-
benyapa
ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
สมัยที่อาตมาเรียนนักเรียนนายสิบอยู่ มีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง จำชื่อจริงไม่ได้แล้ว แต่ตอนที่จบออกมา ลูกศิษย์เรียกว่า หมู่ดาร์กี้ เขาเป็นคนพนมทวน ตัวดำปี๋เลย ขอให้พวกเราเข้าใจว่าคนไทยจริง ๆ ผิวดำนะจ๊ะ เพราะคำว่า สยาม แปลว่า ดำ
หมู่ดาร์กี้อยู่กับแม่ ไม่มีพ่อ ไม่มีพี่น้องอื่น ญาติข้างพ่อก็ไม่มี ญาติข้างแม่ก็ไม่มี ก่อนที่จะไปเป็นทหาร หมู่ดาร์กี้ทำมาหากิน ทำนาทำไร่เลี้ยงแม่ จนกระทั่งได้ข่าวว่าตอนนี้มีหลักสูตรนักเรียนนายสิบปีเดียว คือ สมัยก่อนจะเป็นหลักสูตรนักเรียนนายสิบ ๑๒ ปี แต่ตอนนี้มีหลักสูตรนายสิบปีเดียว เรียนจบมาแล้วปีแรกติดสิบโทก่อน ปีถัดไปจะเลื่อนเป็นสิบเอกโดยอัตโนมัติ
หมู่ดาร์กี้ก็พยายามทำงานจนได้เงินก้อนหนึ่งก็มอบให้แม่ กะว่าพอใช้จ่าย ๑ ปี แล้วก็ลาแม่ไปสมัครนักเรียนนายสิบ เพราะอายุยังไม่เกิน พี่ดาร์กี้เข้าไปเป็นนักเรียนนายสิบก่อนอาตมารุ่นหนึ่ง
พี่ดาร์กี้เขาเป็นคนที่ประหยัดสุดยอดเลย พอเบี้ยเลี้ยงออกมา ๕๐๐ บาท ก็อยู่ครบ ๕๐๐ บาทถ้วน เงินเดือนออกมาเท่าไรอยู่ครบเท่านั้น พี่ดาร์กี้ซื้อธนาณัติส่งเงินกลับบ้านไปให้แม่
วันนั้นพี่ดาร์กี้นอนก่ายหน้าผากอยู่ เราก็ถามว่า "เป็นอะไรพี่ ไม่สบายเรอะ?" พี่เขาบอกว่าไม่ใช่ พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า โดนจ่ากองร้อยบังคับให้ซื้อข้าวห่อไปหนึ่งห่อ สมัยนั้นข้าวผัดกะเพราห่อหนึ่ง ๕ บาท ปี ๒๕๒๓ ค่าเงินมันใหญ่มาก
บรรดาพวกทหารเวร ไม่ว่าจะเป็นสิบเวรหรือร้อยเวรก็ตาม มักจะหารายได้เพิ่มเติม ด้วยการให้ภรรยาทำข้าวหรือขนมมาขายทหาร และขายเป็นเงินเชื่อ ก็คือเซ็นไว้ก่อน หลังจากนั้นพอเบี้ยออกแล้วถึงไปหักกัน จ่ากองร้อยทำหน้าที่นี้ก็สบาย ถึงเวลาก็ไม่ต้องง้อใคร ไปหักเบี้ยเองเลย
หมู่ดาร์กี้ไม่เคยอุดหนุนจ่ากองร้อยเลย วันนั้นจ่าก็เลยบังคับ "ดาร์กี้..คุณเอาข้าวผัดกะเพราไปห่อหนึ่ง กินด้วย" เทียบแล้วหมู่ดาร์กี้ถือว่าเป็นรุ่นลูกของจ่ากองร้อย ก็เลยไม่กล้าขัด
หมู่ดาร์กี้กินข้าวเสร็จก็มานอนก่ายหน้าผาก พี่เขาบอกว่า "กูกินดีอย่างนี้ แล้วแม่กูจะอยู่อย่างไร?" ปกติพี่เขากินอาหารที่โรงเลี้ยง เขาทำอะไรมาก็กินอย่างนั้น อาหารของทหาร เขาแต่งเป็นเพลงว่า "โชคดีครับทหารไทยใจแกร่ง กินข้าวแดงก็กินทั้งกาก ผักบุ้งก็กินทั้งราก สาว ๆ ไม่อยากแลมอง ฟักทองเป็นอาหารหลัก ต้มผักเป็นอาหารรอง อย่างดีก็หน่อไม้ดอง รอง ๆ ก็มะเขือยาว" ถึงเวลาวิ่งก็ร้องเพลงประชดชีวิต
หมู่ดาร์กี้เจอผัดกะเพราไปหนึ่งห่อ ราคา ๕ บาท ถึงกับนอนก่ายหน้าหน้าผาก ประโยคที่ได้ยินแล้วสะท้อนใจ คือ "กูกินดีอย่างนี้ แล้วแม่กูจะอยู่อย่างไร?"
เราจะเห็นความผูกพันระหว่างแม่กับลูก และขณะเดียวกันก็จะเห็นความกตัญญูของคนเป็นลูก เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ไม่เคยใช้เอง ของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า
รองเท้า เข็มขัด เบิกคลังหลวง อาหารทุกมื้อกินที่โรงเลี้ยง อาหารที่เขาบอกว่าทำไว้เลี้ยงหมู แล้วหมูไม่กินน่ะ แต่พี่ดาร์กี้เขาอยู่ได้สบาย เพราะต้องประหยัดให้แม่
เขาหวังอยู่อย่างเดียวว่า เรียนจบ มีเงินเดือนแล้วยังได้สวัสดิการด้วย ถ้าแม่เจ็บป่วย เขาสามารถส่งแม่เข้าโรงพยาบาลรักษาได้เต็มที่เพราะเบิกได้ เราจะเห็นว่าหมู่ดาร์กี้ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อแม่ เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก
ดังนั้น..ในตำรานักธรรมจึงกล่าวว่า บุคคลที่หาได้ยากมีสองประเภท ประเภทที่ ๑ คือ บุรพการี บุคคลที่ทำคุณแก่เราก่อน อย่างเช่น
พระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่หัว พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ประเภทที่ ๒ กตัญญูกตเวที คือบุคคลที่รู้คุณแล้วตอบแทนท่าน
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก อาตมาดีใจว่า ได้รู้จักรุ่นพี่คนนี้เพราะเราเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่พี่เขาทำเกิดจากน้ำใสใจจริง ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ไม่ได้ทำเพราะอวดใคร ไม่ได้ทำเพราะหลอกใคร ไม่ได้ทำเพราะหวังว่าคนอื่นจะชม แต่ทำออกจากใจจริงด้วยความกตัญญูต่อแม่ ตัวเองยอมลำบาก อดอยากอย่างไรไม่ว่า แต่แม่ต้องสบาย
ที่พูดมาตรงนี้ให้พวกเราเปรียบเทียบดูว่า เราเคยทำอย่างนี้กับพ่อแม่เราบ้างไหม?
คนเป็นพ่อแม่ ถ้าไม่ใช่เจ็บป่วยจนย่ำแย่จริง ๆ
ไม่มีใครอยากทำตัวเป็นภาระให้กับลูกหรอก
ด้วยความรักลูก ก็พยายามตะเกียกตะกายทำหน้าที่แทนลูกมากกว่า
แม้กระทั่งลูกโตแล้วก็ยังพยายามหุงข้าวต้มแกงให้
เมื่อไรจะปล่อยให้ทำกินเองซะทีหนอ
ดังนั้น..บุคคลที่เป็นพ่อแม่ เป็นบุคคลที่หาได้ยาก เป็นบุรพการี
ผู้ที่ทำคุณแก่เราก่อน
ส่วนบุคคลที่รู้คุณท่านแล้วตอบแทน เขาเรียกว่า กตัญญูกตเวทีคุณ กตัญญู คือรู้คุณท่าน
กตเวที คือ ตอบแทนท่าน
แยกเป็นคนละศัพท์ได้ แต่แยกการกระทำไม่ได้
เพราะว่าต้องกตัญญู คือรู้คุณท่าน จึงจะกตเวที ตอบแทนท่านได้
พระครูธรรมธรเล็ก
สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์งานฉลองบ้านวิริยบารมี
วันพฤหัสบดีที่
๓๑
พฤษภาคม๒๕๕๔
-
สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับคุณ benyapa ด้วยค่ะ
ปี พ.ศ. ผิดหรือเปล่าคะ
วันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พฤษภาคม๒๕๕๔
วันนี้ 14/04/2554 ค่ะ <!-- google_ad_section_end -->