สรุปเรื่องพระโสดาบันสักหน่อย เพื่อความเข้าใจ
พระโสดาบัน มีอารมณ์ใจ ดังนี้
1.เคารพในพระพุทธเจ้า ด้วยปัญญา
2.เคารพในพระธรรม ด้วยปัญญา
3.เคารพในพระสงฆ์ ด้วยปัญญา
4.มีศีลบริสุทธิ์ ยอมตายดีกว่าศีลขาด
5.ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ เตรียมตัวที่จะตายเสมอ
6.มีความอยากไปนิพพานอยู่เสมอ
7.ไม่ติเตียนใคร ไม่มองดูกิริยาของใคร
จะดีจะเลว ไม่สนใจ
8.ไม่ถือสำนัก ว่าสำนักไหนดี สำนักไหนไม่ดี
ถือเพียงว่า ผู้ปฏิบัติเท่านั้น ที่จะดีหรือไม่ดี ไม่เกี่ยวที่สำนัก
พระโสดาบัน มีกิเลศ เท่าเดิม กิเลศไม่ได้ขาดแม้แต่นิดเดียว
เหมือนกับคนทั่วๆไป แต่กิเลศของพระโสดาบัน
จะไม่เลยขอบเขตของศีล มีโกรธ มีรัก มีโลภ มีหลง เต็มกำลัง
แต่จะไม่เลยขอบเขตของศีล
ถ้าทำได้แบบนี้ ชื่อว่า พระโสดาบัน
สรุปเรื่องพระโสดาบันสักหน่อย เพื่อความเข้าใจ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Darkever, 5 มกราคม 2012.
หน้า 1 ของ 4
-
ต้องเข้าใจว่า คำสอนดังกล่าว เป็นการบอกคร่าวๆ ให้คนฟังเป็นแนวทาง ว่า จะมีอารมณ์แบบนั้น เพื่อเป็นแนวทางให้คนฟังได้มีเป้าหมายพัฒนาตนเองไปในทิศทางที่ถูกต้อง
แต่ทีนี้ เราจะเอามาวัดเป็นเกณฑ์แบบนั้นไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่า สติของเรายังไม่ดีพอ ดังนั้น การสังเกตุตนเองด้วยอาการเหล่านั้น จึงมีความแตกต่างกันไป เช่น ข้อที่ 7 ที่ว่า ไม่ติเตียนใคร นี้ท่านให้หมายถึง การวางอุเบกขาไป ไม่ใช่ไปกะเกณฑ์ว่าจะต้องทำตามนั้น อาจารย์ตำหนิศิษย์ พระพุทธเจ้าตำหนิสาวก ก็ทำได้ เป็นต้น
คนที่เป็นพระโสดาบัน จะต้องถึงพร้อมด้วย ทิฎฐิที่ถูกต้อง เป็นผู้บรรลุธรรม คือ ทางสายกลางแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ทางสายกลางที่ว่านี้ จะต้องมีสติ มองเห็นช่องที่อยู่ตรงกลาง ระหว่าง การกระทำอันสุดโต่งทั้งสองด้านอยู่เสมอ
การเข้าถึง หรือ บรรลุธรรม จะต้องรู้จัก ทุกข์ของตนเอง ยอมรับสภาพว่าตนเองมีทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ ดับทุกข์เป็น และ รู้จักทางเดินของชีวิต ไม่ต้องถามใคร พึ่งตนเองได้ มีจุดยืนในหลักธรรม ที่ไม่ขัดแย้งกันเอง
นี่เรียกว่า เป็นผู้ถึงกระแสแล้ว พึ่งตนเองได้ ใครมาพึ่งก็ได้ ไม่ผิดทาง
ถ้าแนวทางปฏิบัติของใคร ยังเป็นแนวทาง งกๆเงิ่นๆ รู้ไม่ครอบ ยังต้องพึ่งคนอื่น ยังต้องวิ่งถามหาพระสงฆ์ แสดงว่า ปัญญาเราไม่แตกฉานในธรรม จะไปเรียกว่า ผู้ถึงกระแสได้อย่างไร
ลองตั้งสติ แล้ว พิจารณาตนเองกันดู -
ใครยังว้าเหว่ ยังหวั่นไหว อารมณ์ยังขึ้นๆลงๆ ทิฎฐิยังกลับมากลับไป หลักธรรมยังไม่ลงตัว หาข้อยุติ วันนี้ดี พรุ่งนี้เปลี่ยน
แบบนี้ เรียกว่า ยังไม่ถึงกระแส ปัญญายังไม่แจ้ง
สักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลพตรปรามาส อยู่ครบ ก็เพราะว่า เหตุคือ ความไม่รู้ยังเต็มอยู่ รูปนาม ตีไม่แตก ก็ไม่เห็นเหตุ ไม่เห็นเหตุก็ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ดับไม่ได้ เมื่อดับไม่ได้ ก็สงสัยลังเล เมื่อสงสัยลังเล ก็แก้ปัญหาผิดๆ ถูกๆ
นี่บอกให้หมดแล้ว ใครยังไม่พิจารณาตน ก็รีบพิจารณาซะ -
คำว่า สีลพตรปรามาส นี้ คนเรามีกันทั้งนั้น เช่น ไปยึดถือวิถีชีวิตแบบผิดๆ เช่น ไม่เดินก้าวเท้าซ้ายก่อนออกจากบ้าน
หรือ ไม่กินผัก ไม่กินเนื้อ ไม่กินกระเพรา ไม่กินหมู นี่เพราะว่า เชื่อกันมาแบบนั้น กลัวว่า หากไม่ทำตามข้อวัตรที่เชื่อมา แล้วจะเกิดเหตุอาเพศ ซึ่งตนเองเคยทุกข์มา ก็กลัว ไม่กล้าฝืนชะตา ฟ้าลิขิต ไม่กล้าออกมาจากความเชื่อเดิมๆ
พระโสดาบัน เมื่อ ตีโจทย์แตกแล้ว เห็นเหตุแห่งทุกข์ แล้ว ก็นั่งหัวเราะนะสิ ว่า นั่นมันไปดับผิดๆ
คนกินเนื้อ กินหมู ก็ยังร้องห่มร้องไห้ ยังเศร้าหมอง ยังกลัว แล้วมันจะไปช่วยอะไรได้กับการยึดถือแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ศาสนาพุทธ เป็น ศาสนาแห่งปัญญา เราจะทำอะไรก็ตาม ต้องมีสติพิจารณาสิ ว่ามันจริงไหม อะไรไม่จริง อะไรควร
นั่นแหละ แล้ว จิตใจจะมั่นคง ไม่หวั่นไหว มากขึ้นไปเรื่อยๆ -
เพื่อความเข้าใจ บทความของ จขกท เราก็ นำมาลองพิจารณา จาก ตัวอย่างกัน
โดยผมจะยก ตัวอย่าง คนที่ปรารภว่า ตนเป็นโสดาบันเป็นอย่างน้อย เจอกระทู้
โสดามันเมื่อไหร่ เป็น แตร็ด แตร็ด เข้ามาหยอด เพื่อให้เป็น Label สื่อไปว่า
ข้านี้หนา โสดาบันมาโปรด
ที่นี้ เป็นหรือไม่เป็น เราก็จะมาอาศัย การพิจารณาจาก หัวข้อ ของท่าน จขกท
พิจารณาได้อย่างไรแล้ว ก็เม้มปากไว้ เราไม่ก้าวล่วง หรือ ตามยึดสมบัติใคร
เราจะอาศัยพิจารณา เพื่อฝึกฝนเท่านั้น
จากบทความทั้งสอง ผมได้ทำ ตัวหนา เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความเป็น โสดาบัน
ซึ่งหากมีคุณสมบัติ ฟังได้ทุกเรื่อง ไม่มีการลดค่าสิ่งที่ฟัง ไม่ว่า สิ่งที่กำลังฟังอยู่
นั้นจะถูกหรือผิด ก็จะไม่ต่อว่า เพราะ ความเป็นโสดาบันนั้น จะฟังเอาจากข้างใน
เป็นหลัก จะไม่เกาะเกี่ยวหรือให้ค่ากับสิ่งภายนอก
ก็จะเห็นว่า
1. ผู้ปราวนาตนเป็น โสดาบันคนนี้ ท่านเว้นเอาไว้ว่า อภิธรรม นี้ สกิทาคามี
เท่านั้นที่อ่านรู้เรื่อง เพราะ ตอนนี้ คนที่ปรารภนี้ อ่านอภิธรรมไม่รู้เรื่อง เลย
สรุปเหมาเข่งว่า โสดาบันคนอื่นๆ ก็คงอ่าน อภิธรรมไม่ได้ อ่านไม่รู้เรื่องอย่าง
ตนแน่นอน จึง ยกไว้ว่า เป็น กิจของ สกิทาคามีขึ้นไป
2. เมื่ออ่านไม่รู้เรื่องแล้ว ปรกติ โสดาบันก็จะไม่ตำหนิ ในสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง เพราะ
อาการไม่รู้เรื่องนั้นจะสื่อให้เห็น อวิชชา ความไม่รู้ ว่ากำลังปรากฏ โสดาบันที่
ดีก็จะได้ยินว่า ตนไม่รู้เรื่อง เป็นธรรมภายในเกิดดับ ให้เจริญสติ ก็เท่ากับได้
สดับตลอดเวลา แม้เรื่องที่ฟังจะไม่รู้เรื่อง ก็ผลิกเอาประโยชน์ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
หมด แต่ ทว่า !
โสดาบันท่านนี้บอกว่า อภิธรรม เป็น ขยะ โสดาบันอ่านอภิธรรมย่อมวิจัยอะไร
ไม่ได้ หากโสดาบันไปอ่านอภิธรรม ก็เท่ากับ กอบขยะใส่ตน ไม่อาจทำประโยชน์
ได้ ......จริงหรือ !?
ก็ฝากเป็น ตัวอย่าง สองคำถามนำ ต้องขออภัยที่ถามกึ่งชักนำ แต่ก็ลอง
วิจัยเล่นๆดู วิจัยได้อย่างไรก็ไม่ต้องเป็น Finance ไปตามยึดสมบัติอะไร
ของใคร (ทรงอามรณ์โสดาบันไว้มีประโยชน์กว่า)
* * **
อนึ่ง ในพระไตรปิฏก มีปุถุชน500 คน ที่พึ่งเวียนว่ายตายเกิดมาจาก
การเป็นสัตวเดรักฉานแค่ 2 ชาติ คือ ค้างคาว-เทวดา-ปุถุชน ปรากฏ
ว่า ฟังอภิธรรมแล้วรู้เรื่อง สำเร็จพรวดเดียวไปเป็น อรหันต์ทั้ง500คน
500 คนเจียวหน่า ไม่ใช่น้อยๆ -
-
การเป็นพระโสดาบัน ปฏิบัติตามนี้ สวงนสิทธิื์์เฉพาะท่านที่มีศรัทธาในตัวครูอาจารย์ (อาจารย์เอ๋ บางแค) 1.ตั้งจิตใจสำรวจดูตัวเองว่าเคยประมาทพลาดพลั้งในพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ และพระสงฆ์สาวกบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่เคยก็ดีไป และจำไว้ว่า ถ้าเคยล่วงเกินท่าน โดยเฉพาะทางใจ หรือคำด่า ก็ตั้งจิตใจให้เป็นกุศล คือให้คิดดีเดี๋ยวนี้ แล้วกล่าวในใจขอโทษพระองค์ซะ ขอโทษพระรัตนตรัย เช่น ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดจนโต ข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้งในพระรัตนตรัยไม่ว่าจะกี่ครั้ง ข้าพเจ้าขอโทษด้วยต่อพระรัตนตรัย ขอให้พระรัตนตรัยอดโทษให้ข้าพเจ้าด้วย ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้รับโทษฑัณฑ์ใดๆเลย ด้วยกาย วาจา ใจอันปกติและศรัทธาพระพุทธองค์ ขอพระองค์ทรงอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า และละสังขารแล้วถ้าไม่นิพพานก็ขอให้ไปสู่สุคติด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า...2.ปรับจิตใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ประเด็นหลักก็คือต้องศรัทธาพระพุทธเจ้า เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราจะปักใจลงไปที่การจะเป็นคนดี คนดีที่ที่ความคิดและจิตใจ และก็ควรศรัทธาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ด้วย 3.ทำความเข้าใจความหมายของอนัตตา พิจรณาพุทธพจน์(ของพระพุทธเจ้า) ว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา หมายความว่ารูปนามไม่ใช่ตัวตน รูปร่างกายเราก็อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา คือไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลง ทนยากต้องแบกต้องบริหารจึงเป็นทุกข์ (การบริหารขันธุ์ 5 เป็นทุกข์) และรูปร่างกายเรามันไม่ใช่ตัวตนที่เราบังคับได้ตลอด เพ่งมองลงที่ท้อง จินตนาการเห็นตับไตใส้พุง นั่นคือมันไม่สะอาด สกปรก น่ารังเกียจ เหม็นคาว นี่คือนัตตาความไม่ใช่ตัวตน เข้าใจด้วยวิปัสสนานะ ไม่ใช่วิปัสสนึก ให้ทำกรรมฐานพิจรณาเอาแต่ละท่าน เมื่อเราเห็นรูปกายว่ามันไม่สวยงาม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน นี่แหละเราไม่มีสักกายะทิฏฐิ จึงไม่เห็นกายที่โสโครกเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา ไม่ใช่ เราคือจิต จิตอยู่ที่กลางท้อง เป็นดวงกลมใสๆ สว่างสะอาดตามความดีของแต่ละคน 3.ศีล 5 บริสุทธิ์ และไม่มีเจตนาจะละเมิดศีล รักษาศีลที่ใจและปัญญา 4.เป็นคนดี จิตใจเป็นอรรถเป็นธรรม รักธรรมะ และปฏิบัติธรรม มีในทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น 5.จิตสงัด สงัดจากกิเลส สงบ ตน สำรวม สะอาด สว่าง ไม่โง่ ไม่กำหนัด ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ เป็นพระที่ใจ และไม่ประมาท!
-
ใจน่ะใจน่ะ บางทีเน้นแต่ทางด้านปัญญา เอาปัญหาไปถามพระอรหันต์ 7-8 ข้อ ท่านตอบไม่ได้ซักข้อก็มี เพราะท่านพ้นแล้ว ท่านนิพพานแล้ว..........
-
เดียวก่อน คุณ ฟางว่าน อ่านตรงนี้ ทำความเข้าใจก่อน ที่กล่าวว่าพระโสดาบันกิเลสเท่าเดิม
รวมถึงสิ่งที่กล่าวไว้ทั้งหมด ไม่ใช่ความรู้ของผม แต่ผมคัดลอกมาจาก
คำสอนของหลวงพ่อฤษีลิงดำทั้งหมด ที่กล่าวว่าพระโสดาบันกิเลสเท่าเดิม
ท่านว่าไว้แบบนี้จริง ผมไม่กล้าอวดว่าผมสอนเอง ที่ยกคำสอนท่านมา
เพื่อจะกันคนอื่น มาว่าผมว่าอวดตัว ถ้าท่านคัดค้าน ว่า
พระโสดาบันกิเลสลดลงโขก็ขอให้ค้านกับคำสอนหลวงพ่อฤษีลิงดำเอาเอง
ท่านที่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนตรงนี้ ท่านจะทราบดี
ว่าหลวงพ่อพูดกล่าวไว้แบบนี้ ชัดเจน
-
ขอเพิ่มเติมความรู้ที่ิเคยศึกษามานะครับ
.
มี หิริ - โอตตะปะ หรือ ความเกรงกลัวต่อบาป เชื่อว่าผลของบาปกรรมมีจริงจึงไม่กล้าทำผิดอีก
ไม่สนใจเรื่องดวง สนใจกรรมหรือการกระทำ ทางกาย วาจาใจ
เชื่อว่า นรก สวรรค์ นิพพาน มีจริง ปฏิบัติได้จริง
ถือศีล 5 บริสุทธิ์
ไม่อาฆาตใคร,ไม่โลภอยากได้ของใคร, ยังเหลือหลงอยู่นิดหน่อย
คำสอนที่ศึกษามา -
สุตะนี่สำคัญนำหน้ามาเลย โสดาบันก็มาจากสุตะนี่แหละ
-
ที่ว่ากิเลสเท่าเดิม อาจหมายถึงโสดาปฏิมรรคกระมัง ?
ทำให้การประพฤตปฏิบัติ ไม่เลยขอบเขตของศีล ซึ่งมีมรรคในส่วนหนึ่งนั่นเอง...
ใครจะเป็นโสดาบันแล้วหรือไม่ สำคัญไฉน
พิจารณาในส่วนที่เป็นประโยชน์ ก็เพียงพอแล้ว -
แต่จะให้ดี เราก็อ่านรับข้อมูลไป ทำไมจะต้องไปคิดว่าคนเขาประกาศศักดาเล่า
แต่หากว่าเขาจะประกาศศักดา แล้วมันมีเหตุผล เราก็ควรจะรับสิ่งที่เขาพูดมาพิจารณา
อย่าไปจับประเด็นผิด
คนอื่นเขาประกาศศักดานี่ไม่ชอบ แต่ชอบคนที่เขาประกาศศักดาให้กับตนเองใช่ไหม -
ที่ไม่รวมพระโสดาบัน ว่าเหมาะสมกับพระอภิธรรม ก็เพราะว่า พระโสดาบันยังสมาธิไม่กล้าพอ สติไม่กล้าพอ ปัญญาพอประมาณ จะไปวุ่นวายกับพระอภิธรรมก็เปล่าประโยชน์ ไม่ใช่ไปห้าม
ไม่ใช่ว่า กูอ่านไม่รู้เรื่อง กูเป็นแค่พระโสดาบัน เลยบัญญัตซะว่า พระอภิธรรมเหมาะกับพระสกิทาคาขึ้นไป
เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว -
อย่ารีบร้อนเฉลยอะไรซี่คร้าบ
แล้ว ตกลง
มันมีเรื่อง ประกาศศักดาจริงๆ หรือครับ
ที่ผมจั่วเอาไว้ ก็เป็นเพียง ข้อสังเกตุประกอบเท่านั้น เพราะถ้า
ไม่ระบุประกอบ คนเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปหยิบจับ ใครมาพิจารณา
สุ่มสี่สุ่มห้าทำไม ก็เลยต้อง ชักจูง ชี้ประเด็นใครเป็น ใครสำคัญ
ว่าเป็นโสดาบันนิดหน่อย ( จริงๆ ผมไม่จั่ว บางคนเขาก็ทราบกัน
มาตั้งนานแล้ว ว่า ลุงเป็นตัวอย่างในกรณีนี้ได้ไหม )
แล้วผลของการวิเคราะห์ ใครเขาจะวิเคราะห์อย่างไร ผลยังไม่
ออกมาเลย ยังไม่มีใครกล่าวอะไรเลย หากจะกล่าวออกมา
ผมก็ระบุชัดเจนว่า เม้มปากไว้
เราจะอาศัยเป็น สิ่งฝึกหัดแยกแยะ เท่านั้น
ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ไม่มีใครไปลดคุณธรรม ศักดา อะไรของ
ลุงสักกะหน่อย -
สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU
วุ่นวายหนอ - -"
-
สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU
ขอแจมบ้าง เอาง่ายๆ ใครคิดว่าเป็นโสดาบัน ถามใจตัวเองว่า อยากเป็นสกิทา กับอนาคาใหม
ถ้าอยาก มีคนบอกว่ายังไม่ใช่ เขาว่า โสดาบันเขามองไปไกลสุดทางแล้ว สกิทาหรืออนาคาก็แค่ผลพลอยได้ เป็นทางผ่าน ไม่ไช่สิ่งที่อยากจะได้ -
มองเห็นธรรมชาติตามความจริง แต่ความลึกซึ้งแตกฉานนั้นขึ้นกับบุญบารมี
รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่ครับ
มองเห็นธรรมที่อยู่เหนือธรรมชาติ นั้นคือพระนิพพาน และพระพุทธเจ้า
ส่วนพระสกิทาคามีนั้น กิเลสลดลงบ้างครับ แต่ก็ยังมีนั่นหละครับ
ส่วนมียังไงนั้น เป็นปัจเจกบุคคล เรื่องของแต่ละคน ไม่เหมือนกันหรอกครับ
ไม่ต้องคิดหรอกครับ แค่ปัญญาวิมุตติ กับ เจโตวิมุตติ ก็แตกต่างกันมากมาย
โมทนาครับ -
เป้งงงงงงงงงง
หมดยกที่ หนึ่ง
ได้กันไปคนละเเผล
พักกินนํ้าก่อน คลายกล้ามเนื้อก่อน
เป้งงงงงงง ยกที่สองเริ่มด้ายยยยยย
-
โสดาบันฟางว่านครับ เงียบๆไว้ดีอยู่แล้วครับ เดี๋ยวคนอื่นรู้หมดว่าโสดาบัน ถ้าจะเป็นแค่คิดเอาเองว่าเป็นก็เป็นได้แล้ว / ส่วนคนอื่นทะเลาะกันต่อไปได้
หน้า 1 ของ 4