....พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา อันเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป้นไปเพื่อ สติสัมปชัญญะ นั้นเป้นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ เวทนาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไป ก็เป้นที่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ สัญญาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไป ก็เป้นที่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ วิตกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็เป็นที่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ สมาธิภาวนา อันเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ สติสัมปชัญญะ-----จตุกก.อํ.21/58/41:cool:....สำคัญที่อะไรเจ่ก...อยู่ที่การรู้
อยากบรรลุธรรมเข้ามา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 13 ธันวาคม 2012.
หน้า 27 ของ 59
-
พระวจนะ" อานนท์ ข้อนั้นเป้นอย่างที่เธอกล่าว อานนท์ข้อนั้นเป้นอย่างที่เธอกล่าว อานนท์ ภิกษุหรือ ภิกษุณีรูปใด มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติ ปัฎฐานทั้งสี้่อยู่ ข้อที่ภิกษุหรือภิกษุณีนั้น จะพึงหวังได้ก็คือ จักบรรลุคุณอันวิเศษโอฬารยิ่งกว่าที่บรรลุอยู่ก่อน สติปัฎฐานสี่อย่าง อย่างไรเล่า สี่อย่างคือ....อานนท์ในกรณีนี้ ภิกษุเป็นผู้ปรกติตามเห็นกายในกาย มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกซึ่งอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อเธอนั้นตามเห็นกายในกายอยู่ ความเร่าร้อนมีอารมณ์ทางกายเกิดขึ้นในกายก็ดี ความหดหู่แห่งจิตเกิดขึ้นก็ดี จิตฟุ้งไปในภายนอกก้ดี อานนท์ภิกษุนั้น พึงตั้งจิตไว้ในนิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเธอนั้นตั้งจิตไว้ในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ปราโมทย์ย่อมเกิด ปิติย่อมเกิดแก่ผู้มีจิตปราโมทย์ กายของผู้มีใจปิติ ย่อมระงับ ผู้มีกายระงับย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น....ภิกษุนั้น ย่อมพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า เราตั้งจิตไว้เพื่อประโยชน์ใด ประโยชนืนั้นสำเร็จแก่เรา ถ้ากระไร บัดนี้เราจะเพิกถอน ดังนี้ ภิกษุนั้นจึงเพิกถอน คือไม่กระทำซึ่งวิตก ไม่กระทำซึ่งวิจาร รู้ชัดว่า บัดนี้ เราเป็นผู้ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีสติเป็นสุขอยู่ในภายในดังนี้(ในกรณีแห่ง เวทนา จิตก็ดี ธรรมก็ดี ก็มีข้อความตรัสอย่างเดียวกัน) อานนท์อย่างนี้แล ชื่อว่า ภาวนา ย่อมมีด้วยการดำรงจิตไว้---มหาวาร.สํ.19/207-208/716-718...(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
-
การเข้าถึงสภาวะไร้ความปรุงแต่งใด ๆ ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่า เราจะพ้นจากอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นไปได้หรอก ตรงกันข้าม หากเดิมเคยยึดฝั่งหนึ่ง แล้วไปเห็นอีกฝั่งหนึ่งแปลกกว่าก็เลยเลิก ไปยึดอีกฝั่งแทน อย่างนี้ก็ถือว่าไม่ต่าง คือยังยึดอยู่ดี มันก็แค่นั้นเอง ไม่ได้พ้นจากความยึดมั่นถือมั่นอย่างแท้จริง
ตราบใดที่ปัญญามันยังรู้ไม่รอบพอ เราก็ยังคงจะโดนความเคยชิน อุปาทานมันหลอกให้รู้ยาว ๆ อยู่ร่ำไป ผมว่า เราหมั่นฝึกสติไปเรื่อย ๆ นั่นแหละดีที่สุด อะไรที่มันหวือหวาขึ้นมา เราก็ฝึกรู้ให้ทันมัน รู้ขณะจิตไปเรื่อย ๆ อีกหน่อยก็เบื่อเองแหละครับ :D -
ต้องปล่อยให้ บรรลุ ด้วยอาการแบบนั้น สัก 5 6 7 8 9 10 หน
หรือไม่แน่ก็อาจจะ 100 หน
ก็อาจจะเอะใจว่า เอ.............................................
แต่โดยสถิติ เท่าที่เห็น จะไม่ เอ...............
แต่จะผลิกเป็น แบบนักเลงภาวนาซอยเรวดี เยื้อง กระทรวงสาธารณสุข นิดหน่อย
คือ ไปโน้นเลย บอกว่า เป็น อวตารของ อรหัม ที่จุดติด หรือ บรรลุแล้วบรรลุอีก
เกิดแล้ว ตายอีก ได้ไม่จำกัด เพราะ เป็น โบ๋ธิวิสัย( Bothi Capacity )
**********************************
ทีนี้ หากบรรลุแล้วบรรลุอีกเนี่ยะ คือ ทำซ้ำแบบนั้นให้ได้อีกเนี่ยะ ยังไงก็มีผลดี
เพราะว่า หากมันไม่จริง มันก็ต้อง ทะลุ แนวรับที่ 4 จุดแน่ๆ
เมื่อเลยระดับ เพดานไปแล้ว นักลงทุนไม่ได้ โกหกหน้าเป็นเอาไว้มาก มันจะไม่
เสียหัว เสียกระบาน อายแม้กระทั่งตัวเอง เกินไปนัก
ก็ขอแนะนำว่า ให้เจอสภาวะแบบนั้น ซ้ำต่อไปอีก เป็น 5 6 7 8 .... 8 เนี่ยะ
จะต้องตำราพระวัลกลิ
ดังนั้น ต้องไม่ลืมหลักสำคัญเท่านั้นเองว่า " พุทธบุตรของพระพุทธองค์มีปรกติ
ตัดรากคือตัณหา "
แต่เกรงว่า ทุกวันนี้ จะ อ้างเอาสุขจาก ทาน จาก ศีล เพราะ กริ่งเกรงว่าจะ
เจอหนที่ 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ก็เลย ยึด ทาน ศีล ศรัทธา
แบบดื้อตาใส อะจิ................หากทำเพื่ออาศัยระลึก ตามรู้ตามดู ก็ไม่มีอะไร
แต่หาก ทำเพื่อยึดสุขจากทาน ศีล ศรัทธา ละก้อ ......... ก็ว่ากันไป -
เพราะเกรงว่าผู้ปฏิบัติใหม่อาจสับสนได้
จึงได้พูดเพียงเท่านี้
ความจริงแล้ว
การทำสมาธิจะทำให้จิตมีความสงบได้ก็ต้องมีสติ
การทำสมาธิ ก็คือการเจริญสติไปด้วย
เมื่อออกจากสมาธิ ก็ต้องเจริญสติไปด้วยเช่นกัน
ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า
"สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา.
สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง" -
^แล้วสองย่อนี่พูดหมดยังครับพี่เตช
-
ถ้าควรพูดจะพูดอีก -
หลวงพ่อพุธแปลกใจ จึงถามว่า “จิตมันฟุ้งซ่านหรือไงอาจารย์”
หลวงปู่เสาร์ตอบสั้น ๆ ว่า “ ถ้าให้มันหยุดนิ่งมันก็ไม่ก้าวหน้า”
หลวงพ่อพุธเล่าว่า กว่าจะเข้าใจความหมายของท่านก็ใช้เวลาหลายปี กล่าวคือท่านหมายความว่า เวลาปฏิบัติถ้าจิตมันหยุดนิ่งก็ปล่อยให้มันหยุดนิ่งไป อย่าไปรบกวนมัน ถ้ามันจะคิดก็ให้มันคิดไป เราเอาสติตัวเดียวเป็นตัวตั้งตัวตี -
(||)(||)(||)(||)(||)(||) -
-
-
ไม่ว่ามันจะมากหรือน้อย ในขณะที่จิตที่เกิดเมตตาไปในเรื่องทานฯก็ไม่หวังว่าสิ่งนั้นจะมีอานิสงค์มากหรือน้อยก้ยินดีที่จะทำเพราะปัญญารู้ว่า สัพเพธรรมาอนัตตา ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าสิ่งนั้นมากน้อย ส่วนเรื่องทานที่มีอนิสงคืมากผู้มีปัญญาก็ไม่เคยขาดการทำอยู่แล้ว ขอย้ำผู้มีปัญญารู้ว่าอะไรมีผลมากน้อยแต่ก็ทำโดยไม่หวังในอานิสงค์ -
แต่การอธิบายท่านอาจจะไม่เข้าใจหรืออาจจะไม่ตรงตามที่อ่านมาก็แล้วแต่นะเพราะการเรียนกับการเข้าถึงนั้นมันอาจจะมีอะไรที่แตกต่างบ้างในขั้นการอธิบาย แต่สิ่งที่ประจักษ์นั้นต้องทำลายการเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นตัวเป็นตนได้หมดสิ้น -
-
^-^เราไม่เห็นการยึดเลย :'(
-
คุณ newamazing มีความเห็นอย่างไรในสังโยชน์ 10 ครับ
-
-
ผู้มีปัญญาแท้จริง จะเห็นว่าทุกอย่างมันไม่มีผลอะไรโดยสิ้นเชิงอีกแล้ว ต่างหากเล่า
อันนี้พูดแบบมีหูไว้คั่นหัวมากๆ เลย
เวลาสาธุชนเขาแสดงธรรมกัน เขาก็แสดงเพื่อบอกการเข้าถึงให้ผู้อื่นทั้งนั้นแหละคร้าบ นี่แหละเรียกว่าการแสดงธรรม
ไอ้แบบการแบ๊ะๆๆๆ ไปเรื่อยๆ แต่คนมาฟังบอกว่า ไม่เข้าใจ ไม่เห็นจะทำให้ไปถึงได้เลย อันนี้มันเข้ามาอวดอัตตาคร้าบท่าน
อย่าลืมนะครับ หลวงปู่ หลวงพ่อ พระอริยเจ้าทั้งหลาย เวลาท่านพูด ท่านก็แค่ชี้ทางให้คนปฏิบัติเท่านั้นแหละนะ
พูดประโยคนี้ออกมาได้ น่าสงสัยว่ากระบวนการคิด มีปัญหาหรือเปล่านะคร้าบ -
-
มีข้อข้องใจในโพสต์ของผมตรงไหนก็ว่ามา
หน้า 27 ของ 59