เวลาผมดูลมหายใจทั้งตอนนั่งสมาธิและในชีวิตปรกติเหมือนลมหายใจหรือระบบการหายใจมันผิดเพี้ยนจากเดิม จนต้องพยายามบังคับลมหายใจเข้าออกยาวๆเพื่อจะได้ดูและรู้สึกถึงการเข้าออก การพยายามบังคับลมหายให้สั้นยาวเพื่อให้ดูลมนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ แล้วที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ผมไม่สามารถรู้สึกถึงการเข้าออกของลมหายใจเป็นธรรมชาติได้เลยรวมถึงการกระทบที่จมูกผมจึงต้องพยายามบังคมลมหายใจเกือบตลอดเวลาเพื่อที่จะดูลมหายใจ เพราะ ทุกครั้งที่ผมมีสติคิดขึ้นได้ว่าจะดูลมหายใจมันกลับอึดอัดเหมือนหายใจไม่พอจนต้องบังคับให้มันยาวกว่าปรกติเพื่อดู
สอบถามเรื่องการดูลมหายใจครับ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ppmtm15, 17 ธันวาคม 2014.
หน้า 1 ของ 3
-
การดูลมหายใจนั้นผมขอเอาประสพการณ์ส่วนตัวมาตอบเจ้าของกระทู้ดังนี้
1.การดูลมเมื่อลมยาวก็รู้ เมื่อลมสั้นก็รู้ มันจะสั้นหรือยาวก็เป็นไปโดยธรรมชาติของเขา ที่ไปบังคับให้สั้นหรือยาวมันจึงไม่ถูกต้อง ผลที่ได้ก็คือความผิดปกติอึดอัด หงุดหงิด ฟุ้งช่านด้วย
2.ควรดูเพียงจุดใดจุดหนึ่ง หากตามลมสมาธิจะเกิดได้ยาก สมาธิคือความตั้งมั่น การตั้งมั่นจะเกิดได้ดีเมื่อรับรู้เพียงจุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียว การรู้ที่จุดเดียวก็รู้ได้ว่าลมยาวหรือสั้น หากยาวมันก็ผ่านจุดที่ดูยาว หากสั้นมันก็ผ่านจุดที่ดูสั้น
3.การบังคับ ไม่ว่าบังคับลมหรือบังคับให้ไปรู้ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง การปฏิบัติควรค่อยๆน้อม ค่อยๆดึงให้เข้ามารับรู้ในสิ่งที่ควรรับรู้ บางครั้งก็เข้ามา บางครั้งก็ออกไป เมื่อเขาออกไปรับรู้สิ่งภายนอกหรือสิ่งอื่น หากเป็นอย่างนี้ก็ตามเขาไปดูด้วยจากนั้นก็ค่อยๆดึงเขากลับมา คล้ายๆกับที่เขาสาวสายเบ็ดที่ติดปลา มีปล่อยบ้างดึงบ้างสลับไปมาจนเขายอมเอง
ผมให้หลักไว้เท่านี้ น่าจะเป็นประโยชน์ครับ -
แต่ถ้าจะตามลมให้ได้ แนะนำให้ละจากความคิดว่าต้องนั่งสมาธิ ต้องเดินจงกรม เอาเป็นว่า ใช้ชีวิตปัจจุบันตามปรกติ แต่ให้มีสติ รู้ตัวเอง รูัอารมณ์ ก็พอครับ เพราะการดูลมจะเป็นวิปัสสนาได้ ก็เมื่อเราดูลมแล้วพิจารณาความเปลี่ยนแปลง เช่น เมื่อลมหายใจเริ่มหนักและยาว เริ่มอึดอัดแน่นหน้าอก ก็เป็นอารมณ์ของความไม่พอใจ คือโกรธ พอรู้ลม ก็รู้ตัวว่าโกรธ แล้วก็ระงับได้ หากแต่ผู้มีสติเหนืออารมณ์แล้ว ไม่ต้องตามลมไม่ต้องดูลมแล้ว เพราะเขารู้อารมณ์อยู่แล้ว บุคคลนั้นมีสติ มีทั้งสมาธิ และการระงับอารมณ์ ความรู้เท่าทันนั้นแหละ คือตัวปัญญา -
ผมเป็นคนหนึ่งที่ทํา อานาปานุสติ แล้วทําให้ผม หลับง่ายมาก คลายเครียดได้ แล้วอีกหลายอย่าง
แนะนําให้อ่านอันนี้ครับ http://www.larnbuddhism.com/grammathan/anapana2.html -
-
แรกๆก็เป็นแบบนี้แหล่ะ..เดี๋ยวคล่องๆก็รู้เอง..
-
หาหนังสื่อเล่มนี้อ่านครับ
" คู่มือการฝึก อานาปานสติสมาธิ " โดย อาจารย์ พร รัตนสุวรรณ -
พระธรรมเทศนาของพระครูสุทธิธรรมรังษี
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม
ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
แสดง ณ วัดธรรมสถิตย์ อ.เมือง จ.ระยอง
เนื่องในโอกาสงานบำเพ็ญกุศลวันครบรอบการมรณภาพ
ของพระครูญาณวิศิษฏ์ (พระอาจารย์เฟื่อง โชติโก)
การปฏิบัติเจริญอานาปา ต้องการใจตัวนั้นให้สงบเป็นสมาธินะ...ต้องเป็นสมาธิ ไม่เป็นสมาธิ มาดูลม มันก็คิดออกไป แล้วจะได้สมาธิอย่างไร
.
-
อาการอย่างนี้เป็นปกติครับ เป็นกิริยาปกติก่อนที่เราจะมี
ลมหายใจที่ละเอียดขึ้นได้ในอนาคตครับ.
ไม่เกิน ๒ สัปดาห์ก็ชินครับค่อยๆทำไปนะครับ....
อาการจะรู้สึกว่าเหมือนๆมีลมวิ่งตีไปตีมาตรงๆในช่วงระหว่าง
ท้องถึงลิ้นปี่ และก็รู้สึกว่ามีความรู้สึกที่หน่วงๆคล้ายๆรู้สึก
ว่ามีลมเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาที่ปลายจมูกร่วมด้วย..
หลักคือทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจเข้าและออกกระทบ
ที่ปลายจมูก แต่ลมหายใจเราลึกถึงท้องครับ...
ขณะหายใจเข้าพอท้องพองให้หยุดลมหายใจที่ปลายจมูกข้างนอก
พอหายใจออกท้องยุบก็ให้หยุดลมหายใจที่ปลายจมูกข้างในครับ
ที่เรารู้สึกขัดๆอะไรก็ตาม เป็นเรื่องธรรมดาเพราะปกติเราจะหายใจ
เข้าออกมาสิ้นสุดอยู่ที่หน้าอกเป็นปกติทุกคน..ทำไปไม่เกิน ๒ เดือน
แต่ร่างกายปกติจะต้องให้การปรับตัวประมาณ ๒ สัปดาห์เราให้
ร่างกายค่อยๆปรับตัวของเค้าเองตรงนี้ด้วยครับ แต่ช่วงแรกๆ
เราก็จำเป็นที่จะต้องบังคับเพื่อเป็นแนวทางให้ร่างกายได้ปรับตัวของเค้าก่อน
เด่วต่อไปการหายใจลึกถึงท้องอย่างนี้ก็จะเป็นระบบหายใจปกติในชีวิตประจำวัน
และเป็นธรรมชาติการหายใจปกติของเราได้เองโดยไม่ต้องบังคับครับ..
ซึ่งการหายใจแบบนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับกรรมฐานเกือบทุกๆกองด้วยครับ... -
ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบ สาธุครับ
กราบๆๆ ทุกท่านที่มีเมตตาแนะนำ -
การพูดคุยบ้างก่อน ก่อนจะแนะนำเปรี้ยงๆลงไป ซึ่งเท่ากับเหมือนปรับจิตใจก่อน อีกอย่างหนึ่ง บางทีก็เข้าใจเอาจากการคุยกันนั่นแหละ
คือ ปกติคนเราก็หายใจเข้า-ออกกันโดยธรรมชาติอยู่แล้วไม่มีปัญหาติดขัดอะไร มันเพิ่งมาเกิดปัญหาเอาตอนที่เราคิดจะใช้มันนี่แหละ เพราะอะไร ? เพราะไปบีบบังคับให้มันเป็นไปตามอย่างที่เราต้องการจะให้มันเป็น ตามความยึดความอยากของเรา เมื่อธรรมชาติมันไปเป็นไปตามที่ยึดเราอยาก ก็เกิดปัญหาบีบคั้นจิตใจเรา (ที่เน้นสีไว้ปัญหาเกิดจากตัวเองบีบธรรมชาติให้เป็นไปตามความยึดความอยากของตัว) -
ลมหายใจตามธรรมชาติ สั้น ก็ให้มันรู้ว่าสั้น ยาวก็ให้มันรู้ว่ายาว มันติด มัน จุก มันเเน่นยังไงก็ให้รู้ตามมันไป ไปบังคับให้มันยาวๆ เเล้วมันจะเรียกว่าธรรมชาติได้ยังไง ก็ในเมื่อเรากําลังบังคับ ให้มันยาววววววววววววววว
-
ทุกครั้งที่ผมมีสติคิดขึ้นได้ว่าจะดูลมหายใจมันกลับอึดอัดเหมือนหายใจไม่พอจนต้องบังคับให้มันยาวกว่าปรกติเพื่อดู
อึดอัดเพราะเรากํงลังบังคับมัน ฝืนมัน จนมันอึดอัดไง เราไปฝืนมัน มันก็ต้องอึด เเละ อัดเป็นธรรมดาจ๊าาาาาาาาาา -
ประสบการณ์ก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อนคะ การบังคับลมหายใจแล้วทำให้รู้สึกอึดอัด
เนื่องจากธรรมชาติของลมหายใจมีความอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับการบังคับบัญชาของใคร
เมื่อเราไปบังคับให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการ เขาเลยแสดงผลให้รู้เลยคะว่าทุกข์ คือ
ความอึดอัด เหมือนกับธรรมะ ทุกสิ่งไม่ขึ้นอยู่กับการบัญชาการของผู้ใด ทุกสิ่ง
ทุกอย่างปล่อยให้เป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งนี้เราก็นำมาพิจารณาเป็นปัญญาก็ได้คะ
ส่วนการกำหนดดูลม ลมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก วิ่งไล่จับหรือตามลมยาก ก่อนที่
จะตามดูลม เราต้องทำให้ลมอยู่ในสิ่งที่มีขอบเขตกั้นเสียก่อน อุปมาดั่งการเอา
ควันไฟไปไว้ในขวดโหล จะเห็นชัดกว่า ควันไฟที่อยู่ข้างนอกขวด จะตามเห็นยาก
เปรียบเสมือนตัวเราเป็นขวดโหลนั้นคะ การตามดูลมหายใจ ก็ตั้งการดูไว้ที่จุดใดจุดหนึ่ง
ในร่างกาย แล้วน้อมดูลมหายใจว่าธรรมชาติลมหายใจเป็นอย่างไร โดยไม่ต้องบังคับ
เพียงแค่กำหนดดูอย่างเดียว แล้วเราจะเห็นลมหายใจได้ชัดเจน และสงบได้ดีกว่า
การวิ่งตามลมหายใจคะ
ธรรมชาติลมหายใจก็แปลกนะคะ ถ้าเรากำหนดรู้และดูอย่างถูกต้อง เราไม่ต้อง
ทำอะไรเลยแค่กำหนดดูอย่างเดียว ทุกอย่างจะจัดการเป็นไปตามธรรมชาติเอง
หากเราไปบังคับควบคุมจัดการ การนั่งดูลมหายใจไม่ค่อยได้ผลคะ -
ดูกรน้องรจนารูปัง นาวิยานา นาสังญานา สังสการานา วียานัม สูญนิยะตายะ ...คเต คเต ปารสังคะเต โพธิสวาหา
โพสนี้มีแต่มรรค ยกได้ว่ามีแต่สุญญตา เพราะเป็นวจนะ
ทางปฏิบัติแต่ส่วนเดียว ใครลองจึงรู้ ใครไม่ลองก็ดับไป
โพสนี้พี่เห็นแล้วใจมีปิติ สติไม่สมประดี เป็นนักหนา มิอาจ
จะหาคำมาพรรณนาให้สมคุณค่าแห่งธรรมได้
อยากถามแต่เพียงว่า " ธรรมบรรยาย อาศัย ปัจจัยเกิด เหมือน
สังขารธรรมอื่นๆ แล้วก็ดับ " หรือ " ธรรมบรรยายอาศัย ปัจจัย ความสวยสดงด
งามในการรวบความ จงใจให้เป็นตามอำนาจ ค้างเป็นเขม่ามีน้ำหนัก" ? -
อิอิ ความสามารถพิเศษคะ เคยติดขัดปัญหาไม่สามารถทำได้ซักกะที
อยู่ดีดีก็ได้มาจากการสังเกตุธรรมชาติรอบตัว แล้วนำมาทดลองปฏิบัติ
เห็นผลชัดเจนในการปฏิบัติระหว่างการปฏิบัติถูก และปฏิบัติผิด สามารถ
ทดลองปฏิบัติเรียนรู้ได้จากกายใจของเราเองคะ เป็นเครื่องยืนยัน -
พัฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ์
ยืนยันนี่ มี เรา เข้าไปแย่งชิงผลงาน การฮู้ แล้ว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับ สุข โชยมา
หรือว่า
ยินยันด้วย ธรรม เกิดเป็นปิติ ไม่มีตัวเราไปสอดรับ ทำให้เกิด ปัสสัทธิ ฌาณจิต
ท่วมทับทวี จน ขันธ์ เอาไม่อยู่ มารสบช่อง ก็มักลากไป หิวอารมณ์แบบเดิม
ไปเรื่อยๆ เหมือนคนหาทางออกไม่ได้ แต่ไม่ท้อ เข็นช้างเข้ารู้เข็ม ก็จะปฏิบัติ
ไม่เสียเวลาพูด สรุปธรรม ให้เสียกำลัง เห็นแต่ความไม่เที่ยงในสิ่งไรๆ แม้แต่ มรรคก็แสดงความไม่เที่ยง
เจริญ แล้วก็เสื่อม เจริญ แล้วก็เสื่อม เจริญ แล้วก็เสื่อม เจริญ แล้วก็เสื่อม เจริญ แล้วก็เสื่อม
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
อันไหน ขอรับท่านนนนนนนน บรูววววววววววส์ -
ข้อแตกต่างระหว่าง "ดูลมหายใจ" กับ "รู้ลมหายใจ"
+++ ตรงนี้สังเกตุได้ง่ายว่า "ดู" เมื่อไรก็ "ผิดปกติ" เมื่อนั้นใช่หรือเปล่า ให้เก็บตรงนี้ไว้เป็น "สังเกตุ step 1"
จนต้องพยายามบังคับลมหายใจเข้าออกยาวๆเพื่อจะได้ดูและรู้สึกถึงการเข้าออก
+++ ผลลัพธ์คือ "ต้องต่อสู้" เมื่อหลังจาก step 1 ส่ง "ผลลัพธ์" แล้ว (สู้กับทุกข์)
การพยายามบังคับลมหายให้สั้นยาวเพื่อให้ดูลมนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ
+++ ตรงนี้อย่าเพิ่ง "ด่วนสรุป" เพราะยังไม่ใช่ การแก้ที่ "เหตุ"
แล้วที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร
+++ วิธีที่ "ถูกต้อง" และขั้นตอน "ง่าย ๆ" อยู่ข้างล่างนี้
ผมไม่สามารถรู้สึกถึงการเข้าออกของลมหายใจเป็นธรรมชาติได้เลยรวมถึงการกระทบที่จมูกผมจึงต้องพยายามบังคมลมหายใจเกือบตลอดเวลาเพื่อที่จะดูลมหายใจ เพราะ ทุกครั้งที่ผมมีสติคิดขึ้นได้ว่าจะดูลมหายใจมันกลับอึดอัดเหมือนหายใจไม่พอจนต้องบังคับให้มันยาวกว่าปรกติเพื่อดู
+++ การทดสอบความแตกต่าง ระหว่าง "ดูกับรู้"
1. ให้หายใจ "ตามปกติ" แบบ คนที่ไม่ได้ฝึกอะไรเลย แต่ "ลมหายใจทั้งหมด" ก็ยัง "รู้อยู่ดี" แบบ "ไม่ต้องดู ก็รู้ได้" (ต้องลองทำดู สันทิฐิโก)
2. ให้กลับมา "ดู" ลมหายใจอย่างที่เคยทำ แล้วสังเกตุ "การเปลี่ยนแปลง" เช่น ระบบการหายใจมันผิดเพี้ยนจากเดิม หรือ อึดอัด ต่าง ๆ เป็นต้น
3. ให้ "สลับ" มาที่ "รู้" ลมหายใจ "แบบไม่ได้ฝึก" ใหม่อีกที แล้ว "สังเกตุว่า" ทุกอย่างกลับมาเป็น ธรรมชาติ อย่างที่มันควรจะเป็นหรือไม่
+++ จากการสลับไปมาระหว่างข้อ 1-3 นี้ ไม่น่าเกิน 15 นาที ก็พอจะรู้ "ความแตกต่าง" ได้ชัดเจน
4. คราวนี้กลับมา "รู้" แบบคนที่ไม่ได้ฝึกอะไรเลย "แต่" ให้ "ทรงสภาพ" อยู่อย่างนั้น และ "ถ้าทำได้จริง" ก็จะรู้เองว่า
5. ยามที่ ลมหายใจ "เข้า-ออก สั้น-ยาว หยาบ-ละเอียด" ต่าง ๆ ก็จะ "รู้" ได้ทั้งหมด ซึ่งจะเป็น "ผลลัพธ์ที่ ตรง ตามอานาปานสติสูตร" ทุกประการ
+++ หาก "อยู่" เช่นนั้นอีกเพียง "ครู่เดียว" ก็จะสำเหนียกรู้ได้ว่า อาการ "รู้ทั้งตัว" หรือ "รู้สึกทั้งตัว" ย่อมมีมาเอง ตามธรรมชาติของมัน
+++ จากนั้น "หากอยู่" ในสภาพที่ "รู้ทั้งตัว หรือ รู้สึกทั้งตัว" ได้ ไม่ว่าจะ "ขยับแขน-ขา ดื่มกิน-ขับถ่าย" ต่าง ๆ ก็จะ "รู้ทั้งหมด" ได้เอง ซึ่งจะได้ "ผลลัพธ์ที่ ตรงกับ กายานุปัสสนา หรือ เวทนานุปัสสนา" ที่มีมาเอง เป็นมาเอง ทุกประการ
+++ หาก "ทำ" ตรงนี้ได้เป็น "นิสัย" ก็จะ "รู้" รวมไปถึง "การ เหลีอบซ้าย แลขวา ของ อาการดู" เมื่อ "รู้" อาการของ "กาย+ความรู้สึกกาย" ทั้งหมด แล้วไม่นาน
+++ ยามใดที่มีการ "เหลือบซ้าย แลขวา" ก็จะ "สำเหนียก" ถึง "การส่งออก" ของจิตตน "ไปตามกระแสการ ดู" ได้ ตรงนี้เป็น "จิตตานุปัสสนา" จากนั้นอีกไม่นาน
+++ ก็จะสำเหนียกได้ว่า "จิตส่งออก ไปข้างนอก" แต่ "อารมณ์ทั้งหมด" กลับเกิด "ข้างใน" ตรงนี้เป็น "ธรรมานุปัสสนา"
+++ หาก "อยู่ตรงนี้ได้จนเป็นนิสัย" ก็จะ "รู้ชัด" ได้ว่า "จิตตา และ ธรรมา" หรืออีกนัยหนึ่งคือ "จิต กับ อารมณ์" มันเกิดกัน "คนละที่" มันจึง "เป็นคนละตัว"
+++ และใน "ขั้นตอนระดับนี้" หาก "ดูที่จิต ก็เป็นการ เพ่งจิต" หาก "ดูที่อารมณ์ ก็เป็นการ เพ่งอารมณ์" ตรงนี้ "เป็นการใช้ภาษา ให้ตรงกับอาการ ที่คนไทยธรรมดาเข้าใจได้"
+++ และหากยามใดที่ "ตัด" การ ดู ทิ้งไป (บางท่านอาจเรียกว่า "เพิก ถอน วาง ละ ปล่อย" ก็แล้วแต่ความสะดวกของภาษาที่ท่านใช้) ทุกอย่างก็จะ "รู้" อยู่ดี
+++ ยามใดที่ทำ "รู้" ตรงนี้ให้เป็น "นิสัย" ได้ ก็จะเข้าใจได้เองว่า คำว่า "อยู่กับรู้" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล คือ อาการอย่างไร
+++ และอยู่ตรงนี้ไปเรื่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ "เรียนรู้" ได้เองว่า "ทุกสิ่งที่ ถูกรู้" ล้วนมีอาการ "แปรปรวน เกิด-ดับ" เป็นธรรมดา
+++ และไม่นานก็จะเกิด "เบื่อ" สรรพสิ่งที่ "เกิด-ดับ" ไปเอง รวมทั้ง อุปจาระสมาธิ (กามาวจร) รูปฌาน 4 (ถอดกายใน รูปาวจร) และ สภาวะธรรมารมณ์ที่ ตนเสพอยู่ (อรูปาวจร อรูปฌาน) ต่าง ๆ
+++ เมื่อถึงเวลาก็จะ "วาง" เรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไปได้เองตามธรรมชาติ หลงเหลือแต่ "การอยู่กับสภาวะต่าง ๆ ตามความเป็นจริงที่ มีอยู่ เป็นอยู่" เท่านั้น
+++ ต้นเหตุทั้งหมด อยู่ที่การทำ "อานาปานสติ" ได้ถูกต้อง เท่านั้นเอง ส่วนใครทำได้เท่าไรก็ถือว่า "ทำได้เท่านั้น" ก็แล้วกัน
+++ ให้ถือว่าเป็นการ "มอบของขวัญปีใหม่ 2558" นี้ จากผม ทั้งหมดก็เท่านั้น นะครับ -
ผมก็เปนคนยงนึงที่ตามหาลมหายใจที่เป็นธรรมชาติไม่เจอ อาการเดียวกันเลยครับ
ลองมาหลายวิธิ เจอวิธีนึงคือ ผมอ่านหนังสือเล่มที่ผมชอบแล้วก็กำหนดดูลมไปด้วย
แรกก็กระโดดไปมาระหว่างหนังสือกับลม สักพักเราเพลินกับหนังสือ แต่ก็ยังรู้สึกถึงลมอยู
แต่มันเบากว่าตอนที่เรากำหนดดูตามปกติ รึว่านี่อาจใช่ลมหายใจเข้าออกที่เป็นธรรมชาติ
ลองดูครับ ผิดถูกประการใดขออภัย ณ ที่นี้ด้วย -
ลมที่เป็นธรรมชาติก็มีทั้งหยาบและละเอียด ทั้งสั้น ทั้งยาว ลมที่แผ่วเบาก็คือลมละเอียด จะยาว จะสั้น หยาบหรือละเอียด ก็ล้วนเป็นธรรมชาติ
แต่ที่จะเห็นเป็นธรรมชาติเนื้อแท้ของลม ก็ต้องปล่อยเขาแสดงตัวออกมา อย่าไปแต่งเติมหรือบังคับสภาพของลม เพราะจะทำให้ไม่เห็นตัวตนที่แท้ของลม หรือธรรมชาติของลมนั้นเองครับ
เจริญในธรรม
หน้า 1 ของ 3