น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
เก่งแต่ลอกเค้ามาเนอะ แยกแยะอะไรยังไม่ได้เลย
อยากถามเรื่ององค์ครับ
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย TonZ_39, 4 มกราคม 2008.
หน้า 2 ของ 3
-
สำหรับคนที่สัมผัสไม่ได้ก็ควรจะอยู่เฉย ๆ นะครับ เพราะเนื่องจากเป็นผู้ที่ไม่สามารถสัมผัสสิ่งใด ๆ ได้เลยแม้ธรรมที่มีอยู่นั้นจะมีมากหรือน้อย
...ส่วนผู้ที่มีองค์และสัมผัสได้และเข้าใจดี ผมคิดว่ามีหลายบุคคลที่เข้าใจคุณครับ สิ่งที่คุณมีนั้นจงภูมิใจเถิดว่า น้อยคนนักที่จะมีได้ เช่นเดียวกับผมนั่นแหละ ไม่ว่า หมอดูผู้มีองค์ ร่างทรง และ พระเกจิ ล้วนเป็นผู้ยืนยันคำตอบแก่ผมเองแล้ว...ไม่ว่าใครจะพยายามคิดทฤษฎีใด ๆ มาทำให้เราคิดว่าเราต่ำลงหรือดูถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นองค์ครูประจำตัวที่เรามีอยู่นั้น
ให้ต่ำลง ก็จงอย่ามีโทสะใด ๆ เลย เพราะสิ่งที่คุณได้มาน่ะ มันมากกว่า และยังมี
ต่อไปอีกเรื่อย ๆ มีใช่หรือ??? จริงมั้ย ลองขอท่านดูหรือยังล่ะ...จริงอยู่เป็นเพราะกรรมหรือสัญญาบารมีที่มีอยู่กันตั้งแต่อดีต
ชาติแต่จงภูมิใจเถิดว่าคือกรรมดี....ฟันธงว่า มี ย่อม ดีกว่าไม่มีครับ ....เพราะพวกที่ไม่มีแต่พยายามยังไงก็มีไม่ได้จนต้องใช้ทฤษฎีที่พยายามทำให้สิ่ง
ที่ตัวเองเป็นอยู่ดูดีขึ้นมา........สู้ในหนทางที่คุณได้เลือกแล้วต่อไปเถอะครับ ไม่ว่าจะนับถือองค์ใด แต่ทุกองค์ล้วนมีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุดทุกพระองค์อยู่แล้ว
ไม่ต้องกลัวหรอกครับ -
มีองค์ แล้วดับทุกข์ได้ไหมหน๊อ สงสัยจังหว่า...?
-
ที่อินเดียเขามีองค์กันเยอะแยะนะ
แต่ศาสนาพุทธนะ หายไปช่วงหนึ่งได้
ตอนนี้เหลือเป็นหย่อมๆ
แปลก.....
ที่จีนนี้องค์ยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่
แต่ไม่ค่อยใครเรียกพระนามของพระพุทธองค์อย่างอุโฆษณ์
เหมือนชื่อองค์อื่นๆเลย บางทีชื่ออรหันต์ได้ยินบ่อยกว่าอีก -
การมีองค์ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตั้งใจจะมีขึ้นมา เช่นเดียวกับทุกข์ มนุษย์เราในยุคนี้นั้นกิเลสหนา การที่เราจะสามารถดับทุกข์ได้
ทั้งหมดนั้น เป็นไปได้ยากยิ่ง อย่างคุณ ๆ และผม ยิ่งห่าง
ไกลจากสมณะเพศนักบวชแล้ว ยากยิ่ง ทำได้อย่างมากก็แค่ให้มัน
ความทุกข์นั้นมันลดน้อยลง หรือ ไม่ทำให้บาปนั้นเกิดขึ้นอีก
พระบางองค์ปฏบัติดี มีบารมีสูง แต่ก็ยังมีทุกข์อยู่...เป็นเพราะ
กรรมเก่าที่พวกเรานั้นมีอยู่ ไม่เท่ากัน...ถ้าเท่ากัน คงเกิดมา
มี หน้าตา รูปร่าง อายุขัย ทรัพย์สิน ที่เท่ากันหมดไปแล้ว...
ในใจของกระผม อย่างมากสุดที่จะทำได้ หรือเดินตามรอยพระ
พุทธองค์ได้นั้นคงมีแค่การ ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะความ
เป็นผู้ที่มี บิดา มารดา ครูอาจารย์ ลูก ภรรยา ....ซึ่งจะต้องทำ
หน้าที่สงเคราะห์พวกเค้าให้อยู่รอดปลอดภัยดำเนินไปในวิถีทาง
ที่ถูกต้องและอยู่กันอย่างสุขสบาย ในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือผู้
อื่นเท่าที่จะทำได้ และ ทำจิตของตัวเองให้คิดดีขึ้นกว่าเก่าไป
เรื่อย ๆ แล้วก็รอวันที่เป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิตผมเอง เพื่อที่
จะเกิดมาชดใช้กรรมต่อไปให้หมดและเดินไปตามวิถีแห่งกรรมต่อไป
เฉกเช่นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสมนโคดมพุทธเจ้า ปางก่อน
ท่านเคยเป็นลูกที่ทุบตีพ่อแม่ถึงจะมีกรรมดีมากในชาติต่อมาจน
ได้เป็นพระอัครสาวก และท่านก็รู้ดี ถึงวาระที่ท่านต้องนิพพานจากน้ำ
มีผู้ที่จะมาทำร้ายท่านโดยไม่ใช้ฤทธิ์เดชทำร้ายคนเหล่านั้นหรือเหาะหนี
เป็นอย่างใด นั่นก็คือกรรมที่ตามมาทันและตัดสินใจให้มันจบไปในชาติ
นี้เช่นเดียวกัน....บุคคลใดต้องการถึงขนาดต้องมีอะไรสูงส่งหรืออะไร
ก็ตามแต่...แต่ผมคิดว่าบางคนอาจจะคิดเหมือนผมว่า ไม่ต้องถึงขั้น
พรหม อรหันต์ พระโพธิสัตย์ หรือ พระพุทธเจ้า ....เพียงแต่เดินไปตาม
รอยของท่านจนถึงขั้นที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ไร้ซึ่งกรรมจากชาติปางก่อน
อีกรอบก็คงเพียงพอแล้ว เพราะส่วนมากแต่ละคนที่เกิดเป็นมนุษย์ในที่นี้
นั้น ติดลบกันมาด้วยกรรมทั้งนั้น ไม่ว่าชาติที่แล้ว จะเป็น เทวดา เทพ หรือ
มนุษย์มา.........จริงมั้ย??? -
เรื่องของกรรมเก่า ผูกพันโยงใย จนแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นอันไหน ทุกคนเกิดมาก็มีกรรมติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น กรรมจากอดีตชาติที่ผ่านมาแล้วนับไม่ถ้วน จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเราจะใช้กรรมเก่าได้หมดในชาติเดียว มิหนำซ้ำ เรายังสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก ทำให้ต้องเกิดอีก แล้วตายอีก แล้วเกิดอีก นานแสนนาน จนประมาณมิได้ แล้วถามว่า จะต้องเวียนว่ายตายเกิดแบบนี้ต่อไป อีกนานแค่ไหน คำตอบคือ จนกว่าจะได้พบพระพุทธศาสนาแบบเดียวกันนี้อีก แล้วมีใจศรัทธา รักการปฏิบัติ จนกระทั้งถึงซึ่ง มรรค ผล นิพพาน แล้ววงจรอุบาทว์นี้ ก็จะจบสิ้นกันเสียที
แต่หากมนุษย์ผู้ประเสริฐ ได้เกิดมาแล้ว พบพุทธศาสนาแล้ว แต่กลับคิดว่า มรรค ผล นิพพาน เป็นเรื่องเกินวิสัย ขอเป็นคนดี สร้างบุญ สร้างกุศล ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็เป็นพอ หากคิดได้แค่นี้แล้ว เมื่อตายไป ก็นับว่าเสียชาติเกิดเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า จะได้พบพุทธศาสนาแบบนี้อีกครั้งเมื่อไหร่ ต้องเวียนว่ายตายเกิดในทะเลทุกข์เช่นนี้อีกนานแค่ไหน และถ้าหวังจะไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ ก็บอกได้เลยว่า คงเป็นได้แค่ความฝัน เพราะศาสนาของพระสมณโคดม ยังหลงกันได้ขนาดนี้ แล้วกว่าจะถึงศาสนาของพระศรีอารย์ จะยิ่งหลงกันไปถึงขนาดไหน ถ้าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา ก็หมดสิทธิ์ ต้องรอไปอีกชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ไม่เหนื่อยกันบ้างกระนั้นหรือ
ดังนั้น หากผู้ใดมองเห็นความสำคัญของการหยุดกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดหรือวงจรอุบาทว์นี้แล้ว นับว่าประเสริฐแท้ แล้วสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ สรรเสริญ ความรัก หรือแม้แต่เรื่อง อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ทรงเจ้า เข้าผี ก็จะหมดความหมายไปในพริบตา
"สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ขอให้ท่านทั้งหลาย จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด..." -
พระสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง เล่าถึงฆารวาสผู้หนึ่ง
แกมีลูกมีเมีย แต่ก็ภาวนา วิปัสสนาไปเรื่อยๆ อย่างจริงจัง
จนพละ 5 นั้นถือว่าสมบูรณ์ แต่ด้วยเพศฆาราวาสแกจึง
ใช้ชีวิตไปตามหน้าที่อันดี ซึ่งไม่ต่างจากที่คุณ imfd ปรารภ
แต่ครั้นเมื่อแก่ป่วยหนัก ใกล้จะผ่านภพเต็มที พระสงฆ์ท่าน
ก็ไปเยี่ยม ซึ่งก็เป็นตอนที่แกจะสิ้นลม พระสงฆ์ท่านกำหนดจิต
ดูจิตของฆาราวาสคนนั้น ก็พบว่า แกได้ตัดสังโยชน์อีก 3 รอบ
บรรลุอรหันต์ไปในคราวเดียว เหตุเพราะปัจจัยที่เพียรมานั้นเป็นพละบาท
ให้พร้อมอยู่แล้ว แต่เมื่อฐานะความเป็นฆาราวาสสิ้นลง สิ่งร้อยรัด
ต่างๆก็ถูกวางไม่จับมาอีก แกจึงสำเร็จจบสิ้นพรหมจรรย์ได้ และเมื่อ
นำศพแกไปฌาปนกิจ ก็พบว่ากระดูกแกก็เป็นพระธาตุ
นี้ก็เป็นอุธาหรณ์ที่ขอชี้ว่า ฆารวาสมีฐานะบรรลุได้ หากแต่ไม่ใช่ในเพศ
ฆาราวาสนั้นสมเหตุสมผล แต่เมื่อจะสิ้นภพแล้ว ฐานะไม่มีอีก เมื่อนั้นก็
มีเวลาพอที่จะพิจารณา
เป็นฆราวาสบรรลุอรหันต์แล้วจะต้องตายก็ไม่ใช่ คนละกรรม คนละเวลา
ในพุทธประวัติถ้าอ่านไม่ดี จะคิดว่า ฆราวาสฝึกแล้วต้องตาย ไม่ใช่เลย
สาวกฝึกแล้วก็ต้องตายเหมือนกัน เหตุนั้นไม่ใช่เพราะการฝึก
แต่เป็นเพราะกรรมเก่าต่างหาก แต่ฆราวาสที่ฝึกแล้วจะอยู่ในฐานะ
พอที่จะใช้โอกาสเล็กน้อยๆ ตัดเข้าสู่การสิ้นภพสิ้นชาติได้ -
การเกิดเป็นมนุษย์ จะติดลบหรือติดบวก คงกล่าวไม่ได้ แต่หากไม่มีทั้งลบทั้งบวก การเกิดก็ไม่มีอีกต่อไป... -
ยังไงก็มาโปรดสัตย์ผมด้วยละกันนะครับ ถ้าท่านผู้ปฏิบัติดีทั้งหลายถึงนิพพานแล้วจริง ผู้ที่จะสอนผู้อื่นได้ย่อมคือผู้ที่ถึงจุดนั้นแล้วจริง
ไงก็ลองพิจราณาตนดูกันนะครับ ถ้าโอเค ผมยิน
ดีต้อนรับเสมอ -
ต่างกรรมต่างวาระ ต่างเหตุผล แต่เส้นทางเดียวกัน แม้อาจจะไกลหรือใกล้ไม่เท่ากัน
-
คุณ imfd คงมีอะไรดีกว่าเรา
เราคงพร่องอยู่ จึงไม่เท่า -
สัตว์ไม่ฟัง ก็โปรดไม่ได้ แม่เหล็กต่างขั่วกัน ก็มีแต่ผลักกัน
แพทย์ที่ยังป่วยอยู่ ก็ยังสามารถรักษาคนไข้ให้หายได้
ฉันใด ก็ฉันนั้น -
imfd อยากจะให้สอนก็ถามมาสิ จะสอนให้
-
สิ่งที่ท่านถือคงสูงกว่าสิ่งที่เราถือ
สิ่งที่ท่านถือคงคือองค์ที่สูงยิ่ง
สิ่งที่เราถือนั้นคือนิพพาน
คนถือนิพพาน ถ้า ถือได้จริงแล้วแปลก
จะวางก็วางไม่ได้ ยิ่งวางนิพพานก็ยิ่งถือ
แปลกไหม อย่าแปลกเลยนะสำหรับคนที่ถือ หรือคิดจะถือ
ก็เหมือนที่พระองค์ท่านกล่าวไว้นั้นแหละ
ตกกระแสนิพพานแล้ว จะไม่ออกไปนอกข่ายอีก -
-
ดีจังครับที่มีบัณฑิตมาเสวนาด้วย ต้องออกตัวก่อนนะครับว่า
การกล่าววาทะนั้น เราย่อมกล่าวไปในทิศที่ยกศรัทธาของตนเป็นหลัก
ดังนั้น การแสดงความเห็นย้อมโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่ง เท่าที่จะ
เราจะคิดรอบครอบได้ ถ้ารู้สึกว่าล่วงเกิน เกินไปตอนไหนก็ต่อว่าได้เลยครับ
ขั้นแรก เรารู้กันดีกันอยู่แล้วว่า จีน นั้นเคารพพระพุทธะหลายองค์ บางองค์ก็เป็น
แค่โพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ในการอนาคต ซึ่งจะไปต่อว่าก็ไม่ได้
ในทางพุทธเถรวาทเอง ก็ในพระไตรปิฏกเองที่กล่าวถึงพระพุทธะมากมาย
ทั้งในกาลอดีต และกาลอนาคต แม้พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวประกาศว่า
ศาสนาพุทธนั้นผูกขาดโดยพระพุทธองค์เพียงพระองค์เดียว แต่เถรวาทนั้น
ย่อมเล็งเห็นว่าใครเป็นคนกล่าวสอนธรรมนั้นให้ปรากฏ
แน่นอนครับ คือพระสมณโคดม เป็นผู้กล่าววาทะ ดังนั้น เราจึงเคารพท่าน
เป็นครู เป็นประธาน และย่อมอยู่ในกาลสมัยนี้ จนกว่าจะพ้นยุคประวัติศาสตร์นี้
คำสอนของพระโพธิสัตว์ที่เป็นที่เคารพของจีนนั้นก็มีปรากฏ แต่ในตำรานั้นก็ใส่
บริบทชัดเจนในการเคารพประธาน คือ เป็นการแสดงโดยพุทธานุญาต ไม่ใช่
จะแสดงกันโดยไม่เคารพประธาน แต่ วินัยในการเคารพประธานนั้น มายุคหลัง
ได้หายไป เหตุเพราะเกิดสิ่งเคารพมากขึ้น จนบางองค์ไม่สามารถหาความสัมพันธ์
เกี่ยวโยงกับพระสมณะโคดมได้อีก การเคารพประธานจึงขาดสิ้น จำต้องกล่าวยก
พระพุทธะอื่นๆ ที่นอกเหนือพระสมณะโคดมขึ้นเป็นจ้าวเสมอเหมือน หรืออาจจะมากกว่าไป
ถามว่าผิดอะไรไหม
แน่นอนในระดับศีลถือว่าไม่ผิด ล้วนเป็นไปเพื่อศีล
แต่ในระดับธรรมนั้น ท่านช่วยยกข้อพิจารณาให้เราได้ทราบว่า
ทางข่ายทิฏฐินั้นมุ่งเน้นให้สัตว์เข้านิพพานได้อย่างไร โดยยก
วิธีที่สั้นที่สุดที่จะทำให้เข้านิพพานได้ วิธีอย่างกลาง และอย่างเนิ่นนานนั้น
เป็นที่เห็นกันอยู่แล้วใน คาถามนตราต่างๆ -
ทำไมผมไม่รู้เรื่องไรเลย ยิ่งอ่านก็งงไปเรื่อยๆ ไอ้นั่นบ้าง ไอ้นี่บ้าง มึนส์(เติม S)พะยะค่ะ แต่ที่ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้ศึกษาจากตำราครับ แต่ศึกษาจากธรรมชาติเลยไม่มีข้อมูลพวกนี้ พี่ๆโพสกันดีจังไม่ต้องไปหาตำราอ่าน แต่ยังไงก็อธิบายละเอียดหน่อยนะ "ผู้เบิกบานดั่งดอกบัว จงทำตัวให้เหมือนเทียนส่องทางสว่างแจ้ง"(เหอๆๆ คิดเอง ฉดๆ นะเนี่ย)
-
ลีลาการนำเสนอข้อมูล หลักการ และหลักธรรม ของบางท่าน มักมีนัยแฝงอยู่ หากเขียนละเอียดเกินไป ความสวยงามของภาษา และความดูมีคุณค่า อาจลดลงไป แต่หากเขียนลึกซึ้งเกินไป ผู้อ่านที่พอเข้าใจ ก็ต้องมีพื้นความรู้ไม่น้อยเช่นกัน...
-
ทฤษฎี ปฏิบัติ จนเกิดผลจาก ปัญญา ความเพียร และผลกรรมที่แตกต่าง
ไม่งั้นคงจะมีหลักความคิดเดียว ศาสนาเดียว และลัทธิเดียว แค่ในปัจจุบัน
ถ้ามันใจแล้วว่าลัทธิใดเป็นที่สุดของวิถีทางตนเอง จะเปลี่ยนแปลงเพราะความ
ต่างซึ่งหาตัววัดมิได้ ไปใย...หากแต่ฟังเขาเล่ามา ย่อมไม่เกิดประโยชน์หากจะ
เปลี่ยนแปลงในทันที...จะดีก็ต่อเมื่อนำมาพิจารณาเพื่อลองปฏิบัติและเปรียบ
เทียบกัน -
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะ ว่าเรามีหรือป่าวน่ะค่ะ
เพราะมี คนเคยทักว่ามี (หลายคนแล้ว) แต่ไม่ได้อธิบายอะไรค่ะ
ก้อเลยไม่รู้ว่ามีองค์ไหนค่ะ
ช่วยแนะนำเพิ่มเติมได้มั๊ยคะ
หน้า 2 ของ 3