สัทธรรมปุณฑริกสูตร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Pariotha, 25 สิงหาคม 2020.

  1. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๑
    บทอิทธิฤทธิของพระตถาคต

    ในวลานั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ซึ่งปรากฎออกมาจากพื้นโลก จำนวนมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแห่งหนึ่งพันโลกธาตุ ทั้งหมด ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ด้วยใจเดียวประนมมือ เพ่งมองด้วยความเคารพที่พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หลังจากพระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ในดินแดนที่พระพุทธะเแบ่งภาคของพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ และในที่ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าสู่ความดับ พวกข้าพระองค์จะสอนพระสูตรนี้ให้กว้างไกล พระเจ้าข้า ทำไมหรือ เพราะว่าพวกข้าพระองค์เองก็ปรารถนาที่จะได้รับพระธรรมอันยิ่งใหญ่ แท้จริงและบริสุทธิ์นี้ เพื่อรับ ยึดถือ อ่าน สวด อธิบาย สอน คัดลอก และถวายเครื่องสักการะแด่พระสูตรนี้ด้วย พระเจ้าข้า”
    เวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อหน้าของพระมัญชุศรีและพระโพธิสัตว์มหาสัตว์อื่นมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้าน อันเป็นผู้ที่ได้อาศัยอยู่ในสหาโลกธาตุมาแต่เดิม รวมทั้งหมู่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์และอมนุษย์ ณ เบื้องหน้าของคนเหล่านี้ พระพุทธองค์ได้สำแดงพลังอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ ด้วยการแลบพระชิวหาอันกว้างยาวของพระองค์ออกไปข้างบนจนจรดพรหมโลก และจากทุกขุมพระโลมาพระองค์ได้เปล่งลำแสงมากมายนับไม่ถ้วน อันทำให้โลกธาตุทั้งหมดในสิบทิศสว่างไสวไปทั่ว
    พระพุทธะอื่น ๆ ที่ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ใต้ต้นไม้อัญมณี จำนวนมากมายเหลือคณานับ ก็ได้ทรงสำแดงพลังอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกันคือ แลบพระชิวหาอันกว้างยาวออกไปและเปล่งลำแสงมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อพระศากยมุนีพุทธเจ้าและพระพุทธะอื่นๆ ใต้ต้นไม้อัญมณี ทรงแสดงพุทธอิทธิฤทธิอยู่นั้น ทรงใช้เวลาหนึ่งแสนปีเต็ม หลังจากนั้นพระพุทธะทั้งหมดได้หดพระชิวหากลับ และแล้วทรงกระแอมและดีดนิ้วอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงอันเกิดจากการกระทำสองอย่างนี้ดังไปทั่วพุทธเกษตรทั้งหลายในสิบทิศ และพื้นดินในพุทธเกษตรเหล่านั้นสั่นสะเทือนไปใน ๖ วิถี
    สรรพสัตว์ในโลกธาตุเหล่านี้อันมี เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ เนื่องด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า ทั้งหมดต่างได้เห็นในสหาโลกธาตุนี้มีพระพุทธะมากมาย ไม่มีขอบเขตจำกัด หลายร้อยพันหมื่นล้าน ประทับนั่งเหนือสีหบัลลังก์ ใต้ต้นไม้อัญมณีจำนวนมาก และยังได้เห็นพระศากยมุนีพุทธเจ้าและ
    พระประภูตรัตนตถาคต ประทับนั่งร่วมสีหบัลลังก์เดียวกันในหอรัตนะ นอกจากนั้น พวกเขายังได้เห็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์มากมาย ไม่มีขอบเขตจำกัด หลายร้อยพันหมื่นล้าน และบริษัท ๔ ที่แวดล้อมพระศากยมุนีพุทธเจ้าอยู่ด้วยความเคารพ
    เมื่อพวกเขาได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ต่างเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดีอันยิ่งใหญ่ กับการได้รับสิ่งที่ไม่เคยได้มีมาก่อน ครั้งนั้น เหล่าเทวดาในท้องฟ้าได้ร้องประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “เลยพ้นจากโลกธาตุจำนวนมากมายไม่มีขอบเขตจำกัดหลายร้อยพันหมื่นล้านอสงไขยเหล่านี้ออกไป มีโลกธาตุหนึ่งชื่อว่า สหา และในโลกธาตุนั้นมีพระพุทธะพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ศากยมุนี ในเวลานี้เพื่อให้เป็นคุณูปการแก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ พระองค์ทรงสอนมหายานสูตรที่มีชื่อว่า สัทธรรมปุณฑริก อันเป็นพระธรรมที่ใช้สอนพระโพธิสัตว์ และเป็นพระธรรมที่พระพุทธะทั้งหลายได้เฝ้าดูแลและรักษาไว้ในใจ ท่านจะต้องตอบรับด้วยความปีติยินดี จากส่วนลึกแห่งหัวใจของท่าน และยังจะต้องถวายความเคารพและถวายทานแด่พระศากยมุนีพุทธเจ้าด้วย!”
    เมื่อสรรพสัตว์ต่างๆ มากมายได้ยินเสียงประกาศในท้องฟ้า พวกเขาได้ประนมมือหันหน้าไปทางสหาโลกธาตุ แล้วได้กล่าวคำเหล่านี้ว่า “นโม พระศากยมุนีพุทธะ! นโม พระศากยมุนีพุทธะ!”
    ครั้นแล้ว พวกเขาได้นำเอาเครื่องสักการะชนิดต่าง ๆ อันมี ดอกไม้ น้ำหอม สายสร้อย ป้าย และฉัตร รวมทั้งเครื่องประดับเพชรพลอยล้ำค่า และสิ่งของมหัศจรรย์อื่นๆ ที่เป็นเครื่องประดับตน ทั้งหมดรวมกันโปรยสิ่งเหล่านั้นจากที่ไกลไปทางทิศแห่งสหาโลกธาตุ วัตถุสิ่งของที่โปรยมาจากสิบทิศนั้นได้รวมเข้าด้วยกันเป็นดุจดังก้อนเมฆ ครั้นแล้วมันเปลี่ยนเป็นรูปปะรำประดับอัญมณี ครอบคลุมพื้นที่ที่พระพุทธะทั้งหมดประทับอยู่ ครั้งนั้น โลกธาตุในสิบทิศได้ถูกเปิดโล่ง ไม่มีสิ่งใดกีดขวางทางผ่านจากโลกธาตุหนึ่งไปยังอีกโลกธาตุหนึ่ง และทำให้โลกธาตุทั้งหลายได้มีลักษณะเป็นเพียงพุทธเกษตรหนึ่งเดียว
    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระวิศิษฐ์จาริตรและพระโพธิสัตว์อื่นๆ ในที่ประชุมใหญ่โดยตรัสว่า “พลังอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธะทั้งหลาย ดังที่ท่านได้เห็นแล้ว ไม่อาจวัดได้ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่อาจคิดนึกเอาได้ ถ้าในขั้นตอนแห่งการมอบพระสูตรนี้ให้แก่ผู้อื่น แม้เราจะได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เหล่านี้เป็นเวลามากมายไม่มีขอบเขตจำกัด
    หลายร้อยพันหมื่นล้านอสงไขยกัป เพื่อบรรยายบุญกุศลของพระสูตรนี้ เราก็ไม่สามารถที่จะทำให้สำเร็จได้เลย กล่าวโดยสรุปแล้ว คำสอนทั้งหมดที่เป็นของพระตถาคต พลังอิทธิฤทธิที่ใช้ได้อย่างอิสระทั้งหมดของพระตถาคต คลังแห่งจุดสำคัญอันเร้นลับทั้งหมดของพระตถาคต เรื่องราวอันลึกซึ้งที่สุดทั้งหมดของพระตถาคต สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ถูก
    ประกาศ เปิดเผย และแสดงไว้อย่างแจ่มแจ้งแล้วในพระสูตรนี้ “เพราะเหตุนี้ หลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ท่านจะต้อง ยืดถือ อ่าน สวด อธิบาย สอน คัดลอก หรือปฏิบัติตามที่สอน หรือที่ใดที่ม้วนพระสูตรเก็บไว้ ไม่ว่าในสวน ในป่า ใต้ต้นไม้ ในที่พักสงฆ์ ในที่พักฆราวาสนุ่งขาวห่มขาว ในปราสาท หรือในหุบเขาหรือในป่ากว้าง ในสถานที่เหล่านี้ ท่านควรจะสร้างหอสถูปและถวายเครื่องสักการะ ทำไมหรือ เพราะท่านควรจะเข้าใจว่า ณ จุดนั้นเป็นสถานที่แห่งการปฏิบัติศาสนกิจ ในที่เช่นนั้นพระพุทธะทั้งหลายได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว ในที่เช่นนั้นพระพุทธะทั้งหลายได้ทรงหมุน
    ธรรมจักรแล้ว ในที่เช่นนั้นพระพุทธะทั้งหลายได้เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว”
    ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระพุทธะทั้งหลาย พระผู้ช่วยชีวิตแห่งโลก
    อาศัยอยู่ในอภิญญาอันยิ่งใหญ่ของพระอค์
    และเพื่อยังความพอใจให้แก่สรรพสัตว์
    พระองค์ทรงแสดงพุทธอิทธิฤทธิ์มากมาย
    ทรงยึดพระชิวหายาวจรดสวรรค์ชั้นพรหม

    พระวรกายเปล่งรัศมีนับไม่ถ้วน
    เพื่อประโยชน์ของพวกผู้แสวงหาพุทธมรรค
    พระองค์ทรงแสดงสิ่งเหล่านี้อันยากจักได้เห็น
    เสียงกระแอมของพระพุทธะทั้งหลาย
    เสียงดีดนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์
    ได้ยินไปทั่วทุกแดนในสิบทิศ
    พื้นในดินแดนเหล่านั้นสั่นไหวใน ๖ วิถี
    เพราะว่าหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว
    จะมีพวกที่สามารถยึดถือพระสูตรนี้
    พระพุทธะทั้งหลายต่างทรงพอพระทัย
    และแสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์มากมาย
    เพราะว่าพระองค์ทรงปรารถนาที่จะมอบพระสูตรนี้
    พระองค์จึงได้สรรเสริญและยกย่องผู้ที่น้อมรับและยึดถือ
    และถึงแม้พระองค์จะได้ทำดังนั้นตลอดกัปมากมาย
    พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะสรรเสริญให้หมดได้
    บุญกุศลที่คนผู้นั้นได้รับ
    จะไม่มีขอบเขตจำกัดและไม่รู้จักหมดสิ้น
    ดุจท้องฟ้ากว้างในสิบทิศ
    อันไม่มีผู้ใดสามารถกำหนดขอบเขตได้
    ผู้ที่สามารถยึดถือพระสูตรนี้
    ตามความจริงเขาได้เห็นเรามาแล้ว
    และเช่นเดียวกันได้เห็นพระประภูตรัตนพุทธะ
    และพระพุทธะที่แบ่งภาคจากกายเรามาแล้ว
    และเขายังได้เห็นเราในวันนี้
    ขณะที่เราสอนและเปลี่ยนแปลงพระโพธิสัตว์
    ผู้ที่สามารถยึดถือพระสูตรนี้
    ทำให้เราและพระพุทธะแบ่งภาคของเรา
    และพระประภูตรัตนพุทธะผู้ได้เข้าสู่ความดับไปนานแล้ว
    ทั้งหมดต่างเต็มตื้นไปด้วยความปิติยินดี
    พระพุทธะทั้งหลายที่อยู่ในสิบทิศ
    และพระพุทธะทั้งหลายแห่งอดีตและอนาคตสมัย
    เขาจะได้เห็นและจะได้ถวายเครื่องสักการะ
    และทำให้พระพุทธะเหล่านั้นทรงพอพระทัยยิ่ง
    จุดสำคัญอันเร้นลับแห่งพระธรรม
    ที่พระพุทธะทั้งหลายได้รับ ณ สถานแห่งการปฏิบัติ
    ผู้ที่สามารถยึดถือพระสูตรนี้
    จะได้รับสิ่งเหล่านี้ด้วยเหมือนกันในเวลาไม่นาน
    ผู้ที่สามารถยึดถือพระสูตรนี้
    จะยินดีในการแสดงอย่างไม่มีที่สุด
    ซึ่งกฎเกณฑ์ของคำสอนต่าง ๆ
    พร้อมชื่อและถ้อยคำของกฎเกณฑ์เหล่านั้น
    เหมือนลมในท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง
    เคลื่อนที่ไปได้ทุกแห่งโดยปราศจากอุปสรรคกีดกั้น
    หลังจากพระตถาคตเจ้าเข้าสู่ความดับแล้ว
    คนผู้นี้จะรู้พระสูตรทั้งหมดที่สอนโดยพระพุทธเจ้า
    เหตุและปัจจัยของมัน และลำดับขั้นตอนของมัน
    และจะสอนมันอย่างถูกต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์
    ดุจดังแสงแห่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
    สามารถขับไล่ความมืดมัวทั้งหลายฉันใด
    เช่นเดียวกัน ขณะที่คนผู้นี้ผ่านไปในโลก
    ก็สามารถทำลายความมืดของสรรพสัตว์ได้ฉันนั้น
    ทำให้พระโพธิสัตว์จำนวนมากมาย
    ได้เข้าอาศัยอยู่ในเอกยานในที่สุด
    เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญา
    เมื่อได้ฟังว่าบุญกุศลที่ได้รับดีเลิศอย่างไรแล้ว
    หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว
    ควรจะน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้
    บุคคลผู้นั้นโดยปราศจากความสงสัย
    จะได้บรรลุพุทธมรรคอย่างแน่นอน
     
  2. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๒
    บทการส่งมอบ

    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ทรงลุกขึ้นจากธรรมาสน์และได้แสดงพลังอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงใช้พระหัตถ์ขวาแตะเบาๆบนศีรษะของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์มากมายเหลือคณานับ แล้วได้ตรัสพระโอวาทเหล่านี้ว่า “เราได้ปฏิบัติพระธรรมแห่งอนุตตรสัมโพธิอันยากที่จะบรรลุได้นี้มาแล้วเป็นเวลานาน มากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านอสงไขยกัป บัดนี้ เราขอมอบพระธรรมนี้แก่พวกเธอ พวกเธอจะต้องด้วยใจเดียวทำการเผยแผ่พระธรรมนี้ไปให้ทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้ผลบุญของพระธรรมนี้แผ่ขยายกว้างไกลไปทั่ว” พระพุทธองค์ทรงแตะศีรษะพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายเบาๆ สามครั้ง แล้วได้ตรัสพระโอวาทเหล่านี้ว่า “เราได้ปฏิบัติพระธรรมแห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิอันยากที่จะบรรลุได้นี้มาแล้ว เป็นเวลานาน มากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านอสงไขยกัป บัดนี้ เราขอมอบพระธรรมนี้ให้แก่พวกเธอ พวกเธอควรจะต้องรับ ยึดถือ อ่าน สวด และเผยแพร่ให้กว้างขวาง ยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในทุกหนทุกแห่งให้ได้ฟังและเข้าใจพระธรรมนี้ ทำไมหรือ เพราะว่าพระตถาคตเจ้าทรงมีพระมหาเมตตาและมหา
    กรุณา พระองค์ย่อมไม่มีความตระหนี่หรือความอิจฉา หรือความหวาดกล้วใดๆ เลย พระองค์สามารถมอบปัญญาของพระพุทธะปัญญาของพระตถาคตเจ้า ปัญญาอันเกิดขึ้นได้เอง ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย พระตถาคตเจ้าทรงเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย พวกเธอในส่วนของเธอ ควรจะตอบสนองด้วยการศึกษาพระธรรมนี้ของพระตถาคตเจ้า พวกเธอจะต้องไม่เป็นคนขี้ตระหนี่หรือขี้อิจฉาเป็นอันขาด!”
    “ในสมัยอนาคต ถ้ามีสาธุชนชายหญิงทั้งหลายผู้มีความศรัทธา ในปัญญาของพระตถาคตเจ้าแล้ว พวกเธอควรจะสอนและแสดงสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้แก่พวกเขา เพื่อว่าคนอื่นๆ อาจได้ฟังและเข้าใจมัน เพราะด้วยทางนี้เท่านั้นที่พวกเธอสามารถทำให้พวกเขาได้รับพุทธปัญญาได้ ถ้ามีสรรพสัตว์ผู้ซึ่งใม่เชื่อและไม่ยอมรับพระสูตรนี้ พวก
    เธอควรจะใช้คำสอนอันลึกซึ้งอื่นๆ ของพระตถาคตเจ้าบางอย่างมาสอน ยังคุณประโยชน์ให้และนำความปิติยินดีมาสู่พวกเขา ถ้าพวกเธอได้ทำสิ่งทั้งหมดนี้แล้ว เมื่อนั้นพวกเธอจึงจะได้ชดใช้หนี้แห่งความกตัญญที่ พวกเธอได้ติดหนี้ไว้กับพระพุทธะทั้งหลาย”
    เมื่อพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพระโอวาทเหล่านี้ พวกเขาต่างเต็มตื้นไปด้วยความปิติยินดีอันยิ่งใหญ่ กับทั้งได้เกิดความเคารพยำเกรงยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน พวกเขาได้น้อมกายโค้งคำนับ ประนมมือหันไปทางพระพุทธเจ้า เปล่งเสียงประสานกันกราบทูลว่า “พวกข้าพระองค์จะปฏิบัติสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ตามพระบัญชาของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความเคารพ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์อย่าได้ทรง
    ห่วงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย พระเจ้าข้า!” พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหมดได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้สามครั้ง โดยได้เปล่งเสียงประสานเป็นเสียงเดียวกันกราบทูลว่า “พวกข้าพระองค์จะปฏิบัติสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ ตามพระบัญชาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์อย่าได้ทรงห่วงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย พระเจ้าข้า!”
    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้อาราธนาพระพุทธะที่แบ่งภาคจากพระกายของพระองค์ที่เสด็จมาจากสิบทิศ ให้เสด็จกลับไปยังพุทธเกษตรเดิมของแต่ละพระองค์ โดยตรัสว่า “พระพุทธทั้งหลาย ขอให้ทุกพระองค์ได้ปฏิบัติไปตามอัธยาศัยของพระองค์เถิด ขอให้หอรัตนะของพระประภูตรัตนพุทธเจ้ากลับคืนไปสู่ตำแหน่งเดิมด้วยเถิด”
    เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสพระพุทธวาจาเหล่านี้แล้ว พระพุทธแบ่งภาคจากสิบทิศจำนวนมากมายที่ได้ประทับนั่งบนสีหบัลลังก์ใต้ต้นไม้อัญมณี รวมทั้งพระประภูตรัตนพุทธเจ้า พระวิศิษฏ์จาริตร และพระโพธิสัตว์อื่นหมู่ใหญ่หลายอสงไขยไม่มีขอบเขตจำกัด พระสารีบุตร และพระสาวกอื่นๆ บริษัท ๔ เทวดาและมนุษย์ อสูรและคนอื่นในโลกทั้ง
    หลาย เมื่อได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้ว ต่างเต็มตื้นไปด้วยความปิติยินดีอันยิ่งใหญ่
     
  3. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๓
    บทเรื่องในอดีตของพระไภษัชยราชโพธิสัตว์

    ในเวลานั้น พระนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระไภษัชยราชโพธิสัตว์ได้ไปๆ มาๆ ในสหาโลกธาตุนี้อย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้า พระไภษัชยราชโพธิสัตว์นี้ได้ปฏิบัติการปฏิบัติที่ยาก การปฏิบัติที่ลำบากมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านนยุตะประการมาแล้ว และเป็นการประเสริฐยิ่งแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระองค์จะทรงโปรดอธิบายสักเล็กน้อย เพื่อว่าหมู่เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ พระโพธิสัตว์ที่มาจากดินแดนอื่น และหมู่พระสาวก เมื่อพวกเขาทั้งหมดได้ฟังแล้วจะมีความปีติยินดีพระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะโพธิสัตว์ว่า “ในอดีตกาลอันมีจำนวนกัปมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา มีพระพุทธะองค์หนึ่งพระนามว่า สุริยจันทรวิมลประภาศรีตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึกผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธะพระองค์นี้ทรงมีพระมหาโพธิสัดว์และมหาสัตว์ ๘๐ ล้านองค์ และหมู่พระมหาสาวกมากเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๗๒ สาย พระชนมายุของพระองค์ยาว ๔๒,๐๐๐ กัป และอายุกาลของพระโพธิสัตว์มีเท่ากัน ในพุทธเกษตรของพระองค์ไม่มีสตรีเพศ สัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน หรืออสูร และไม่มีภัยพิบัติใดๆ พื้นราบเรียบดุจฝ่ามือทำด้วยแก้วไพฑูรย์และประดับด้วยต้นไม้อัญมณี แจกันและกระถางธูปประดับอัญมณีมีอยู่ทั่วทุกแห่งเต็มแผ่นดิน มีเวทีทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง ข้างๆ ทุกเวทีมีต้นไม้ต้น
    หนึ่งอยู่ห่างจากเวทีหนึ่งชั่วลูกธนูแล่น มีพระโพธิสัตว์และพระสาวกมากมายนั่งอยู่ใต้ต้นไม้อัญมณีเหล่านั้น และบนเวทีอัญมณีแต่ละเวทีมีเทวดาหลายร้อยล้านกำลังบรรเลงเครื่องดนตรีสวรรค์ และขับร้องบทเพลงสรรเสริญพระพุทธเจ้าเป็น เครื่องสักการะ”
    “ครั้งนั้น เพื่อโปรดพระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์อื่นจำนวนมากและหมู่พระสาวกทั้งหลาย พระพุทธเจ้าได้ สอนสัทธรรมปุณฑริกสูตร พระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์นี้มีความพอใจในการปฏิบัติทุกรกิริยาในพระธรรมที่สอนโดยพระสุริยจันทรวิมลประภาศรีพระพุทธเจ้า เขาได้อุทิศตนอย่างขยันหมั่นเพียรและท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยใจเดียวทำการแสวงหาพุทธภาวะตลอดเวลา ๑๒,๐๐๐ ปีเต็ม หลังจากนั้นเขาสามารถได้รับสมาธินามว่า สรรพรูปสันทรรศนะ ด้วยการได้รับสมาธินี้เขามีความปีติยินดียิ่งนัก เขาได้คิดกับตนเองดังนี้ “การได้รับสรรพรูปสันทรรศนะสมาธิของเรา อันที่จริง ล้วนเป็นผลจากการที่เราได้ฟังสัทธรรมปุณฑริกสูตรนั่นเอง บัดนี้เราควรจะทำการบูชาแด่พระพุทธเจ้าสุริยจันทรวิมลประภาศรี และสัทธรรมปุณฑริกสูตร!”
    “ทันใดนั้น เขาได้เข้าสู่สมาธิ และจากท้องฟ้าได้โปรยปรายลงมาด้วยดอกมณฑารพ ดอกมหามณฑารพ และผลไม้จันทน์กาลานุสาริน ทั้งหมดเต็มไปทั้งท้องฟ้าเหมือนเมฆ เขายังได้โปรยผงจันทน์อุรคสาร ผงจันทร์หอมนี้ขนาด ๖ กรษะ มีค่าเท่าสหาโลกธาตุ เขาใช้ของทั้งหมดนี้เป็นการบูชาแด่พระพุทธเจ้า”
    “เมื่อเขาได้ทำการบูชาครั้งนี้เสร็จแล้ว เขาได้ลุกออกจากสมาธิ และได้คิดกับตนเองดังนี้ ถึงแม้เราได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของเราทำการบูชาครั้งนี้แด่พระพุทธเจ้าแล้วก็ตาม แต่ยังไม่เป็นการบูชาที่ดีเท่ากับการบูชาด้วยร่างกายเราเอง”
    “ทันทีหลังจากนั้น เขาได้กลืนน้ำหอมนานาชนิด ไม้จันทน์คุณฑุรุกะ ตุรุษกะ กานพลู กฤษณา และยางหอม และเขายังได้ดื่มน้ำมันจัมปกะหอมและดอกไม้ชนิดอื่นๆ เขากระทำดังนี้เป็นเวลา ๑,๒๐๐ ปีเต็ม เขาได้ลูบไล้ร่างกายของเขาด้วยน้ำมันหอมแล้วไปปรากฏตน ณ เบื้องพระพักตร์ ของพระพุทธเจ้าสุริยจันทรวิมลประภาศรี ได้พัน
    ร่างกายด้วยผ้าทิพยมณี ราดน้ำมันหอมลงบนศีรษะของเขา กล่าวอ้างอภิญญาแล้วจุดไฟเผาร่างกายของตนเอง เกิดแสงสว่างโชติช่วงยังโลกธาตุมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๘๐ ล้านสายให้สว่างไสวไปทั่ว พระพุทธะทั้งหลายในโลกธาตุเหล่านี้ ได้ตรัสสรรเสริญโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ดีมาก ดีมาก สาธุชน! นี่คือความเพียรแท้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า การบูชาธรรมที่แท้จริงแด่พระตถาคตเจ้า ถึงแม้ผู้ใดจะได้ใช้ ดอกไม้ น้ำหอม เครื่องหอม สายสร้อย กำยาน แป้งหอม ขี้ผึ้งหอม ป้าย และฉัตรผ้าไหมทิพย์ พร้อมด้วยเครื่องหอมแห่งไม้จันทน์อุรคสาร ถวายสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสักการะบูชา เขาก็ไม่สามารถ เทียบเท่ากับคนผู้นี้ได้เลย! แม้ผู้ใดจะได้ถวายของบริจาคเป็นอาณาจักรและเมือง ภรรยาและบุตรธิดาของตน เขาก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับคนผู้นี้ได้! สาธุชน นี่เรียกว่าของบริจาคที่ยอดเยี่ยมที่สุดเหนือของบริจาคทั้งหลาย ในบรรดาของบริจาคทั้งหลาย นี้เป็นของบริจาคที่มีค่าสูงที่สุด เพราะมันเป็นการบูชาธรรมแด่พระตถาคตเจ้า!”
    “หลังจากพระพุทธะทั้งหลายได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว ทุกพระองค์ทรงอยู่ในอาการสงบนิ่ง ร่างกายของพระโพธิสัตว์ลุกไหม้อยู่เป็นเวลา ๑,๒๐๐ ปี และเมื่อเวลานั้นผ่านไป ในที่สุดร่างกายของเขาถูกเผาหมดสิ้นไป”
    “หลังจากพระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์ ได้ทำการบูชาธรรมนี้และชีวิตของเขาสิ้นสุดลงแล้ว เขาได้ไปเกิดใหม่ทันทีในพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าสุริยจันทรวิมลประภาศรี โดยโอปปาติกะกำเนิด ด้วยท่านั่งขัดสมาธิในราชวงศ์ของพระเจ้าวิมลทัตต์ และในทันใดนั้น เพื่อยังประโยชน์แก่พระราชบิดา เขาได้กราบทูลเป็นคาถาประพันธ์ ดังนี้
    มหาราช บัดนี้พระองค์พึงเข้าใจดังนี้
    ด้วยการได้เดินรอบๆ สถานที่แห่งหนึ่ง
    ในทันทีหม่อมฉันได้บรรลุสมาธิ
    สรรพรูปสันทรรศนะ
    หม่อมฉันได้บำเพ็ญเพียรด้วยความเพียรอันยิ่งใหญ่
    และได้สละร่ายกายอันเป็นที่รักของหม่อมฉัน
    “เมื่อเขาได้สวดคาถานี้แล้ว เขาได้กราบทูลพระราชบิดาว่า “ขณะนี้พระพุทธเจ้าสุริยจันทรวิมลประภาศรี พระองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ในครั้งก่อน หม่อมฉันได้ทำการสักการะบูชาแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ และได้รับธารณีอันช่วยให้หม่อมฉันสามารถเข้าใจภาษาของสรรพสัตว์ทั้งหลาย นอกจากนี้ หม่อมฉันยังได้สดับแปดร้อยพันหมื่นล้านนยุตะกังกระ วิวระ อักโษภยะคาถาของสัทธรรมปุณฑริกสูตรอีกด้วย มหาราช เวลานี้หม่อมฉันจะต้องไปกระทำการบูชาแด่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้อีกครั้งหนึ่ง”
    “เมื่อได้กราบทูลดังนี้แล้ว เขาได้ขึ้นนั่งบนเวทีทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง ลอยขึ้นสู่อวกาศสูงเจ็ดชั่วต้นตาล แล้วมุ่งตรงไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ด้วยเศียรเกล้า สิบนิ้วประนมแล้ว ได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าด้วยคาถานี้ว่า”
    พระพักตร์ประณีตและมหัศจรรย์ยิ่งนัก
    พระรัศมีโชติช่วงสว่างไสวไปทั่วทั้งสิบทิศ!
    ในครั้งก่อน ข้าพระองค์ได้ทำการสักการบูชา
    และบัดนี้ ข้าพระองค์ได้กลับมาพบพระองค์อีก
    “ในเวลานั้น หลังจากพระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถานี้แล้ว เขาได้กราบทูลแด่พระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ยังคงอยู่ในโลกหรือ”
    “ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าสุริยจันทรวิมลประภาศรี ได้ตรัสแก่พระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์ว่า “สาธุชน เวลาแห่งนิพพานของเราได้มาถึงแล้ว เวลาแห่งความดับได้มาถึงแล้ว เธอจงจัดที่ไสยาสน์ให้แก่เรา ในราตรีนี้เราจะเข้าสู่ปรินิพพาน”
    “พระพุทธองค์ยังได้มีพุทธบัญชากับสรรพสัตว์ปรียทรรศนะโพธิสัตว์ว่า “สาธุชน เราขอมอบพุทธธรรมนี้ให้แก่เธอ นอกจากนี้ ยังมีพระโพธิสัตว์และพระมหาสาวก พร้อมด้วยพระธรรมแห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และตรีสหัสะมหาสหัสสะสัปตรัตนโลกธาตุ พร้อมด้วยต้นไม้อัญมณี เวทีประดับเพชรพลอย และเทวดาที่คอยปรนนิบัติรับใช้ เรา
    ขอมอบสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ให้แก่เธอ เรายังจะมอบพระสารีริกธาตุที่เหลืออยู่ภายหลังการเข้าสู่ความดับของเราแก่เธอ เธอจะต้องแจกจ่ายให้แพร่หลาย และจัดให้มีการสักการบูชาให้กว้างขวาง เธอจะต้องสร้างหอสถูปให้มากมายหลายพันเพื่อบรรจุพระสารีวิกธาตุเหล่านี้”
    “พระพุทธเจ้าสุริยจันทรวิมลประภาศรี เมื่อได้รับสั่งดังนี้แก่พระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์เสร็จแล้ว พระองค์ได้เข้าสู่ปรินิพพานในยามสุดท้ายของราตรีนั้น”
    “ครั้งนั้น พระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์ เมื่อได้เห็นพระพุทธเจ้าได้เข้าสู่ความดับแล้ว มีความเศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก ด้วยความรักและความอาลัยอันยิ่งใหญ่ในพระพุทธเจ้า ในทันทีเขาได้นำเอาไม้จันทน์อุรคสารมาสร้างเป็นเชิงตะกอน ด้วยเชิงตะกอนนี้ เขาได้ถวายเครื่องสักการะแด่พระสรีระของพระพุทธเจ้า แล้วได้ทำการถวาย
    พระเพลิงแด่พระบรมศพ หลังจากไฟดับแล้ว เขาได้เก็บรวบรวมพระสารีริกธาตุมาปั้นเป็นโกศประดับอัญมณี ๘๔,๐๐๐ ใบ และสร้างหอสถูป ๘๔,๐๐๐ องค์ สูงเท่าสามโลก ประดับด้วยฉัตรยอดแหลม ตกแต่งด้วยป้ายและฉัตร และแขวนไว้ด้วยพวงกระดิ่งมณี”
    “ครั้งนั้น พระสรรพสัตว์ปรียทรรศนะโพธิสัตว์ เขาได้เกิดความคิดอีกว่า แม้เราจะได้ทำการบูชาเหล่านี้แล้ว แต่เรายังไม่พึงพอใจเลย เราจะต้องทำการบูชาบางอย่างแด่พระสารีริกธาตุต่อไปอีก”
    “ครั้นแล้ว เขาได้กล่าวแก่บรรดาพระโพธิสัตว์อื่นและพระมหาสาวก เทวดา นาค ยักษ์ และสมาชิกทั้งหมดแห่งที่ประชุมใหญ่ว่า “ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังด้วยใจเดียว บัดนี้ข้าพเจ้าจะกระทำการบูชาแด่พระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าสุริยจันทรวิมลประภาศรี”
    “เมื่อได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ในทันทีต่อหน้าหอสถูป ๘๔,๐๐๐ องค์ เขาได้เผาแขนของตนซึ่งประดับด้วยบุญร้อยชนิด เป็นเวลา ๗๒,๐๐๐ ปี ให้เป็นการบูชาของเขา การกระทำอันนี้ทำให้ผู้แสวงหาสาวกภาวะจำนวนนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยคนมากมายหลายอสงไขยได้บังเกิดความคิดปรารถนา ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และทั้งหมดสามารถเข้าอาศัยอยู่ในสรรพรูปสันทรรศนะสมาธิ”
    “ครั้งนั้น บรรดาพระโพธิสัตว์ เทวดาและมนุษย์ อสูรและเหล่าอื่นๆ เมื่อได้เห็นว่าพระโพธิสัตว์ได้ทำลายแขนของท่านเสียแล้ว ต่างตกใจและเสียใจยิ่งนัก พวกเขาได้กล่าวว่า “'พระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ของเรา สั่งสอนและเปลี่ยนแปลงพวกเรา เวลานี้ท่านได้เผาแขนเสียแล้ว และร่างกายของท่านไม่สมบูรณ์อีกต่อไป!”
    “ครั้งนั้น ในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์ได้ตั้งสัตยาธิษฐานดังนี้ว่า “ข้าพเจ้าได้เสียสละแขนทั้งสองข้าง ข้าพเจ้าย่อมได้รับกายสีทองของพระพุทธะ ถ้าคำอธิษฐานนี้เป็นความจริงไม่เป็นเท็จแล้วไซ้ ขอให้ข้าพเจ้าได้แขนทั้งสองข้างกลับคืนสภาพเดิมด้วยเถิด”
    “เมื่อเขาได้ประกาศสัตยาธิษฐานจบแล้ว แขนทั้งสองข้างของเขาได้คืนกลับสภาพเดิม เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เพราะบุญกุศลและปัญญาของพระโพธิสัตวองค์นี้มีมากมายและลึกซึ้งยิ่งนัก ครั้งนั้น ตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุสั่นไหวใน ๖ วิถี สวรรค์โปรยปรายดอกไม้มณีลงมา เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างได้รับสิ่งที่พวกเขาไม่เคยมีมาก่อน”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะโพธิสัตว์ว่า “เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน พระสรรพสัตวปรียทรรศนะโพธิสัตว์เป็นคนอื่นที่เธอไม่รู้จักหรือ อันที่จริงเขาหาใช่ใครอื่นไม่ เขาคือ พระไภษัชยราชโพธิสัตว์ในปัจจุบันนี้เอง! เขาได้สละร่างกายเป็นเครื่องสักการบูชาในลักษณะนี้ มามากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านนยุตะครั้งแล้ว”
    “นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ถ้ามีผู้ใดตั้งใจและปรารถนาที่จะได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้ว เขาควรจะทำให้ดีด้วยการเผานิ้วมือหรือนิ้วเท้าให้เป็นการบูชาแด่หออนุสรณ์สถูปของพระพุทธเจ้า อันเป็นการบูชาที่ดีกว่าการบูชาด้วยอาณาจักรและเมือง ภรรยาและบุตรธิดา หรือภูเขา ป่าไม้ แม่น้ำ และทะเลสาบในดินแดนแห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ หรือสมบัติอันมีค่าทั้งหมดของโลกธาตุเหล่านั้น แม้ว่าผู้ใดจะได้บรรจุตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุให้เต็มด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง ถวายเป็นเครื่องสักการะแด่พระพุทธเจ้าและพระมหาโพธิสัตว์ พระปัจเจกพุทธะและพระอรหันต์ บุญกุศลที่เขาจะได้รับไม่อาจเทียบได้ กับบุญกุศลของพวกที่น้อมรับและยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้แม้เพียงหนึ่งคาถาสี่บรรทัดได้เลย การกระทำอย่างหลังนี้นำบุญกุศลมาให้มากที่สุดแห่งการกระทำทั้งหลาย”
    “นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ อุปมาดังว่า ในหมู่แม่น้ำลำธารและแหล่งน้ำอื่นๆ มหาสมุทรเป็นใหญ่ที่สุดฉันใด สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ลึกซึ้งที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พระสูตรที่สอนโดยพระตถาคตเจ้าฉันนั้น อนึ่ง อุปมาดังว่าในหมู่ภูเขาดิน ภูเขากาฬ ภูเขาจุลจักรวาล ภูเขามหาจักรวาล ภูเขาทศรัตน์และภูเขาอื่นทั้งหลาย ภูเขาพระสุเมรุเป็นภูเขาที่สูงที่สุดฉันใด ในหมู่พระสูตรทั้งหลาย สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ก็เป็นพระสูตรที่สูงที่สุดฉันนั้น อนึ่ง อุปมาดังว่าในหมู่ดวงดาวและสิ่งคล้ายกันทั้งหลาย พระจันทร์เทพบุตรสว่างที่สุดฉันใด ในหมู่คำสอนของพระสูตรมากมายหลายพันหมื่นล้านชนิด สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ก็เป็นพระสูตรที่ส่องแสงสว่างที่สุดฉันนั้น อนึ่ง อุปมาดังว่าพระอาทิตย์เทพบุตรสามารถขับไล่ความมืดทั้งหลายได้ฉันใด พระสูตรนี้ก็สามารถทำลายความมืดแห่งสิ่งไม่ดีทั้งหลายได้ ฉันนั้น”
    “อนึ่ง อุปมาดังว่าในหมู่พระราชาน้อยทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิราชทรงเป็นผู้มีเกียรติที่สุดฉันใด ในหมู่พระสูตรทั้งหลายที่มีมากมาย พระสูตรนี้ก็เป็นพระสูตรที่มีเกียรติที่สุดฉันนั้น อนึ่ง อุปมาดังว่าท้าวศักระเป็นพระราชาในหมู่เทวดาแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ฉันใด พระสูตรนี้ก็เป็นราชาในหมู่พระสูตรทั้งหลายฉันนั้น อนึ่ง อุปมาดังว่าท้าวมหาพรหมเป็นพระบิดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายฉันใด พระสูตรนี้ก็เป็นบิดาของเหล่านักปราชญ์ ผู้มีเกียรติ ผู้ยังศึกษา ผู้ศึกษาจบแล้ว และผู้ที่จิตมุ่งต่อการเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น อนึ่ง อุปมาดังว่าในหมู่ปุถุชนทั้งหลาย พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ และพระปัจเจกพุทธะทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐที่สุดฉันใด ในหมู่พระสูตรที่สอนโดยพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย สอนโดยพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย หรือสอนโดยพระสาวกทั้งหลาย พระสูตรนี้ก็เป็นพระสูตรที่ประเสริฐที่สุดฉันนั้น ในหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย บุคคลผู้ที่สามารถน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้เป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดเช่นกัน พระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่เด่นที่สุดในหมู่พระสาวกและปัจเจกพุทธะทั้งหลายฉันใด พระ
    สูตรนี้ก็เป็นพระสูตรที่เด่นที่สุดในหมู่พระสูตรทั้งหลายฉันนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระราชาแห่งคำสั่งสอนฉันใด พระสูตรนี้ก็เป็นราชาแห่งพระสูตรทั้งหลายฉันนั้น”
    “นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระสูตรนี้สามารถช่วยชีวิตสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ พระสูตรนี้สามารถทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นอิสระจากความทุกข์และความเจ็บปวดได้ พระสูตรนี้สามารถนำคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่มาสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย และทำให้ความปรารถนาของพวกเขาสำเร็จได้ ดุจดังบ่อน้ำใสเย็นยังความพึงพอใจให้แก่ผู้กระหายน้ำทั้งหลาย ดุจดังคนหนาวได้พบไฟ คนเปลือยกายได้พบเสื้อผ้า กลุ่มพ่อค้าได้พบผู้นำ ทารกได้พบมารดา คนจะข้ามฟากได้พบเรือ คนไข้ได้พบหมอ คนอยู่ในความมืดได้พบตะเกียง คนยากไร้ได้พบทรัพย์สมบัติ ประชาชนได้พบพระราชา ผู้เดินทางค้าขายได้พบทางสู่ทะเล มันเป็นดังว่าคบเพลิงขับไล่ความมืดได้ฉันใด สัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ก็เป็นดังนั้นคือ สามารถทำให้สรรพสัตว์ปลดเปลืองตนจากความทุกข์ทั้งหลาย ความเจ็บป่วยและความเจ็บปวดทั้งหลาย ทั้งยังสามารถทำให้เป็นอิสระจากเครื่องผูกมัดทั้งหลายแห่งความเกิดและความตายได้”
    “ถ้าบุคคลใดสามารถได้สดับสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ถ้าเขาคัดลอกด้วยตนเองหรือทำให้ผู้อื่นคัดลอก บุญศลที่เขาได้รับเพราะเหตุนี้จะมีมากมายที่แม้ปัญญาของพระพุทธะก็ไม่สามารถที่จะติดคำนวณได้หมดสิ้น ถ้าผู้ใดคัดลอกม้วนพระสูตรเหล่านี้แล้วทำการบูชาด้วยดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย กำยาน แป้งหอม ขี้ผึ้งหอม ธง ป้าย ฉัตร เสื้อผ้า ตะเกียงนานาชนิด เช่น ตะเกียงน้ำมันเนย ตะเกียงน้ำมัน ตะเกียงน้ำมันหอมชนิดต่างๆ เช่น น้ำมันจัมปกะ น้ำมันสุมนะ น้ำมันปตละ น้ำมันวรษิกะ หรือตะเกียงน้ำมันนวมลิกะ บุญกุศลที่เขาจะได้รับมีมากมายอันไม่อาจวัดได้เช่นกัน”
    “นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ถ้าผู้ใดได้สดับบทเรื่องในอดีตของพระไภษัชยราชโพธิสัตว์นี้ เขาจะได้บุญกุศลมากมายไม่มีขอบเขตจำกัด ถ้ามีสตรีผู้ใดได้สดับบทนี้ที่ว่าด้วยเรื่องในอดีตของพระไภษัชยราชโพธิสัตว์ และสามารถน้อมรับและยึดถือได้แล้ว นั่นจะเป็นการปรากฏครั้งสุดท้ายในการมีกายสตรี และเธอจะไม่เกิดในรูปกายนั้นอีกต่อไป”
    “ถ้าในสมัยห้าร้อยปีสุดท้ายหลังจากพระตถาคตเจ้าเข้าสู่ความดับแล้ว สตรีใดที่ได้สดับพระสูตรนี้และได้ปฏิบัติตามที่พระสูตรสอนแล้ว เมื่อชีวิตของเธอที่นี่บนโลกนี้สิ้นสุดลง ในทันที เธอจะไปยังสุขาวดีโลกธาตุอันเป็นที่ประทับของพระอมิตายุพุทธะ ห้อมล้อมอยู่ด้วยหมู่พระมหาโพธิสัตว์ และที่นั่นจะเกิดโดยนั่งบนอาสนะประดับอัญมณีกลางดอกบัว เขาจะไม่รู้จักกับสิ่งที่ทำให้ทุกข์ทรมานแห่งความโลภ ความอยากได้ ความโกรธ ความเดือดดาล ความโง่เขลา หรือความไม่รู้ หรือความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นโดยความหยิ่งยโส ความอิจฉา หรือความไม่บริสุทธิ์อื่นๆ เขาจะได้รับอภิญญาของพระโพธิสัตว์ และสัจจะแห่งความไม่มีการเกิดของปรากฏการณ์ทั้งหลาย ด้วยการได้รับสัจจะนี้ ความสามารถแห่งการเห็นของเขาจะใสสะอาดและบริสุทธิ์ และด้วยความสามารถแห่งการเห็นอันใสสะอาดและบริสุทธิ์นี้ เขาจะเห็นพระพุทธะและพระตถาคตมากมายจำนวนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา เจ็ดร้อยสิบสองพันล้านนยุตะสาย”
    “ในครั้งนั้น พระพุทธะทั้งหลายจะร่วมกันสรรเสริญเขาจากที่ไกล โดยตรัสว่า “ดีมาก ดีมาก สาธุชน! ในพระธรรมของพระศากยมุนีพุทธะ ท่านสามารถน้อมรับ เทิดทูน อ่าน สวด และไตร่ตรองพระสูตรนี้ และทำการสอนแก่คนอื่นๆ ได้ ความโชคดีที่ท่านจะได้รับจากเหตุนั้นมีมากมายไม่อาจวัดได้และไม่มีขอบเขตจำกัด อันไม่อาจเผาให้ไหม้ได้ด้วยไฟหรือพัดพาให้หายไปได้ด้วยน้ำ บุญกุศลของท่านนั้น แม้พระพุทธะหนึ่งพันพระองค์ร่วมกันบรรยาย ก็มิอาจบรรยายให้หมดสิ้นได้ บัดนี้ท่านสามารถทำลายหมู่มารและหมู่โจรได้หมดแล้ว ทำลายล้างกองทัพแห่งความเกิดและความตายได้แล้วและข้าศึกเหล่าอื่นที่เกลียดชังท่านหรือมีเจตนาร้ายต่อท่านได้ถูกทำลายล้างหมดแล้วเช่นกัน”
    “สาธุชน พระพุทธะหนึ่งร้อยหนึ่งพันพระองค์จะทรงร่วมกันใช้อภิญญาของพระองค์ในการเฝ้ารักษาและการคุ้มครองท่าน ในหมู่เทวดาและมนุษย์แห่งโลกธาตุทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดเปรียบเสมอท่านได้ ยกเว้นพระตถาคตเจ้าพระองค์เดียวแล้ว ไม่มีผู้ใดในหมู่พระสาวก พระปัจเจกพุทธะ หรือพระโพธิสัตว์ทั้งหลายซึ่งมีปัญญาและความสามารถในฌานจะมาเท่าเทียมกับท่านได้!”
    “นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ นั่นจะเป็นบุญกุศลและพลังแห่งปัญญาอันเป็นผลสำเร็จที่ได้มาแล้วโดยพระโพธิสัตว์องค์นี้”
    “ถ้ามีบุคคลใดผู้ที่เมื่อได้สดับบทว่าด้วยเรื่องในอดีตของพระไภษัชยราชโพธิสัตว์นี้แล้ว สามารถต้อนรับด้วยความยินดีและสรรเสริญความเป็นเลิศของบทนี้แล้ว ในชีวิตชาตินี้ ปากของคนผู้นี้จะระเหยกลิ่นหอมของดอกอุบลเป็นนิจ และรูขุมขนบนร่างกายของเขาจะกระจายกลิ่นหอมของไม้จันทน์ศีรษะโคอยู่เสมอ บุญกุศลของเขาจะเป็นเช่นที่ได้บรรยายมาแล้วข้างต้น”
    “เพราะเหตุนี้ นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เราจึงขอมอบบทเรื่องในอดีตของพระไภษัชยราชโพธิสัตว์นี้ให้แก่เธอ หลังจากเราเข้าสู่ความดับแล้ว ในระยะห้าร้อยปีสุดท้าย เธอจะต้องทำให้มันแพร่หลาย กว้างไกลไปทั่วชมพูทวีป และอย่ายอมให้มันหยุดชะงักได้ หรือจะต้องไม่ยอมให้พญามาร เสนามาร เทวดา นาค ยักษ์ หรือกุมภัณฑ์ ฉวยโอกาสหาประโยชน์ได้!”
    “นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เธอจะต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของเธอปกป้องคุ้มครองพระสูตรนี้ ทำไมหรือ เพราะว่าพระสูตรนี้ให้ยาดี สำหรับความเจ็บป่วยของประชาชนแห่งชมพูทวีป ถ้าคนที่มีความเจ็บไข้มีโอกาสได้สดับพระสูตรนี้แล้ว ความเจ็บไข้ของเขาจะหายไปและเขาจะไม่รู้จักความแก่หรือความตายเลย”
    “นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ถ้าเธอเห็นผู้ใดน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ เธอจะต้องเอาดอกอุบลมากองรวมกับแป้งหอม แล้วโปรยไปยังคนผู้นั้นเป็นเครื่องสักการะ และเมื่อเธอได้โปรยเครื่องสักการะไปแล้ว เธอควรจะคิดกับตนเองดังนี้ อีกไม่นานคนผู้นี้จะได้รับฟ่อนหญ้ามาทำเป็นอาสนะ ณ สถานแห่งการปฏิบัติบำเพ็ญเพียร และสามารถ พิชิตกองทัพของมาร ครั้นแล้ว เขาจะเป่าสังข์แห่งธรรม ตีกลองแห่งธรรมอันยิ่งใหญ่
    และปลดปล่อยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เป็นอิสระจากทะเลแห่งความแก่ ความเจ็บ และความตาย!”
    “เพราะเหตุนี้ พวกที่แสวงหาพุทธมรรคทั้งหลาย เมื่อได้เห็นผู้ใดน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ พวกเขาควรจะเข้าไปหาเขาด้วยความเคารพนับถืออย่างนี้”
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้เทศนาบทเรื่องในอดีตของพระไภษัชยราชโพธิสัตว์นี้จบแล้ว พระโพธิสัตว์ ๘๔,๐๐๐ องค์ได้รับธารณี อันช่วยให้พวกเขาเข้าใจคำพูดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระประภูตรัตนตถาคตในหอรัตนะของพระองค์ ได้ตรัสสรรเสริญพระนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะโพธิสัตว์ว่า “ดีมาก ดีมาก นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เธอประสบความสำเร็จในการได้มาซึ่งบุญกุศลอันไม่น่าเชื่อแล้ว ด้วยเหตุที่เธอสามารถถามพระศากยมุนีพุทธะเกี่ยวกับเรื่องนี้ อันเป็นการยังคุณประโยชน์แก่สรรพสัตว์จำนวนมากมายเหลือคณานับทีเดียว”
     
  4. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๔
    บทพระคัทคัทสวรโพธิสัตว์

    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เปล่งลำแสงอันสว่างออกจากพระอุษณีย์ อันเป็นหนึ่งในมหาปุริสลักษณะ และยังได้เปล่งลำแสงออกจากพระอุณาโลม ยังพุทธเกษตรในทิศตะวันออก จำนวนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา หนึ่งร้อยแปดสิบพันล้านนยุตะสายให้สว่างไสวไปทั่ว เลยโลกธาตุเหล่านี้ออกไปมีโลกธาตุหนึ่งชื่อว่า ไวโรจนรัศมีประติมณฑิต ในโลกธาตุนี้มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระนามว่า กมลฑลวิมลนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญตถาคต ผู้ควรแก่การบูชา ผู้ตรัสรู้ได้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมอันหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ฝึกบุดคลที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ พระพุทธะ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่จำนวนมากมายไม่มีขอบเขตจำกัด ได้แวดล้อมและถวายความ
    เคารพแด่พระองค์ และพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่พระโพธิสัตว์เหล่านี้ ขณะนั้นลำแสงอันสว่างจากพระอุณาโลมของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ได้ทำให้ดินแดนนั้นสว่างไสวไปทั่ว
    ครั้งนั้น ในวิโรจนรัศมีประติมณฑิตมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งนามว่า คัทคัทสวร ผู้ซึ่งนานมาแล้วได้ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีไว้จำนวนมาก ได้ถวายทานและถวายการปรนนิบัติแด่พระพุทธะมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านพระองค์มาแล้ว ท่านประสบความสำเร็จแล้วในการได้มาซึ่งปัญญาอันลึกซึ้งทุกชนิด ได้รับสมาธิที่มีชื่อว่า ธวชาครเกยูรสมาธิ สัทธรรมปุณฑริกสมาธิ วิมลทัตตสมาธิ นักษัตรราชวิกรีฑิตสมาธิ อนิลัมภสมาธิ ญาณมุทราสมาธิ สรวรุตโกศัลยสมาธิ สรวปุณยสมุจจัยสมาธิ ประสาทวาทีสมาธิ ฤทธิวิกรีฑิตสมาธิ ญาโณลกาสมาธิ วยูหราชสมาธิ วิมลประภาสสมาธิ วิมลครรภสมาธิ อัพกฤตษณสมาธิ และสุริยวรรตสมาธิ ท่านได้รับสมาธิอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ทั้งหมดจำนวนเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหนึ่งร้อยพันหมื่นล้านสาย
    เมื่อแสงที่เปล่งออกมาจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าทำให้กายของท่านสว่างแล้ว ในทันที ท่านได้กราบทูลพระพุทธเจ้ากมลฑลวิมลนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระกาคเจ้า ข้าพระองค์จะต้องเดินทางไปยังสหาโลกธาตุ เพื่อถวายความเคารพ ถวายการปรนนิบัติ และถวายทานแด่ พระศากยมุนีพุทธเจ้า และเพื่อที่จะได้พบกับพระธรรมราชบุตรมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระไภษัชยราชโพธิสัตว์ พระประทานสุระโพธิสัตว์ พระนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะโพธิสัตว์ พระวิศิษฏ์จาริตรโพธิสัตว์ พระวยูหราชโพธิสัตว์และพระไภษัชยราชสมุทคตโพธิสัตว์ พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระพุทธเจ้ากมลฑลวิมลนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ได้ตรัสแก่พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ว่า “เธอจะต้องไม่มองด้วยการดูหมิ่นดูแคลนต่อดินแดนนั้น หรือคิดว่ามันเป็นดินแดนเลวทรามต่ำต้อย สาธุชน สหาโลกธาตุนั้น พื้นไม่เรียบ มีที่สูงที่ต่ำ และเต็มไปด้วยดิน ก้อนหิน ภูเขา ความไม่น่าดู และความไม่บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้ามีพระวรกายเล็ก และพระโพธิสัตว์จำนวนมากก็มีรูปร่างเล็กเช่นกัน ในขณะที่กายของเธอสูง
    ๔๒,๐๐๐ โยชน์ และของเราสูง ๖,๘๐๐,๐๐๐ โยชน์ ร่างกายของเธอมีรูปทรงสวยงามที่สุด พร้อมด้วยบุญหลายร้อยพันหมื่นประการ และรัศมีอันมหัศจรรย์เป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น เมื่อเธอเดินทางไปที่นั่น เธอจะต้องไม่ดูหมิ่นดูแคลนดินแดนนั้น หรือเกิดความคิดว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายหรือดินแดนนั้นเลวทรามต่ำต้อยเป็นอันขาด!”
    พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า การเดินทางไปยังสหาโลกธาตุของข้าพระองค์ในครั้งนี้ ล้วนเป็นไปเนื่องด้วยอานุภาพของพระตถาคตเจ้า การแสดงอภิญญาของพระตถาคตเจ้า เครื่องประดับบุญและปัญญาของพระตถาคตเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าข้า”
    ครั้งแล้ว พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ โดยไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งหรือเคลื่อนไหวกาย ท่านได้เข้าสู่สมาธิ และด้วยอำนาจแห่งสมาธิ ในสถานที่อันไม่ห่างจากธรรมอาสนะบนเขาคิชฌกูฏ ดกบัวอัญมณีจำนวน ๘๔,๐๐๐ ดอกได้ถูกสร้างขึ้น ก้านทำด้วยทองชมพูนุท ใบทำด้วยเงิน เกสรทำด้วยเพชร และกลีบทำด้วยพลอยกิมสุกะ
    ในเวลานั้น พระธรรมราชบุตรมัญชุศรี เมื่อได้เห็นดอกบัวเหล่านั้น ท่านได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเหตุอะไร จึงนำมาซึ่งการปรากฎแห่งนิมิตอันเป็นมงคลนี้ พระเจ้าข้า ที่นี่เกิดมีดอกบัวหลายหมื่นดอก ก้านทำด้วยทองชมพูนุท ใบทำด้วยเงิน เกสรทำด้วยเพชร และกลีบทำด้วยพลอยกิสุกะ!”
    ครั้งนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระมัญชุศรีว่า “พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์นี้มีความปรารถนาที่จะออกจากพุทธเกษตรของพระกมลฑลวิมลนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญพุทธะ และแวดล้อมโดยพระโพธิสัตว์ ๘๔,๐๐๐ องค์ จะมายังสหาโลกธาตุนี้เพื่อถวายทาน ถวายการปรนนิบัติ และถวายความเคารพแก่เรา เขายังประสงค์ที่จะถวายเครื่องสักการะแด่สัทธรรมปุณฑริกสูตรและสดับพระสูตรนี้ด้วย”
    พระมัญชุศรีได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโพธิสัตว์องค์นี้เขาได้ปลูกฝังรากเหง้าที่ดีอะไรไว้ บุญกุศลอะไรที่เขาได้ปลูกฝังไว้แล้ว อันทำให้เขาสามารถแสดงพลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างนี้ เขาปฏิบัติสมาธิอะไร ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ได้ทรงอธิบายชื่อของสมาธินี้ เพราะว่าพวกข้าพระองค์ก็ปรารถนาที่จะอุทิศตนให้กับการปฏิบัติสมาธินี้ด้วย ซึ่งถ้าพวกข้าพระองค์ปฏิบัติสมาธินี้แล้ว พวกข้าพระองค์สามารถที่จะได้เห็นลักษณะและขนาดของพระโพธิสัตว์องค์นี้ได้ รวมทั้งอากัปกิริยาและจริยวัตรของเขาด้วย พวกข้าพระองค์ขอให้พระผู้พระภาคเจ้าทรงใช้อภิญญาของพระองค์ในการนำพระโพธิสัตว์องค์นี้มาที่นี่ อันจะทำให้พวกข้าพระองค์ได้เห็นเขาด้วย พระเจ้าข้า!”
    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระมัญชุศรีว่า “พระประภูตรัตนตถาคตผู้ซึ่งเสด็จเข้าสู่ความดับมานานแล้ว จะแสดงรูปร่างของเขาให้พวกเธอได้เห็น”
    เมื่อนั้น พระประภูตรัตนตถาคตได้ตรัสแก่พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ว่า “จงมาเถิด สาธุชน ธรรมราชบุตรมัญชุศรีปรารถนาที่จะได้เห็นร่างกายของเธอ”
    ด้วยคำดำรัสนั้น พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ได้หายจากพุทธเกษตรของท่านเอง และได้มาปรากฏที่นี่ ในสหาโลกธาตุ พร้อมกับพระโพธิสัตว์อีก ๘๔,๐๐๐ องค์ ทุกดินแดนที่ท่านผ่านมา ตลอดทางสั่นไหวใน ๖ วิถี ในดินแดนเหล่านั้นดอกบัวอัญมณีทั้ง ๗ โปรยปรายลงมา และเครื่องดนตรีหลายแสนของนักดนตรีสวรรค์ส่งเสียงดังขึ้นมาเองโดยไม่มีการบรรเลง
    ตาของพระโพธิสัตว์องค์นี้กว้างใหญ่เท่าใบบัวน้ำเงิน และดวงจันทร์หนึ่งร้อยพันหมื่นดวงก็มิอาจสมบูรณ์กว่าใบหน้าของท่านได้ ร่างกายของท่านเป็นสีทองบริสุทธิ์ ประดับด้วยบุญมากมายหลายร้อยหลายพันประการ ความสง่างามและคุณความดีของท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก แสงของท่านส่องสว่างสุกใสยิ่ง ท่านมีเครื่องหมายพิเศษประจำตัวหลายอย่าง และมีร่างกายแข็งแรงดังพระนารายณ์
    เมื่อได้ขึ้นอยู่บนแท่นที่ทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่างแล้ว ท่านได้ลอยขึ้นไปในอากาศสูงจากพื้นดินเจ็ดชั่วต้นตาล ครั้งแล้วพร้อมด้วยหมู่พระโพธิสัตว์อันแวดล้อมและทำความเคารพแล้ว ท่านได้เดินทางมายังเขาคิชฌกูฏในสหาโลกธาตุนี้ เมื่อมาถึงแล้วท่านได้ลงจากแท่นทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง นำเอาสายสร้อยมูลค่าหลายแสนเข้าไปยังที่ประทับของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้ถวายสายสร้อย และกราบทูลแด่พระพุทธองค์ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้า กมลฑลวิมลนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ทรงมีพระประสงค์ที่จะไต่ถามเกี่ยวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงมีอาพาธน้อย ทรงมีความกังวลน้อยหรือ พระองค์สามารถเสด็จมาและไปได้ง่ายและสะดวกหรือ พระองค์สามารถเคลื่อนไหวได้สบายหรือ ธาตุทั้งสี่ของพระองค์ยังเป็นปกติดีหรือ พระองค์ยังสามารถอดทนกับเรื่องราวของโลกได้อยู่หรือ สรรพสัตว์ยังช่วยเหลือได้ง่ายอยู่หรือไม่ พวกเขาไม่มักมากในความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉา ความตระหนี่ และความหยิ่งยโสหรือ พวกเขาไม่อกตัญญูต่อบิดามารดาหรือ พวกเขาไม่เคารพสมณะ มีความเห็นผิดเพี้ยน และความชั่วอื่นๆ หรือไม่ พวกเขายังควบคุมอารมณ์ทั้ง ๕ ได้อยู่หรือ พระผู้มีพระภาคเจ้า สรรพสัตว์สามารถเอาชนะหมู่มารได้หรือ พระประภูตรัตนตถาคต ผู้เสด็จเข้าสู่ความดับนานมาแล้ว ได้เสด็จมาในหอสัปตรัตนสถูปของพระองค์เพื่อสดับพระธรรมหรือไม่ พระพุทธองค์ยังทรงประสงค์ที่จะได้ถามเกี่ยวกับพระประภูตรัตนตถาคตว่า พระองค์ทรงอยู่อย่างสงบและสบายดี มีความกังวลน้อย อดทนกับการอยู่นานหรือไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ใคร่ที่จะได้เห็นพระกายของพระประภูตรัตนพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า!”
    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระประภูตรัตนพุทธเจ้าว่า “พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์นี้มีความปรารถนาที่จะได้เห็นพระองค์”
    เมื่อนั้น พระประภูตรัตนพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระคัทคัทสวรว่า “ดีมาก ดีมาก เธอได้มาถึงที่นี่เพื่อที่จะถวายทานแด่พระศากยมุนีพุทธเจ้า ฟังสัทธรรมปุณฑริกสูตร พบกับมัญชุศรีและคนอื่นๆ”
    ในเวลานั้น พระปัทมศรีโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ผู้นี้ เขาได้ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีอะไรไว้ ประโยชน์อะไรที่เขาได้ปลูกฝังไว้แล้ว อันทำให้เขามีพลังอิทธิฤทธิ์เหล่านี้ พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบพระปัทมศรีโพธิสัตว์ว่า “ในสมัยอดีต มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า เมฆทุนทุภิสวรราชตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ พุทธเกษตรของพระองค์ชื่อว่า สรรพรูปสังทรรศนะ และกัปของพระองค์มีชื่อว่า ปรียทรรศนะ ตลอดเวลา ๑๒,๐๐๐ ปี พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ได้ใช้เครื่องดนตรีหนึ่งแสนชนิด ถวายเป็นเครื่องสักการะแด่พระเมฆทุนทุภิสวรราชพุทธะ และเขายังได้ถวายทานด้วยบาตร ๘๔,๐๐๐ ใบ ทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง ด้วยผลตอบแทนแห่งการกระทำเหล่านี้ ในเวลานี้เขาได้เกิดในพุทธเกษตรของ พระกมลฑลวิมลนักบัตรราชสังกุสุมิตาภิชญพุทธะ และมีพลังอิทธิฤทธิ์เหล่านี้”
    “ปัทมศรี เธอมีความเห็นเป็นไฉน พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ ผู้ซึ่งในครั้งนั้นได้ถวายดนตรีแด่พระเมฆทุนทุภิสวรราชพุทธะ และยังได้ถวายภาชนะประดับอัญมณีแด่พระองค์ด้วยนั้น เขาเป็นคนอื่นที่เธอไม่รู้จักหรือ อันที่จริงแล้วเขาคือพระคัทคัทสวรโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้อยู่ที่นี่ในเวลานี้นั่นเอง”
    “ปัทมศรี พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์นี้ได้ทำการสักการะบูชา และถวายการปรนนิบัติแด่พระพุทธะมามากมายนับไม่ถ้วน นานมาแล้วเขาได้ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีไว้ และได้พบพระพุทธะหลายร้อยพันหมื่นล้านนยุตะ มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา”
    “ปัทมศรี เธอเห็นเพียงรูปกายของพระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ ณ ที่นี่เท่านั้น แต่โพธิสัตว์องค์นี้ยังได้ปรากฎในรูปกายต่างๆ และสอนพระสูตรนี้ โปรดสรรพสัตว์ในสถานที่ต่างๆ อีกด้วย บางครั้งเขาปรากฏเป็นพระพรหมราช บางครั้งเป็นท้าวศักระ บางครั้งเป็นเทพอิศวร บางครั้งเป็นเทพมเหศวร บางครั้งเป็นมหาเทวเสนา บางครั้งเป็นท้าวเวสสุวรรณ บางครั้งเป็นพระมหาจักรพรรดิราช บางครั้งเป็นพระราชาน้อย บางครั้งเป็นเศรษฐี บางครั้งเป็นคหบดี บางครั้งเป็นมุขมนตรี บางครั้งเป็นพราหมณ์ บางครั้งเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกหรือุบาสิกา บางครั้งเป็นภรรยาเศรษฐีหรือภรรยาคหบดี บางครั้งเป็นภรรยามุขมนตรี บางครั้งเป็นภรรยาพราหมณ์ บางครั้งเป็นชายหนุ่มหรือหญิงสาว บางครั้งเป็นเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์หรืออมนุษย์ แล้วทำการสอนพระสูตรนี้ สัตว์นรก เปรต เดรัจฉานและสัตว์อื่นๆ มากมายที่อยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ก็จะได้รับการช่วยเหลือทั้งหมด และเพื่อประโยชน์แก่นางสนมกำนัลในพระราชวัง เขาเปลี่ยนกายเป็นรูปของสตรีแล้วสอนพระสูตรนี้”
    “ปัทมศรี พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์นี้สามารถให้ความช่วยเหลือ และให้ความคุ้มครองแก่สรรพสัตว์ต่างๆ แห่งสหาโลกธาตุ พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์นี้ทำการแปลงกายได้หลายอย่าง ปรากฎตนในรูปกายต่างๆ ในสหาโลกธาตุนี้และทำการสอนพระสูตรนี้เพื่อโปรดสรรพสัตว์ก็ตาม แต่อภิญญาของเขา การแปลงกายของเขา และปัญญาของเขามิได้เป็นอันตรายหรือลดน้อยลงเพราะเหตุนั้นเลย พระโพธิสัตว์นี้ได้ใช้ปัญญาชนิดต่างๆ ในการทำความสว่างให้แก่สหาโลกธาตุ อันทำให้ทุกคนในหมู่สรรพสัตว์ได้รับความเข้าใจที่เหมาะสม และเขายังได้กระทำการอย่างเดียวกันนี้ในโลกธาตุอื่นๆ แห่งสิบทิศ ซึ่งมีมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา”
    “ถ้าเมื่อใดจำเป็นต้องช่วยด้วยรูปกายของพระสาวก เขาจะปรากฎฏตนเป็นพระสาวก แล้วทำการสอนพระธรรม ถ้าจำเป็นต้องช่วยด้วยรูปกายของพระปัจเจกพุทธะ เขาจะปรากฏตนเป็นพระปัจเจกพุทธะ แล้วสอนพระธรรม ถ้าจำเป็นต้องช่วยด้วยรูปกายของพระโพธิสัตว์เขาจะปรากฏตนเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วสอนพระธรรม ถ้าจำเป็นต้องช่วยด้วยรูปกายพระพุทธะ เขาจะปรากฏตนเป็นพระพุทธะในทันที แล้วสอนพระธรรม ดังนั้น เขาจึงปรากฏตนในรูปกายต่างๆ มากมาย ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมแก่การช่วยเหลือ และถ้าการเข้าสู่ความดับเป็นการเหมาะกับการช่วยเหลือ เขาจะแสดงให้เห็นว่าเขากำลังเข้าสู่ความดับ”
    “ปัทมศรี พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์มหาสัตว์ได้อภิญญาและบุญญานุภาพแล้ว ซึ่งช่วยให้เขาสามารถกระทำสิ่งทั้งหมดนี้ได้!”
    เวลานั้น พระปัทมศรีโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์นี้ ท่านได้ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีไว้แล้วอย่างล้ำลึกมาก พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโพธิสัตว์องค์นี้อาศัยอยู่ในสมาธิอะไร ที่ทำให้ท่านสามารถกระทำการแปลงกาย และสำแดงตนทั้งหลายเหล่านี้เพื่อที่จะช่วยสรรพสัตว์ พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระปัทมศรีโพธิสัตว์ว่า “สาธุชน สมาธินี้เรียกว่า สรรพรูปสันทรรศนะ พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์อาศัยอยู่ในสมาธินี้ ที่ทำให้เขาสามารถขัดเกลาและยังคุณประโยชน์ให้แก่สรรพสัตว์ได้เหลือคณา”
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ เทศนาบทว่าด้วยพระคัทคัทสวรโพธิสัตว์นี้จบลงแล้ว ผู้ที่มากับพระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ทั้งหมด ต่างได้รับสมาธินี้ อันทำให้พวกเขาสามารถสำแดงกายได้ทุกชนิด และพระโพธิสัตว์นับไม่ถ้วนในสหาโลกธาตุนี้ได้สมาธิและธารณีนี้ด้วยเช่นกัน
    ครั้งนั้น พระคัทคัทสวรโพธิสัตว์มหาสัตว์ได้ทำการถวายทานแด่พระศากยมุนีพุทธเจ้าและหอรัตนะของพระประภูตรัตนพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ก็ได้เดินทางกลับไปยังดินแดนเดิมของท่าน ทุกดินแดนที่ท่านเดินทางผ่านไปต่างสั่นไหวใน ๖ วิถี ดอกบัวอัญมณีโปรยปรายลงมา และเครื่องดนตรีมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านชนิด บรรเลงโดยตลอด หลังจากที่ท่านพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ห้อมล้อม ๘๔,๐๐๐ องค์ได้มาถึงดินแดนเดิมของท่านแล้ว ได้ตรงไปยังที่ประทับของ พระพุทธเจ้ากมลฑลวิมลนักษัตรราชสังกุสุมิตากิชญะ และได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ได้ไปเยี่ยมสหาโลกธาตุ ยังความอุดมสมบูรณ์และยังคุณประโยชน์ให้แก่สรรพสัต ได้ถวายความเคารพ และถวายเครื่องสักการะแด่พระศากยมุนีพุทธเจ้า และหอรัตนะของพระประภูตรัตนพุทธะ ข้าพระองค์ยังได้พบกับพระธรรมราชบุตรมัญชุศรีโพธิสัตว์ รวมทั้งพระไภษัชยราชโพธิสัตว์ พระวิริยพลเวคปราปต์โพธิสัตว์ พระประทานสุระโพธิสัตว์ และคนอื่นๆ และข้าพระองค์ยังได้ทำให้พระโพธิสัตว์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ องค์นี้ได้รับสมาธิ อันช่วยให้พวกเขาสามารถสำแดงรูปกายได้ทุกชนิดด้วย พระเจ้าข้า”
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้เทศนาบทนี้ซึ่งว่าด้วยการมาและการไปของพระคัทคัทสวรโพธิสัตว์ เทพบุตรจำนวน ๔๒,๐๐๐ องค์ ได้รับสัจจะแห่งความไม่มีการเกิดของปรากฏการณ์ทั้งหลาย และพระปัทมศรีโพธิสัตว์ได้รับสัทธรรมปุณฑริกสมาธิ
     
  5. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๕
    บทปรัชญาธรรมทั้งหมดของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์

    ในเวลานั้น พระอักษยมติโพธิสัตว์ได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ห่มผ้าจีวรเฉียงไหล่ขวา ประนมมือไปทางพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้ ทำไมท่านจึงได้สมญานามว่า ผู้รับรู้เสียงร้องของโลก พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบพระอักษยมติโพธิสัตว์ว่า “สาธุชน สมมุติว่ามีสรรพสัตว์มากมายหลายร้อยพันหมื่นล้าน กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมานต่างๆ ถ้าพวกเขาได้สดับฟังเรื่องของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้แล้ว ด้วยใจเดียวเรียกขานนามของเขา ในทันทีเขาจะรับรู้เสียงเรียกนั้น และสรรพสัตว์ทั้งหมดนั้นจะได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน”
    “ถ้ามีผู้ยึดมั่นในนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ แม้ว่าเขาจะได้ตกเข้าไปในกองไฟใหญ่ ไฟก็ไม่อาจไหม้เขาได้ ทั้งนี้เพราะด้วยพลังและอิทธิฤทธิ์ของพระโพธิสัตว์องค์นี้ ถ้าผู้ใดถูกกระแสน้ำใหญ่พัดพาไปและได้ร้องเรียกขานนามของพระโพธิสัตว์นี้ แล้วเขาจะพบตัวเอง อยู่ในที่น้ำตื้นในทันที”
    “สมมุติว่า มีสรรพสัตว์หนึ่งร้อยพันหมื่นล้าน ผู้แสวงหาทอง เงิน ไพฑูรย์ หอยสังข์ หินโมรา หินปะการัง อำพัน ไข่มุก และสมบัติมีค่าอื่นๆ ออกเดินทางไปในทะเลใหญ่ สมมุติว่ามีพายุแรงพัดพาเรือของพวกเขาออกไปนอกเส้นทาง และตกเข้าไปอยู่ในดินแดนของยักษ์รากโษส ถ้าในหมู่คนเหล่านี้ มีใครคนหนึ่งเรียกขานนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แล้ว คนเหล่านั้นจะรอดพ้นอันตรายจากพวกรากโษส นี่คือเหตุที่ทำให้เขาได้สมญานามว่า ผู้รับรู้เสียงร้องของโลก”
    “ถ้าคนผู้ที่เผชิญกับการมุ่งร้ายหมายเอาชีวิต เรียกขานนามของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแล้ว ดาบและกระบองของคนร้ายจะหักเป็นชิ้นๆ ทันที และเขาจะได้รับการปลดปล่อย”
    “ถึงแม้จะมียักษ์และรากโษสมากมายเต็มไปทั่วทั้งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ พยายามที่จะเข้ามาทำร้ายแก่คนผู้หนึ่ง ถ้าพวกมันได้ยินคนผู้นั้นเรียกขานนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แล้ว พวกยักษ์ร้ายเหล่านี้ ไม่อาจแม้จะมองเขาด้วยสายตาอันดุร้ายของพวกมันได้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการที่เขาจะถูกทำร้าย”
    “สมมุติว่าคนๆ หนึ่ง ไม่ว่ามีความผิดหรือไม่มีความผิด ร่างกายของเขาถูกจำไว้ด้วยโซ่ตรวน ขื่อคาและกุญแจ ถ้าเขาเรียกขานนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แล้ว เครื่องผูกมัดจองจำทั้งหลายจะถูกทำลายหมด และเขาจะได้รับการปลดปล่อยในทันที”
    “สมมุติว่าในที่แเห่งหนึ่งเต็มไปด้วยโจรใจร้ายทั้งหลายแห่งตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ มีหัวหน้าพ่อค้ากำลังนำหมู่พ่อค้า พาสมบัติล้ำค่าไปตามทางอันสูงชันและอันตราย และหัวหน้านั้นได้ร้องบอกด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “สาธุชนทั้งหลาย อย่าได้กลัวไปเลย! ขอให้พวกท่านด้วยใจเดียว เรียกขานนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์องค์นี้ สามารถมอบความไม่กลัวให้แก่สรรพสัตว์ ถ้าพวกท่านเรียกขานนามของท่านแล้ว พวกท่านจะรอดพันอันตรายจากพวกโจรใจร้ายเหล่านี้!” เมื่อกลุ่มพ่อค้าได้ฟังดังนี้ พวกเขาทั้งหมดได้ร่วมกันร้องด้วยเสียงอันดังว่า “ขอนอบน้อมแด่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์!” และเพราะว่าคนพวกนี้เรียกขานนามของเขา จึงได้รับอิสรภาพในทันที อักษยมติ พลังและอิทธิฤทธิ์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มหาสัตว์ทรงอานุภาพ
    ดังนี้แล!”
    “ถ้ามีสรรพสัตว์ถูกกลุ้มรุมด้วยราคะตัณหาอย่างหนัก ขอให้พวกเขาคิดถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ด้วยความเคารพไว้เสมอ และแล้วพวกเขาจะสามารถสลัดความอยากได้เหล่านั้นออกไปเสียได้ ถ้าพวกเขามีความโกรธเคืองจัด ขอให้พวกเขาคิดถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ด้วยความเคารพไว้เสมอ และแล้วพวกเขาสามารถสลัดความ
    โกรธเคืองออกไปเสียได้ ถ้าพวกเขามีความไม่รู้และความโง่เขลามาก ขอให้พวกเขาคิดถึงพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ด้วยความเคารพไว้เสมอ และแล้วพวกเขาสามารถขจัดความโง่เขลาออกจากตนเสียได้”
    “อักษยมติ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ทรงไว้ซึ่งพลังและอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ ดังเราได้บรรยายมาแล้ว และยังสามารถอำนวยคุณประโยชน์ให้ได้อีกมากมาย เพราะฉะนั้น สรรพสัตว์ควรจะรักษาความคิดถึงเขาไว้ในใจเสมอ”
    “ถ้าสตรีใดมีความปรารถนาที่จะได้บุตรชาย เธอควรจะถวายความเคารพและถวายทานแด่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ แล้วเธอจะให้กำเนิดแก่บุตรชายที่มีบุญด้วยคุณความดีและปัญญา และถ้าเธอปรารถนาที่จะได้บุตรหญิง เธอก็จะให้กำเนิดบุตรหญิงที่เพียบพร้อม ด้วยลักษณะแห่งความงามทุกอย่าง อันเป็นผู้ที่ในอดีตได้ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีไว้แล้ว ได้รับความรักและความนับถือจากคนจำนวนมาก”
    “อักษยมติ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มีอำนาจที่จะทำสิ่งทั้งหลายนี้ ถ้ามีสรรพสัตว์ผู้ที่ได้ถวายความนับถือและความเคารพแด่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ บุญของพวกเขาจะไม่มีเพียงชั่วครู่ชั่วยามหรือไร้ผล เพราะฉะนั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายควรจะน้อมรับและเทิดทูนนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไว้”
    “อักษยมติ สมมุติว่ามีคนผู้หนึ่งได้น้อมรับและยึดถือนามของพระโพธิสัตว์มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๖๒ ล้านสาย และตลอดชีวิตได้ถวายทานแด่พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ในรูปของอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม เครื่องนอน และยารักษาโรค เธอมีความเห็นเป็นไฉน สาธุชนชายหญิงนี้ได้รับผลบุญมากมายหรือไม่” พระอักษยมติทูลตอบว่า “เขาจะได้รับมากทีเดียว พระเจ้าข้า พระผู้มีพระ
    ภาคเจ้า”
    พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสว่า “สมมุติอีกว่า มีคนอีกผู้หนึ่งได้น้อมรับและยึดถือนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และแม้เพียงครั้งเดียวได้ถวายความเคารพ และถวายทานแก่เขา บุญที่คนสองคนนี้ได้รับ จะเท่าเทียมกันโดยไม่มีความแตกต่างกันเลย มันจะไม่หมดกำลังหรือหมดสิ้นไป ในเวลาหนึ่งร้อยพันหมื่นล้านกัป อักษยมติ ถ้าผู้ใดน้อมรับและยึดถือนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เขาจะได้รับคุณประโยชน์แห่งบุญและคุณความดีอันไม่อาจวัดได้และไม่มีขอบเขตจำกัดดังนี้”
    พระอักษยมติโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้ ท่านท่องเที่ยวไปมาในสหาโลกธาตุนี้อย่างไร ท่านสอนธรรมะแก่สรรพสัตว์อย่างไร พลังแห่งกุศโลบายที่ท่านใช้มีลักษณะอย่างไร พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสแก่พระอักษยมติโพธิสัตว์ว่า “สาธุชน ถ้ามีสรรพสัตว์ในดินแดนใดต้องการความช่วยเหลือด้วยรูปกายของพระพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์จะปรากฏตนในรูปกายของพระพุทธะ แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือในรูปกายของพระปัจเจกพุทธะ เขาจะปรากฏในรูปกายของพระปัจเจกพุทธะในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของพระสาวก เขาจะกลายเป็นพระสาวกในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของพระพรหมราช เขาจะกลายเป็นพระพรหมราชในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของท้าวศักระ เขาจะกลายเป็นท้าวศักระในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของเทพอิศวร เขาจะกลายเป็นเทพอิศวรในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของเทพมเหศวร เขาจะกลายเป็นเทพมเหศวรในทันทีแล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของมหาเทวเสนา เขาจะกลายเป็นมหาเทวเสนาในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของท้าวเวสสุวรรณ เขาจะกลายเป็นท้าวเวสสุวรรณในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของพระราชาน้อย เขาจะกลายเป็นพระราชาน้อยในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของเศรษฐี เขาจะกลายเป็นเศรษฐีในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของคหบดี เขาจะกลายเป็นคหบดีในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของมุขมนตรี เขาจะกลายเป็นมุขมนตรีในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของพราหมณ์ เขาจะกลายเป็นพราหมณ์ในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
    หรืออุบาสิกา เขาจะกลายเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรือุบาสิกาในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของภรรยาเศรษฐี ภรรยาคหบดี ภรรยามุขมนตรี หรือภรรยาพราหมณ์ เขาจะกลายเป็นภรรยาเหล่านั้นในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของชายหนุ่มหรือหญิงสาว เขาจะกลายเป็นชายหนุ่มหรือหญิงสาวในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์หรือ อมนุษย์ เขาจะกลายเป็นคนเหล่านี้ในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของเทพวัชรปาณี เขาจะกลายเป็นเทพวัชรปาณีในทันที แล้วสอนธรรมะแก่พวกเขา”
    “อักษยมติ เหล่านี้คือบุญที่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้ได้รับแล้ว และถือเอารูปกายต่างๆ ท่องเที่ยวไปในดินแดนต่างๆ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ เพราะเหตุนี้เธอและคนอื่นๆ ควรจะถวายทานแด่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ด้วยใจเดียว พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มหาสัตว์นี้ สามารถที่จะประทานความไม่กลัวให้แก่ผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากลัว ถูกบีบคั้น หรือยากลำบากทั้งปวง นั่นคือเหตุที่ในสหาโลกธาตุนี้ทุกคนเรียกเขาว่า ผู้ประทานความไม่กลัว”
    พระอักษยมติโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลานี้ข้าพระองค์ต้องการที่จะถวายทานแด่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระเจ้าข้า”
    ในเวลานั้น ท่านได้ถอดเอาสร้อยคออัญมณีมูลค่าหนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันตำลึงทองออก แล้วนำไปถวายแด่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญขอรับ ได้โปรดรับสร้อยคออัญมณีนี้เป็นของกำนัลในพระธรรมด้วยเถิด ขอรับ” แต่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์มิได้ตั้งใจที่จะรับของกำนัลนั้น
    พระอักษยมติจึงได้กล่าวแก่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อีกครั้งหนึ่งว่า “ท่านผู้เจริญขอรับ เพื่อความเมตตาแก่พวกเรา ได้โปรดรับสร้อยคอนี้เถิด ขอรับ”
    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่า “เพื่อความเมตตาแก่พระอักษยมติโพธิสัตว์นี้ และบริษัท ๔ เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์และอมนุษย์ ท่านควรรับสร้อยคอนี้ไว้”
    ในเวลานั้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ด้วยมีความเมตตาแก่บริษัท ๔ และหมู่เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์และอมนุษย์ และคนอื่น ๆ จึงได้รับสร้อยคอไว้แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วนได้ถวายส่วนหนึ่งแด่พระศากยมนีพุทธเจ้า และอีกส่วนหนึ่งถวายแด่หอรัตนะของพระประภูตรัตนพุทธะ
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “อักษยมติ เหล่านี้คืออิทธิฤทธิ์อันใช้ได้อย่างอิสระชนิดต่าง ๆ ที่พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นำมาใช้ ในการมาและการไปในสหาโลกธาตุของเขา”
    ครั้งนั้น พระอักษยมติโพธิสัตว์ได้ทูลถามปัญหาในรูปของคาถาประพันธ์ดังนี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อุดมด้วยลักษณะมหัศจรรย์
    บัดนี้ ข้าพระองค์ขอทูลถามพระพุทธองค์อีกครั้ง
    เพราะเหตุอะไรพระพุทธบุตรองค์นั้น
    จึงได้นามว่า อวโลกิเตศวร
    พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เพียบพร้อมด้วยลักษณะมหัศจรรย์ได้ทรงตรัสตอบพระอักษยมติเป็นคาถาประพันธ์ ดังนี้
    จงฟังการกระทำของอวโลกิเตศวร
    เขาสนองตอบในทุกที่อย่างเหมาะสมอย่างไร
    คำปฏิญญาอันกว้างขวางของเขาลึกดังมหาสมุทร
    แม้หลายกัปผ่านไปแต่มันก็ยังไม่อาจหยั่งถึงได้
    เขาได้ปรนนิบัติพระพุทธะหลายพันล้านพระองค์มาแล้ว
    ทำการประกาศมหาปณิธานอันบริสุทธิ์ของเขา
    เราจะบรรยายเรื่องของเขาโดยย่อแก่เธอ
    จงฟังชื่อของเขา จงดูกายของเขา
    จงจำเขาไว้ในใจ อย่าให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า
    เพราะว่าเขาสามารถขจัดความเจ็บปวดของชีวิต
    สมมุติว่ามีใครคิดจะทำร้ายแก่เธอ
    จะผลักเธอเข้าไปในบ่อเพลิงใหญ่
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    บ่อเพลิงนั้นก็จะกลายเป็นบ่อน้ำ!
    ถ้าเธอถูกโยนลงไปลอยอยู่ในมหาสมุทรกว้าง
    ถูกคุกคามทำร้ายโดยพวกนาค ปลา และปีศาจต่าง ๆ
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    คลื่นใหญ่คลื่นน้อยไม่สามารถทำให้เธอจมได้!
    สมมุติว่าเธอไปอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ
    มีคนบางคนผลักเธอตกลงมา
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    เธอจะลอยค้างอยู่กลางอากาศเหมือนดวงอาทิตย์!
    สมมุติว่าเธอถูกคนร้ายไล่ล่า
    ปรารถนาจะโยนเธอลงจากภูเขาเพชร
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    พวกมันมิอาจทำอันตรายแม้เส้นผมของเธอได้!
    สมมุติว่าเธอถูกพวกโจรใจร้ายรุมล้อม
    ทุกคนกวัดแกว่งดาบจะทำร้ายเธอ
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    คนใจร้ายจะกลายเป็นคนใจดีในทันที!
    สมมุติว่าเธอได้รับทุกข์ด้วยราชอาญา
    จะถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต
    จงคิดถึงอำนาจของอวโลกิเตศวรนั้น
    ดาบของเพชฌฆาตจะหักเป็นท่อนๆ!
    สมมุติว่าเธอถูกจองจำด้วยขื่อคาและกุญแจ
    มือและเท้าถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน
    จงคิดถึงอำนาจของอวโลกิเตศวรนั้น
    เครื่องผูกมัดจองจำจะหลุดออก ปล่อยเธอให้เป็นอิสระ!
    สมมุติว่ามีคนพยายามจะทำร้ายเธอ
    ด้วยคำสาปแช่งและยาพิษต่างๆ
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    อันตรายจะกลับไปเกิดแก่ผู้ใช้เอง
    สมมุติว่าเธอเผชิญกับพวกรากโษสร้าย
    นาคมีพิษร้ายและปีศาจร้ายต่างๆ
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    แล้วจะไม่มีผู้ใดกล้าทำอันตรายเธอได้
    ถ้าเธอถูกรุมล้อมด้วยสัตว์อันดุร้าย
    เขี้ยวและกรงเล็บอันแหลมคมของมันน่ากลัวยิ่ง
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    ในทันทีพวกมันจะแตกหนีกระจายไปสุดตา!
    ถ้ามีกิ้งก่า งู งูพิษ แมงป่อง
    คุกคามเธอด้วยควันพิษที่เผาไหม้ได้เหมือนเปลวไฟ
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    และเมื่อได้ยินเสียงของเธอ พวกมันจะหนีไปเอง
    ถ้าก้อนเมฆนำมาซึ่งฟ้าร้องและฟ้าผ่า
    ถ้าลูกเห็บตกหนักและฝนตกกระหน่ำลงมา
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    และในทันทีนั้นมันจะหายไป
    ถ้าสรรพสัตว์ประสบกับความรำคาญหรืออันตราย
    ถูกบีบคั้นด้วยความทุกข์มากมาย
    อำนาจแห่งปัญญามหัศจรรย์ของอวโลกิเตศวร
    สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ของโลก
    เขามีความเพียบพร้อมด้วยอภิญญา
    และปฏิบัติกุศโลบายแห่งปัญญาอย่างกว้างขวาง
    ทั่วทุกดินแดนในสิบทิศ
    ไม่มีภูมิภาคใดที่เขาไม่ปรากฏตน
    ในสภาพการณ์อันเลวร้ายต่างๆ มากมาย
    ในดินแดนนรก เปรต หรือเดรัจฉาน
    ความทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย
    สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เขาจะดับมันได้ที่ละน้อย
    ผู้แห่งการเพ่งมองแท้ การเพ่งมองบริสุทธิ์
    การเพ่งมองแห่งปัญญาอันยิ่งใหญ่และรอบรู้
    การเพ่งมองแห่งความเมตตา การเพ่งมองแห่งความกรุณา
    พวกเราอ้อนวอนเขาเสมอ มองหาเขาด้วยความเคารพเสมอ
    แสงสว่างอันบริสุทธิ์ของเขา ปราศจากรอยมลทิน
    เป็นดวงอาทิตย์แห่งปัญญาขับไล่ความมืดทั้งหลาย
    เขาสามารถทำให้ลมและไฟแห่งความพิบัติสงบลง
    และนำความสว่างมาสู่ทุกแห่งในโลก
    ศีลจากกายกรุณาของเขาทำให้พวกเราสั่น เหมือนฟ้าร้อง
    ความอัศจรรย์แห่งจิตเมตตาของเขาเป็นเหมือนมหาเมฆ
    เขาหลั่งน้ำอมฤต คือฝนแห่งธรรมะ
    เพื่อดับเปลวเพลิงแห่งกิเลส
    เมื่อเธอถูกฟ้องร้องอยู่ต่อหน้าเจ้าหน้าที่รัฐ
    เมื่อเกิดความกลัวในท่ามกลางกองทัพข้าศึก
    จงคิดถึงพลังของอวโลกิเตศวรนั้น
    ความเกลียดชังทุกรูปแบบจะถูกกำจัดหมดสิ้น
    เสียงมหัศจรรย์ ผู้รับรู้เสียงร้องของโลก
    เสียงของพรหม เสียงกระแสน้ำทะเล
    มันเป็นเสียงที่เหนือเสียงทั้งหลายของโลก
    ดังนั้น เธอควรจะคิดถึงเสียงเหล่านี้ไว้เสมอ
    ทุกๆ ขณะจิตอย่าปล่อยให้เกิดความคิดสงสัยได้!
    พระอวโลกิเตศวร มุนีบริสุทธิ์
    แก่ผู้ตกทุกข์อยู่ในอันตรายแห่งความตาย
    เขาสามารถให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ
    ด้วยการมีเพียบพร้อมแล้วด้วยบุญกุศลทั้งหลาย
    เขามองสรรพสัตว์ด้วยตาแห่งความกรุณา
    ทะเลแห่งบุญอันสะสมไว้แล้วของเขาเหลือคณนานับได้
    เพราะฉะนั้นเธอควรจะโค้งศีรษะคำนับแก่เขา!
    ในเวลานั้น พระธรณีธรโพธิสัตว์ได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเข้าไปหาพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้ามีสรรพสัตว์ได้ฟังบทนี้ที่ว่าด้วยปรัชญาธรรมทั้งหมดของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ บทว่าด้วยความเป็นอิสระแห่งการกระทำของท่าน การแสดงแห่งทางเข้าทั่วไปของท่าน และอภิญญาของท่านแล้ว ควรจะทราบกันว่าบุญที่คนเหล่านี้ได้รับนั้นมีไม่น้อยเลย พระเจ้าข้า!”
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้เทศนาบทปรัชญาธรรมทั้งหมดของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นี้จบแล้ว คนจำนวน ๘๔,๐๐๐ คน ในที่ประชุมต่างเกิดจิตมุ่งที่จะบรรลุสภาพอันไม่มีที่เปรียบได้แห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิ
     
  6. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๖
    บทธารณี

    ในเวลานั้น พระไภษัชยราชโพธิสัตว์ได้ลุกจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉียงไหล่ขวา ประนมมือไปทางพระพุทธเจ้าแล้วได้กราบทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้ามีสาธุชนชายหญิงทั้งหลาย ผู้ที่สามารถรับและยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร ถ้าเขาอ่านและสวดพระสูตรนี้ เข้าใจความหมายของพระสูตรนี้ หรือทำการคัดลอกม้วนพระสูตรนี้ บุญที่เขาได้รับจะมีสักเท่าใด พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระไภษัชยราชว่า “ถ้ามีสาธุชนชายหญิงทั้งหลาย ผู้ซึ่งได้ถวายทานแด่พระพุทธะมากมายเท่าเม็ดทรายในเม่น่าคงคา แปดร้อยหมื่นล้านนยุตะสาย เธอมีความเห็นเป็นไฉน บุญที่เขาจะได้รับย่อมมีมากมายอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่”
    “มากทีเดียว พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า”
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เกี่ยวกับพระสูตรนี้ ถ้าสาธุชนชายหญิงทั้งหลายสามารถน้อมรับและยึดถือไว้เพียงหนึ่งคาถาสี่บรรทัด ถ้าพวกเขาอ่านและสวดพระสูตรนี้ เข้าใจหลักการของพระสูตรนี้ และปฏิบัติตามที่พระสูตรนี้สอนแล้ว ผลบุญจะมีมากมายที่เดียว”
    ในเวลานั้น พระไภษัชยราชโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ บัดนี้ ข้าพระองค์จะขอมอบธารณีมนต์ให้แก่ผู้สอนธรรมะ มนต์นี้จะปกป้องคุ้มครองพวกเขา พระเจ้าข้า”
    ครั้นแล้วท่านได้ประกาศมนต์เหล่านี้ ดังนี้

    อันเย มันเย มะเน มะมะเน จิตเต จะริเต ษะเม ษะมิ ตะวิ
    ษันเต มุกเต มุกตะตะเม สะเม อะวิษะเม สะมะ สะเม
    กษะเย อักษะเย อักษิเน ษันเต ษะเมธะระณิ อะโลกะภะเษ
    ปรัตยะเวกษะนิ นิวิษเต อัภยันตะระนิวิษเต อัตยันตะปะริสุทธิ
    อุกกุเล มุกกุเล อะระเท ปะระเท ษุกักษิ อะสะมะสะเม
    พุทธะวิโลกิเต ธรมะปะริกษุเต สังฆะนิรโฆษะนิ
    ภะยะภะยะโษธะนิ มันเตร มันตรักษะยะเต รุเต รุตะโกศัลเย
    อักษะเย อักษะยะวะนะตะยะ อะพะโล อะมันยะนะ ตะยะ

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ธารณีเหล่านี้ มนต์อันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ถูกประกาศไว้แล้วโดยพระพุทธะมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๖๒ ล้านสาย ถ้าผู้ใดโจมตีหรือทำร้ายอาจารย์ผู้สอนธรรมะเหล่านี้แล้ว เขาย่อมจะโจมตีและทำร้ายแก่พระพุทธะเหล่านี้ด้วย พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสยกย่องพระไภษัชยราชโพธิสัตว์ว่า “ดีมาก ดีมาก ไภษัชยราช! เธอรักษาอาจารย์ผู้สอนธรรมะเหล่านี้ไว้ในความคิดกรุณาของเธอ ปกป้องและคุ้มครองพวกเขา และเพราะเหตุนั้น เธอจึงได้ประกาศธารณีเหล่านี้ พวกเขาจะได้นำบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ไปให้แก่สรรพสัตว์”
    เวลานั้น พระประทานสุระโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ก็จะประกาศธารณีเพื่อการปกป้องและคุ้มครองแก่ผู้ที่อ่าน สวด รับและยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร ถ้าอาจารย์ผู้สอนธรรมะได้มีธารณีเหล่านี้แล้ว แม้จะมีพวกยักษ์ รากโษส ปุตนะ กริตยะ กุมภัณฑ์ หรือ พวกผีเปรต คอยจ้องหาข้อบกพร่องและ
    พยายามที่จะหลอกลวงพวกเขา พวกมันก็ไม่สามารถที่จะทำได้ พระเจ้าข้า”
    ครั้นแล้ว ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ท่านได้ประกาศมนต์เหล่านี้ดังนี้

    ชวะเล มะหะชวะเล อุกเก มุกเก อะเท อะทะวะติ นริ ตเย
    นริตยะวะติ อิตตินิ วิตตินิ จิตตินิ นริตยะนิ นริตยะวะติ

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ธารณีเหล่านี้ มนต์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ได้ประกาศไว้แล้วโดยพระพุทธะมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา และทุกพระองค์ทรงตอบรับด้วยความปิติยินดี ถ้ามีผู้ใดคิดจะโจมตีหรือทำร้ายแก่อาจารย์ผู้สอนธรรมะเหล่านี้แล้ว เขาผู้นั้นย่อมจะได้โจมตีและทำร้ายพระพุทธะเหล่านี้ด้วย พระเจ้าข้า!”
    ครั้งนั้น ท้าวเวสสุวรรณผู้พิทักษ์โลก ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ก็มีความคิดเมตตาต่อสรรพสัดว์ และคิดปกป้องคุ้มครองอาจารย์ผู้สอนธรรมะเหล่านี้ด้วย ดังนั้นข้าพระองค์จะขอประกาศธารณีเหล่านี้ พระเจ้าข้า”
    ครั้นแล้วท้าวเธอได้ประกาศมนต์เหล่านี้ดังนี้

    อัตเต นัตเต นุนัตเต อะนะโท นะทิ กุนะทิ

    “พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยมนต์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ข้าพระองค์จะปกป้องคุ้มครองผู้ที่ยึดถือพระสูตรนี้ โดยการทำให้แน่ใจว่า ภายในบริเวณ ๑๐๐ โยชน์จะไม่มีสิ่งใดมาทำให้พวกเขาเกิดความเสื่อมเสียหรือเป็นอันตรายได้ พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น ทัาวธฤตราษฎร์ผู้ซึ่งอยู่ในที่ประชุมถูกแวดล้อม และทำความเคารพอยู่โดยหมู่คนธรรพ์หลายพันหมื่นล้านนยุตะ ได้ก้าวไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้าประนมมือแล้วกราบทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ก็จะใช้ธารณีมนต์อันศักดิสิทธิ์ เพื่อปกป้องคุ้มครองผู้ที่ยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ด้วยเช่นกัน พระเจ้าข้า”
    ครั้นแล้ว ท้าวเธอได้ประกาศมนต์เหล่านี้ดังนี้

    อะคะเน คะเน เคาริ คันธาริ จันทะลิ
    มะตันคิ ชันคุลี วรุสะนิ อะคัสติ

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ธารณีเหล่านี้ มนต์อันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ได้ประกาศไว้แล้วโดยพระพุทธะ ๔๒ ล้านพระองค์ ถ้าผู้ใดคิดจะโจมตี หรือทำร้ายอาจารย์ผู้สอนธรรมะเหล่านี้แล้ว เขาย่อมจะโจมตีและทำร้ายแก่พระพุทธะเหล่านี้ด้วย พระเจ้าข้า”
    ครั้งนั้น มีธิดาของปีศาจรากโษส ตนแรกนามว่า สัมภา ตนที่สองนามว่า วิลัมภา ตนที่สามนามว่า กูฎทันตี ตนที่สี่นามว่า ปุษปทันตี ตนที่ห้านามว่า มกุฎทันตี ตนที่หกนามว่า เกศินี ตนที่เจ็ตนามว่า อจลา ตนที่แปดนามว่า มาลาธารี ตนที่เก้านามว่า กุนตี ตนที่สิบนามว่า สรวสัตตโวโชหารี ธิดารากโษสทั้งสิบนี้พร้อมด้วยนางหาริตีกับลูกหลาน
    บริวารของเธอ ทั้งหมดได้เข้าไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้า และได้กราบทูลพระพุทธองค์อย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ก็ปรารถนาที่จะปกป้องและผุ้มครองผู้ที่อ่าน สวด น้อมรับ และยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตรด้วยเช่นกัน และป้องกันไม่ให้เขาได้รับความตกต่ำหรืออันตรายใดๆ ถ้าผู้ใดคอยจ้องหาข้อบกพร่องของอาจารย์ผู้สอนธรรมะเหล่านี้ และพยายามที่จะหลอกลวงพวกเขาแล้ว พวกข้าพระองค์จะคอยขัดขวางไม่ให้มันฉวยโอกาสทำได้ พระเจ้าข้า!”
    ครั้นแล้ว ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า พวกเธอได้ประกาศมนต์เหล่านี้ดังนี้

    อิติเม อิติเม อิติเม อะติเม อิติเม นิเม
    นิเม นิเม นิเม นิเม รูเห รูเห รูเห รูเห
    สตะเห สตะเห สตะเห สตูเห สตูเห

    “ถึงแม้พวกมันจะไต่บนศีรษะของเราได้ แต่พวกมันก็จะไม่อาจทำความลำบากแก่อาจารย์ผู้สอนธรรมะได้เลย! ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ หรือรากโพส หรือผีเปรต หรือปุตนะ หรือกริตยะ หรือเวตาล หรือสกันทะ หรืออุมารกะ หรืออปัสมารกะ หรือยักษ์กริตยะ หรือมนุษย์กริตยะ หรือความไข้ ไข้วันเดียว ไข้สองวัน ไข้สามวัน ไข้สี่วัน หรือไข้เจ็ดวัน หรือไข้ไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นในรูปของบุรุษ หรือในรูปของสตรี ในรูปของชายหนุ่ม ในรูปของหญิงสาว แม้ว่าจะเป็นเพียงในความฝัน มันจะไม่ทำความลำบากแก่พวกเขาเลย พระเจ้าข้า!”
    ครั้นแล้ว ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า พวกเธอได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    หากมีพวกที่ขัดขืนไม่เชื่อฟังมนต์ของพวกเรา
    ทำความลำบากและรบกวนอาจารย์ผู้สอนธรรมะแล้ว
    ศีรษะพวกมันจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง
    เหมือนดังกิ่งของต้นอรชกะ
    บาปของมันจะเป็นเช่นผู้ที่ฆ่าบิดามารดา
    หรือบาปของผู้ที่คั้นน้ำมันเอง
    หรือฉ้อโกงผู้อื่นด้วยเครื่องวัดและเครื่องชั่ง
    หรือเหมือนเทวทัตผู้กระทำสังฆเภท
    ผู้ใดทำร้ายแก่อาจารย์ผู้สอนธรรมะเหล่านี้
    จะนำมาซึ่งความผิด มาสู่ตัวเองเช่นที่กล่าวมานี้!
    หลังจากธิดารากโษสได้กล่าวคาถาเหล่านี้แล้ว พวกเธอได้กราบทูลแด่พระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์จะใช้ร่างกายของพวกข้าพระองค์เอง ปกป้องคุ้มครองผู้ที่รับ ยึดถือ อ่าน สวด และปฏิบัติพระสูตรนี้ พวกข้าพระองค์จะคอยดูแลให้พวกเขาได้รับความสงบและความเงียบ ให้พวกเขาเป็นอิสระจากความเสื่อมและอันตราย และทำให้ยาพิษทั้งหลายไม่มีผลเลย พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ธิดารากโษสว่า “ดีมาก ดีมาก! ถ้าพวกเธอสามารถปกป้องคุ้มครองผู้ที่น้อมรับและยึดถือแม้เพียงชื่อของสัทธรรมปุณฑริกสูตร บุญของพวกเธอจะมีมากมายเหลือคณา แล้วจะมากสักเท่าใดถ้าพวกเธอปกป้องและคุ้มครองผู้ที่น้อมรับและยึดถือทั้งพระสูตร ผู้ที่ถวายเครื่องสักการะแด่ม้วนพระสูตรด้วยดอกไม้ เครื่องหอม สายสร้อย แป้งหอม ขี้ผึ้งหอม กำยาน ธง ป้าย ฉัตร ดนตรี ผู้ที่จุดตะเกียงชนิดต่างๆ ตะเกียงน้ำมันเนย ตะเกียงน้ำมัน ตะเกียงน้ำมันหอมชนิดต่างๆ ตะเกียงน้ำมันดอกสุมนะ ตะเกียงน้ำมันดอกจัมปกะ ตะเกียงน้ำมันดอกวรษิกะ และตะเกียงน้ำมันดอกอุตปละ และผู้ที่ถวายเครื่องสักการะหลายร้อยพันชนิดในลักษณะนี้ กุนตี เธอและบริวารของเธอจะต้องปกป้องคุ้มครองอาจารย์ผู้สอนธรรมะเช่นท่านเหล่านี้เถิด!”
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้สอนบทธารณีนี้จบแล้ว ผู้ฟัง ๖๘,๐๐๐ คนได้เข้าถึงสัจจะแห่งความไม่มีการเกิด
     
  7. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๗
    บทเรื่องในอดีตของพระเจ้าศุภวยูหราช

    ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ที่ประชุมใหญ่ว่า “สมัยหนึ่งนานมาแล้ว หลายอสงไขยกัปนับไม่ถ้วนไม่มีขอบเขตจำกัดสุดคาดคะเนได้ในอดีต มีพระพุทธะองค์หนึ่งนามว่า ชลธรครรชิตโฆษสุสวรนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธะ พุทธเกษตรของพระองค์มีชื่อว่า ไวโรจนรัศมีประติมัณฑิตา และกัปของพระองค์มีชื่อว่า วิมลทัตตา ในพระธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ มีพระราชาองค์หนึ่งนามว่า ศุภวยูหะ พระมเหสีของพระองค์มีนามว่า วิมลทัตต์ และทรงมีพระโอรส ๒ องค์ องค์หนึ่งนามว่า วิมลครรภ อีกองค์หนึ่งนามว่า วิมลเนตร ราชโอรสทั้งสององค์ทรงมีพลังอิทธิฤทธิ์ บุญกุศล คุณความดี และปัญญามาก และเป็นเวลานานที่ทั้งสองพระองค์ได้ปฏิบัติมรรคอันเหมาะสมแก่พระโพธิสัตว์ ปฏิบัติทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยบารมี ฌานบารมี ปัญญาบารมี กุศโลบายบารมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา รวมทั้งโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ธรรมทั้งหมดเหล่านี้ พวกเขาเข้าใจอย่างทั่วถึงและรู้ละเอียดแล้ว นอกจากนี้พวกเขายังได้รับสมาธิของพระโพธิสัตว์ อันมี วิมลสมาธิ นักษัตรราชาทิตยสมาธิ วิมลนิรภาสสมาธิ วิมลรงคสมาธิ วิมลภาสสมาธิ อลังการศุภสมาธิ มหาเตโชครรภสมาธิ สมาธิทั้งหมดนี้พวกเขามีความชำชองตลอดแล้ว”
    “ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงปรารถนาที่จะชักนำและชี้แนะพระเจ้าศุภวยูหราช และเพราะว่าพระองค์ทรงคิดเมตตาแก่สรรพสัตว์ พระองค์ได้เทศนาสัทธรรมปุณฑริกสูตร ราชโอรสทั้งสองของพระราชา วิมลครรภและวิมลเนตร ได้เสด็จไปเฝ้าพระราชมารดา ประนมมือสิบนิ้วอัญชลี แล้วได้กราบทูลพระนางว่า “ข้าแต่พระมารดา หม่อมฉันขอให้พระมารดาเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าชลธรครรชิตโฆษสุสวรนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พวกหม่อมฉันก็จะไปเฝ้าพระองค์ด้วย เพื่อที่จะได้เข้าใกล้พระพุทธองค์ ถวายทานและถวายความเคารพแด่พระองค์ ทำไมหรือ เพราะว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นี้กำลังเทศนาสัทธรรมปุณฑริกสูตร ในท่ามกลางหมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย และมันเป็นการ
    สมควรที่พวกเราควรจะได้ฟังและรับคำสอนนี้ไว้ พระเจ้าข้า”
    “พระราชมารดาได้ตรัสบอกแก่พระราชโอรสว่า “พระราชบิดาของพวกเธอมีความศรัทธาในคำสอนนอกพุทธศาสนา และยึดติดลึกอยู่กับศาสนาพราหมณ์ พวกเธอควรจะไปหาพระบิดา กราบทูลให้พระองค์ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทูลเชิญให้พระองค์ไปกับพวกเธอด้วย”
    “วิมลครรภและวิมลเนตรได้ประนมมือสิบนิ้วอัญชลี แล้วได้กราบทูลพระมารดาว่า “พวกหม่อมฉันเป็นโอรสของพระธรรมราชา แต่พวกหม่อมฉันได้มาเกิดในตระกูลมิจฉาทิฐินี้!”
    “พระราชมารดาได้ตรัสแก่ พระราชโอรสทั้งสองว่า “พวกเธอทำถูกต้องแล้วที่คิดเป็นห่วงพระราชบิดา พวกเธอควรจะแสดงอิทธิฤทธิ์บางอย่างให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร เพื่อว่าเมื่อพระองค์ได้เห็นแล้ว จิตของพระองค์จะสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นอย่างแน่นอน และพระองค์จะทรงอนุญาตให้พวกเราออกไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้”
    “พระราชโอรสทั้งสอง ด้วยทรงห่วงใยในพระราชบิดา จึงได้กระโดดขึ้นไปในอากาศสูงเจ็ดชั่วต้นตาล และ ณ ที่นั่นได้แสดงอิทธิฤทธินานาชนิด อาทิ เดิน ยืน นั่ง และนอนอยู่กลางอากาศ พ่นน้ำออกจากร่างกายส่วนบน พ่นไฟออกจากร่างกายส่วนล่าง พนน้ำออกจากร่างกายส่วนล่าง พ่นไฟออกจากร่างกายส่วนบน ขยายกายให้ใหญ่เต็มท้องฟ้าแล้วทำให้เล็กลงมาอีก เมื่อทำให้เล็กแล้วกลับทำให้ใหญ่อีก หายตนไปจากท้องฟ้าแล้วกลับมาปรากฎบนพื้นดินในทันที ดำลงไปในดินเหมือนดำน้ำ เดินบนน้ำเหมือนเดินบนดิน ราชโอรสทั้งสองได้แสดงอิทธิฤทธิ์ชนิดต่างๆ เหล่านี้ เพื่อทำให้จิตใจของพระราชบิดาเกิดความบริสุทธิ์ อันจะทำให้พระองค์มีความเชื่อและมีความเข้าใจได้”
    “ครั้งนั้น เมื่อพระบิดาได้เห็นราชโอรสของพระองค์แสดงพลังอิทธิฤทธิ์อย่างนี้ พระองค์มีความพอพระทัยยิ่งนักกับสิ่งที่พระองค์ไม่เคยได้พบมาก่อน แล้วพระองค์ได้ประนมมืออัญชลีไปยังราชโอรสทั้งสองและได้ตรัสถามว่า “ใครเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นศิษย์ของใคร”
    พระราชโอรสทั้งสองทูลตอบว่า “ข้าแต่มหาราช พระพุทธเจ้าชลธรครรชิตโฆษสุสวรนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ในปัจจุบันพระองค์กำลังประทับนั่งเหนือธรรมาสน์ ใต้ต้นสัปตรัตนโพธิ์พฤกษ์ ท่ามกลางหมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในโลก ทรงเทศนาสัทธรรมปุณฑริกสูตรอย่างกว้างขวาง พระองค์คืออาจารย์ของพวกหม่อมฉัน และพวก
    หม่อมฉันเป็นศิษย์ของพระองค์ พระเจ้าข้า”
    “พระราชบิดาได้ตรัสแก่โอรสทั้งสองว่า “ข้าอยากไปเยี่ยมอาจารย์ของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าไปพร้อมกับข้าได้”
    “ด้วยพระดำรัสนี้ พระโอรสทั้งสองได้ลงจากอากาศแล้วเข้าไปเฝ้าพระมารดา ประนมมืออัญชลีแล้วกราบทูลว่า “บัดนี้พระราชบิดาได้เกิดความเชื่อและความเข้าใจแล้ว พระองค์ได้บังเกิดจิตปรารถนาในอนุตตรสัมมาสัมโพธิเต็มที่แล้ว หม่อมฉันทั้งสองได้กระทำพุทธกิจเพื่อประโยชน์ของพระราชบิดาสำเร็จแล้ว ขอพระมารดาได้โปรดอนุญาตให้พวกหม่อมฉันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า สละชีวิตคฤหัสถ์เพื่อออกไปปฏิบัติ
    มรรคด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
    ในเวลานั้น ราชโอรสทั้งสองปรารถนาที่จะกล่าวความหมายของตนอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้
    ได้โปรดเถิดพระมารดา โปรดอนุญาตให้เรา
    ออกจากวังและบรรพชาเป็นสมณะ
    พระพุทธะทั้งหลายเป็นสิ่งที่พบได้ยากยิ่งนัก
    เราจะทำตามพระพุทธเจ้าพระองค์นี้และเรียนจากพระองค์
    หาได้ยากดุจดังหาดอกอุทุมพร
    การได้พบพระพุทธะสักองค์หนึ่งยากยิ่งกว่า
    และการหนีให้พ้นจากความยากลำบากก็เป็นเรื่องยากด้วย
    ขอพระมารดาได้โปรดอนุญาตให้เราออกบวชเถิด
    “ฝ่ายพระมารดาได้ตรัสแก่โอรสทั้งสองว่า “แม่จะอนุญาตให้พวกเธอสละชีวิตในวัง ทำไมหรือ เพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นของยากจักได้พบ”
    “เมื่อนั้น ราชโอรสทั้งสองได้กราบทูลพระบิดาและพระมารดาว่า “สาธุ พระบิดาพระมารดา! ในเวลาอันสมควรนี้ หม่อมฉันขออัญเชิญพระองค์ เสด็จไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้าชลธรครรชิตโฆษสุสวรนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เพื่อจะได้เข้าเฝ้าและถวายทานแด่พระพุทธเจ้าด้วยพระองค์เองเถิด เพราะเหตุใดหรือ เพราะเหตุว่าการได้พบพระพุทธะเป็นของยากดุจดังการที่จะได้พบดอกอุทุมพรหรือเป็นของยาก ดุจดังเต่าตาเดียวจะได้พบขอนไม้ลอยน้ำที่มีรูเดียว หม่อมฉันได้รับพรด้วยการมีโชคดีอันยิ่งใหญ่ในอดีตชาติ จึงได้มาเกิดในสมัยที่หม่อมฉันสามารถได้พบพุทธธรรม เพราะเหตุนี้ พระบิดาและพระมารดาควรจะอนุญาตให้หม่อมฉันทั้งสองออกผนวช ทำไมหรือ เพราะว่าพระพุทธะทั้งหลายยากนักจักได้พบ และเวลาที่เหมาะสมก็ยากที่จะพบได้ด้วยเช่นกัน”
    “ครั้งนั้น นางสนมกำนัลจำนวน ๘๔,๐๐๐ คนของพระเจ้าศุภวยูหราช ทั้งหมดล้วนมีความสามารถต่อการน้อมรับและยึดถือสัทธรรมปุณฑริกสูตร พระวิมลเนตรโพธิสัตว์ได้มีความเชี่ยวชาญ ในธรรมปุณฑริกสมาธิมาแล้วเป็นเวลานาน และพระวิมลครรภโพธิสัตว์มีความเชี่ยวชาญในสมาธิที่ทำให้สรรพสัตว์หลุดพ้นจากอบายภูมิมาแล้วแต่อดีต นานหลายร้อยพันหมื่นล้านกัป ทั้งนี้เพราะว่าเขาปรารถนาที่จะทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากอบายภูมิ ส่วนพระมเหสีของพระราชาก็ได้รับพุทธสมัชชาสมาธิแล้ว อันทำให้พระองค์สามารถเข้าใจคลังอันเร้นลับของพระพุทธะทั้งหลาย ดังได้บรรยายมาแล้ว โอรสทั้งสองของพระนางได้ใช้พลังแห่งกุศโลบายในการขัดเกลาและเปลี่ยนแปลงพระราชบิดา อันทำให้พระองค์สามารถได้มาซึ่งจิตแห่งความศรัทธาและความเข้าใจ
    ความรักและความพอใจในพระธรรมของพระพุทธเจ้า”
    “ครั้งนั้น พระเจ้าศุภวยูหราชตามเสด็จโดยหมู่เสนาบดีและข้าราชบริพาร พระมเหสีวิมลทัตต์พร้อมด้วยนางสนองพระโอษฐ์และนางกำนัล พระราชโอรสทั้งสององค์ตามเสด็จโดยข้าราชบริพาร ๔๒,๐๐๐ คน ทั้งหมดในเวลาเดียวกันได้ไปยังที่ประทับของพระพุทธเจ้า เมื่อไปถึงแล้ว ทั้งหมดได้เข้าไปถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ กระทำประทักษิณสามรอบแล้วถอยออกไปยืนอยู่ ณ ด้านหนึ่ง”
    “ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระราชา ทรงสั่งสอน นำคุณประโยชน์ และความปีติสู่พระองค์ ทำให้พระราชาทรงโสมนัสยิ่งนัก”
    “ครั้งนั้น พระเจ้าศุภวยูหราชและพระมเหสีต่างได้ถอดสร้อยพระศอไข่มุกมูลค่าหลายร้อยและหลายพันโปรยไปยังพระพุทธเจ้า ณ กลางอากาศ สร้อยพระศอได้เปลี่ยนเป็นแท่นประดับอัญมณีมีสี่เสา บนแท่นปูด้วยเบาะประดับอัญมณีขนาดใหญ่ คลุมด้วยผ้าทิพย์หลายร้อยพันหมื่นผืน บนผ้าทิพย์นั้น มีพระพุทธะพระองค์หนึ่งประทับนั่งขัด
    สมาธิเปล่งรัศมีอันโชติช่วงอยู่”
    “ครั้งนั้น พระศุภวยูหราชทรงมีพระดำริดังนี้ “พระวรกายของพระพุทธะช่างหาได้ยากจริงๆ พิเศษในความสง่างามและเครื่องประดับ ประกอบเป็นรูปที่แสนประณีตและน่าพิศวงที่สุด!” เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าชลธรครรชิตโฆษสุสวรนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะได้ตรัสแก่บริษัท ๔ ว่า “พวกเธอเห็นพระเจ้าศุภวยหราช ผู้ยืนประนมมืออยู่ต่อหน้าเรานี้หรือไม่ ในพระธรรมของเรา พระราชาพระองค์นี้จะได้เป็นพระภิกษุ ปฏิบัติธรรมอย่างขยันขันแข็งอันเป็นการช่วยพุทธมรรค พระองค์สามารถที่จะได้เป็นพระพุทธะพระองค์หนึ่งนามว่า ศาเลนทรราช พุทธเกษตรของพระองค์มีชื่อว่า วิสตีรณวตี และกัปของพระองค์มีชื่อว่า อภยุทคตราช พระศาเลนทรราชพุทธะนี้ ทรงมีหมู่พระโพธิสัตว์และหมู่
    พระสาวกมากมาย ดินแดนของพระองค์ราบและเรียบ นั่นคือบุญกุศลของพระองค์”
    “ณ บัดนั้น พระราชาได้ทรงมอบราชอาณาจักรของพระองค์ให้แก่พระอนุชา แล้วพระองค์เองติดตามด้วยพระมเหสี ราชโอรสทั้งสองพระองค์ และข้าราชบริพาร นางสนมกำนัลทั้งหมด ได้สละเพศคฤหัสถ์เข้าปฏิบัติมรรคในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า”
    “หลังจากพระราชาได้เสด็จออกผนวชแล้วตลอดเวลา ๘๔,๐๐๐ ปี พระองค์ได้อุทิศตนด้วยความขยันในการปฏิบัติสัทธรรมปุณฑริกสูตร เมื่อเวลานี้ได้ผ่านไป พระองค์ได้รับสมาธิชื่อ สรวคุณาลังการวยูหะ พระองค์ได้ลอยขึ้นไปในอากาศสูงเจ็ดชั่วต้นตาล แล้วได้กราบทูลแด่พระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ราชโอรสทั้งสองของหม่อม
    ฉันได้กระทำพุทธกิจสำเร็จแล้ว โดยการใช้พลังอิทธิฤทธิ์และการแปลงรูปกลับใจหม่อมฉันจากความเห็นนอกรีต ช่วยให้หม่อมฉันเข้าอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยในพุทธธรรม และยังทำให้หม่อมฉันมีโอกาสได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ราชโอรสทั้งสองนี้เป็นกัลยาณมิตรของหม่อมฉันโดยแท้ ด้วยความปรารถนาที่จะปลุกรากเหง้าที่ดีแต่ชาติปางก่อนของหม่อมฉัน ยังความอุดมสมบูรณ์ให้และยังคุณประโยชน์ให้แก่หม่อมฉัน และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงได้มาเกิดในตระกูลของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า”
    “ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าชลธรครรชิตโฆษสุสวรนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ได้ตรัสแก่พระเจ้าศุภวยูหราชว่า “อย่างนั้น อย่างนั้น เป็นอย่างที่พระองค์ตรัสนั้นทีเดียว มหาราช ถ้าสาธุชนชายและหญิงทั้งหลายได้ปลูกรากเหง้าดีไว้แล้ว อันเป็นผลให้ในชาติแล้วชาติเล่า สามารถได้พบกับกัลยาณมิตร และกัลยาณมิตรเหล่านี้สามารถกระทำพุทธกิจได้ด้วยการสอน ยังประโยชน์ให้ ยังความพอใจให้ และสามารถช่วยให้พวกเขาเข้าสู่อนุตรสัมมาสัมโพธิ มหาราช พระองค์ควรจะเข้าพระทัยว่า มิตรดีนี่เองที่เป็นเหตุและปัจจัยอันสำคัญให้คนได้รับการชี้นำ และยังช่วยให้เขาได้พบพระพุทธะ และบังเกิดจิตปรารถนาในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ มหาราช พระองค์ทรงเห็นราชโอรสทั้งสององค์นี้หรือไม่ ราชโอรสทั้งสององค์นี้ได้ถวายทานแด่พระพุทธะมาแล้วมากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๖๕ ร้อยพันหมื่นล้านนยุตะสาย ได้เข้าใกล้ชิดพระองค์ด้วยความเคารพ และภายใต้พระพุทธะเหล่านั้น พวกเขาได้น้อมรับและยึดถือธรรมปุณฑริกสูตรไว้แล้ว มีความคิดเมตตาต่อสรรพสัตว์ผู้ยึดถือความเห็นนอกรีต และทำให้พวกเขาเข้าอยู่ในความเห็นที่ถูกต้อง”
    “เมื่อนั้น พระศุภวยูหราชได้เสด็จลงจากกลางอากาศแล้วได้กราบทูลแด่พระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระตถาคตเจ้า เป็นผู้ที่หาได้ยากมากที่เดียว! เพราะเหตุแห่งบุญกุศลคุณความดีและปัญญา จึงทำให้พระอุษณีย์บนพระเศียรของพระองค์สว่างไสวด้วยแสงอันโชติช่วง พระเนตรของพระองค์ยาวกว้างและสีดำสนิท พระอุณาโลมของพระองค์เป็นสีขาวดุจผลึกดวงจันทร์ พระทนต์ของพระองค์ขาวบริสุทธิ์เรียบเสมอเรียงชิดติดกันและส่องแสงแวววาวอยู่เสมอ ริมพระโอษฐ์แดงเรื่อและสวยงามดุจดังผลพิมพะ”
    “ครั้งนั้น พระเจ้าศุภวยูหราช เมื่อได้สรรเสริญบุญกศลในลักษณะนี้มากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านสุดคณานับแล้ว ณ เบื้องพระพักตร์ของพระตถาคตเจ้าด้วยใจเดียวประนมพระหัตถ์แล้ว ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ของอย่างนี้ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย พระเจ้าข้า! พระธรรมของพระตถาคตเจ้ามีบุญกุศลอันละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์ สมบูรณ์อย่างไม่อาจคิดคาดได้ คำสอนและศีลของพระองค์ได้รับการปฏิบัติในที่ใด ความสงบสุขและความรู้สึกดีย่อมเกิดขึ้นที่นั่น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หม่อมฉันจะไม่เอาแต่อำเภอใจตัวเองอีกต่อไป หรือหม่อมฉันจะไม่ยอมให้เกิดความเห็นนอกรีต หรือเกิดความหยิ่งยโส ความโกรธ หรือสภาพจิตอันชั่วร้ายอื่นๆ พระเจ้าข้า” เมื่อพระราชาได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว พระองค์ได้ถวายบังคมลาพระพุทธเจ้า แล้วเสด็จจากไป”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ที่ประชุมว่า “พวกเธอมีความเห็นเป็นไฉนพระเจ้าศุภวยูหราชในครั้งนั้นเป็นผู้อื่นหรือ อันที่จริงพระราชานั้นหาใช่ใครอื่นไม่ พระองค์คือพระปัทมศรีโพธิสัตว์ในปัจจุบันนี้ และพระมเหสี วิมลทัตต์ ก็คือ พระไวโรจนรัศมีประติมัณฑิตราชโพธิสัตว์ ผู้อยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าในเวลานี้ ด้วยความเมตตากรุณาต่อพระเจ้าศุภวยูหราชและข้าราชบริพาร เขาจึงได้มาเกิดในหมู่พวกเขา ส่วนราชโอรสทั้งสองก็คือพระไภษัชยราชโพธิสัตว์ และพระไภษัชยราชสมุทคตโพธิสัตว์ในปัจจุบันนั่นเอง”
    “พระไภษัชยราชโพธิสัตว์ และพระไภษัชยราชสมุทคตโพธิสัตว์ สำเร็จแล้วในการได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ และภายใต้พระพุทธะมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้านนับไม่ถ้วน ได้ปลูกรากเหง้าแห่งความดีไว้แล้วมากมาย และได้มาซึ่งบุญกุศลอันเลิศสุดคาดคิดได้ ถ้ามีบุคคลใดได้ทำความคุ้นเคยกับนามของพระโพธิสัตว์ทั้งสองนี้แล้ว เขาย่อมจะได้รับความเคารพจากเทวดาและมนุษย์แห่งโลกทั้งหลายอย่างแน่นอน”
    เมื่อ พระพุทธเจ้าได้สอนบทเรื่องในอดีตของพระเจ้าศุภวยูหราชนี้จบแล้ว ผู้ฟัง ๘๔,๐๐๐ คน ได้ถอดถอนตนให้หลุดพ้นจากธุลีและมลทิน และเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ได้บรรลุธรรมจักษุอันบริสุทธิ์แล้ว
     
  8. Pariotha

    Pariotha สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +0
    บทที่ ๒๘
    บทการชักชวนและความตั้งใจของพระสมันตภัทรโพธิสัตว์

    ในวลานั้น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ผู้มีชื่อเสียงในอภิญญาอันใช้ได้อย่างอิสระ ความสง่างามและคุณความดี พร้อมด้วยพระมหาโพธิสัตว์จำนวนมากมาย ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่อาจบรรยายได้ ได้เดินทางมาจากทิศตะวันออก ทุกดินแดนที่ท่านผ่านมาสั่นสะเทือน ดอกบัวมณีโปรยปรายลงมา และมีการบรรเลงดนตรีต่างๆ มากมายหลายร้อย
    พันหมื่นล้านชนิดโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีหมู่เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ จำนวนนับไม่ถ้วนได้แวดล้อมท่าน ในที่ประชุมใหญ่ คนเหล่านี้ต่างแสดงให้เห็นความสง่างามคุณความดี และพลังเหนือธรรมดา
    เมื่อพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ได้มาถึงเขาคิชฌกูฏในสหาโลกธาตุ ท่านได้เข้าไปถวายอภิวาทแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระศากยมุนีพุทธเจ้า กระทำทักษิณาวรรตสามรอบแล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อข้าพระองค์อยู่ในพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้ารัตนเตโชยุทคตราช อันอยู่ห่างไกลจากที่นี่ ข้าพระองค์ได้ยินการเทศนาสัทธรรมปุณฑริกสูตรในสหาโลกธาตุนี้ ข้าพระองค์พร้อมด้วยหมู่พระ
    โพธิสัตว์มากมายไม่มีขอบเขตจำกัดหลายร้อยพันหมื่นล้านจึงได้มาที่นี่ เพื่อที่จะได้สดับและน้อมรับพระสูตรนี้ไว้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงโปรดสอนพระสูตรนี้แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด อนึ่ง สาธุชนชายหญิงในสมัยหลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ทำอย่างไรพวกเขาจึงสามารถที่จะได้มาซึ่งสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ว่า “ในสมัยหลังจากพระตถาคตเจ้าได้เสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ถ้าสาธุชนชายหญิงทั้งหลายทำเงื่อนไข ๔ ประการให้สำเร็จได้แล้ว พวกเขาก็สามารถที่จะได้มาซึ่งสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ ประการที่ ๑ พวกเขาจะต้องได้รับการคุ้มครองและรักษาไว้ในพระทัยของพระพุทธะทั้งหลาย ประการที่ ๒ พวกเขาจะต้องปลูกฝังรากเหง้าแห่งความดีไว้เสมอ ประการที่ ๓ พวกเขาจะต้องเข้าไปอยู่ในขั้นที่แน่นอนแห่งการเข้าถึงการตรัสรู้ ประการที่ ๔ พวกเขาจะต้องเกิดความตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นทุกข์ ในสมัยหลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ถ้าสาธุชนชายหญิงทั้งหลายได้ทำเงื่อนไขทั้ง ๔ ประการนี้ให้สำเร็จได้
    แล้ว พวกเขาจะได้พระสูตรนี้แน่นอน”
    ในเวลานั้น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในสมัยชั่วร้ายและไม่บริสุทธิ์แห่งสมัยห้าร้อยปีสุดท้าย ถ้ามีผู้ใดน้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ ข้าพระองค์จะปกป้องคุ้มครองให้เขาเป็นอิสระจากความเสื่อมและอันตราย คอยดูว่าเขาจะได้รับความสงบและความเงียบ และทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใคร
    คอยจ้องฉวยโอกาสจากความบกพร่องของเขาได้ ไม่มีมาร บุตรมาร ธิดามาร เสนามาร หรือผู้ที่ถูกมารสิง ไม่มียักษ์ รากโษส กุมภัณฑ์ ปีศาจ กริตยะ ปุตนะ เวตาล หรือสัตว์อื่นๆ ที่คอยทำความเดือดร้อนแก่มนุษย์ สามารถที่จะฉวยโอกาสทำอันตรายแก่เขาได้”
    “ไม่ว่าคนผู้นั้นกำลังเดินหรือกำลังยืนอยู่ ถ้าเขาอ่านและสวดพระสูตรนี้แล้ว ในเวลานั้นข้าพระองค์จะขี่ช้างเผือกหกงา พร้อมด้วยหมู่พระมหาโพธิสัตว์จะมายังที่อยู่ของเขา ข้าพระองค์จะแสดงตนให้ปรากฎถวายทาน ให้การปกป้องคุ้มครอง และทำความสบายใจให้แก่เขา ข้าพระองค์กระทำอย่างนี้ เพราะว่าข้าพระองค์ต้องการจะถวายเครื่อง
    สักการะแด่สัทธรรมปุณฑริกสูตรด้วย เวลาใดเขานั่งไตร่ตรองพิจารณาพระสูตรนี้ เวลานั้นข้าพระองค์ก็จะทรงช้างเผือกอย่างกษัตริย์มาหาเขา และแสดงตนให้ปรากฏแก่เขาด้วย ถ้าคนผู้นั้นลืมวลีหนึ่งหรือคาถาหนึ่งของสัทธรรมปุณฑริกสูตร ข้าพระองค์จะบอกให้เขาทราบในทันที และร่วมกับเขาในการอ่านและการสวด เพื่อว่าเขาจะได้รับความเข้าใจ ในเวลานั้น ผู้ที่รับ ยึดถือ อ่าน และสวดสัทธรรมปุณฑริกสูตรสามารถที่จะได้เห็นกายของข้าพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นแล้วเขาจะมีความปีติยินดียิ่งนัก แล้วเขาจะได้อุทิศตนด้วยความขยันขันแข็งยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าเมื่อเขาได้เห็นข้าพระองค์แล้ว ในทันทีเขาจะได้สมาธิ และธารณี ธารณีเหล่านี้มีชื่อว่า ธารณียาวรตาโกฎีศตสหัสวรตาสรวรุตโกศัลยาวรตา เขาจะได้ธารณีเช่นธารณีเหล่านี้”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในสมัยข้างหน้า ในสมัยอันชั่วร้ายและไม่บริสุทธิ์แห่งสมัยห้าร้อยปีสุดท้าย ถ้าบรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกหรืออุบาสิกาผู้แสวงหา รับ ยึดถือ อ่าน สวด และคัดลอกสัทธรรมปุณฑริกสูตรนี้ และปรารถนาที่จะปฏิบัติพระสูตรนี้แล้ว พวกเขาจะต้องปฏิบัติดังกล่าวอย่างมุมานะ และด้วยใจเดียวเป็นเวลา ๒๑ วัน เมื่อครบ ๒๑ วันแล้ว ข้าพระองค์ จะทรงช้างเผือกหกงาแวดล้อมด้วยพระโพธิสัตว์จำนวนมากมาย และด้วยกายนี้อันเป็นกายที่สรรพสัตว์ทั้งหลายยินดีที่จะได้เห็น ข้าพระองค์จะสำแดงตนให้ปรากฏแก่คนผู้นั้นและสอนพระธรรมแก่เขา นำการสั่งสอน คุณประโยชน์ และความปีติยินดีมาให้แก่เขา ข้าพระองค์ยังจะมอบธารณีมนต์ให้แก่เขาด้วย และเพราะว่า เมื่อเขาได้รับมนต์เหล่านี้แล้ว จะไม่มีอมนุษย์ตนใดสามารถทำอันตรายแก่เขาได้ หรือเขาจะไม่ถูกสตรีเพศใดล่อลวงให้ลุ่มหลงได้ ข้าพระองค์ยังจะคุ้มครองเขาด้วยตนเองตลอดเวลา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ได้ทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้ประกาศธารณีเหล่านี้เถิด พระเจ้าข้า”
    ครั้นแล้ว ณ เบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าท่านได้ประกาศมนต์เหล่านี้ดังนี้

    อทันเท ทันทปติ ทันทวรเต ทันทกุษเล ทันทสุธเร
    สุธเร สุธรปติ พุทธปัษยเน สรวธารณิ-อวรตนิ
    สรวภัษยวรตนิ สุ-อวรตนิ สังฆปริกษนิ สังฆนิรฆตนิ
    อสังเค สังคปคเต ตริอัธวสังคตุลย-อรเต-ปรัปเต
    สรวสังคสมติกรันเต สรวธรมสุปริกษิเต
    สรวสัตตวรุตโกศัลยนุคเต สิงหวิกริทิเต

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ใดสามารถได้สดับธารณีเหล่านี้ เขาควรจะเข้าใจว่า นั่นมันเกิดจากอภิญญาของพระสมันตภัทร ถ้าเมื่อใดสัทธรรมปุณฑริกสูตรได้เผยแพร่ไปทั่วชมพูทวีป มีพวกที่น้อมรับและยึดถือพระสูตรนี้ พวกเขาควรจะคิดกับตนเองดังนี้ “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพลังและอิทธิฤทธิ์ของพระสมันตภัทรทั้งสิ้น!” ถ้ามีพวกที่รับ ยึดถือ อ่าน และสวดพระสูตรนี้ จดจำไว้อย่างถูกต้อง เข้าใจหลักการของพระสูตร และปฏิบัติตามที่พระสูตรได้สอนไว้แล้ว พวกเขาควรจะรู้ว่า พวกเขากำลังปฏิบัติการปฏิบัติของพระสมันตภัทรนั่นเอง”
    ภายใต้พระพุทธะจำนวนมากมายไม่มีขอบเขตจำกัด พวกเขาจะได้ปลูกรากเหง้าดีไว้ลึกในพื้นดินแล้ว และพระตถาคตเจ้าจะทรงใช้พระหัตถ์ตบเบาๆ บนศีรษะของพวกเขา”
    “ถ้าพวกเขาเพียงแต่ทำการคัดลอกพระสูตรเท่านั้น เมื่อพวกเขาสิ้นชีวิตลง พวกเขาจะเกิดใหม่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในเวลานั้น จะมีหมู่เทพธิดา ๘๔,๐๐๐ องค์มาบรรเลงเครื่องดนตรีทุกชนิดคอยต้อนรับ คนเช่นนั้นจะได้สวมมงกุฎทำด้วยรัตนะมีค่า ๗ อย่าง และจะมีความรื่นเริงบันเทิงใจในหมู่เทพธิดาเหล่านั้น แล้วจะมีกว่านี้อีกสักเท่าใด ถ้าพวกเขารับ ยึดถือ อ่าน และสวดพระสูตรนี้ จดจำอย่างถูกต้อง เข้าใจหลักการ และปฏิบัติตามที่พระสูตรได้สอนไว้ ถ้ามีคนที่รับ ยึดถือ อ่าน สวดและเข้าใจหลักการของพระสูตรนี้แล้ว เมื่อคนอย่างนี้สิ้นชีวิตลง พระพุทธะหนึ่งพันพระองค์จะยื่นพระหัตถ์ออกมารับพวกเขาไว้ อันจะทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง และคุ้มครองมิให้พวกเขาตกลงอบายภูมิ แต่ในทันที พวกเขาจะมุ่งตรงไปยังสวรรค์ชั้นดุสิตอันเป็นที่สถิตย์ของพระเมตไตรยโพธิสัตว์โน่นเทียว พระเมตไตรยโพธิสัตว์ผู้ทรงมีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และแวดล้อมอยู่ด้วยหมู่พระมหาโพธิสัตว์ พระองค์ทรงมีนางฟ้าบริวารมากมายหลายร้อยพันหมื่นล้าน และคนเหล่านี้จะได้เกิดใหม่ในท่ามกลางพวกเขา นั่นคือผลบุญ
    และประโยชน์ที่พวกเขาจะพึงได้รับ”
    “เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายควรจะตั้งใจคัดลอกด้วยตนเอง หรือทำให้ผู้อื่นคัดลอก ควรจะรับ ยืดถือ อ่าน และสวด จดจำไว้อย่างถูกต้อง และปฏิบัติตามที่พระสูตรนี้ได้สอนไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนั้น ในเวลานี้ข้าพระองค์จะใช้อภิญญาปกป้องคุ้มครองพระสูตรนี้ และหลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้ว ข้าพระองค์จะ
    ทำให้พระสูตรนี้เผยแพร่กว้างไกลไปทั่วชมพูทวีป และจะคอยดูแลมิให้สิ้นสุดหยุดลงได้ พระเจ้าข้า”
    ในเวลานั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสสรรเสริญด้วยพระดำรัสนี้ว่า “ดีมาก ดีมาก สมันตภัทร! ท่านสามารถคุ้มครองและช่วยเหลือพระสูตรนี้ และยังจะช่วยให้สรรพสัตว์มากมายได้รับความสงบ ความสุข และผลประโยชน์ ท่านได้มาซึ่งบุญกุศลอันไม่อาจคาดคะเนได้ และมหาเมตตาและมหากรุณาอันลึกซึ้งเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากในอดีต
    กาลอันนานไกล ท่านได้แสดงความปรารถนาในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ และยังได้ตั้งปณิธานที่จะใช้อภิญญาของท่านคอยปกป้องและคุ้มครองพระสูตรนี้ และเราก็จะใช้อภิญญาของเราปกป้องคุ้มครองผู้ที่สามารถน้อมรับและยึดถือนามของพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ด้วย”
    “สมันตภัทร ถ้ามีพวกที่รับ ยึดถือ อ่าน สวดพระสูตรนี้ จดจำไว้อย่างถูกต้อง ปฏิบัติตามและคัดลอกพระสูตรนี้แล้ว ท่านควรจะทราบว่า คนเช่นนั้นได้เห็นพระศากยมุนีพุทธเจ้ามาแล้ว มันเป็นดังว่า พวกเขาได้สดับพระสูตรนี้มาโดยตรงจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ท่านควรจะทราบว่า คนเช่นนั้นได้ถวายทานแด่พระศากยมุนีพุทธะมาแล้ว ท่านควรจะทราบว่า คนเช่นนั้นได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าแล้ว
    ว่าผู้เป็นเลิศ ท่านควรจะทราบว่า คนเช่นนั้นได้ถูกตบศีรษะเบาๆ แล้วโดยพระศากยมุนีพุทธะ ท่านควรจะทราบว่า คนเช่นนั้นได้รับการปกคลุมไว้แล้วด้วยจีวรของพระศากยมุนีพุทธะ”
    “พวกเขาจะไม่มีความโลภหรือยึดติดอยู่กับโลกียสุขอีกต่อไป พวกเขาจะไม่นิยมในคัมภีร์หรือวรรณคดีใดๆ ที่ไม่เป็นพุทธธรรม พวกเขาจะไม่ยินดีในการสมาคมกับคนเช่นนั้นหรือกับคนที่มีอาชีพอันเป็นบาป เช่น คนฆ่าสัตว์ คนเลี้ยงสุกร คนเลี้ยงแกะ หรือเลี้ยงไก่ หรือเลี้ยงสุนัข หรือพวกพ่อเล้าแม่เล้า คนเหล่านี้จะมีความซื่อสัตย์และมีความเที่ยงตรงในใจและในเจตนา มีความจำถูกต้องแม่นยำ และจะมีพลังแห่งคุณความดีและบุญกุศล พวกเขาจะไม่ถูกรบกวนด้วยพิษร้ายทั้งสาม หรือจะไม่ถูกรบกวนด้วยความริษยา ความสำคัญตนเอง ความทะนงตัวหรือความหยิ่งยโส คนเหล่านี้จะมีความปรารถนาน้อย จะถูกทำให้พอใจได้อย่างง่ายๆ และจะรู้ว่าจะปฏิบัติการปฏิบัติของพระสมันตภัทรอย่างไร”
    “สมันตภัทร หลังจากพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าสู่ความดับแล้วในสมัยห้าร้อยปีสุดท้าย ถ้าท่านเห็นผู้ใดรับ ยึดถือ อ่าน และสวดสัทธรรมปุณฑริกสูตร ท่านควรจะคิดกับตนเองดังนี้ อีกไม่นานคนผู้นี้จะไปถึงสถานแห่งการปฏิบัติ พิชิตหมู่มาร และบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิ เขาจะหมุนจักรแห่งธรรม ตีกลองแห่งธรรม เป่าสังข์แห่งธรรม และ หลั่งฝนแห่งธรรม เขามีค่าควรแก่การนั่งเหนือสีหบัลลังก์แห่งธรรมในท่ามกลางที่ประชุมใหญ่แห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
    “สมันตภัทร ในสมัยข้างหน้า ถ้ามีพวกที่รับ ยึดถือ อ่าน และสวดพระสูตรนี้แล้ว คนเช่นนั้นจะไม่มีความโลภหรือยึดติดในเครื่องนุ่งห่ม เครื่องนอน อาหารและเครื่องดื่ม หรือของจำเป็นในชีวิตประจำวันอื่นๆ อีกต่อไป ความปรารถนาของพวกเขาจะไม่ไร้ผล และในชาตินี้จะได้รับแต่ผลตอบแทนแห่งความโชคดี ถ้ามีผู้ใดดูถูกหรือเหยียดหยามพวกเขา ด้วยการกล่าวว่า “มันเป็นเพียงไอ้คนบ้า! ไม่มีประโยชน์อะไรที่แกจะปฏิบัติการปฏิบัติเหล่านี้ ในที่สุดแกก็จะไม่ได้รับอะไรเลย!” ดังนี้แล้ว คนผู้นั้นจะได้รับโทษแห่งบาปของเขาด้วยการ ไปเกิดใหม่ไม่มีตาชาติแล้วชาติเล่า แต่ถ้ามีผู้ใดบริจาคทานแก่พวกเขาและกล่าวสรรเสริญพวกเขาแล้ว เขาผู้นั้นจะได้รับผลตอบแทนชนิดที่เห็นได้ชัดในชาติปัจจุบันนี้”
    “ถ้าผู้ใดได้เห็นคนที่รับและยึดถือพระสูตรนี้แล้ว พยายามที่จะเปิดเผยความผิดหรือความชั่วของคนผู้นั้น ไม่ว่าเรื่องที่พูดจะเป็นจริงหรือเป็นเท็จก็ตาม ในชาติปัจจุบันนี้ เขาจะได้รับความทุกข์ทรมานด้วยโรคเรื้อนน้ำเต้า ถ้าผู้ใดดูถูกหรือหัวเราะเยาะคนผู้นั้นแล้ว ในชาติแล้วชาติเล่าเขาจะเกิดมามีฟันหักหรือฟันห่าง ริมฝีปากน่าเกลียด จมูกแฟบ
    แขนขาบิดเกหรือพิการ และตาเหล่ ร่างกายของเขาจะมีกลิ่นเหม็น มีแผลพุพองน้ำเลือดน้ำหนองไหล และจะทรมานด้วยโรคท้องมาน หายใจหอบถี่ และเต็มไปด้วยโรคร้ายอื่นๆ ทุกชนิด เพราะฉะนั้น สมันตภัทร ถ้าท่านเห็นผู้ใดที่รับและยึดถือพระสูตรนี้ ท่านจะต้องรีบลุกขึ้นต้อนรับเขาแต่ไกล แสดงความเคารพนับถือเขา ให้เหมือนกับท่านกระทำต่อพระพุทธเจ้าทีเดียว”
    เมื่อบทการชักชวนและความตั้งใจพระสมันตภัทรโพธิสัตว์นี้ได้สอนจบลงแล้ว พระโพธิสัตว์มากมายไม่มีขอบเขตจำกัดดังเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ได้ธารณีอันทำให้พวกเขาสามารถที่จะจดจำคำสอนได้ร้อยพันหมื่นล้านเที่ยว และพระโพธิสัตว์มากมายเท่าเม็ดธุลีในตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุได้ทำมรรคของพระสมันตภัทรให้สมบูรณ์
    เมื่อพระพุทธเจ้าได้เทศนาพระสูตรนี้จบแล้ว พระสมันตภัทรและพระโพธิสัตว์อื่นๆ พระสารีบุตรและพระสาวกอื่นๆ รวมทั้งเหล่าเทวดา นาค มนุษย์ และอมนุษย์ สมาชิกทั้งหมดแห่งที่ประชุมใหญ่ ต่างเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดียิ่งนัก ทั้งหมดได้น้อมรับและยึดถือพระโอวาทของพระพุทธเจ้า ครั้นแล้วต่างได้ถวายบังคมลาพระพุทธองค์ ถอยออกไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...