ผมรู้สึกว่าเวลาที่ผมทำสมาธิบ่อยๆ จนถึงตอนนี้ผมเจอสภาวะสงบมากไป หมายถึง บุคคลิกเฉื่อยๆๆ จิตนิ่งในขณะลืมตา จะแก้อย่างไรครับ
สภาวะนิ่งแก้ยังไง
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jerajajen, 29 เมษายน 2019.
หน้า 1 ของ 2
-
ถ้าจิตเข้าสมาธิ จริง คงไม่พูดอย่างนี้
แนะนำว่าให้ปฏิบัติต่อไป มีคำบริกรรมห้ามขาดเด็ดขาด ครูบาอาจารย์เทศน์สอนไว้ห้ามทิ้งคำบริกรรมเด็ดขาดเป็นเครื่องโยงให้จิิตเป็นสมาธิครับ
คนปฏิบัติของจริง จิตต้องไม่ว่างเพราะเราออกปฏิบัติฝึกจิตให้เป็นสมาธิ เปรียบเหมือนนักกีฬาต้องฝึกร่างกายออกทำงาน จิตต้องออกทำงานเพื่อให้จิตมีกำลัง จิตมีกำลังจิตลงสู่สมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วก็ต้องออกวิปัสนาในจิตที่เป็นสมาธิต่อไป
ในสายปฏิบัติของพระป่า ไม่มีใครหรอกที่ปฏิบัติแล้วสบายๆ ว่างๆ อะไรทั้งนั้น ถ้าปฏิบัติถูกทาง จิตมีงานของจิตที่จะวิปัสสนากรรมฐานให้บรรลุมรรคผลนิพพานครับ
เข้าเรื่อง ออกจากสมาธิแล้ว จิตนิ่ง นี่ คือจิตเราสงบจากกิเลส จิตเลยนิ่งครับ เป็นเฉพาะช่วงใหม่ๆที่เรากดกิเลสไว้ด้วยกำลังจิต ทำอะไรมันก็เลยรู้สึกสงบไปหมดไม่มีอารมณ์อะไร หรือบางคนก็เบื่อไปหมด แต่สติเราดีอยู่ ตามความจริง เราควรที่จะปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออกในชีวิตประจำวัน แต่คนบางคนไม่เข้าใจเลยโดนกิเลสหลอกสวมขำให้อีกที คิดว่าเราได้ดีแล้ว ทำให้เราไม่ปฏิบัติต่อ และทำให้เราคิดว่าผิดปรกติจนต้องหาทางแก้ให้เหมือนคนปรกติ ต่างๆนาๆ จนสุดท้าย อารมณ์สมาธิหายไป กิเลสกำเริบ ต้องมารวบรวมจิตใหม่เวลาปฏิบัติ
จะแก้อย่างไร ก็ลองถามตัวเองดู กรรมฐาน สี่สิบ สำเร็จกรรมฐานกองไหนบ้างถึงที่สุดของกรรมฐานที่ปฏิบัติบ้างหรือยัง ก็จะตอบได้ครับ หรือได้แค่รู้สึกสงบมากไป เท่านั้น
ลองพิจารณาตัวเองดูครับ
เข้าสมาธิได้คล่องไหม วิปัสนากรรมฐานในจิตที่เข้าสมาธิ ได้ไหม
จิตมีงานทำในวิปัสนากรรมฐาน เพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่มีจิตว่างๆหรอกครับ -
แสดงว่าตอนนี้หนักไปทางสมถะอยู่นะครับ
ถ้าต้องการความสงบก็ไม่เป็นไร
ถ้ากำลังสมาธมากๆ แล้วจิตอยู่ในสภาวะนี้ต่อไป
อนาคตจะทำให้จิตพิการหรือซื่อบื่อได้ครับ...
และมันจะไม่ได้ทางด้านปัญญาครับ
เพราะระหว่างวัน เราไม่ได้พิจารณาอะไร
เช่น มีเรื่องมากระทบ ใจเรายินดี ยินร้าย ผลักไส
หรือใจเราเข้าไปร่วมได้อย่างไร ที่จะทำให้เกิดปัญญาได้
อะไรทำนองนี้ พอนึกภาพไหมครับ
ดังนั้นวิธีแก้ คือ ควรถอยกำลังมา พูดง่ายๆ ว่า
ยกหินออกจากหญ้าซะ ให้มันได้เจอลม เจออากาศ
เปรียบได้ กับปล่อยให้อาตนะเรามันทำงาน
แล้วค่อย มาสู่การสังเกตุในเรื่อง การยินดี ยินร้าย
ผลักไส การพิจารณาอะไรก็ว่าไป พอเข้าใจนะครับ
กิริยาที่เรารู้สึกว่า สงบ นั้นมันเป็น
กิริยาอย่างหนึ่งของจิตที่มีตัวมากระทำให้เกิดอยู่ครับ ในที่นี้
ตัวกระทำมันก็คือ ตัวกำลังสมาธิครับ
ดูเหมือนว่า จิตไม่เกิดแต่จริงๆมันเกิด
ความคิดมันก็เกิดวกวน แต่มันวนอยู่อย่างนั้นคือไม่คิดอะไร
เราเลยเข้าใจว่า มันไม่มีอะไรมันเฉยๆ
เพราะว่า กำลังสมาธิมันมาควบคุมให้เป็นอย่างนั้นครับ
จนกว่า กำลังสมาธิสะสมเราเพียงพอ มีสมดุลย์ระหว่างสมถะ
กับการพิจารณา จนจิตมันวางได้ของมันเอง
เพราะมันไม่ยึดอะไร ในช่วงนั้น จิตมันถึงจะเป็นสมาธิ
ที่เกิดเองตามธรรมชาติของมัน โดยที่ ไม่มีตัวอะไรเลยมากระทำ
ไม่ว่า กำลังสมาธิ ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิตอะไร
มันถึงจะคลายตัวเอง กลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ได้ชั่วคราวของมันเอง
มันถึงจะเป็นสมาธิที่แท้จริง
ใจเราถึงจะรู้สึกสบาย กายสบายตามธรรมชาติครับ
ปล. กรรมฐานต่างๆ สำเร็จ คือ เข้าถึงอารมย์
สมมุติ เช่น นาย A ใช้งาน กสิณ ไฟได้ปกติ แต่เข้าไม่ถึงอารมย์กสิณ
นาย B ใช้งานไม่ได้ แต่เข้าถึงอารมย์ได้ เนื่องจากเน้นฝึกมาแบบวิปัสสนา
ทางปฏิบัติ คนที่สำเร็จ กสิณไฟ คือ นาย A นะครับ
ส่วนเรื่อง การเข้าๆออกๆฌานระดับต่างๆ เป็นเหมือนการชาร์จพลังงาน
สำหรับ ในกรณี บุคคลที่เคยใช้งานได้มาแล้วนะครับ
ไม่ใช่ กำลังฝึกอยู่ หรือ ฝึกยังไม่ถึงระดับที่ใช้งานได้จริง
หรือใช้งานได้แต่ในนิมิตนะครับ เข้าออก
เพื่อเพิ่มความชำนาญ และ ศักย์ภาพในการนำไปใช้งานในลำดับขั้นต่อไป
เพื่อหนุน ในส่วนกรรมฐานกองนั้นๆที่ตนเอง ฝึกจนใช้งานได้มาแล้วครับ
ย้ำว่า ใช้งานได้แล้ว การฝึกเข้าๆออกๆ ภายในลมหายใจเดียวนั้น
เป็น ลำดับต่อมานั่นเองครับ
ยังไง ค่อยๆพิจาณาดูครับ -
ผมจะเป็นลักษณะ เบื่อสังคม เบื่อการดิวกับมนุษย์ อยากเข้าป่า อยู่กับธรรมชาติ -
เปลี่ยนอริยาบทใหม่บ้าง -
กรรม การกระทำอยู่ที่ตัวเราเองตัดสินใจ ถ้ากำลังใจต่ำก็ยังตัดสินใจไม่ได้ไม่ขาด กำลังใจสูงตัดสินใจสูงตามไปด้วย
สมัยนี้มีวัดป่ามากมายที่ครูบาอาจารย์สร้างไว้เพื่อให้สงเคราะห์คนที่่หาโอกาสอยู่ได้มีที่ปฏิบัติครับ ลองหาที่สงบทดสอบกำลังใจตัวเองได้
แต่ส่วนใหญ่คนที่บอกอยากเข้าป่านี่ ถ้าไม่มั่นใจจริงๆส่วนใหญ่อยู่ได้ไม่นานนานต้องหนีออกมาทั้งนั้น ทนความลำบากไม่ไหว ทนอยู่ไม่ไหว -
จนถึงพอเข้าใจนะครับ
ตรงนี้เป็นการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
เพื่อสร้างสติทางธรรมกับสร้างให้เกิด
ปัญญาทางธรรม เพื่อให้มันสมดุลย์
กับสมถะตอนนี้ที่มากไปในช่วงนี้
สมถะพอก่อน ยังไม่ต้องไปเดินจงกลม เปลี่ยนอริยบทหรือเทคนิคทางสมถะอะไร
เพราะว่าเราไม่ได้เน้นเรื่องจะฝึกกรรมฐาน
ให้สำเร็จจนใช้งานได้ แต่กำลังที่มีตอนนี้
ของสมถะมันพอจะเอามาหนุนเรื่องสติเรื่อง
ปัญญาได้ เอาตรงนี้ก่อนครับ
เป้าเราตอนนี้คือแก้ กิริยาจิตเฉี่อยๆเฉยๆ
ซึ่งมันจะทำให้จิตพิการหรือซื่อบื่อ
พูดง่ายๆคือจิตไม่ฉลาดทางนามธรรมครับ
เราตึงต้องเน้นการสร้างสติเสริมปัญญาไปก่อน พอมองภาพออกนะครับ
ปล. อ่านดีๆ ค่อยๆอ่าน พิจารณาดีๆ
เทียบกับกิริยาและการปฎิบัติของตนในช่วงนี้แล้วค่อยถาม จะทำให้ไปได้เร็วครับ -
เอาให้นิ่งกว่านี้อีก ให้เกินจากนิ่งไปเลยเอาแบบตื่นแล้วก็รู้สึกง่วงนอนนอนแล้วก็รู้สึกเหมือนตื่น ทำไปจนมันชินมันเบื่อค่อยมาหาเหตุของตวามเป็นไป เจอสิ่งใหม่หรือเป็นสิ่งเดิม
-
ถ้าอยู่ในช่วงตั้งเป้าที่จะฝึกกรรมฐานบางกอง
เพื่อให้สำเร็จ เช่น กสิณ มโนยิทธิ ในระดับ
ใช้งานได้เป็นสากล กิริยานิ่งๆแบบนี้
ถือว่าปกติครับ บางครั้งตลอดสัปดาห์
ไม่คุยกับใครก็ได้ แต่ว่าระหว่างวันจะทำหน้าที่ตนเองเป็นปกติ ตั้งใจขึ้นเรียบร้อยขึ้น
ใจปกติ ไม่มีอาการเฉื่อยๆเบื่อๆอะไรครับ
แต่ถ้าไม่มีเป้าอย่างที่บอก
ก็ถอยมาเพิ่มสติสร้างปัญญาครับ
ไม่งั้นเสียเวลา สมถะก็ไม่ได้
ปัญญาก็ไม่ได้ครับ -
สาธุ ครับ
-
กลับมาเรียนรู้อริยสัจให้เข้าใจถ้าปรารถนาพระนิพพาน. มาทำกิจในอริยสัจให้ตรง. ก็จะพบทาง. ทางอื่นไม่มี
-
ลองใช้การพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการดูครับ
-
คุณมีนิสัยอย่างนั้นอยู่แล้วครับ ไม่ได้เป็นเพราะการฝึกสมาธิครับ วิธีแก้ไขไม่มีครับ มันไม่ใช่ข้อเสีย -
บ่อยๆ จะกลายเป็นคนเฉยเฉื่อย
และเกิดโรคเกี่ยวภูมิต้านทานลดลงจนถึง
เจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อได้ฮับ(... ท่านว่า)
รอผู้มาโปรดฮับ -
-
ถึงคุณ jerajajen
จิตออกไปนอกกาย พยายามดึงจิตกลับเข้า ดูลมหายใจ เจริญอานาปานสติต่อครับ
พิจารณากายในกาย
พิจารณาเวทนาในเวทนา
พิจารณาจิตในจิต
พิจารณาธรรมในธรรม
สติปัฏฐาน 4 -
อยู่กับความ ไม่ปล่อยใจล่องลอย เหม่อเผลอเพลินเป็นอกุศลฮับ
ถ้ามีสติรู้ตัวตลอดเวลา กายอยู่ไหนใจอยู่นั่น
ตัวทำอะไรใจอยู่กับสิ่งนั้น
กายนอนใจอยู่กับกายที่นอน หูได้ยินเสียงใจอยู่
กับหู ขณะได้ยิน
ยกถ้วยกาแฟใจอยู่กับมือ ขณะจับ
ยังเงี๊ยะเรียกว่ารู้ตัวตลอดเวลา
คือตัวทำอะไรใจอยู่กับสิ่งนั้น
แนะให้ฟังคลิป หลวงพ่อพุธ (สายพุทโธ)
ให้เข้าใจหลักการภาวนาแบบพุทโธ พุทโธ พุทโธ ก่อน ที่ลุงปราบเทวดาเอามาหยอดไว้อ่ะฮับ
ในกระทู้ขอคนช่วยกำกับสอนภาวนา -
เสือมานั่งอยู่ข้างหลังก็ยังไม่รู้สึกตัว
ต้องฝึกสติอยู่กับรู้
ให้ใจมันแค่รู้ รู้ไห้ครบทุกอย่าง
ทั้งชอบก็รู้ว่าชอบ
และไม่ชอบก็รู้ว่าไม่ชอบ
ทั้งถูกใจก็รู้ว่าถูกใจ และไม่ถูกใจก็รู้ว่าไม่ถูกใจ
ทั้งเบื่อก็รู้ว่าเบื่อ และไม่เบื่อก็รู้ว่าไม่เบื่อ
แค่รู้ รู้ รู้ ไม่ต้องคิดปรุงแต่งปรุงต่อ
รู้แบบธรรมชาติ เหมือนรู้ว่านั่งอยู่ รู้ว่ายืนอยู่
รู้ว่าอร่อย รู้ว่าไม่อร่อย
เรียกว่า สักแต่ว่ารู้ หรือ ฮู้สื่อสื่อ
รู้ไปเรื่อยๆ ทันทีที่มีสติมา -
ให้เปลี่ยนมา ฝึกกสิน แทนครับ
จะได้ไม่เฉื่อยๆ อีก -
อารมณ์เบื่อ ที่เกิดขึ้น
แสดงว่า คุณทำญานได้ถึงขั้นหนึ่งแล้ว
หรือ ที่เรียกว่า ทำญานถึง ขั้นเบื่อหน่าย
ต่อไป ก็ออกบวช ได้ ให้ฝึกอยู่กับ ป่า ให้มากๆ
อยู่กับบ้าน ให้น้อยๆ จะไม่วุ่นวาย
ทำให้ใจสบาย จึงจะพิจารณาธรรมได้
หากใจยังหนักหน่วง ก็ยากที่จะเข้าใจธรรมะ
หรือ ธรรมชาติของคน หรือ ธรรมชาติของกรรม
หน้า 1 ของ 2