เรื่องเด่น สมาธิเริ่มทรงตัว เมื่อมาถึงระดับนี้การรู้เห็นต่าง ๆ หรือนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นเป็นปกติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 20 กรกฎาคม 2018.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    37365382_2033301316720539_331832377334562816_n.jpg

    ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น บุคคลเป็นจำนวนมาก เมื่อทำไปจนถึงระดับหนึ่ง สภาพจิตจะเริ่มสงบลง แล้วการรู้เห็นต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นของแถมของนักปฏิบัติเท่านั้น คือกำลังใจของเราโดยปกติ จะมีความส่งส่ายวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ไม่สามารถที่จะสะท้อนเงาอะไรลงไปได้ แต่เมื่อเราปฏิบัติภาวนาจนสมาธิเริ่มทรงตัว ทำให้กำลังใจของเราสงบแน่วนิ่ง มีความใสสะอาดขึ้น ก็เหมือนกับน้ำใสสะอาดที่นิ่ง สงบ สามารถสะท้อนภาพสิ่งรอบข้างลงไปได้อย่างชัดเจน เมื่อมาถึงระดับนี้การรู้เห็นต่าง ๆ หรือนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นเป็นปกติ

    คราวนี้ในจุดที่ต้องระมัดระวังก็คือ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติของเรา วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติของเราในเบื้องต้น ก็คือจิตสงบ หลุดพ้นจากความวุ่นวายต่าง ๆ รอบข้าง วัตถุประสงค์ลำดับต่อมาก็คืออาศัยกำลังของความสงบนั้นไปพิจารณาเพื่อตัด รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่กินใจของเราอยู่ ถ้าสามารถตัดขาดได้ เราก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน

    การรู้เห็นเป็นเพียงของแถม เหมือนที่อาตมาเคยเปรียบเทียบไว้ว่า เราไปซื้อรถ เขาต้องให้ล้อรถมาด้วยอยู่แล้ว ดังนั้น..ท่านจะต้องการล้อรถหรือไม่ต้องการก็ตาม ถ้าท่านไปซื้อรถเมื่อไร ท่านก็จะได้ล้อรถมาเมื่อนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น..การรู้เห็นต่าง ๆ ซึ่งเป็นของแถมที่เกิดขึ้น ถ้าเราจัดการไม่เป็นก็จะมีโทษมากกว่าประโยชน์

    ส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ เมื่อเห็นนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะไปทึกทักเอาว่าเป็นจริงตามนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครูบาอาจารย์จำนวนมากต่อมากด้วยกัน จะบอกกล่าวอย่างไรก็ตาม ลูกศิษย์ไม่แน่นักว่าจะฟัง เพราะว่าตนเองรู้เห็นจึงเชื่อตามนั้น โดยที่ไม่ได้คิดว่านิมิตบางอย่างก็เป็นการมาทดสอบกำลังใจ นิมิตบางอย่างก็ตั้งใจหลอกลวงกันตรง ๆ ดูว่าเราจะหลงไปยึด ไปติดหรือไม่

    ดังนั้น..ในการปฏิบัติของผู้ใดผู้หนึ่งก็ตาม ถ้าเกิดนิมิตเริ่มรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ถ้าไม่ใช่นิมิตตามกองกรรมฐาน ก็ให้เรารับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วอย่าไปสนใจ ให้ดึงความรู้สึกของเรามาอยู่กับการภาวนาตามเดิม แต่เรื่องของนิมิตต่าง ๆ ก็แปลก ถ้าเราสนใจบางทีก็หายไปเลย แต่ถ้าเราไม่ให้ความสนใจก็ยิ่งปรากฏชัด ปรากฏอยู่นาน

    ดังนั้น..เราเองจำเป็นจะต้องจัดการให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นอาจจะติดอยู่เช่นนั้นเป็นปี ๆ หรือเป็นหลายปี ภาวนาเมื่อไรก็อยากเห็นนิมิตเช่นนั้นอีก ถ้าท่านภาวนาด้วยความอยาก จะไม่มีวันได้เห็นนิมิตเช่นนั้นอีก เพราะสภาพจิตที่ประกอบด้วยความอยาก ก็คือสภาพจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน เมื่อสภาพจิตกำลังฟุ้งซ่าน ย่อมไม่นิ่ง ไม่สงบพอ การรู้เห็นต่าง ๆ ย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

    นักปฏิบัติจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ที่เสียหายเพราะว่าภาวนาแล้วอยากเห็นนิมิตอย่างที่เคยเห็น หรือสามารถจัดการกับนิมิตได้ แต่ว่าก็โดนหลอกลวง โดนชักจูง จนกระทั่งหลงไปจากแนวของการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้น..ครูบาอาจารย์บางสายอย่างเช่นสายวัดป่า ท่านถึงให้ละทิ้งนิมิตเสียให้หมด ไม่ต้องไปใส่ใจ กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเป็นหลัก

    ถ้ากำลังใจทรงตัวจนตั้งมั่น ไม่สามารถที่จะภาวนาต่อได้แล้ว ก็ให้คลายกำลังใจออกมา เพื่อพิจารณาในเรื่องของวิปัสสนาญาณ อย่างเช่น พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราในร่างกายนี้ หรือว่าพิจารณาในอริยสัจ มองทุกข์ให้เห็น ค้นหาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ แล้วไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ๆ ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา เป็นต้น

    เมื่อพิจารณาไปจนกำลังใจทรงตัวตั้งมั่นดีแล้ว สภาพจิตก็จะกลับไปสู่การภาวนาโดยอัตโนมัติ เมื่อภาวนาไปจนเต็มที่อีก สภาพจิตก็จะคลายออกมา เราก็มาพิจารณาใหม่ ถ้าท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ในเรื่องของนิมิตนั้น ถามว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ? ก็เป็นสิ่งที่ดี คือทำให้เมื่อเรารู้เห็นแล้วมีความมั่นใจว่าการปฏิบัตินี้มีผล แม้ว่าเพียงขั้นแรก ๆ ที่เกิดนิมิตขึ้นตรงตามที่ครูบาอาจารย์บอก แต่ว่านิมิตไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในการปฏิบัติ ให้รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วไม่ต้องไปใส่ใจ ให้อาศัยลมหายใจเข้าออกและการพิจารณาเป็นหลักในการปฏิบัติของเราเท่านั้น

    ถ้าใครสามารถทำตามแนวนี้ได้ โอกาสที่จะโดนชักจูงให้ออกนอกทางก็เป็นไปโดยยาก ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมีอย่างที่ตนเองต้องการ ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖

    ที่มา www.watthakhanun.com
     
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628

แชร์หน้านี้

Loading...