...วัยเบญจเพส ของเรา สำคัญไฉน?????
...คนในยุค ipod ทั้งหลายอาจจะไม่สนใจกันเลยและอาจถือว่าเป็นสิ่งที่งมงายด้วยซ้ำไป
...แต่สำหรับข้าพเจ้าผ่านร้อนผ่านหนาวมา 56 ปีมีประสบการณ์ที่จะมาเล่าสู่กันฟัง
...โดยเฉพาะสาเหตุที่ต้องมาผูกพันกับ พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) แห่งวัดประดู่ฉิมพลีสามแยกท่าพระ
...จนกลายเป็นความเลื่อมใสเคารพศรัทธาอย่างที่สุดหามิได้ในความเมตตาของท่านจนถึงวันนี้และตราบลมหายใจสุดท้าย
...กันยายนปี ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าครบ 25 ปีเต็มในวัยเบญจเพส
...ถ้าคนสมัยโบราณมักตักเตือนกันมาว่าหากอายุครบ 25 ควรทำบุญใหญ่ให้กับตนเอง
...ในตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไรแต่ก็เชื่อเพราะสนใจเรื่องลี้ลับเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่อาจออกนอกกรอบของหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไปบ้าง
...เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่หนทางหลุดพ้น!!!!!
...ข้าพเจ้าสนใจพระเครื่องมาตั้งแต่วัยรุ่นติดตามพ่อ แม่ไปวัดต่างๆ สำนักดังๆ
...มีทั้งพระเกจิอาจารย์ เจ้าเข้าทรง หรือแม้แต่สำนักปราบผีเข้าสิงมนุษย์
...เห็นมาหมดยุคนั้นของจริงมีเยอะเห็นกันจะๆด้วยตาเปล่าเวลาอาจารย์ไล่ของออกจากร่างกายคนโดนของ
...คุณไสยวิ่งกันเป็นลูกนูนๆใต้ผิวหนังกันเลย
...ฉนั้นในยุคนั้นก็อยากได้ของดีไว้ป้องกันตัวเพราะเป็นคนกลัวผีเหมือนกัน
...ยุคนั้น พระเครื่องหลวงปู่โตฯ มาเป็นอันดับต้นๆกันเลยใครมีไว้ก็สุดยอดแล้ว
...พ่อ แม่ ชวนข้าพเจ้าไปที่กบินทร์บุรี ทราบข่าวเกจิที่นั่นมีพระสมเด็จฯแจกฟรี
...แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องท่องคาถาชินะบัญชรได้คล่องถึงจะได้รับพระเครื่องกลับมา
...ครั้งแรก คณะเราไปกัน 5-6 คนไม่มีใครได้รับพระเครื่องกลับมาสักคนเพราะยังท่องคาถาฯไม่ได้
...กลับมา กทม.ฝึกท่องคาถาฯอยู่ 1 เดือนจึงกลับไปอีกครั้งคราวนี้ได้สมใจนึก
...ที่รู้ๆพ่อข้าพเจ้าได้มาหลายองค์แปลกๆด้วยอาจเพราะเป็นนายทหาร อาจารย์เลยเมตตา
...ส่วนแม่ และข้าพเจ้าได้มากันคนละองค์ น่าจะเป็นกรุบางขุนพรหมขี้กรุสวยงาม
...ตั้งแต่นั้นข้าพเจ้าก็จะใช้พระคาถาชินะบัญชรเป็นคำอาราธนาหลักในการสวมพระเครื่องขึ้นคอ แต่ก็มิได้เสมอไปเพราะยังเป็นวัยรุ่น
...ที่เล่าความเป็นมาเพื่อให้รู้ว่าก่อนที่จะมาพบหลวงปู่โต๊ะ ข้าพเจ้าสนใจศาสตร์นี้อยู่แล้ว
...แต่ไม่คิดว่ามิติที่6 กับการสัมผัสพลังงานเหนือธรรมชาติจะเกิดกับชีวิตตนเองได้ เคยฟังแต่คนอื่นเขาเล่าๆกันมา.......
หลวงปู่โต๊ะกับวัยเบญจเพสของข้าพเจ้า
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย nahpee, 15 สิงหาคม 2011.
หน้า 1 ของ 15
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เหตุการณ์อะไรทำให้รู้จักและได้พบหลวงปู่โต๊ะ????
...ช่วงวัยรุ่นผ่านไป จนมาสู่วัยแต่งงานสร้างครอบครัว
...ข้าพเจ้าแต่งงานอายุยังน้อยประมาณว่าจบปริญญาตรีแล้วแต่งเลย
...จำได้ สิงหาคม 2522 และต้องย้ายเข้าบ้านภรรยาที่ สามแยกลาดหญ้า วงเวียนใหญ่
...เพราะเขาอยู่กับแม่ 2 คนเลยต้องย้ายเข้ามาเป็นเพื่อนเพื่อดูแลบ้าน
...ระหว่างอยู่ที่บ้านหลังนี้ก็มีเหตุการณ์ต่างๆมากมายทั้งผีอำ ผีมาขอความช่วยเหลือ
...ก็ขนลุกขนพองสยองอยู่คนเดียวในคืนดึกสงัดเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น
...มีทั้งผีสาว มานั่งร้องไห้อยู่ปลายที่นอนตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำ
...หรี่ตาแล้วหรี่ตาอีก ทั้งท่องคาถาในใจแต่ใจมันก็เต้นตุบตับอยู่อย่างนั้นจนสว่าง
...เช้าจึงต้องไปหาอาจารย์เล็ก วัดหลักสี่บางเขน ซึ่งสนิทกับพ่อ ทหารอากาศส่วนใหญ่รู้จักท่านดีเก่งทางอาคมและไสยเวทมากๆ
...ท่านก็บอกว่า เป็นผู้หญิงชื่อรัชนี เขาตกน้ำตายเกาะมากับเราระหว่างเส้นทางบนถนนนั่นแหละ
...คงจะสื่อสารเพราะกระแสสัญญานคลื่นความถี่ตรงกันมั๊ง?????ก็ไม่ได้ชอบนักหรอกกลัวอ่ะ555
...อาจารย์เล็ก ท่านแนะนำให้ซื้อเสื้อผ้า 1 ชุดบริจาคให้ขอทานระบุชื่อให้คุณรัชนีและให้สักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปสู่สุขคติด้วย
...ซึ่งช่วงนั้นชาววงเวียนใหญ่เขาจัดพิธีสักการะท่านฯกันทุกปีมีมหรสพมากมายปิดถนนจนมาถึงซอยหน้าบ้านเลย
...หลังจากนั้นประมาณต้นปี 2524 ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ได้มั๊ง
...คืนวันหนึ่งฝันว่ามีชีปะขาว ชื่อฟ้า มั๊ง??? ลักษณะเหมือนพราหมณ์ผมยาวสีเทาขาวใส่จงกระเบนขาวเสื้อขาวถือไม้เท้า
...เข้ามาบอกว่า ดวงชะตาไม่ดีจะมีอันตรายถึงชีวิตให้รีบไปนมัสการหลวงปู่โต๊ะ นะ
...แล้วก็จากไปซึ่งความฝันกึ่งครึ่งหลับครึ่งตื่นครั้งนี้ก็ยังสามารถจดจำได้แม่นจนถึงเช้า
...ก็เลยนำมาเล่าให้ภรรยาเขารับรู้ด้วย ซึ่งจริงๆเขาก็รับรู้มาโดยตลอดว่าข้าพเจ้ามักเจอสิ่งลี้ลับที่บ้านหลังนี้อยู่บ่อยๆ....ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ปูเสื่อติดตามครับ พี่น้ำพี้ (ผมสะกดถูกมั้ยครับ) ถ้าผมเรียกถูก คนอุตรดิตถ์รึเปล่าครับเนี้ย....
-
ไม่เคยได้ยินชื่อ "หลวงปู่โต๊ะ" แล้วจะตามหาเจอมั๊ยล่ะเนี่ย????
...ด้วยความที่เชื่อเรื่องวัยเบญจเพส เป็นทุนอยู่แล้วยิ่งรู้สึกหัวใจหวั่นไหว
...และก็ช่างบังเอิญเหลือเกินว่าเต็ม 25 มาหมาดๆเมื่อ กันยา 2523 ที่ผ่านมานี่เอง
...เอาละสิทำไงดี??? โทรไปถามพ่อ และแม่ ก็ไม่รู้จักรายละเอียดว่า หลวงปู่โต๊ะ อยู่วัดไหน
...รู้แต่เพียงว่าเคยได้ยิน ข้าพเจ้าก็เดาเอาเองว่าชื่อ โต๊ะๆ น่าจะเป็นพระทางภาคใต้ ไม่เคยได้ยินจริงๆ แล้วจะต้องไปตามหาถึงภาคใต้กันเลยหรือ????
...เริ่มมีความกังวลเล็กๆ ภาคใต้ก็ไม่เคยไปเลยแล้วจะยังไงดี กลัวตายก็กลัวขนาดเขามาเตือนอย่างนี้
...จะด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบได้ พี่ในซอยที่รู้จักกันแกชอบสะสมพระเครื่องเดินออกมาหน้าซอยเจอกันพอดี
...ก็เลยทักทายกันในฐานะคนรู้จัก แล้วก็ไถ่ถามว่าพี่รู้จัก "หลวงปู่โต๊ะ" มั๊ยพี่?????
...เท่านั้นแหละพี่คนนี้รีบหัวเราะเลย พี่นี่แหละลูกศิษย์ก้นกุฏิเลย มีอะไรหรือ????
...ก็เลยเล่าความฝันให้ฟังและอยากจะเข้าไปไหว้หลวงปู่ฯด้วยตนเองสักครั้ง
...แถมสิ่งที่ทำให้ขนลุกทันทีคือ พี่เขาบอกว่า หลวงปู่ฯอยู่วัดประดู่ฉิมพลี แถวๆสามแยกท่าพระนี่เอง
...ซึ่งจะว่าไปก็ห่างจากบ้านภรรยาเดินทางไม่ถึง 15 นาทีเท่านั้นเองซึ่งแปลกมากๆ (แต่จริง)
...พี่คนนี้ก็เลยแนะนำนัดวันสะดวกพร้อมวิธีถวายอาหารให้หลวงปู่ฯต้องเป็นอาหารเจ ใส่ปิ่นโตพร้อมผลไม้
...จากนั้นช่วงสายๆพี่เขามาหาที่บ้านนำเหรียญทองแดงรุ่นหลวงปู่เยือนอินเดีย ปี 2519 มามอบไว้ให้ไว้เป็นสิริมงคล
...จำได้เรานัดกันวันพุธ หรือพฤหัสฯ นี่แหละประมาณ 10 โมงเช้าให้ไปถึงวัด
...เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร????? เมื่อรายละเอียดในความฝันเป็นความจริง หลวงปู่ฯมีตัวตนจริงและไม่ไกลจากบ้านด้วยไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ณ วัดประดู่ฉิมพลี ประมาณ 9 โมงกว่าๆ
...ผมชือ พี ครับ แต่ภาษาอังกฤษคือ "น้าพี"
...เช้าวันนี้ผมตื่นเต้นมากๆจะได้พบ "หลวงปู่โต๊ะ" ตามที่ชีปะขาวมาบอกในฝัน
...สิ่งของเตรียมมาพร้อมตามที่พี่เขาแนะนำไว้
...ไปถึงวัดสิ่งที่ประทับใจก็คือกุฏิเรือนไม้เก่าๆที่แสนจะเรียบง่ายอยู่กลางเมืองยังมีด้วยหรือ???
...พี่นำข้าพเจ้าขึ้นไปบนกุฏิ มีแขกไม่กี่ท่านเพราะช่วงนี้แพทย์ห้ามท่านไม่ให้รับแขกเกรงว่าร่างกายจะอ่อนแอเพราะไม่ได้พักผ่อน
...ภาพแรกที่เห็น ร่างกายท่านผอมมากแต่ดูแข็งแรง ลักษณะใบหน้ามีเมตตาสูงจนรับรู้ได้นิ่งสงบพูดน้อย
...หลวงปู่ฯ นั่งพิงอยู่กับเบาะกำลังสนทนากับญาติโยมใกล้ชิด4-5 คนเท่านั้น
...ข้าพเจ้าก้มลงกราบอยู่ห่างๆกับภรรยา ส่วนพี่ที่พามาคลานเข้าไปหาหลวงปู่ฯ
...สักพักหนึ่งหลวงปู่ฯ เรียกข้าพเจ้าไปใกล้ๆ ข้าพเจ้าก้มลงกราบอีกครั้งแล้วถวายปิ่นโตอาหารเจ และผลไม้
...หลวงปู่ฯท่านรับไว้และมองมาที่หน้าข้าพเจ้าเหมือนหยั่งรู้สิ่งที่อยู่ภายในใจข้าพเจ้า
...แต่ข้าพเจ้าก็อดไม่ได้เลยเล่าความฝันให้ท่านฟัง หลวงปู่ฯท่านยิ้มน้อยๆแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาธรรมสูง
...หลังจากนั้นท่านเรียกข้าพเจ้าเข้าไปใกล้ๆอีกให้ก้มหัวลงแล้วท่านจึงหยิบเหล็กจารแหลมๆ จากถาด
...เขียนอักขระบนกลางกระหม่อมของข้าพเจ้าจนรู้สึกเจ็บแบบของแหลมได้แต่ก็ไม่มากขนาดจนทนไม่ได้
...เขียนเสร็จท่านก็เป่ากระหม่อมให้ 3 หนและมอบรูปเหมือนโปสเตอร์ให้กับข้าพเจ้า 1 ใบ
...ข้าพเจ้าเตรียมเหรียญเยือนอินเดียพกติดตัวไปอยู่แล้ว กะว่ายังไงๆถ้ามีโอกาสจะให้ท่านมอบให้ด้วยมือเพื่อเป็นสิริมงคล
...ข้าพเจ้าควักเหรียญออกมาขอความเมตตาจากท่านช่วยส่งมอบจากมือท่านเองหน่อยเพื่อความเป็นสิริมงคล
...ท่านรับเหรียญไปและท่องคาถาเล็กน้อยจากนั้นส่งคืนให้ข้าพเจ้าด้วยความเมตตาอย่างมาก
...ข้าพเจ้าปลื้มปิติจนน้ำตาซึมใจบอกไม่ถูกเลยมันโล่งสบายปลอดโปร่งไปหมดเหมือนความทุกข์ที่มีอยู่หายไปหมด
...หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงถอยออกมานั่งเพราะมีแขกบางท่านรออยู่ แล้วก็ลากลับไม่อยากรบกวนท่านมากไปกว่านี้
...นั่นคือประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้าว่าความฝันนั้นเป็นจริงที่สุดคือมี "หลวงปู่โต๊ะ" จริงใกล้บ้านด้วย
...แล้วสิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่ วิทยาศาสตร์ก็ยังคงพิสูจน์ไม่ได้อยู่ดีและยิ่งคนในยุค ipod และผู้หลงอยู่กับวัตถุนิยมความทันสมัย
...ก็คงจะคิดว่าเป็นเรื่องงมงาย เพราะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เชื่อเทคโนโลยีและอำนาจเงินเหนือทุกสิ่งทุกอย่างกันต่อไป
...หลังจากนั้น ข้าพเจ้าทราบข่าวว่า "หลวงปู่โต๊ะ" ท่านมรณภาพ ซึ่งไม่ห่างจากที่ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าไปกราบท่าน
...ข้าพเจ้ายังรู้สึกเสียดายว่าหลังจากไปกราบหลวงปู่ฯ ก็ไม่ได้ติดตามข่าวท่านอย่างต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด ด้วยยังติดโลกสมมุติในวัย 25
...มารู้อีกครั้งจากหนังสือเล่มเล็กที่กล่าวถึงประวัติหลวงปู่ฯ และมารู้ทีหลังว่า หลวงปู่ฯ เป็นเกจิ ที่ดังมาก
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และทุกๆพระองค์ให้ความเคารพศรัทธาหลวงปู่ฯ อย่างมากรวมถึงวงการพระเครื่องด้วย
...แล้วยังไงต่อไปล่ะ ถึงได้กลับมาสนใจ "หลวงปู่โต๊ะ" อย่างศรัทธาด้วยหัวใจจริงๆแบบผู้ใหญ่ที่เติบโตขึ้นทั้งความคิดและประสบการณ์ทางโลกธรรมอีกครั้งไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อาจารย์สมัยม.ปลายของผม ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆกับพี่ท่านครับ คือโรงเรียนผมอยู่สามเสน(เป็นโรงเรียนคริสต์) แต่บ้านผมอยู่วัดประดู่ฉิมพลี วันนัั้นผมกลับบ้านทางเรือ เจออาจารย์ท่านนี้ ทั้งผมและอาจารย์ต่างงง หลังจากนั้นอาจารย์ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนแกฝันเห็นพระภิกษุองค์นึง และแนะนำตัวเองว่าท่านชื่อโต๊ะ คนทั่วไปเรียกว่าหลวงปู่โต๊ะ อยู่วัดประดู่ฉิมพลี หลังจากนั้นหลวงปู่ก็หายไป วันต่อมาหลังเลิกเรียนอาจารย์ท่านนี้จึงได้สอบถามจากชาวบ้านละแวกโรงเรียน(อ.แกเป็นคริสต์ ไม่รู้จักวัดเท่าไหร่ครับ) พอรู้ว่ามีจริงแกเลยอยากมากราบหลวงปู่ วันต่อมาแม่ผมฝากพระหลวงปู่ไปให้อาจารย์ พอผมให้อาจารย์ไป อาจารย์เล่าให้ฟังอีกว่า หลังจากที่ได้ขึ้นไปเห็นหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่แล้วตกใจมาก เพราะเป็นหลวงปู่องค์ที่มาหาในความฝันจริงๆ....
-
...เผลอแป๊บเดียว จะ 01.00 น.อีกแล้ว
...ความศรัทธา "หลวงปู่โต๊ะ" ในชีวิตข้าพเจ้า
...ยังไม่เคยห่างหายไปจากชีวิตจน ณ วันนี้และจนลมหายใจสุดท้าย
...เพราะอะไร???? ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย
...ที่ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้า ค่อยๆเปลี่ยนมาเรื่อยๆอย่างมีแง่มุม
...จากศีล๕ ที่ง่อนๆแง่นๆ ตามประสานิสัยผู้ชายทั่วๆไปที่หลงระเริงกับเรื่องทางโลก
...จนมาถึงวันนี้หลายๆอย่าง ลด ละ เลิก ลงได้อย่างเด็ดขาด
...ก็ต้องบอกว่าเพราะบารมีความเมตตาของ "หลวงปู่โต๊ะ" ที่ท่านยังอยู่ในสำนึกของข้าพเจ้ามิรู้ลืมชัดเจนที่สุด
...ติดตามเรื่องราวความเป็นจริงจากประสบการณ์ของข้าพเจ้ากับ"หลวงปู่โต๊ะ"กันได้ต่อไป
...ราตรีสวัสดิ์ครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
คุณ kang som ผมเป็นชาว กทม. ครับ
คุณโซโฟน แสดงว่าหลวงปู่ฯท่านเมตตามากๆ ครับ
ระหว่างชีวิตที่เป็นไปกับ ความเคารพศรัทธาหลวงปู่โต๊ะ
...หลังจากไปนมัสการหลวงปู่ฯแล้ว ก็ไปใช้ชีวิตทางโลกแบบปกติเช่นเดิม
...ไม่ได้กลับไปเยี่ยมท่านอีกเลยเพราะเกรงใจอยากให้ท่านได้พักผ่อนได้ข่าวว่าเฉพาะโยมใกล้ชิดในแต่ละวันก็มากอยู่แล้ว
...ก็ได้แต่ระลึกถึงบารมีความเมตตาจากท่านอยู่ภายในใจตลอดเวลาเรารอดตายเพราะหลวงปู่ฯจริงๆ
...และไม่เคยปรากฎว่ามีเหตุร้ายแรงใดๆเกิดขึ้นในชีวิตเท่าที่ผ่านมาจนถึงวันนี้
...ส่วนคาถาที่ใช้ประจำเวลาอาราธนา พระเครื่องของท่านขึ้นคอก็แค่ นะโม 3 จบ ตามด้วย "พุทโธ อินทสุวรรณโน" 3 จบ 9 จบก็แล้วแต่ใจจำหน้าท่านได้ตลอดเวลา
...ข้าพเจ้าชอบอธิษฐานจิตแค่ ขอให้ปลอดภัยและแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุและภัยทั้งปวง
...โชคลาภไม่เคยขอท่าน เพราะการทำงานก็ไม่มีอะไรติดขัดไปเรื่อยๆตามรายได้ใช้หลัก "พอเพียง" ตามอัตภาพ
...ปกติจะชอบพระผงอิทธิเจ มากกว่าพระโลหะ อาจจะเพราะมีมวลสารหลากหลายเน้นด้านเมตตามากกว่า
ย้อนกลับมาหน่อย
...หลังจากกราบหลวงปู่ฯ ข้าพเจ้าก็ได้รับ พระเครื่องรุ่น "อนุสรณ์สร้างโรงเรียน" จากคุณพ่อในอีกไม่กี่วันต่อมา
...ไปอ่านประวัติการสร้างพระรุ่นนี้เรียกว่า สุดยอดอลังการจริงๆ(มารู้ภายหลัง)
...เพราะคุณพ่อจำได้ว่าเคยทำบุญไปแล้วได้มา2 องค์เป็นพระผงทรงสี่เหลี่ยมกับเหรียญรูปไข่
...ข้าพเจ้าเลยขอพระผงรูปเหมือนครึ่งองค์มาเพื่อไปเลี่ยมใส่จีวรขึ้นคออย่างเป็นทางการ
...ในชีวิตไม่ค่อยชอบเช่าพระสักเท่าไร ส่วนใหญ่คุณพ่อให้ ญาติให้ คนรู้จักให้หรือแลกเปลี่ยนกัน
...แต่สำหรับพระชุดหลวงปู่โต๊ะ นับเป็นการทำบุญที่ค่อนข้างแพงในสมัยนั้น
...ข้าพเจ้ามีโอกาสไปที่วัดประดู่ฉิมพลีครั้งที่ 2 หลังจากหลวงปู่ฯมรณภาพไปแล้ว
...ทราบว่ามีพิธีพระราชทานเพลิงศพแต่ก็ไม่ได้ไปเนื่องจากคิดว่ามีลูกศิษย์มากมายจนล้นวัดและมีขบวนเสด็จพระราชดำเนินด้วยคงจะไม่สะดวก
...การไปวัดครั้งที่ 2 เริ่มเรียนรู้แล้วว่า หลวงปู่ฯ ท่านมีชื่อเสียงมากและเป็นที่นิยมในวงการคือ พระปิดตาเงินล้าน
...ด้วยความศรัทธาอยากจะมีไว้บูชากับเขาบ้างก็ไปเลียบๆเคียงไปที่หน้าตู้เช่าพระที่ศาลาชั้นบนนั่นแหละ
...มีแต่รุ่นกรรมการ อนุสรณ์สร้างศาลา ชุดใหญ่เหลือ 3 ชุด(ไม่แยกเช่า)เรียกว่ารุ่นดังๆในปัจจุบันนี้รวมแล้วมีเกือบ 20 องค์ทีเดียวและแตกต่างกันด้วย
...ราคา 2500.- บาทในสมัยนั้นค่าเงินเทียบแล้วค่อนข้างแพงเพราะเงินเดือนตัวเองก็แค่ 5000 กว่าบาทเอง
...ครั้งแรกเงินไม่พอไม่ได้พกไปมากแต่ใจไปซะแล้ว ยังไงๆก็ต้องกลับมาอีกครั้งเพื่อเป็นเจ้าของชุดใหญ่นี้ให้ได้สำหรับชีวิตตนเอง
...ก็ไม่มีอะไรติดขัดสามารถเช่ามาได้จนเป็นชุดสะสมที่มีคุณค่าในเวลานี้ อาจจะแลกเปลี่ยนกับมิตรสหายไปบ้างเพราะเขาศรัทธาในหลวงปู่ฯ
...ให้ไปฟรีๆบ้างกับคนสนิทที่เคยช่วยเหลืองานกันก็ยังเสียดายแต่ก็ถือว่าให้ไปแล้วก็แล้วกัน
...และในวันที่ 5 มีนาคม ของทุกปีถ้ามีโอกาสก็จะไปร่วมทำบุญโต๊ะจีน 2 โต๊ะร่วมกับ คุณพ่อ คุณแม่
...ก็จะได้พระชุดของขวัญในแต่ละปีที่ท่านพระครูวิโรจน์ฯ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันแจกให้เป็นชุดๆอีกพอสมควร
...ได้ไป วัดถ้ำสิงห์โตทอง ราชบุรี เพื่อไปดูถ้ำที่หลวงปู่ฯได้สร้างไว้ก็มีโอกาสเช่ามาอีกเล็กน้อย
...ฉนั้นพระเครื่องสายหลวงปู่โต๊ะ จะมีความหลากหลายพอสมควรเป็นของแท้จากวัดแน่นอนไม่มีการเช่าจากที่อื่น
...และยังมาได้เหรียญปั๊มพระสยามเทวาธิราช วัดป่ามะไฟ 2518 จากกรุสะสมของคุณพ่อมาโดยไม่รู้ประวัติการสร้างแต่มีใจผูกพัน
...พอมาอ่านประวัติการสร้างที่มีสมเด็จพระญานสังวร (สมเด็จพระสังฆราช)เป็นประธานปลุกเสก หลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม หลวงปู่โต๊ะองค์ที่ 3
...พระอาจารย์ฝั้น หลวงพ่อผาง หลวงพ่อแพ หลวงปู่สิม และเกจิดังๆอีกหลายรูปฯลฯ
...ก็เลยรู้สึกว่ามีความผูกพันกับ หลวงปู่ฯ จริงๆในด้านจิตวิญญาน
...ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกได้ว่าท่านยังเมตตากับชีวิตที่เป็นไปของข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลา
...มาเตือนสติ มีลางสังหรณ์ ทุกอย่างรู้ได้ด้วยใจตนเองคงไม่สามารถอธิบายได้อย่างละเอียด
...สรุปว่าข้าพเจ้ามีชีวิตที่ปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ก็ด้วยบารมีของหลวงปู่โต๊ะ 100%
...แม้ข้าพเจ้าอาจจะเคารพศรัทธานับถือครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างผู้ใฝ่ธรรม
...แต่ที่สุดยอดในชีวิตและสัมผัสได้โดยตรงเปรียบเสมือนเป็นลูกศิษย์กันมาในครั้งอดีตชาติก็อาจจะเป็นไปได้
...ก็คือ "หลวงปู่โต๊ะ" แห่งวัดประดู่ฉิมพลีพระผู้มีบารมีและความเมตตาธรรมสูงต่อข้าพเจ้าและผู้ที่มีเคารพศรัทธานับถืออื่นๆอีกมากมาย
...อาจจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเสริมทำไม ศีล๕ วันนี้จึงต้องพยายาม ลด ละ เลิกให้ครบบริบูรณ์
... ก็อาจจะเพราะบารมีของหลวงปู่ฯอีกเช่นกันที่ยังห่วงไยและมาเตือนอยู่เป็นระยะอย่างมีจังหวะที่เหมาะสม
...แม้จะไม่ได้เข้าฝันแต่ก็พอจะรับรู้ได้ด้วยกระแสความรู้สึกภายในใจนี่เองไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สวัสดีครับคุณพี...เข้ามารับฟังประสบการณืและเรื่องราวดีๆด้วยคนครับ
-
...ยินดีครับคุณเฉียวฟง ศิษย์หลวงปู่ฯองค์เดียวกัน
ถ้าไม่เลิกคงจะลำบากแน่ๆ แต่เพราะบารมีหลวงปู่ฯให้โอกาส
...ผู้ชายอย่างเราๆท่านๆเรื่องใหญ่ใจง่ายก็มีศีลข้อ ๓ กับ ข้อ๕ ช่างดึงดูดอารมณ์ซะเหลือเกิน
...ให้เข้าไปอยู่ในแวดวงสถานที่อโคจรทั้งหลายได้ง่ายๆโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ของโปรดเชียวแหละ
...แต่ที่จะมายกตัวอย่างคือศีลข้อ๕ เกือบจะธาตุแตกกลางสี่แยกไฟแดงห้าแยกปากเกร็ด
...โดยบุคคลิกส่วนตัวของผมชอบ "เบียร์วุ้น" มากที่สุดในการเข้าสังคมหรือพักผ่อน
...เรียกว่าเกร็ดน้ำแข็งจากฟองเบียร์เมื่อผ่านริมฝีปากเข้าไปละมุนละไมสุดยอดทางอารมณ์
...หากกลับจาก ผับหรือเธค ยิ่งไปกันใหญ่สนุกสนานจนลืมนับขวดกลับบ้านต้องอ้วกลงโถส้วมเป็นประจำ
...จนภรรยาเบื่อไปเลยจากที่เคยลุกขึ้นมาลูบหลังให้จนรู้สึกเป็นเรื่องปกตินอนหลับดีกว่า
...พออายุย่างเข้าสัก 40 เศษๆหลังจากไปดื่มกับลูกน้องตอนกลางวันตอนเย็นขับรถกลับบ้าน
...ร่างกายไม่ปกติมีอาการซู่ซ่าภายในร่างกายพิกลขนหัวลุกอากาศที่หายใจก็น้อยเหมือนจะเป็นลมแบบดับวูบระหว่างขับรถ
...ระหว่างขับรถมาใกล้ถึงสี่แยกไฟแดงดูเหมือนธาตุไฟมันจะแตกบอกไม่ถูก
...จิตใต้สำนึกบอกตัวเองว่าเรากำลังจะตายบนกลางถนนนี้ความคิดมันเป็นระบบคอมฯเลย
...คิดเรื่องเก่าๆ เรื่องถ้าเราตายคนที่บ้านจะรู้มั๊ยเนี่ย หรือธุระกรรมอะไรก็ยังไม่ได้ทำไว้สักอย่างหากว่าตายจริง
...ความดี ความไม่ดีที่เคยผ่านมาในอดีตมันผุดขึ้นมาเห็นเป็นภาพๆเลยเหมือนในหนัง
...พอถึงช่วงติดไฟแดงเป็นรถคันแรกช่วงนั้นวิกฤตมาก ภาวนา "พุทโธ อินทสุวรรณโน" ตลอด อาการก็ยังไม่ดีขึ้น
...เลยตั้งสัจจะไว้ในใจขอบารมีหลวงปู่โต๊ะ ช่วยลูกด้วยหากลูกรอดไปได้จนถึงบ้านจะเลิกสิ่งมึนเมาทุกชนิดเด็ดขาดแม้แต่ไวน์
...ปรากฎพอไฟเขียว สติกลับมาเริ่มมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆพอจะขับรถกลับบ้านได้แต่ใจภาวนาถึงหลวงปู่ฯตลอดช่วยลูกด้วยๆ
...พอถึงหน้าบ้านจึงรู้สึกโล่งใจรอดแล้วเรา รีบเข้าห้องพระทันทีตั้งนะโม 3 จบตั้งจิตอธิษฐานลูกจะเลิกสิ่งมึนเมาทุกชนิดเด็ดขาด
...และก็เลิกเด็ดขาดจริงๆ บังเอิญเวลาผ่านไปนานพอสมควรมีโอกาสไป ภูเก็ต กับบริษัทฯ
...เขาเคยเห็นเราชอบดื่มเบียร์ วันนั้นอากาศ บรรยากาศมันก็ให้อารมณ์เสียด้วย
...เลยสั่งขวดเขียวยี่ห้อดัง มา 1 ขวดเล็กในใจคิดว่าแค่ให้ร่างกายสดชื่น
...ปรากฎว่าแค่จิบไปนิดเดียว รสชาดมันขมเลี่ยนๆแบบไม่รู้สึกเหมือนแต่ก่อนเลย
...สรุปว่าที่สั่งมาเสียตังค์ฟรี จึงรู้ว่าศีลข้อ๕ สามารถปฏิบัติได้ชัดเจน 100%ไม่บิดพริ้วอีกต่อไป
...บารมีหลวงปู่ฯอีกหรือเปล่า โปรดใช้วิจารณญาน แต่เชื่อว่าถ้าขืนผิดสัจจะโอกาสสุขภาพภายในร่างกายอาจจะมีปัญหา
...โดยเฉพาะระยะหลังๆก่อนมีอาการธาตุจะแตกกลางสี่แยกไฟแดงมักปวดหัวหลังดื่มเป็นประจำไม่มากก็น้อย
...ซึ่งการไปในที่อโคจรทั้งหลายก็ต้องปิดตัวลงไปด้วยโดยปริยาย เพราะคนอื่นเขาดื่มกันเราไปนั่งดูคอยเวลากลับบ้านเท่านั้น
...ใหม่ๆก็โอเค พอบ่อยเข้าแล้วเราจะมาทนนั่งและอดนอนทำไมกัน เพื่ออะไร อารมณ์สนุกหลุดโลกก็แทบจะไม่มี
...สติและปัญญา คงจะเกิดขึ้นมา นั่งมองคนรอบข้างทั้งหญิงทั้งชายก็เมากันจนไม่รู้เรื่องยกแก้วชนกันไปมา ลากออกไปดิ้นกันเสร็จแล้วต่างคนต่างกลับบ้านด้วยความเมา
...เห็นความจริงของชีวิตขึ้นมาทันที วันนี้ไม่เคยเฉียดไปอีกเลย ไปเข้าป่าเที่ยวธรรมชาติแทนก็มีความสุขแบบมีสติดี สุขภาพก็ไม่เสีย
...นี่คือเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ที่มีหลวงปู่ฯอยู่ในใจคอยเตือนสติอยู่เสมอมันเป็น ปัจจัตตัง จริงๆ
...และศีลข้ออื่นๆก็เริ่ม ลด ละ เลิก เห็นความจริงคือหลุมพลางแห่งทุกข์ของคนเราชัดเจนขึ้น
...ที่ว่าเคยสุขมันแป๊บเดียวจริงๆนอกนั้นทุกข์ตามมาเพียบกว่าจะหาทางแก้ไขให้พ้นไปได้
...ทุกอย่างอยู่ที่ความศรัทธา เชื่อมั่น และถ้าพิจารณาดีๆศีลแค่ 5 ข้อถ้ามนุษย์ทำได้ทั่วโลก
...จะเป็นโลกที่น่าอยู่มากๆ ปัญหาต่างๆที่วุ่นวายแทบจะไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้วจริงๆ
...ส่วนครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็มาช่วยกันเผยแผ่ตามจริตของแต่ละบุคคลเพื่อให้รู้จักหนทางที่จะดับทุกข์
...แต่จะอย่างไรก็ตามการเตรียมตัวก่อนตายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
...แค่รักษาศีล๕ ให้ได้ครบโอกาสที่จะตกลงสู่อบายภูมิแทบจะไม่มี
...กฎแห่งกรรม มีจริงๆไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้ก็พอมีให้เห็นแล้ว
...จริงๆเรื่องราวจากประสบการณ์ที่ทำให้ต้องรักษาศีล๕ ให้บริสุทธิ์มีที่มาที่ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง
...คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดีบางทีก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ชีวิตจะเริ่มเปลี่ยนไปพบแต่สิ่งดีๆเสมอๆโดยไม่ตั้งใจและจะประหลาดใจขึ้นมาทันที
...สวัสดีครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ขอบคุณมากครับ ที่นำเรื่องราวดีๆ มาให้อ่านครับ
หลวงปู่ท่านเมตตาจริงๆครับ -
ขอเข้ามารอฟังประสบการณ์ดี ๆ ด้วยคนครับ พระของหลวงปู่โต๊ะแขวนแล้วมีเมตตา มีคนคอยช่วยเหลือ...(เป็นความเชื่อส่วนตัวครับ)
-
" ชอบมากครับ" บอกได้คำเดียวสั้นๆ... และจะติดตามเรื่องราวดีๆรวมไปถึงประสบการณ์ต่างๆของคุณพีอย่างต่อเนื่องนะครับ...(^___^)
ปล.หากผมไม่มีพระเครื่องที่ทันหลวงปู่โต๊ะ..แต่มีเพียงรุ่นหลังๆที่มีส่วนผสมพระอัฐิของหลวงปู่โต๊ะ...อยากทราบว่าพอจะใช้แทนกันได้มั้ย...( หากมีใจที่ระลึกถึงหลวงปู่โต๊ะเสมอเวลาสวมใส่ติดตัว ) ขอบคุณครับ.... ^^ -
...ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านประสบการณ์ของผมครับ
...พุทธศาสนามีทางเลือกตามจริตมากมาย
...แต่ที่สุดของที่สุดคือ วิมุติคือการหลุดพ้น ดีที่สุดครับ
คุณ Norragate
...มีส่วนผสมอัฐิหลวงปู่ก็เป็นมงคลแก่ตนเองแล้วครับ
...ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
...ถ้าคุณศรัทธาด้วยหัวใจ ต่อให้ไม่ได้สวมอะไรเลยท่านก็ช่วยเราได้
...สำคัญว่าการสวมใส่พระเครื่อง ก็เพื่อระลึกถึงคุณความดีความมีเมตตาของครูบาอาจารย์
...เวลาเราไปไหนมาไหนรู้สึกอุ่นใจดีเสมือนท่านอยู่กับเราตลอด นั่นคือความดี
...ฉนั้นผู้สวมใส่ก็ต้องดีด้วย ดี+ดี เจอกัน= ดีจริงๆ
...จิตคนเราก็เหมือนกระแสคลื่นความถี่วิทยุในอากาศนั่นแหละครับ
...ถ้าเราหัดจูนคลื่นบ่อยๆให้ตรงช่องก็จะชัดเจนเสียงดังฟังชัด
...ฉนั้นเราศรัทธาหลวงปู่ฯด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นระลึกถึงท่านบ่อยๆ
...หลวงปู่ฯท่านมีเมตตาธรรมสูง ย่อมช่วยเหลือคนดีเสมอครับ -
กราบหลวงปู่โต๊ะ สวัสดีคุณพีและสมาชิกทุกท่านครับ
-
กฎแห่งกรรมไม่ต้องรอชาติหน้า?????
ศีลข้อที่ 1
...หลายๆคนเกิดมายังไม่มีธรรมะอะไรอยู่ในใจก็มักทำอะไรไปโดยธรรมชาติคือการเอาตัวรอดหรือเพื่อป้องกันตัว
...ฉนั้นเรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบางทีก็ทำไปเพราะความคึกคะนอง ความตั้งใจ หรือความกลัว
...นั่นคือเรื่องที่เหมือนจะดูปกติสำหรับคนเรา และเหตุการณ์ต่างๆก็เป็นสถานการณ์บังคับที่ให้ต้องกระทำ
...เอาเป็นว่าเกิดมาเรามีโอกาสฆ่าสัตว์ไปไม้รู้กี่ชนิดตั้งแต่เล็กสุด จนใหญ่ไปเรื่อยๆยิ่งไปถึงสัตว์มนุษย์ด้วยกันแล้วยิ่งไปกันใหญ่ (บาปมหันต์)
...ใครยังไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมไม่เป็นไรครับ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเองทำอะไรก็จากผลการกระทำของเราเอง
...แต่สำหรับข้าพเจ้าสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดที่ข้าพเจ้าลงมือฆ่าเห็นจะเป็นประเภท งู ทั้งหลายนี่แหละ
...ส่วน มด ยุง ตะขาบ ฯลฯ ตัวอะไรพวกนั้นพอกัดเจ็บก็ตบ ก็บี้ เรารู้สึกว่ามันคือธรรมชาติทำเราเจ็บเราก็เอาคืนอัตโนมัติอยู่แล้ว เอ็งทำได้ข้าก็ทำเอ็งได้
...เมื่อเป็นเช่นนั้นชีวิตก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายเป็นปกติธรรมดาๆของชีวิตในโลกใบนี้
...แต่ๆๆๆๆๆๆๆ พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆแปลกๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเริ่มมาแวะเยี่ยมเยียนมากขึ้น
...ประสบการณ์ตรงนี้บางทีโรคที่เกิดในวงการแพทย์เขาพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ มันเป็นอย่างนี้เพราะไปทำอย่างนั้นมา
...สำหรับข้าพเจ้าแรกๆก็วิทยาศาสตร์จ๋านั่นแหละ เป็นโรคก็ไปหาหมอก็ง่ายๆไม่เห็นมีอะไรเลย
...คือถ้าหมอรักษาหายเร็วก็ดีไป แต่ถ้ารักษาแล้วมันยืดเยื้อหาที่สิ้นสุดไม่ได้ต้องพึ่งหมอตลอดไปนั่นสิมันเริ่มชักจะมีปัญหา
...ทุกท่านอ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญานกันเอง อย่าเชื่อในสิ่งที่ยังมิได้พิสูจน์แต่ฟังไว้เผื่อวันหนึ่งย้อนระลึกกลับมา
...อายุ 30 ปลายๆเองมั๊ง อยู่ๆอาการแปล๊บบบบบ!!!! ช่วงหลังมันเกิดขึ้นเหมือนอาการหลังยอก ทุกคนน่าจะเคยเป็นกันมาบ้าง
...แต่แปล๊บบบบบบบบ คราวนี้มันไม่เหมือนคราวก่อนมันปวดมากๆตั้งแต่ช่วงหลังลงขาซ้ายไปเลย
...จะลุกเดินไปไหนปวดชนิดที่เรียกว่าน้ำตาไหลแล้วกัน ยุคนั้นเครื่อง x-ray แบบอุโมงค์ยังมีน้อย
...หมอก็วินิจฉัยจากอาการเส้นพลิกบ้าง อะไรบ้างไปตามเรื่องตามราว
...ผลที่สุดต้องนอนนิ่งๆอยู่ ร.พ. เกือบ 7 วันฉีดยาเข้าเส้นแก้ปวดทุกวันค่อยทุเลาลง
...กลับบ้านไปใช้ชีวิตอย่างปกติแต่ต้องระวังท่าทางของหลังมากขึ้น
...แล้วก็เป็นอีก 2-3 วันบ้าง 4-5 วันบ้างอัดยาแก้ปวดตามหมอสั่งก็ทุเลาลง
...ก็คิดว่าไม่ปกติซะแล้วน่าจะไม่ใช่อาการหลังยอกธรรมดาๆ
...ไปค้นเจอในโฆษณา มีแพทย์คนไทยจาก ตปท.มีวิธีรักษาคนปวดหลังเรื้อรัง
...สรุปก็ต้องทดลองยุคนั้น 30000 .- แพงก็ต้องลงทุนเพราะความทุกข์จากความเจ็บปวดมันทรมานจริงๆ
...สรุปต้องเข้า x-ray แบบอุโมงค์ผลปรากฎเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
...ก็มีการดึงหลังกันประมาณ 5 ครั้งมั๊ง??? ก็คิดว่าคงหายแน่ๆมาถูกทางแล้ว
...วันดีคืนดีโอกาสที่เป็น มันก็กลับมาอีกอาจจะนานๆทีก็จริงอยู่ แต่ปวดร้าวเหมือนเดิม
...บังเอิญสนใจอ่านโน่นอ่านนี่เกี่ยวกับโรคแปลกๆที่แพทย์อธิบายไม่ได้ในหนังสือกฎแห่งกรรม
...เท่านั้นแหละสัญญาในอดีตตอนวัยเด็กจนวัยรุ่นมันเหมือนพิมพ์รายงานเป็นภาพในสมองความคิดออกมาเลย
...หรือว่า!!!!!! "เจ้างู" ทั้งหลายที่เราเคยตีตาย เพราะมักตีหลังให้หักก่อนแล้วมาตีหัวให้ตายในทีหลังก่อนเก็บซากไปทิ้ง
...เป็นการฆ่าเพราะความกลัวมันจะทำร้ายเราก็ไม่เห็นแปลกใช่มั๊ย??? ก็เพื่อป้องกันตัวเราเองต่างหาก
...จะว่าใช่ก็ใช่นะ เข้าข้างตนเองอยู่แล้วมนุษย์ผู้ประเสริฐ แต่ถามว่าเขี่ยไล่เขาออกไปให้พ้นจากอันตรายได้มั๊ย???
...ก็น่าจะได้มั๊ง เพราะสัตว์เขาก็กลัวตายเหมือนเรานั่นแหละ ถ้าทำร้ายฉันๆก็ฉกเอาสิเป็นการป้องกันตัวเองเช่นเดียวกัน
...ความคิดตรงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ศึกษาธรรมะอย่างพอจะเข้าใจขึ้นแล้วว่าถ้าไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันทางใครทางมันก็หลีกเลี่ยงได้
...ดังนั้นระยะหลังๆเจองูก็แค่หาไม้ยาวๆเพื่อป้องกันตัวเราเองเขี่ยเขาออกไปให้พ้นบ้านแล้วเขาก็เลื้อยต่อไปโดยต่างคนต่างไม่สนใจที่จะทำร้ายกัน
...เอ๊ะ.. มันก็ได้ผลเหมือนกันเนี่ย ฉนั้นเดี๋ยวนี้แม้แต่มด ยุง แมลงสาบ หนู งู ฯลฯ บางทีก็ไม่ไปใส่ใจกับเขาต่างคนต่างอยู่อย่าเบียดเบียนกันแล้วกัน
...สวดมนต์ก็แผ่ส่วนกุศลไปให้เขา ก็ไม่ค่อยจะเห็นกันสักเท่าไรนะโดยเฉพาะแมลงสาบนี่หายไปเลยแต่ก่อนกลางคืนถังขยะในบ้านอย่างน้อย 3-4 ตัวนั่นแหละ
...และพอกลับไปพูดถึงเรื่องปวดหลัง จะเชื่อหรือไม่เชื่อเพื่อความสบายใจก็ทำบุญไปให้เขาเพราะครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งแนะนำ
...และท่านก็บอกว่าน่าจะเป็นวิญญานงูเหล่านั้นแหละมีความอาฆาตกำลังเอาคืนโยมที่ไปทำร้ายเขา
...มาถึงตรงนี้เริ่มเป็นนิยาย นิทานเกินไปหรือเปล่า????เอาอย่างนี้ก็แล้วกันสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง
...มีความเชื่อว่าอาการหายไปเหมือนคนปกติ นอกจากวันดีคืนดีก้มผิดท่า เอี้ยวตัวผิดแบบก็มาเยี่ยมเยียนสักครั้งแต่ทานยา 2-3 วันก็หายไป
...หลายๆท่านที่มีความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม จะอธิบายว่า เวลาร่างกายคนเราอ่อนแอคือไม่สบายนั่นแหละ
...จะเป็นช่องทางที่ให้สัมภะเวสี วิญญานเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเขาสอดแทรกผสมโรงเข้ามาเพราะจิตใจเราเริ่มอ่อนแอ (ผีซ้ำด้ามพลอย)
...จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับข้าพเจ้า โรคแปลกๆที่เป็นนาน หมอวินิจฉัยไม่ได้ให้เดาว่ามีความเป็นไปได้ทั้งวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์
...ทางแก้ไขสำหรับข้าพเจ้าในวันนี้รักษาศีล 5 ก็เท่ากับไม่เบียดเบียนใครกันแล้ว
...สวดมนต์ นั่งสมาธิ อุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญานทั้งหลายทั้งเฉพาะเจาะจงเช่น สัตว์ที่เรานึกได้ว่าเคยทำร้ายเขาระบุไปเลย
...ขออภัยและอโหสิกรรมในชาตินี้แหละ ส่วนไม่เฉพาะเจาะจงอาจจะตั้งแต่อดีตชาติไหนๆซึ่งเราก็ไม่รู้อีกเหมือนกันจะได้กันเหนียวไว้ก่อน
...ข้าพเจ้าพิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้ว โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ชัดเจนทุกวันนี้ยังไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้นง่ายๆเหมือนตอนที่ยังไม่รักษาศีล5และไม่ปฏิบัติธรรม
...ส่วนโรคแปลกปวดนั่นปวดนี่ก็มีบ้างแต่เดี๋ยวนี้ไม่ซีเรียส เขาคงมาขอเอาคืนบ้างก็แผ่อุทิศส่วนกุศลให้ไปพร้อมทานยาตามแพทย์ยุคใหม่สั่งไปด้วย
...หรือบางครั้งนึกว่าจะเจ็บปวดทรมานไปหลายวัน กลับไปเจอหมอที่มีธรรมะเช่นเดียวกัน รักษาถูกทาง 5 นาทีหมอจัดการหายเป็นปลิดทิ้งกลับบ้านเหมือนไม่เป็นอะไรเลย
...นี่คือตัวอย่างที่สะสมประสบการณ์มาและลองค้นหาดูด้วยตัวเอง แม้จะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อหรือคร่ำครึสำหรับคนในสังคมไทยบางกลุ่ม
...แต่ข้าพเจ้ามีจังหวะแห่งความเชื่อโดยมีจังหวะขั้นตอนมาแบบต่อเนื่องและนั่งพิจารณาดูซึ่งก็เหลือเชื่อจริงๆ
...ส่วนหนึ่งอาจจะเป็น บารมีของหลวงปู่ฯก็ได้ที่ดลจิตดลใจให้คิดเช่นนี้
...โปรดใช้วิจารณญานด้วยตนเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
...หลายคนคงเดาว่า ข้าพเจ้าคงจะดูเป็นผู้ใหญ่เคร่งครัดด้วยวัย 56 แวะไปดูตัวตนที่แท้จริงกันได้ครับที่นี่
http://www.facebook.com/profile.php?id=100000930639465
http://www.thailandoffroad.com/freestyle/freestyleboard/Weblist.asp
http://nahpee.multiply.com/photosไฟล์ที่แนบมา:
-
-
[
-
nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี
"หลวงปู่โต๊ะ"คือหนึ่งในพระสุปฎิปันโนที่ผมศรัทธาและนับถือมากองค์หนึ่งเช่นกันครับและจะคอยแฟนประจำติดตามอ่านเรื่องราวดีๆแบบนี้ไปเรื่อยๆนะครับ ขอบคุณมากครับพี่.......
และขอสวัสดีคุณNorragateด้วยนะครับ...ขอชมว่าถ่ายรูปพระเครื่องได้สวยมากๆครับ
และขอสวัสดีคุณkang somด้วยนะครับ...ผมนั้นปักใจกับพ่อทองดีตั้งแต่เรียนประวัติศาตร์ชั้นประถมแล้วครับ เห็นคำนี้ของคุณkang somรู้สึกดีจริงๆครับ"พ่อกูดาบหักเพื่อพิทักษ์แผ่นดินสยามพ่อกูนั้นนาม พระยาพิชัยดาบหัก"<!-- google_ad_section_end --> -
...ถูกต้องเลยครับ คุณ Norragate
...จะแขวนพระระดับไหน รักษาศีลเคร่งครัดแค่ไหน
...สิ่งที่ป้องกันไม่ได้คือ กฎแห่งกรรม ผมพิสูจน์มาแล้ว
...เพียงแต่อาจผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ขึ้นกับผลแห่งการกระทำของเรา
...เหมือนกับหลักวิทยาศาสตร์ในเรื่อง Action = Reaction
...ตอนที่ทำเขา เขายังไม่มีโอกาสโวยวาย
...แต่ตอนเขาจะเอาคืน ก็ลองทำดีให้เห็นว่าเรากลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ
...บางครั้งความดีนี่แหละชนะความโกรธทั้งปวง
...ทดลองเองก็ได้ ใครโกรธมาเรากลับเฉยๆ
...คนโกรธ งง!!!ไปเลย ความร้อนใจสุดขีดเขาจะลดอุณหภูมิเดือดลงไปเอง
...แต่หากเราลองโกรธตอบ ตูม!!ตูม!!!!ตูม!!!!ระเบิดเวลาเลยครับ -
หลายครั้งหลายหนที่หลงลืมไปว่า...สุดท้ายชีวิตนั้นก็เป็นไปตามกรรม....ไม่ว่ากรรมจากอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ...ปลูกมะม่วงฉันใด..ก็ต้องได้ผลเป็นมะม่วงฉันนั้น.....(^___^)...
หน้า 1 ของ 15