● สติแบบที่คนในโลกเข้าใจ ...ระลึกรู้เรื่องอะไร(อารมณ์)ขึ้นมา ก็เรียกว่า มีสติ
รู้แล้วยึด(อารมณ์) ปรุงแต่งไปตามเรื่อง(อารมณ์)ที่ระลึกรู้ขึ้นมา
เป็นกระบวนการเกิดของขันธ์ ๕ ตลอดเวลา ไม่ได้เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์
เพราะเมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป
จิตก็แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป
สติแบบที่เข้าใจนี้ มีในคนทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนา
● สติแบบที่พระพุทธองค์ทรงสอน = สัมมาสติ ต่างจากสติแบบที่คนในโลกเข้าใจ
เพราะสัมมาสติ เป็นมรรคจิต เป็นทางเดินของจิตเพื่อความพ้นทุกข์
สัมมาสติ คือ ระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติอย่างต่อเนื่อง( สติปัฏฐาน)
จนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ซัดส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆที่เข้ามาปรุงแต่งจิต
เป็นกระบวนการยับยั้งการเกิดของขันธ์ ๕ ที่จิต เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์
เพราะเมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป
จิตก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป
(smile)
สติต้องเจริญ ต้องทำให้มาก ต้องทำให้เกิดขึ้นที่จิต สติเกิดขึ้นเองไม่ได้
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะสวนัง, 29 พฤศจิกายน 2009.
หน้า 1 ของ 3
-
-
● พระพุทธองค์ตรัสว่า
☞ จำเ้พาะในธรรมวินัยนี้(ศาสนาพุทธ)เท่านั้น ที่มีอริยมรรคมีองค์ ๘
☞ สัมมาสติ อยู่ในองค์อริยมรรค ๘
☞ ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ทรงแสดงกิจที่พึงทำในอริยสัจ ๔ คือ
ทุกข์ เป็นปริญเญยยะ ควรกำหนดรู้
สมุทัย เป็นปหาตัพพะ ควรละ
นิโรธ เป็นสัจฉิกาตัพพะ ควรกระทำให้แจ้ง
มรรค เป็นภาเวตัพพะ ควรเจริญ
เพราะฉะนั้น สัมมาสติ คือ สติในองค์มรรค เกิดขึ้นเองไม่ได้
ต้องเจริญ ต้องทำให้มาก ต้องทำให้เกิดขึ้นที่จิต
นั่นคือ ต้องปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔ ตามเสด็จเท่านั้นจึงจะเกิดสัมมาสติ
(smile) -
● การปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือ การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ คืออย่างเดียวกัน
เป็นการปฏิบัติทางจิต เป็นทางเดินของจิต
เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำจิตให้พ้นจากทุกข์ได้
ดังมีพระพุทธพจน์รับรองไว้ดังนี้
☞ คาถาธรรมบท มรรควรรค (มรรค ๘)
ทางนี้เท่านั้นเพื่อความหมดจดแห่งทัศนะ ทางอื่นไม่มี
เพราะเหตุนั้นท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แหละ
เพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง
ด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
☞ มหาสติปัฏฐานสูตร (สติปัฏฐาน ๔)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ฯ
(smile) -
● การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
บรรพะแรกในการเจริญสติปัฏฐาน ดังแสดงไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า...ฯลฯ...
ขั้นตอนเริ่มแรกของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ
ต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติสมาธิ(นั่งสมาธิ) เจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ)
ให้จิตมีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สติปัฏฐาน๔ = สัมมาสติ) ไม่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์
โดยอาศัยความเพียรประคองจิตให้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สัมมาวายามะ)จนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ(จิตตั้งมั่นชอบ) ไม่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์แล้ว
ก็ย่อมได้ศึกษารู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริง
เกิดญาณรู้ตามความเป็นจริง (ปัญญา) คือ รู้อริยสัจ ๔ (สัมมาทิฐิ)
และเกิดพลังปัญญาปล่อยวางความยึดถืออารมณ์ต่างๆออกไปจากจิตได้ตามลำดับ (สัมมาสังกัปปะ)
อนึ่ง ในการเจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ) นั้น จิตจะบรรลุปฐมฌานได้
ต้องสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ = ศีล)ด้วย
ครบ อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ดังนั้นจึงกล่าวว่า การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
เป็นวิธีปฏิบัติทางจิตเพื่อให้จิตพ้นจากทุกข์
เป็นภาเวตัพพะ ต้องเจริญ ต้องทำให้มาก ต้องทำให้เกิดขึ้นที่จิต
เกิดเองไม่ได้
(smile)
-
● การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
เมื่อฝึกเจริญสติปัฏฐาน โดยการหลับตานั่งสมาธิ จนชำนาญแล้ว
หรือก็คือ พิจารณากายในกาย...เวทนาในเวทนา...จิตในจิต..ธรรมในธรรม...เป็นภายใน
จากนั้น เมื่อออกจากสมาธิมาประกอบกิจกรรมการงานในชีวิตประจำวัน
เราก็ใช้ความชำนาญที่ฝึกปล่อยวางอารมณ์ ตอนนั่งสมาธินั้น
มาใช้ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
อันเป็นการพิจารณากายในกาย...เวทนาในเวทนา...จิตในจิต..ธรรมในธรรม...เป็นภายนอกนั่นเอง
● สรุป
สติ(สัมมาสติ) เป็นองค์มรรค ต้องเจริญ ต้องทำให้มาก ต้องทำให้เกิดขึ้นที่จิต
สติเกิดขึ้นเองไม่ได้
(smile)
-
เจริญสติทุกอริยาบถ
กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
-
สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ...
ทำให้มาก เจริญให้มาก ..
รู้โทษรู้ละชั่ว ........ ..หม่นหมอง สติมี
รู้รักษาตนครอง ........ความดี สติเลิศ
รู้ผ่องใสจรด ............วางกาย สติมหา
รู้เครื่องดำเนินนี้ .........ตราบสู่ นิพพาน -
อ้างอิง คุณธรรมะสวนัง
การปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือ การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ คืออย่างเดียวกัน
เป็นการปฏิบัติทางจิต เป็นทางเดินของจิต
เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำจิตให้พ้นจากทุกข์ได้
___
ทุกที บอกสัมมาสมาธิ
วันนี้ ทำไมมาแปลก
* -
อ้างอิงจากคคหที่ ๔
● การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
บรรพะแรกในการเจริญสติปัฏฐาน ดังแสดงไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า...ฯลฯ...
ขั้นตอนเริ่มแรกของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ
ต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติสมาธิ(นั่งสมาธิ) เจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ)
ให้จิตมีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สติปัฏฐาน๔ = สัมมาสติ) ไม่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์
โดยอาศัยความเพียรประคองจิตให้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สัมมาวายามะ)จนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ(จิตตั้งมั่นชอบ) ไม่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์แล้ว
ก็ย่อมได้ศึกษารู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริง
เกิดญาณรู้ตามความเป็นจริง (ปัญญา) คือ รู้อริยสัจ ๔ (สัมมาทิฐิ)
และเกิดพลังปัญญาปล่อยวางความยึดถืออารมณ์ต่างๆออกไปจากจิตได้ตามลำดับ (สัมมาสังกัปปะ)
อนึ่ง ในการเจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ) นั้น จิตจะบรรลุปฐมฌานได้
ต้องสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ = ศีล)ด้วย
ครบ อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ดังนั้นจึงกล่าวว่า การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
เป็นวิธีปฏิบัติทางจิตเพื่อให้จิตพ้นจากทุกข์
เป็นภาเวตัพพะ ต้องเจริญ ต้องทำให้มาก ต้องทำให้เกิดขึ้นที่จิต
เกิดเองไม่ได้
(smile)
-
อ้อ..
ขั้นตอนเริ่มแรกของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ
ต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติสมาธิ(นั่งสมาธิ) เจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ)
แสดงว่ายังเป็นดังเดิม เหอๆๆ
หวังว่าจะได้ฌานสี่ในเร็ววันนะคุณธรรมะสวนัง
แค่เริ่ม ก็ไม่หมูแล้ว
:boo: -
พวกนี้ พวกที่เน้นว่า เจริญฌาณ4 ตะพึดตะพือนี่ หากพวก
นี้พิจารณาอุปทานขันธ์ผิดหลักไปนิดเดียวนะ จะเป็นประโยชน์
ต่อศาสนาพุทธสมัยพระศรีอารย์มาก
เพราะพวกนี้ จะยังไม่มาเกิด ศาสนาของพระศรีอารย์ที่ว่าจะไม่
ปรากฏพวก มิจฉาทิฏฐิ เลยนี่ สงสัยจะมีเหตุปัจจัยแบบนี้ อย่างนี้ -
และัเมื่ออารมณ์เข้ามาได้ ทำให้จิตตนเองหวั่นไหวสูญเสียความตั้งมั่น ก็ยกจิตกลับสู่ฐาน เพือให้จิตสงบดังเดิม
ผู้ปฏิบัติจะรู้ว่าอารมณ์ภายนอกนั้นไม่เที่ยง แปรปรวนไปมาอยู่เสมอ คิดว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดใดแล้ว
แต่ตนเองลืมไปว่า ยังมีความยึดมั่นบางอย่างไม่เสื่อมคลาย นั่นคือตนเอง และยิ่งจะทำสมาธิให้สูงๆขึ้นไป
รวมทั้งคิดว่าตนเองสามารถบังคับจิตตนให้สงบ สุข ได้ดั่งใจต้องการ
เป็นการใช้สัมมาสมาธิ แต่ละเลยการรู้เห็นตามความจริง แนวนี้ไม่ต่างจากฤาษีชีไพรนอกศาสนาเลย
วันหนึ่งข้างหน้าในอนาคตอันไกลโพ้น......เมื่อสติสมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นพระปัจเจกแล้ว
ท่านจะรู้สึกทีละน้อยว่า... บางครั้งเราบังคับจิตไม่ได้ดั่งคิด บางวันทำสมาธิได้ดี บางวันทำได้ไม่ดี
จะค่อยๆละคลายความถือมั่นในตัวตนทีละน้อยทีละน้อย...จนกระทั่ง...เห็นธรรม.. -
พิจารณาร่างกายให้จิตยอมรับว่า เป็นสิ่งของเน่าเหม็น และถึงเวลาก็เสื่อมสลายไป อันเป็นอุบายให้จิต คลายการยึดถือร่างกาย ปล่อยวางเข้าไปในจิต
ต่อจากนั้น...ปล่อยวางสมาธิ ไม่กอดหวงแหนสมาธิเหมือนเดิมแล้วปล่อยให้จิตเห็นความเป็นจริง
ว่าการเกิดอารมณ์เป็นอย่างไร มีต้นตอมาจากอะไร โดยปราศจากการบังคับ เรียกว่า " การรู้เห็นตามความจริง "
สมาธิเป็นเพียงส่วนหนึ่งในอีกหลายๆส่วน ไม่ได้สำคัญเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สำหรับในชั้นนี้
กรรมฐานมีหลายแนวทาง บางคนทำได้แบบไหน ก็ทำไป ทำเพื่อให้เข้าไปสู่ใจและคลายความยึดมั่นถือมั่น
บางคนที่ทำได้แบบท่าน...ก็ทำไปส่วนของตนเอง แต่หากยืนยันและเผยแพร่ว่า ทางของท่านเป็นทางเดียวที่ถูกต้อง ก็ไม่ควร
เพราะบางคนที่มีวาสนาบารมีหรือผู้เริ่มต้น อาจจะท้อถอยในการทำสมาธิให้ถึงณานตามท่่านสอนได้
ขออภัย...ที่แย้งมา -
ฤาษีชีไพรก็สอนการทำสมาธิกันอยู่แล้ว
แต่ไม่มีใครหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้
ต้องรอพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เพื่อโปรดหมู่สัตว์
ของดีมีอยู่ คำสอนที่ถูกต้องก็มีอยู่ นะครับ -
นั่นคือเห็นสติปัฐฐานแล้ว เห็นกายในกาย...เวทนาในเวทนา...จิตในจิต..ธรรมในธรรม...
เมื่อนั้นไม่ต้องตั้งท่านั่งสมาธิ ใจผู้ปฏิบัติจะแวบไปทำสมาธิเองเมื่อกำลังในการเห็นตามจริงหมด เช่นอาจจะจับลมหายใจสักครู่ ให้มีกำลัง
แล้วใจจะเข้าไปรู้เห้นตามจริงต่อต่อไป จนย้อนเข้าไปถึงตัวต้นของการเกิดอารมณ์ ใจจะรู้ว่าการเกิดอามณ์ การเกิดความถือมั่นในสิ่งใดใด ล้วนเป็นทุกข์
และใจจะไม่ออกไปแส่ส่ายหาทุกข์ที่ใด จะอยู่กับใจตนเองโดดๆ โดยไม่ต้องบังคับ เหมือนนั่งมองสายน้ำไหล อยู่ริมตลิ่ง
และรู้เห็นเองว่า..การกระทำใดใด อันเป็นการบังคับคือการไม่รู้เห็นตามความจริง
และ ความรู้ตัวที่พอเหมาะพอดีที่เรียกว่าสติ อารมณ์กลางๆ ปราศจากการบังคับ จะเกิดขึ้นเอง เกิดดับเป็นคราวๆ -
-
แถมอีกนิดนึง
ความหมายของ "สติปัญญา" คืออะไรหนอ -
เจริญสติทุกอริยาบถ
กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
<!-- google_ad_section_end -->
(smile) -
มาอนุโมทนากับ ท่านธรรมสวณังครับ...สิ่งที่ละเอียดเข้าใจยาก คนหยาบๆ มีรึจะเข้าใจ สาธุ
-
หน้า 1 ของ 3