แล้วคุณรู้ได้ไงว่าชาติสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ท่านเหล่านั้นจะไม่เคยบำเพ็ญภาวนาเจริญสติมาก่อน ท่านเหล่านั้นผ่านการสะสมบารมีมาตั้งเท่าไหร่ ไม่ได้เพิ่งมาสะสมสมัยของพระโคดมซะที่ไหน ด้วยจิตที่พร้อม เพียงสติเกิดไปเห็นเกิดดับในจิตแค่แว๊บเดียวมันสามารถแทงทะลุได้ทันที
ดังนั้นอย่าเอาแค่เรื่องเล่าสั้นๆที่รู้มาไปตัดสินบารมีท่านเหล่านั้น
ครั้งนี้แนนตอบคุณรอบที่เท่าไหร่แล้วว่าแนนไม่เคยบอกว่าเพ่งไม่ดี แนนย้ำเสมอว่าทุกองค์กรรมฐานเสมอกันหมดด้วยการกำหนดรู้ ไม่ว่าจะมาจากเส้นทางไหนต้องมาลงที่จุดเดียวกันนี้
ต้องการอะไรต้องมาพูดซ้ำๆว่าเขาแอนตี้เพ่ง ใจคุณต่างหากที่แอนตี้บุคคล เน้นโจมตีแต่เรื่องเดิม ไม่ฟัง ยืนกรานจะให้เขาเป็นคนแอนตี้ให้ได้
ทั้งที่บอกตลอดว่าแนนก็ยังอาศัยเพ่งอยู่ไม่ได้ทิ้งเลย
ยังมาปรักปรำอีก ขอเลิกคุยด้วยแล้วค่ะ เบื่อต้องมาอธิบายซ้ำ เล่นมุขนัยเดิมๆ วนในอ่าง
ถ้าคุณไปถึงจุดพ้นเจตนา ถ้าจิตยังละวิตกวิจารเบื้องต้นไม่ได้ มันก็ไม่ข้ามไปไหนได้หรอกค่ะ ติดสมมุติอยู่อย่างนั้นแล้วมันจะไปเห็นของเหนือสมมุติได้ไง
ใครเป็นคนยัดเยียดคะว่าแนนไม่มีวิหารธรรม เขาบอกมาตลอดว่าแม้การดูจิตเขาก็มีวิหารธรรม คุณต่างหากไปแย้งไปตีแต่คนอื่นว่าดูจิตมันเป็นวิหารไม่ได้ ทั้งที่นั่นคือ 1 ในวิหาร กาย เวทนา จิต ธรรม
แล้วก็มาปรักปรำว่าแนนว่าห้ามมีวิหารธรรม
ทั้งที่แนนบอกมาตลอด ว่าจะกำหนดดูตรงไหนก็ทำไป ไม่มีผิด ทำไปจนถึงจุดที่เป็นธรรมเอกผุดขึ้นมาเอง ตอนนั้นต้องรู้จังหวะปล่อย ปล่อยเพื่อให้จิตเข้าไปค้น เข้าไปพิจารณาธรรมด้วยตนเอง
สิ่งใดเกิดเอง สิ่งนั้นย่อมดับเอง
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 14 พฤศจิกายน 2021.
หน้า 14 ของ 18
-
-
คำว่ามิจฉา มันคือใช้ผิดเป้าประสงค์ โดยคิดว่าการเพ่งนั้นคือทางสู่นิพพาน หรือใช้การเพ่งนั้นเพื่อเอาฤทธิ์เดช หลงคิดว่าทางที่ตนทำนั้นถูกต้อง
ฌาน 1-8 ถ้าทำได้ก็ย่อมดีแก่ผู้ฝึก ส่วนตัวนับถือคนที่เพียรจนทำได้ฌานสูงๆด้วยซ้ำไปว่า เพียรดีมาก ไม่งั้นทำไม่ได้
แต่ก็ควรทำความเข้าใจว่านั่นไม่ใช่สมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำให้เราเพียรไปถึง -
-
ทางธรรมมันก็แนวๆนั้นแหละ อุปมากันง่ายๆแบบนี้แหละ
ก็แปลว่าเข้าใจคำว่ามิจฉา ตรงกัน คือไม่ใช่มิจฉาสมาธิ คือต้องทำท่านี้ใช่ อย่างอื่นเปล่า เดี๋ยวไม่บรรลุ ต้องประนมมือสามจบ ประนมสี่จบคือมิจฉา เป็นต้น อันนี้ไม่มีอะไรจะแย้ง(แต่ผลออกมาต้องไม่ผิดไปจากเครื่องวัดสอบ องค์ฌาน)
ฌาน 1-8ก็ใช่ครับ ใครก็รู้ว่าถ้าจะฟันธงต้องเข้าขั้น 8 เท่านั้นถึงบรรลุ มันคือก่อนบ่ายคลายเครียด
ได้เท่าไหนคือเท่านั้น ทำได้ 4 และว่างๆอยู่ ไม่รู้จะทำอะไร จะทำไป 5 ก็ไม่มีใครห้าม เพราะนั่งเฉยๆไม่ทำไร มันก็ไม่บรรลุอยู่ดี เขาเรียกใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้าจะเป็นก่อนบ่ายคลายเครียดคือ ห้ามไป 5 นะ เพราะมันน่ากลัวกว่า 1 2 3 4 แบบนี้เป็นต้น
ถ้าเข้าใจตรงกันแบบนี้ ก็ไม่มีความแย้ง
มีแก้ไขข้อความนิดหน่อยครับ -
เอามาเทียบโชว์แบบวินๆเลย ว่าไผเป็นไผ
↑
ถ้าโยนิโสได้ ใจก็เป็นธรรม(ไม่พึ่งการปรุงแต่ง)
โต้ยังงัยของก็ไม่ขึ้น
จิตเห็นเกิด เพื่อดับ ไม่ใข่เพื่อเรา ไม่ใช่เราเห็น
จิตได้ยินเกิด เพื่อดับ ไม่ใช่เพื่อเราไม่ใช่เราได้ยิน
จิตได้กลิ่นเกิด....
จิตรู้รสเกิด.....
จิตรู้เย็นร้อนอ่อนแข็งเกิด....
ทุกจิตจะเกิดเองเมื่อมีผัสสะ(เหตุมี) และทุกจิตจะดับเองเมื่อเจตสิก หมด
เมื่อทุกจิตเกิดดับไม่ใช่เราเลย แต่อวิชชา
ทำให้ทุกจิตเกิดจิตดับ เป็นของเรา
เราเสวยทุกข์ และจะทุกข์เรื่อยไป
เพราะบังคับจิต
ควบคุมจิตไม่ได้ คับ
จิตจึงเป็นนาย กายคอยเป็นบ่าว
Click to expand...
↑
การฟังธรรมแล้วบรรลุในสมัยพุทธกาล ก่อนเจอพระพุทธเจ้าครั้งแรก มีใครเจริญสติ จนจิตตั้งมั่นมาก่อนไหม?
ท่านเหล่านั้นบางคนก็อาศัยบำเพ็ญฌานด้วยการจดจ่อมาทั้งนั้น ... จิตที่ตั้งมั่นเป็นปกตินั้น เมื่อได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพุทธองค์ ... จึงเกิดการเห็นแจ้งทันที.... ไหนสมาธิพุทธ ไหนสมาธิฤาษี ที่บอกว่าต้องของฉันเท่านั้นจึงเป็นสมาธิพุทธ ปัญญาแบบพุทธ...
หลงไปแยก ... เพื่อเสริมอุปทาน ว่าคิดตนเดินปัญญาแล้ว ฉันไม่ต้องเพ่งแล้ว...ทั้งที่พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกเลยว่าห้ามเพ่ง
และคุณยังเข้าใจผิดว่าการมีวิหารธรรมเป็นแค่ขั้นต้น แค่การวอร์มร่างกาย ... ทั้งทีความจริงแล้ว การอาศัยวิหารนี้ไปได้ถึงการถอนตัณหาออกเลย ...
มันจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าคุณทำเงียบๆคนเดียว... ผิดพลาดคนเดียว... ถ้ามีคนหลงมาเชื่อว่า การมีวิหารธรรมไม่จำเป็น เกิดหลงไปกลัวสมถะ จนไม่กล้าจดจ่ออยู่กับธรรมแบบคุณ ... จนทำให้คนๆนึงจิต ไม่เกิดการเห็นแจ้ง... ทั้งที่จุดนี้ เป็นจุดสำคัญ ในการเห็นธรรมของคนๆหนึ่งเลย มันไม่ใช่แค่คุณคนเดียวนะ
Click to expand...
↑
ปัจจัตตังครับ ไม่มีใครรับรองผม เเละผมก็ไม่รับรองใคร
เพียงเเต่เอาทางที่ตัวเองเคยผ่านมา มาบอกเล่าให้คนอื่นได้รู้
มันมีประโยชน์เเน่นอน อยู่ที่คนฟังจะเอาไปใช้ปรับใช้เเบบไหน
อีกอย่างไม่ขอให้ใครมาเชื่อครับ อย่าเชื่อผม เเละอย่าเชื่อใครในนี้ทั้งนั้น
ไปปฏิบัติด้วยตัวเอง ให้เเจ้งด้วยตัวเอง จะได้สิ้นสงสัยครับ ว่าใครเเท้ใครเทียม -
รายนั้นสายถึก นั่งทน มอบโล่ห์ให้เลย
แต่ไม่ว่าจะนั่งไปไกลแค่ไหนก็ตาม ทุกฌานทุกสภาวะต้องมาเจอกันที่การกำหนดรู้ค่ะ -
ในภูมิธรรม ที่มีโอกาสลงตัว
แต่เพราะภายใน คือใจหรือจิตเดิมแท้ไม่ต่างกัน
จึงมีเวลาในการลงตัวเพื่อทะลุ
ไม่เท่ากัน แต่พ้นทุกข์ได้เหมือนกัน -
ของการควบคุมจิตสังขาร(ปรุงแต่ง)ให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน
ไม่ชักจูงสมองให้ไปทำงานหลาย
หน้าที่คับ -
-
แต่ถ้าจะคุย ควรคุยไปว่า นาย A ฌาน 3 ส่วนนาย B ก็ฌาน 3 ทำไมนาย A จบกิจไปแล้ว นาย B ไม่ฉลาดตรงไหน แบบนี้มากกว่า -
โพสต์ที่เทียบคือโพสต์ที่เทียบนะ ไม่ต้องไปลากมาเป็นกุดลุดอีก เอาแค่สามโพสต์ที่เทียบ
-
จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว หลอกกันไปหลอกกันมา จนทุกข์เกิดไม่หยุด
แต่ไม่มีผู้กินทุกข์ เข้าใจมั้ยเนี่ย -
แต่ฌานนั้นฝึกไว้ให้จิตนิ่งเป็นพื้นย่อมดีกว่าคนไม่ได้ฌาน
แต่คนที่ทำฌานไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำสมาธิแบบพุทธองค์ไม่ได้
สมรภูมิของจริงยังไม่เริ่ม มันจะเริ่มเมื่อจิตมันพ้นบ่วงคล้องคอของเราไปค้นหาความจริงได้เอง…หรือเริ่มแยกรูปแยกนามนั่นแหล่ะค่ะ -
เพราะเค้าไม่ใช่จิต
และจิตก็ไม่ใช่เค้า เข้าใจมั้ย -
-
-
ส่วนกินสุขจะมีเฉพาะตอนกินน้ำเมา 55 -
อัดสะวิน จะแก้ต่างอะไรไหม หรือเขาพูดถูกแล้ว เพราะอัดสะวินไม่กินทุกข์ เพราะอัดสะวินไม่ใช่จิต เพราะจิตไม่ใช่อัดสะวิน เขาว่ามาแบบนี้นะ อัดสะวินว่าไง
-
-
หน้า 14 ของ 18