อกหัก ทำอย่างไรดี ถึงจะตัดใจได้ ..มันเหมือนโดนแทงข้างหลัง ทะลุถึงหัวใจ..

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Xiaobao, 21 มกราคม 2008.

  1. kwantrakul

    kwantrakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,403
    ค่าพลัง:
    +1,327
    (cry) ค่อย ๆ ให้เวลารักษาใจนะค่ะ ... อาจจะนานหน่อย แต่ก็จะพบคน ๆ ดี ๆ เองนะคะ อย่าคิดว่าเวลานานแค่ไหนจะลืมคน ๆ หนึ่งได้ คิดถึงสิ่งไม่ดีของเค้า ให้มาก ๆ .. บางที คน ๆ นี้อาจไม่เกิดมาเพื่อเรา เราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อวันข้างหน้า ....
    ถ้าทุกข์ใจมาก ก็ หาธรรมะ นะค่ะ ... ใช้เวลาไปกับสิ่ง ดี ๆ แล้ว จะลืมได้เองค่ะ .....
    นานหน่อย หรือไม่กี่วัน .... บอกตัวเองว่าเราต้องทำได้ ...
    เดี๋ยวร่างกายก็จะสร้างวัคซีน ให้เราเข้มแข็ง เองค่ะ ..
    เอาใจช่วยนะค่ะ ไม่มีใครในโลกนี้ไม่เคยผิดหวัง หรือเสียใจ หรอกค่ะจะมากจะน้อยก็ ต้องมี เอาความผิดหวังเป็นบทเรียน อย่าเสียเวลา กับคนที่ไม่จริงใจ ด้วยจะดีกว่าค่ะ ...
    เป็นกำลังใจให้นะค่ะ ..... (f)
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ความรักที่ว่า อยู่ที่ไหน มีหน้าตาหรือเปล่า?

    พูดไม่ได้เพราะมันมีไม่มีตัวตนถูกใช่ไหมคะ

    แต่เรารู้ว่ามันมีตัวตนเพราะว่า มันมีความสุขภายในจิตใจ

    เอ....แล้วตกลง ความรักที่ว่าเนี๊ย รักที่บุคคล หรือ ว่ารักที่จิตใจ

    อะไรเป็นที่ยึดคะ? รู้ตัวหรือเปล่าว่ารักเขาที่ตรงไหน

    หน้าตา, รูปร่าง หรือว่านิสัย

    ตอบไม่ได้ใช่ไหมคะ เพราะรักทุกอย่างที่เป็นเขา

    หรือว่า รักทุกอย่างที่เราคิดว่าเขาเป็นกันแน่

    ทุกอย่างมีทั้งสองด้านนะคะ แล้วแต่เราเลือกที่จะคิด

    จะคิดว่าเขาดี ก็ดี หรือจะเลือกที่จะรัก ก็มาจากความคิด ถูกใจใช่ไหมคะ

    อย่างบ้างคน คนรักเขาตายไปแล้วทั้งๆที่ยังรัก

    ก็เพราะความรักสำหรับเขายังอยู่ในความคิด

    เขาก็เลยเลือกที่จะมีความสุขกับความรักที่ยังอยู่ในความคิด

    แล้วตกลง ความรักมันอยู่ที่บุคลลหรือ ความคิดกันแน่นะเนี๊ย

    ไม่รู้เหมือนกัน เพราะรู้อะไรก็ไม่สู้รู้ยังงี้.......ฉันคิดเเบบนี้ตั้งนานแล้ว

    ทุกอย่างอยู่ที่นี้เสมอคะ ทุกข์ สุข เศร้า เหงา บ้าบอ ความคิดของเราเอง

    อยู่ที่ว่าวันนี้เราเลือกที่จะใช้ตัวไหน ณ ตอนนี้ นะคะ โชคดีคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2008
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทิ้งไว้เพียงแต่ความทรงจำ แล้วความเข้าใจโลกมากขึ้น ของคุณ
     
  4. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน
     
  5. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    เกิดมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พัน กี่หมื่นกี่แสนชาติ

    มันเป็นเรื่องของธรรมชาติน่ะคะ คิดเสียว่า เรากับเขา ยังไม่ใช่ตัวจริงของกันและกันคะ

    เนื้อคู่ที่ได้ สัมพันธ์ใช้ชีวิตร่วมกัน
    ต้องมีเหตุและผลเกี่ยวเนื่องและผูกพันกันค่ะ
    ทุกอย่างไม่ใช่เกิดมาเพราะความบังเอิญ

    เมื่อเรากับเขาอาจเป็นเพียงการโคจรมาเจอกัน
    ตามวาระของบุญและกรรม

    เมื่อสักวันถึงวันต้องจากลา ก็ขอให้อโหสิกรรมต่อกันไปคะ

    จะเศร้าไปใย ... ไข้ใจต้องรักษาด้วยใจ อิอิ
    ถ้ามีคนอื่นมารักษาก็เร็วหน่อย ถ้าไม่คิดหาใคร รักษาแผลใจตัวเองก็นานหน่อย

    เหมือนกับเป็นไข้แล้วไปหาหมอกินยา ย่อมหายเร็วกว่า ปล่อยให้มันหายเอง
    อย่างไรเสีย โรคนี้ไม่ทำให้ตายหรอกจ๊ะ

    สู้ๆ
     
  6. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    รัก ที่เปราะบางแปรปรวนที่สุด คือ รักแฟน คู่รัก

    สุข เพราะรัก เขาทำดีกับเรา เขาเอาอกเอาใจเรา เขาตามใจเรา เขาดูแลเรา
    สุข เพราะรัก ความใกล้ชิด เกิดความผูกพัน ติดสุข ติดใจ ยึดมั่นถือมั่นในสุข

    ทุกข์ เพราะรัก เขาไม่ดีกับเรา เขานอกใจเรา เขาเปลี่ยนไป เขาไม่รักเราแล้ว
    ทุกข์ เพราะรัก ห่างเหิน เบื่อหน่าย ขัดแย้งทะเลาะวิวาท เลิกลา ทุกข์ใจ กลุ้มใจ

    วงจรแห่งรัก ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ มีรักก็มีเสื่อมรัก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    เป็นธรรมดา รักครั้งเก่าจากไป รักครั้งใหม่ก็มา สุขมาทุกข์ไป ทุกข์มาสุขไป
     
  7. jeds22

    jeds22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +498
    อกหัก ก็หาใหม่.....
    แล้วก็อกหักอีก แล้วก็หาใหม่อีก อกหักอีก หาใหม่อีก สลับกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนในที่สุด จะคิดได้เองว่า "อยู่ตัวคนเดียวมีความสุขที่สุด"
    ยิ่งปฎิบัติธรรมไปด้วย จะยิ่งเห็นชัด (เอามาจากชีวิตตัวเองอ่ะนะ)
     
  8. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ทุกสิ่งที่เกิดจากความคิดเป็นของปลอมทั้งนั้น เพราะตัวความคิดเป็นของปลอมในตัวมันเอง เหมือนสร้อยปลอมแม้เราคล้องอยู่ก็ชื่อว่าปลอมความคิดก็เช่นเดียวกัน เหตุผลต่างๆมากมายไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้แต่เราจะเข้าถึงความจริงได้ต้องปราศจากความคิดเพราะปัญญาอย่างแท้จริงปราศจากความคิด และการวัด ถ้ามีเหตุผลในความคิด ถ้าเหตุเปลี่ยนผลก็เปลี่ยน อย่าจริงจังกับความคิดเหตุผลมันเปลี่ยนตลอดเวลาแต่ละปี เดือน วัน ชั่วโมงและขณะจิตมันแปรปรวนตลอด เราเห็นความแปรปรวนนั่นแหละเริ่มเห็นของจริง ส่วนมากจะกระโจนเข้าไปในกระแสความคิดพัดหมุนเราตลอดเวลา ถูกผิด ใช่ ไม่ใช่ ดีใจ เสียใจ เวียนอยู่แค่นี้ในชีวิตเราที่ว่าเราได้อย่างนั้นอย่างนี้ เราได้แค่ความรู้สึกแล้วมันก็เปลี่ยนเราก็ต้องแสวงหาอีกไม่รู้จบสิ้น อย่ารู้ความคิดให้เห็นความคิดของจริงจะเกิด เพราะของจริงอยู่ข้างหลังความคิด ทันทีที่เราเห็นความคิด สิ่งทั้งหลายในโลกอันนี้อาศัยความคิดเกิดทั้งหมด มนุษย์ในโลกนี้มีความพร่องทำให้ต้องแสวงหาความรัก และสิ่งที่รัก ที่คนรักกันนั้น มิใช่อารมณ์รัก แต่เพราะรู้สึกว่าถ้าไม่ได้รักดูเหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่งในชีวิต ตราบใดที่ยังไม่มีรักตราบนั้นดูเหมือนว่าชีวิตยังไม่มีความสมบูรณ์แท้ การที่เรารักจึงมิใช่รักอะไรเลย ที่แท้เป็นเพราะความรักช่วยให้เรามีความสมบูรณ์ไม่ขาดไม่พร่อง ผู้ที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตนย่อมไม่ต้องการสิ่งใด ไม่ต้องการความรักแต่จะมีความรักอีกแบบหนึ่งขึ้นมาแทน ความรักอย่างที่คนทั้งโลกเป็นนั้นมันเกิดจากความหลงคิด แล้วก็เกิดความรัก ความชัง ใช่ ไม่ใช่ หลอกตนเอง หลอกคนทั้งโลกอย่างไม่มีวันจบสิ้น<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  9. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    อกหักดีกว่ารักไม่เป็นครับ
    เมื่อเรารู้รัก เราก็รู้ทุกข์
    เมื่อเรารู้ทุกข์ เราก็เบื่อหน่ายทุก
    เมื่อเราเบื่อหน่ายทุกข์ เราก็ไม่อยากเกิด
    เมื่อเราไม่อยากเกิด เราก็จะเพียรทำแต่ความดี
    เมื่อเราทำความดีมากๆ เราก็ไปพระนิพพาน
    เมื่อเราไปพระนิพพาน เราก็จะไม่มีทุกข์ครับ

    ขออนุโมทนากับคำถามของท่านและคำตอบทุกคำตอบครับ
     
  10. แม่ลูกตาล

    แม่ลูกตาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    784
    ค่าพลัง:
    +1,206
    ไม่มีใครในโลกที่เกิดมาไม่เคยทุกข์ และก็ไม่มีใครไม่มีใครที่ไม่เคยสุข เช่นกัน เพราะฉะนั้น มันคือสิ่งที่ไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอน คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
     
  11. giveranun

    giveranun สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +3
    คุณคับความรักความทุกข์เป็นของคู่กัน ก็พยายามรักอย่างมีสติ มีเหตุมีผล ขอเป็นกำลังใจให้คับ
     
  12. wayamo

    wayamo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +396
    แค่"รักตัวเองให้มากๆ"จะทำให้ลืมได้ ตัวเองเจ็บเพราะใครทำเพราะเราไม่ใช้หรือที่ไปหลงรักเค้าถ้าเรารักตัวเองมากเราก็จะรักเค้าน้อยก็เจ็บน้อย
     
  13. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    คิดไรมากครับ มีแฟนในที่ทำงานไม่สนุกหรอกครับ
    หาใหม่ข้างนอกสบายใจกว่า หาคนที่ถือศีล 5 บริสุทธิ์ยิ่งดีครับ

    แนะนำนิดนึงครับ

    หาแม่ให้ลูก ไม่ใช่หาเมียให้ตัวเองครับ

    แล้วคุณจะเป็นสุขในการหาแม่ให้ลูกครับ คนที่ไม่มั่นคงในความรัก เป็นแม่ที่ดีของลูกไม่ได้หรอกครับ (ถ้าคุณห่างแล้วเค้ามีใหม่ก็แสดงว่า ไม่ใช่คู่กัน อย่าไปซีเรียสครับ)

    ขออนุโมทนา
     
  14. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    รับแบบพรหมวิหาร 4 ดีทีสุดในโลก
     
  15. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานอธิบายลักษณะของพรหมวิหาร4
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ลักษณะของพรหมวิหาร

    <DD>ท่านพระโยคาจรทั้งหลาย และบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปจงสำรวมใจตั้งใจสดับคำแนะนำใจการเจริญพระกรรมฐาน ขณะที่ท่านนั่งฟังอยู่ หูได้ยินเสียงทุกถ้อยคำ จิตมีความรู้สึกไปตามกระแสเสียง โดยไม่เอาจิตไปส่งในอารมณ์อย่างอื่น อย่างนี้ชื่อว่าอารมณ์ของท่านทรงสมาธิ การทรงสมาธิเพื่อการรับฟังเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา
    <DD>และอีกประการหนึ่ง ขณะใดที่ท่านตั้งใจฟังเสียงธรรมะซึ่งไม่มีอารมณ์อื่นมารบกวน ขณะนั้นชื่อว่าจิตของท่านว่างจากกิเลส ถ้าบังเอิญจิตของท่านว่างจากกิเลสหู เนื่องจากหูฟังเสียงธรรมะอยู่เสมอ ๆ ต่อไปอารมณ์จิตจะชิน จะมีอารมณ์ว่างจากกิเลสจนชิน ในที่สุดกิเลสก็จะหมดไปจากจิตของท่านตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    <CENTER>" สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง" : การฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา</CENTER>
    <DD>ฉะนั้น เวลาที่ท่านฟังจงตั้งใจฟังด้วยความสงบ ถ้าบังเอิญจะให้มีกำไรยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่ท่านฟังและก็คิดตามไปด้วย เอาจิตน้อมยอมรับเหตุผลในการรับฟัง แต่ทว่าอย่ารับฟังด้วยการไร้ปัญญา ใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วยว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าหากว่าทำได้อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงและภิกษุสามเณรทุกท่าน ถ้าหากว่าท่านมีกำลังของจิตพอและก็ไม่ละอารมณ์แบบนี้ ความเป็นพระอริยเจ้าย่อมง่ายสำหรับท่าน เพราะว่าการฟังทุกวันขณะที่ตั้งใจฟังด้วยความเคารพ จงคิดว่าเสียงที่ฟังนี้เป็นเสียงที่นำเอาพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอน และจงจำไว้ให้ดีว่าเมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าจะนิพพานทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า
    <DD>" อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เมื่อเรานิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่เราสอนไว้จะเป็นศาสดาสอนเธอ "
    <DD>คำว่า ศาสดา นี่แปลว่า ครู เป็นอันว่าเสียงที่ฟังอยู่จงคิดว่านี่เป็นกระแสเสียงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความเป็นจริง แล้วจงอย่านึกว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง เราอย่าคิดอย่างนั้น คิดว่านี่เป็นเสียงของพระพุทธเจ้า พระธรรมนี่เป็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังสอนเราโดยตรง โดยน้อมจิตเข้าไปนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เวลานี้กำลังประทับอยู่เฉพาะหน้าของเราและก็กำลังพูดกับเราโดยตรง จิตจะชื่นบาน และก็ตั้งใจสดับฟังเสียงนั้นและก็คิดตาม แล้วคิดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เกินวิสัยสำหรับเรา ถ้าเกินวิสัยแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่สอนเรา สร้างธรรมปีติให้เกิดในใจ สร้างกำลังใจคิดว่า เราสามารถ สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงโปรด ถ้าคิดไว้อย่างนี้เสมอ บรรดาพุทธบริษัทคิดไว้และฟังบ่อย ๆ ถ้ามีเทปสำหรับฟัง ฟังไปเรื่อย ๆ ขณะใดใจตั้งอยู่ในการฟัง ตั้งใจ จิตจะว่างจากกิเลส ถ้ามันว่างบ่อย ๆ เพราะจิตเราไม่คบกิเลส กิเลสมันก็ไม่อยากคบกับจิตใจของเรา ในที่สุดจิตของเราก็จะกลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ กลายเป็นผู้หมดกิเลสไป
    <DD>เอาละ สำหรับวันนี้ก็จะขอนำเอา พรหมวิหาร ๔ มาแนะนำกับบรรดาท่านพุทธบริษัทตามกำลังปัญญา การแนะนำกันนี่ จงอย่าคิดว่าเป็นการแนะนำละเอียดลออ ความจริงใช้เวลาอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าจะใช้ได้ ท่านฟังตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตาย เรื่องพรหมวิหาร ๔ ก็ไม่จบ แต่ว่าการฟังนี่ถือว่าเป็นการให้รับฟังเพื่อใช้ปัญญาเท่านั้น คือว่าใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วย ฟังด้วย ไม่ใช่ว่าจะอยู่ ๆ ก็จะมานั่งสอนกันซะจนจบอรหันต์กันในวันนี้ แต่ก็ว่าไม่ได้ คนที่รับฟังอยู่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี คนดีฟังแล้วเกิดปัญญาใช้ปัญญาพิฆาตเข่นฆ่ากิเลส ก็เป็นของไม่หนัก แต่ว่าสำหรับคนไม่ดี ฟังแล้วก็มีหูคล้ายกับหูกะทะ มีตาเหมือนกระทู้ ทั้งนี้เพราะอะไร ตากระทู้มองอะไรไม่เห็น หูกะทะฟังอะไรไม่ได้ยิน สำหรับคนที่ตามองเห็น หูฟังได้ยิน แต่ไม่สนใจกับเสียงที่ฟัง คนประเภทนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงโปรด เพราะว่าโปรดมากเท่าไร คนประเภทนี้ก็ลงนรกมากเท่านั้น
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <DD>ฉะนั้น บรรดาท่านทั้งหลายจะพิสูจน์ตัวของท่านได้ว่า ท่านรับฟังกันทุกวันวันละหลายครั้ง ท่านละความเลวได้มากน้อยเพียงใด จิตใจของท่านดีหรือว่าจิตใจของท่านเลว ต่อไปนี้ ธรรมะในด้านของพรหมวิหาร ๔ เป็นเครื่องวัดจิตใจว่าดีมาก หรือว่าเลวมาก คำว่า พรหมวิหาร วิหาร นี่ก็ แปลว่า ที่อยู่ พรหม นี่แปลว่า ประเสริฐ หมายความว่า เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ หรือ เอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ที่เรียกกันว่าประเสริฐ ประเสริฐ นี่แปลว่า ดีที่สุด
    พรหมวิหาร มี ๔ อย่าง คือ
    ๑. เมตตา ความรัก
    ๒. กรุณา ความสงสาร
    ๓. มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร
    ๔. อุเบกขา วางเฉย
    <DD>ความจริงพรหมวิหาร ๔ นี่เป็นธรรมะกลาง ที่ว่ากลางก็เพราะว่า ถ้าบุคคลใดมีอารมณ์ใจทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ บุคคลนั้นจะมีศีลบริสุทธิ์ อยู่ตลอดเวลา จะมีจิตทรงฌานอยู่ตลอดเวลาและก็จะเป็นคนมีความฉลาดในด้านปัญญา สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้โดยง่าย ถ้าจะกล่าวกรรมฐานบทนี้เป็นกรรมฐานใหญ่ก็ว่าได้ นี่กล่าวกันโดยอีกนัยหนึ่งว่า พรหมวิหาร ๔ เป็นอาหาร
    <DD>อาหารเลี้ยงศีลให้อ้วนมีกำลัง เป็นอาหารเลี้ยงสมาธิให้มีกำลัง อาหารเลี้ยงปัญญาให้มีความคมกล้า สามารถจะฟันจะฟาดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเมื่อใดก็ได้
    <DD>ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านจะดีหรือว่าท่านจะเลว ท่านจะเป็นคนหรือท่านจะเป็นมนุษย์ ความจริงมนุษย์นี่เขาแยกไว้หลายอย่าง คำว่า มนุษย์ มนุสโส แปลว่า ผู้มีใจสูง มีศีลบริสุทธิ์ หรือว่ามีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ว่ากำลังใจเป็นเทวดา คือ มี หิริ และ โอตตัปปะ มนุสสพรหมมา หมายความว่าร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ อย่างนี้ตายแล้วเป็นพรหม
    <DD>แล้วก็ มนุสสติรัจฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์ ใจไม่เคารพนับถือในสิทธิซึ่งกันและกัน ขาดความเมตตาปรานี ร่างกายเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตายแล้วเป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุสสนิรยโก มนุษย์สัตว์นรก หมายความว่า คนประเภทนี้หาความดีอะไรไม่ได้ ไม่มีความรู้สึกตัว ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ขาดความเมตตาปรานี คนประเภทนี้มีร่างกายเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์นรก
    <DD>ในหมู่คณะของเราจะพอมีอยู่บ้างไหม ที่อยู่กันมาแล้วหลาย ๆ ปี ยังไม่หมดความเลว ยังบูชาความเลวว่าเป็นความดี เข้ากับคนนั้นก็ไม่ได้ เข้ากับคนนี้ก็ไม่ได้ ถืออารมณ์ใจตัวเป็นสำคัญ ถ้าเรามีความเลวอย่างนี้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาจำไว้ว่า ถ้าเราตายคราวนี้ อีกหลายแสนกัปที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นมนุษย์อีกหลายแสนวาระที่จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์บริบูรณ์ จะต้องเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความลำบากยากแค้น มีแต่ความทุกข์กับโทมนัสตลอดเวลา ถ้าบังเอิญจะกลับเนื้อกลับตัวเสียจะได้เป็นคนกับเขาบ้าง ถ้าเป็นคนมันยังยุ่งเกิดมาในโลกก็รกโลก ถ้าเป็นมนุษย์ก็ยังสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่มีความดีอะไร ยังมีทุกข์ ไปเป็นเทวดาหรือพรหมก็พักทุกข์เล็กน้อย ไม่ช้าก็มาทุกข์ใหม่ ทุกคนเขาตั้งใจไปนิพพานกัน แต่เราทำไมตั้งใจเป็นสัตว์นรกหรือสัตว์เดรัจฉาน มันจะมีประโยชน์อะไร
    <DD>ต่อนี้ก็ฟังกัน เพราะพรหมวิหาร ๔ นี่ความจริงไม่ต้องอธิบายมากก็ได้ แต่ทว่าเวลานี้ถือว่าเป็นการแนะนำกรรมฐานรวม อันดับแรกก่อนที่จะทรงพรหมวิหาร ๔ หรือว่าทำกรรมฐานทุกกองก็จงอย่าทิ้งอานาปานุสสติกรรมฐาน กับ พุทธานุสสติกรรมฐาน แม้แต่กำลังฟังอยู่นี่ก็เช่นเดียวกัน ควรจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไปด้วย แล้วก็ตั้งใจฟัง เวลาฟังก็คิดว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังประทับอยู่ข้างหน้าของเรา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณมาหาเราถึงที่อยู่ และกระแสเสียงขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถยากที่เราจะบูชาให้ครบถ้วน ตั้งใจไว้อย่างนี้นะ ตั้งใจไว้อย่างนั้นนะ คิดว่าเสียงนี้เป็นเสียงของพระพุทธเจ้าแล้วก็พระองค์กำลังประทับอยู่ข้างหน้าของเรา ใจจะได้เป็นสุขจะได้มีอารมณ์ชุ่มชื้น คือไม่ใช่ว่าอาตมาจะมาอวดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะการทำใจอย่างนี้ จิตใจมันสบายมีความสุข แล้วจิตจะหมดกิเลสได้ง่าย
    <DD>ต่อไปก็มาฟังพรหมวิหาร ๔ คือ
    <DD>๑. เมตตา ความรัก คำว่า ความรัก ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าความรักที่ประกอบไปด้วยกามคุณเหมือนกับหนุ่มรักสาว สาวรักหนุ่ม หรือหญิงรักชาย ชายรักหญิง ปรารถนาจะครองคู่ นั่นเป็นเรื่องความรักเกี่ยวกับราคะและอำนาจของกิเลส ไม่ใช่พรหมวิหาร ๔ <DD> <DD>ที่เรามีความรักก็เพราะใจของเราเป็นคนใจดี มีความเมตตาปรานี มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าคนและสัตว์ หรือว่าคนทุกคนในโลก แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่เกิดมานี่ มีความรู้สึกเหมือนกัน รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกันหมด เรามีความรักสุขฉันใด เขามีความรักสุขฉันนั้น <DD>
    <DD>สำหรับ เมตตา ความรัก ต้องอยู่ในขอบเขตของความดี อย่ารักแบบโง่ ๆ ในคณะของเรานี่มีทั้งฆราวาสก็ดี พระก็ดี ที่มีเมตตาแบบโง่ ๆ นี่มีอยู่ ผมสลดใจมาก คือว่าบางทีเห็นพระบางองค์ เห็นฆราวาสบางคน พอฟังเสียงพูดในคำสงสัย ก็รู้สึกเสียดายแรงที่สั่งสอน เพราะอะไร เพราะว่าคนที่เขาได้ดีกันน่ะ เขาฟังแล้วก็คิด คิดแล้วจำ ไม่ใช่จะมาตั้งหน้าตั้งตาสงสัย ปัญญามี เพียงแค่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่รู้จักคิด นี่น่าเสียดาย สงสารองค์พระสมเด็จพระธรรมสามิสรที่ทรงทรมานพระกายมาถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป รวบรวมความดีมาเพื่อแจกจ่ายแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท แล้วผมเองก็เสียดายแรงงานของผมเหมือนกัน เพราะตัวผมเองไม่เคยจะได้เรียนแบบนี้ ฟังคำสอนจากอาจารย์นิดหนึ่งก็ไปปฏิบัติให้ได้ ถ้าไม่ได้ เกินวิสัย ก็มาถามหน่อยหนึ่ง แล้วก็กลับไปทำ ถ้าทำสิ่งนั้นยังไม่ได้จะไม่ยอมกลับมาหาครูบาอาจารย์ อย่างกับบรรดาท่านทั้งหลายที่สงสัยว่า จำภาพพระพุทธรูป ลืมตาแล้วก็หลับตานึกถึงภาพ ภาพมันเลือนไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ แค่นี้ก็ยังสงสัยกันว่าทำไมภาพนั้นจึงนึกเห็นไม่ชัด มันก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะถาม ถ้าใช้คำถามอย่างนี้ก็แสดงว่าเป็น บรมโง่ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กอมมือก็พอจะรู้ การจะจำภาพจะนึกถึงอะไรก็ตาม อยู่ ๆ จะให้อารมณ์มันแจ่มใสจำได้ถนัดไม่ได้ <DD>
    <DD>ถ้าฝึกฝนเรื่อยไป อารมณ์นั้นมันก็ปรากฏ วันเวลาตั้งแต่ตื่นอยู่ถึงหลับจงอย่าทิ้งอารมณ์นั้น ทำอารมณ์ให้มันชิน คิดถึงภาพนึกว่าในสมัยที่เราเคยรักใคร่ที่ซึ่งเป็นคู่รัก เวลาหลับตาก็เห็น ลืมตาก็นึกเห็นภาพ หรือว่าถ้าเรามีบ้านอยู่ เราจากบ้านไปไหน เวลานึกถึงบ้านขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็นึกเห็นภาพบ้านเมื่อนั้น จิตใจของเราไม่ลืมเลือน ไม่ปล่อยสติสตังให้มันพลั้งเผลอ นี่เขาทำกันอย่างนี้ มันเป็นของธรรมดา ๆ <DD>
    <DD>สำหรับด้านอารมณ์เมตตานี่ก็เหมือนกัน ให้ใช้ปัญญาพิจารณาหาความเป็นจริง ไอ้เรื่องเมตตานี่มีความสำคัญ ถ้าเมตตาแบบโง่ ๆ มันมีภัยแก่ตัวเอง อย่าลืมว่าคนที่เราจะต้องมีความเมตตานะ <DD>
    <DD>พระพุทธเจ้าแบ่งคนไว้เป็น ๔ จำพวก คือ
    ๑. อุคฆติตัญญู คนมีปัญญาดี
    ๒. วิปจิตัญญู ปัญญาต่ำมานิดหนึ่ง
    ๓. เนยยะ ท่านประเภทนี้พอสอนได้ แต่ต้องแนะนำบ่อย ๆ หน่อย นาน ๆ หน่อย อันนี้คน ๓ จำพวกนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ แต่พวก ปทปรมะ เอาดีไม่ได้ นี่องค์สมเด็จพระจอไตรเสด็จหลีก ไม่ทรงสั่งสอน จะถือว่าพระองค์ขาดเมตตาไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะสอนเขาเขาก็ไม่รับฟัง
    สำหรับพวกเราก็เหมือนกัน ถ้าจะแสดงเมตตาจิต ก็ดูเสียก่อนว่าคนประเภทนั้นเราควรจะเมตตาไหม ถ้าเห็นว่าแนะนำแล้วไม่ได้ผล ก็จงอย่าสงเคราะห์คนประเภทนั้น หลีกไปเสีย อย่างพระพุทธเจ้าทรงหลีก ตัวอย่างก็มี อุปกาชีวก เป็นต้น เขาพบองค์สมเด็จพระบรมสุคต ไม่เชื่อพระสัพพัญญู สมเด็จพระบรมครูก็ไม่ทรงสั่งสอน นี่ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ใครไปใครมาก็เมตตาเสียดะ เมตตาโง่ ๆ แบบนั้นน่ะจะสร้างความเดือดร้อน เหมือนกับเราจะให้ของเขาเขาไม่รับ ไปให้เขาทำไม ไม่ต้องไปอ้อนวอน ไม่ต้องไปแค่นเขาให้รับ

    และอีกประการหนึ่ง วัดเรากำหนดระเบียบวินัยเป็นของสำคัญ จงอย่าเมตตาคนเกินกว่าระเบียบวินัย ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามีพระมหากรุณาไม่มีขอบเขต แต่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็วางวินัยไว้ลงโทษพระลงโทษเณร ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าไม่มีระเบียบวินัย คนนั้นเราเมตตาไม่ได้ เพราะเป็นคนเลว พระพุทธเจ้าทรงวางวินัยไว้กี่พันข้อ ๒๒๗ ข้อนี่มันยังไม่หมด ยังมีส่วนอภิสมาจารบ้าง ยังมีส่วนธรรมะบ้าง ที่พระองค์ทรงห้าม นี่เป็นอันว่าพระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณก็จริงแหล่ แต่ทว่าทรงเลือกเอาแต่เฉพาะคนดีเท่านั้น ไม่ใช่เลวก็ทำ นี่เมตตาของเราเหมือนกัน ใครจะมาจากไหนก็ช่าง จะมียศฐาน์บรรดาศักดิ์ฐานะเช่นใดก็ช่าง ถ้าผิดระเบียบวินัย อันนี้เราจงถือว่านั่นเขาเป็นคนเลว ไม่ควรแก่การเมตตา จำไว้ให้ดีนะ

    <DD>แม้แต่พระก็เหมือนกัน พระที่บวชอยู่พรรษานี้นะบางองค์ก็ลืมตัวไปก็มี จงระวังให้ดีนะว่าเราเป็นพระ ถ้าหากว่าผิดพระธรรมวินัยเกินไป ผมก็จะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงขับพระวักกลิได้ฉันใด ผมก็จะขับทั้งพระทั้งคนที่ไม่รักระเบียบวินัยเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าเหมือนกัน <DD>
    <DD>นี่เป็นอันว่าเมตตาเราต้องมีขอบเขต คือ เมตตาเฉพาะคนดี ไม่ใช่ไปเมตตาคนเลว ไอ้คนเลวถ้าหากว่าจะดีได้เราเมตตาได้ ถ้าอย่างพวกเราที่อยู่ในที่นี้รับฟังกันอยู่ตลอดเวลายังเลวได้ละก็ ไม่ต้องเมตตาแล้ว คำสั่งคำเดียว คือ ไปจากที่นี่ แล้วก็ต้องไปทันที เพราะการที่จะติดตามคำสั่งสอนกันไม่มีแล้ว นี่เป็นอันว่าขอบเขตของการเมตตาปรานีนี่มีอยู่ ไม่ใช่สักแต่ว่าเมตตา ใครจะมาจากไหนก็ช่างในเมื่อเข้ามาในขอบเขตนี้จะต้องอยู่ในระเบียบทุกอิริยาบท จะถือว่าเป็นแขกมาไม่รู้ไม่ได้ ถ้าคนดีนี่เขาต้องเคารพในระเบียบวินัยของสถานที่ จะถือว่าอยู่ที่บ้านฉัน ฉันไม่ได้ทำอย่างนี้ ที่โน่นไม่ได้ทำอย่างนั้น นั่นมันที่อื่นไม่ใช่ที่นี่ ถ้าคนไม่รักระเบียบวินัยจงอย่าปรานี ช่วยกันจัดการไปให้พ้นทันที โดยไม่ต้องบอกผมก็ได้ แล้วคนประเภทนี้เป็นคนเลว <DD>
    <DD>และอีกประการหนึ่ง คนพูดมากปากพล่อยทำลายศรัทธาของคน พระก็มี คนก็เหมือนกัน มีบ้างไหมพระของเรา มีปากเลว ๆ ไม่ได้ใช้ปัญญา คือ พูดก่อนคิด ใครเขาทำอะไรผิด ใครเขาทำอะไรถูก ต้องคิดว่าถ้าเขาทำด้วยเจตนาดีอันนี้เราควรให้อภัย การพลั้งพลาดเป็นของธรรมดา การมีความรู้สึกให้อภัยซึ่งกันและกัน รู้สึกสงสารในการพลั้งพลาด ทั้ง ๆ ที่เขาทำด้วยเจตนาดี แต่ว่ามันผิดไปบ้าง อันนี้เราก็ต้องมีจิตให้อภัย อย่างดีที่สุดก็ควรจะปลอบกำลังใจว่าเราทำผิดไปแล้ว วันหน้าความดียังมีอยู่ เพราะเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เราก็ควรจะยับยั้งตนใช้ปัญญาเสียใหม่ สำหรับวันนี้เราก็คงจะได้กันแต่เพียงขอบเขตของการเมตตาเท่านั้น ความจริงแล้วละก็เรื่องเมตตานี่ไม่ต้องสอนกันก็ได้ แต่ว่าไม่สอนก็เห็นจะไม่ไหว เพราะว่าทั้งเก่าทั้งใหม่ มอง ๆ ดูแล้วบางท่านก็แสนดี แต่บางคนอยู่กับผมมาตั้ง ๑๐ ปี ก็ยังเอาดีไม่ได้ก็มี <DD>
    <DD>นี่คนประเภทนี้เขาเรียกว่า มนุสสเปโต คือ มนุษย์เปรต หรือ มนุสสติรัจฉาโน มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเดรัจฉาน เราจะสังเกตได้ว่าการเลี้ยงสัตว์ ถ้าคนใดคิดว่าหมาไม่จำเป็นต้องกินดี คนประเภทนี้ขาดความเมตตาปรานี อย่างนี้เรียกว่า มนุสสติรัจฉาโน แค่มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน หรือ มนุสสเปโต กายเป็นมนุษย์ใจเป็นเปรต หรือ มนุสสนิรยโก ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์นรก
    <DD>เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระโยคาวจรทั้งหลาย วันนี้เราก็ได้แต่ขอบเขตของความเมตตาเท่านั้น แต่ยังไม่หมด แต่เวลามันหมด ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงกำหนดใจตั้งอยู่ในความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำรวจศีลให้บริสุทธิ์ว่าตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเวลานี้เรามีความบกพร่องในศีลบ้างหรือเปล่า
    <DD>ประการที่ ๒ สำรวจกำลังใจของเรา ว่าเรามีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์หรือเปล่า
    <DD>ประการที่ ๓ นึกถึงความตายหรือเปล่า
    <DD>ประการที่ ๔ เห็นว่าโลกเป็นทุกข์ หาความสุขไม่ได้ ใจรักพระนิพพานหรือเปล่า ถ้าบกพร่องจุดใดจุดหนึ่ง รักษากำลังใจจุดนั้นให้สมบูรณ์ จะมีความสุข นั่นคือความเป็นอริยเจ้า <DD>
    <DD>ต่อไปนี้ขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะเห็นว่าเวลานั้นสมควรจะยกเลิก
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR align=right><TD>สวัสดี</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER>( จากเทปเรื่อง พรหมวิหาร ๔ ปี ๒๕๒๑ )
    ( ม้วน ๑ หน้า ก )
    </CENTER><DD><CENTER>ที่มา http://www.putthawutt.com/html/menu.html</CENTER></DD>
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. กุลภัสสฐ์

    กุลภัสสฐ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +44
    เข้าใจคำว่าหักดิบไหมคะ เคยผ่านการเสียใจตรงนั้นมาแล้ว ทุกอย่างอยู่ที่ใจ พลิกเอาความไม่ดีของเขามาเป็นคำถามซิว่าในเมื่อไม่ดีจะยึดติดทำไมทำใจได้ก็จะคิดถึงน้อยลงเรื่อยๆ และเก็บช่วงเวลาที่ดีไว้เป็นประสบการณ์
     
  17. dodoman

    dodoman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +19
    เป็นกำลังใจนะคะ "เวลา จะ ช่วยให้คุณดีขึ้น" สู้ๆๆ คะ ^__^
     
  18. พงษ์ศักดิ์

    พงษ์ศักดิ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +65
    จำ ความ เจบ ปวด ไว้ เพื่อ ไม่ ไป รัก ใคร อีก ดี กว่า คับ

    มอง ทุกคน เปน เพื่อน มี เมตตา ต่อ กัน อันนี้ อยู่ได้ นาน กว่า คับ
     
  19. Jitwang

    Jitwang สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ยากมากมายที่จะลืมใครสักคน กับอดีตที่ผ่านมา
    รู้ทั้งรู้ว่ามันทุกข์ และเจ็บ แต่เราก็ยังเก็บมันไว้ในใจ ทุกครั้งที่คิดถึงแม้จะเจ็บ แต่ก็ยังมีความสุขปนอยู่ด้วยเสมอที่คิดถึงเขา นี่แหละ คือเหตุผลที่เราไม่ยอมลืม และวางมันได้เสียที ดังนั้นจึงต้องทนทุกข์ไปพร้อม ๆ กับแฝงความสุขเล็ก ๆ เอาไว้เสมอ ลองไตรตรองดูนะคะว่าใช่อย่างนี้หรือเปล่า แล้วก็จะได้คำตอบว่า ทำไมไม่ลืมเสียที

    ของคุณเป็นเรื่องของคนรักที่จากไป แต่ของฉันเป็นคนรักของสามีที่จากเราไป ฟังแล้วงง ๆ ใช่ป่ะ นอกจากเราไม่โกรธ แค้นที่เขาเข้ามาเป็นคนที่สองของสามี แต่เรายังเป็นคนไปสู่ขอแต่งเขาเข้ามาในบ้าน ด้วยความที่รักครอบครัว ไม่อยากให้ครอบครัวและลูก มีปัญหา เมื่อเขาต้องการเราก็ทำให้ได้ แต่สุดท้ายเธอก็จากไป พร้อมกับทิ้งความห่วงใยไว้ให้เราต้องคิดถึงเขา และลูกของเขา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขามีคนใหม่แล้ว ถึงตอนนี้ยังคิดถึง และเป็นห่วงพวกเขาอยู่เลย พยายามลืมก็ยังลืมสองแม่ลูกนั่นไม่ได้สักที เช่นกัน
     
  20. jomjamp

    jomjamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    767
    ค่าพลัง:
    +1,810
    ไม่มีรัก ก็ไม่มี ทุกข์ กินดีกว่า จุกอย่างเดียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...