำบาปไป คิดว่าถ้าเราให้อภัยไปอีกก็คงได้บุญอีกหลายต่อ
-
ให้อภัยใจเป็นสุข
-
เพิ่มความเข้าใจได้อีกส่วนหนึ่งครับ
เป็นเรื่องจริงอิงตามหลักพุทธ
อ่านให้เข้าใจเวลาทำบุญจะได้ไม่เคลือบแคลง
ปรับเจตนาให้เป็น บุญย่อมสำเร็จตามประสงค์
สามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นคนยากจนมาก
หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน เดินทางมาอาศัย
อยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง
ในขณะที่พักอยู่นั้น ภรรยาซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้อง
อยากจะบริโภคอาหารที่พระราชาเสวย จึงอ้อนวอนสามีให้ไปหามาให้
บอกว่าหากมิได้บริโภคอาหารที่ต้องการนี้จะต้องตายเป็นแน่แท้
ฝ่ายสามีผู้มีกรรมทนคำอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว
และเกรงว่านางจักตาย จึงคิดอุบายปลอมตัวเป็นพระภิกษุ
และด้วยความที่ปลอมตัวมาใหม่ๆ จึงระมัดระวังตัวมาก
ดูเหมือนเป็นผู้สำรวม เดินอุ้มบาตรไปใน
พระราชวัง เพื่อรับบิณฑบาต
ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระราชาจักเสวยพระกระยาหารพอดี
เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุเดินด้วยกิริยาอาการสำรวมมากเช่นนั้น
ทรงจินตนาการว่า
” ภิกษุนี้มีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นหนักหนา คงเป็นพระที่ทรงคุณวิเศษสักอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแม่นมั่น “
จึงเกิดพระราชศรัทธา ทรงนำพระกระยาหารอันเลิศรสที่จะเสวย
ใส่ลงในบาตรจนหมด ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่ง
เมื่อพระภิกษุปลอมรับอาหารแล้วเดินจากไป
ด้วยความเลื่อมใสอันมีอยู่มากมายในพระทัยของพระราชา
จึงรับสั่งอำมาตย์คนสนิทให้รีบสะกดรอยตามไป
เพื่อให้รู้ว่าพระท่านมาจากไหน จะไปพักที่ไหน
เพื่อว่าวันต่อไปจะนิมนต์มารับบาตรในพระราชวังอีก
ฝ่ายพระภิกษุปลอมนั้น เมื่อได้อาหารเต็มบาตรสมความปรารถนาแล้ว
ก็ดีใจ รีบเดินไปจนสุดกำแพงพระราชวัง
เมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนแล้ว จึงเปลื้องจีวรและสบงออกเป็นเพศคฤหัสถ์ตามเดิม
แล้วนำเอาพระกระยาหารนั้น ไปให้ภรรยาแพ้ท้องบริโภคตามความประสงค์
อำมาตย์ซึ่งสะกดรอยติดตามมาได้เห็นพฤติการณ์นั้นโดยตลอด
ก็บังเกิดความตกใจและสังเวชใจคิดว่ามาเจอคนที่ปลอมตัวเป็นพระเสียแล้ว
จึงเข้าไปหวังจะจับไปรับโทษ แต่ด้วยความสงสาร
จึงทำได้เพียงขับไล่สามีภรรยานั้นไป และห้ามกลับมาที่เมืองนี้อีกเป็นเด็ดขาด
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับไปเฝ้าพระราชา
พระราชาจึงตรัสถามว่า ” ได้ความว่าอย่างไร บอกมาเร็วๆ พระนั้นอยู่วัดไหน ? ”
อำมาตย์จึงใช้กุศโลบายเพื่อ รักษาศรัทธาของพระราชาไว้
กราบทูลว่า ” ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
ข้าพระพุทธเจ้าได้สะกดรอย ตามพระรูปนั้นไป
จนออกนอกกำแพงพระราชวัง
พอตามไปสุดพระราชวังโน้น ท่านก็หายวับไปทันที ”
( ในที่นี้ หมายถึงหายจากความเป็นพระกลายเป็นคฤหัสถ์ไป )
พระราชาได้ฟังดังนั้นทรงโสมนัสมาก
มิได้ซักความเพิ่มเติมอีก ทรงคิดเอาเองว่า
” บุญของเราแท้ๆ ที่ได้ ถวายทานแด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษ
ท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ ปาฎิหาริย์หายตัวได้
ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มาก
เป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆ “
พระราชาทรงบังเกิดความปีติเบิกบานใจในบุญที่ได้ทำเป็นยิ่งนัก
ไม่นานหลังจากนั้นพระราชาก็เสด็จสวรรคต
ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และก่อนที่จะสวรรคต พระองค์ได้ทรงกำชับเหล่าอำมาตย์ไว้ว่า
เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว ให้ทำบุญอุทิศกุศลเพื่อเจาะจงพระองค์ด้วย
ในคราวนั้นได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งเพิ่งออกจากญาณสมาบัติ
ได้เที่ยวจาริกไปในพระนครเพื่อบิณฑบาต
อำมาตย์คนเดิมได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น
ก็ได้นิมนต์ท่านเข้าไปรับภัตตาหารในพระราชวัง
แต่ในใจก็รู้สึกคลางแคลงสงสัยในพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้นตลอดเวลา
เนื่องจากครั้งก่อนเจอพระปลอมบวชเข้า
จึงเกรงว่าในครั้งนี้ก็จะเป็นพระปลอมบวชเช่นกัน
โดยหารู้ไม่ว่า ภิกษุที่ตนได้ถวายภัตตาหารอยู่นั้นคือ
พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้สิ้นกิเลสอาสวะแล้วสิ้นเชิง
เหล่ามหาอำมาตย์นั้น ได้ประมาทแล้วในพระอริยบุคคลโดยไม่รู้ตัว
เพราะบุคคลไม่อาจทราบได้ว่า
ภิกษุรูปใดเป็นอริยะบุคคลหรือไม่เป็นอริยะบุคคลหรือเป็นผู้ทุศีล
(เหตุเพราะว่าพระอริยะบุคคลใดก็ตาม
ท่านจะไม่สามารถประกาศได้ว่าตนนั้นเป็นอริยะบุคคลแล้ว)
ฉะนั้นการถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนี้นอกจากจะไม่เกิดกุศลแล้ว
ยังทำให้อำมาตย์นั้นได้หนทางไปสู่อบายในโลกหน้าโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ใน ฉฬังคทานสูตร จตุตถวรรคแห่งปฐมปัณณาสก์ อังคุตตรนิกาย ว่า
” ภิกษุทั้งหลาย ทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ คือ
องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง
องค์ของผู้รับ ๓ อย่าง
องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง ( เจตนา ๓ ) คือ
๑. ก่อนให้ก็ดีใจ
๒. กำลังให้ก็มีใจผ่องใส
๓. ครั้งให้เสร็จแล้วมีความเบิกบานใจ
องค์ของผู้รับ(ปฎิคาหก) ๓ อย่าง คือ
๑. เป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีราคะ
๒. เป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีโทสะ
๓. เป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีโมหะ
ทานที่ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๖ ประการนี้
เป็นบุญใหญ่ นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ยิ่งใหญ่นัก
เหมือนน้ำในมหาสมุทร นับหรือคำนวณไม่ได้ว่ามีขนาดเท่าใด
ทานที่พรั่งพร้อมด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ ย่อมเป็นที่หลั่งไหลแห่งบุญ
หลั่งไหลแห่งกุศล นำความสุขมาให้ให้อารมณ์เลิศด้วยดี
มีวิบากเป็นสุข เป็นไปพร้อมเพื่อการเกิดขึ้นในสวรรค์
( มีบุญที่สะสมไว้ดีแล้ว มากพอที่จะเกิดในสวรรค์ )
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ”
…………………………………………………………
พระราชาพระองค์นี้มีเจตนาทั้ง ๓ ระยะครบบริบูรณ์
และมีความเข้าใจว่าปฎิคาหก(ผู้รับ)สมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบ ๓
ผลบุญที่ได้จึงมากมาย ส่งผลให้พระราชาเมื่อถึงคราวสวรรคตแล้ว
ได้ไปบังเกิดในสุคติ โลกสวรรค์
ยิ่งถ้าหากพระรูปนั้นเป็นพระจริง และปฎิบัติตามองค์ของผู้รับ ๓ ได้อย่างสมบูรณ์
ผลบุญที่พระราชาได้จะมากมายมหาศาลยิ่งขึ้น
เพราะทำทานครบองค์ ๖ ซึ่งจะให้ผลมากนับประมาณมิได้
อนุโมทนากับ ผู้สอน ผู้เรียบเรียง ผู้ส่งต่อ บทความดีๆด้วยครับ
–