อ้าว...ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า
คำพูดของหลวงพ่อที่วัดนาป่าพง
ก็ไม่สามารถทำให้ มนุษย์ เทวดา พรหมฯ บรรลุธรรม ได้น่ะสิ
ถ้าอย่างนั้นที่หลวงพ่อวัดนาป่าพง
พูดว่าให้ยึดถือแต่พุทธวจนะ
ไม่ต้องยึดถือคำของสาวก
ก็ไม่สามารถทำให้ มนุษย์ เทวดา พรหมฯ บรรลุธรรม ได้น่ะสิ
อย่าเลยพระพุทธเจ้า อย่าเลยครูอาจารย์
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปุณฑ์, 28 มีนาคม 2013.
หน้า 23 ของ 38
-
-
คุณจะคิดอะไรมันก็เรื่องของคุณสิครับ -
เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆเลยนะ
-
-
หรือท่านใดคิดว่ามีส่วนไหนบกพร่องลืมแสดงไว้ครับ -
-
-
เอาคำสอน 2500 ปี ของผู้บรรลุธรรมแล้ว มาแปลให้เข้ากับ ยุคสมัยตนเอง ตัวเองไร้สมาธิ-ในขั้นภาวนามัยปัญญา ในขั้นทำจิต ให้เกิดปัญญาที่สามารถเข้าใจ พุทธพจน์และ ดับกิเลสได้ อย่างสิ้นเชิงที่จะพิสูจน์..
..จึงปฏิเสธ นรก-สวรรค์..ที่สำคัญ หากจิตใจซื่อตรงกับตนเอง ซื่อตรงกับพุทธพจน์ ..แล้วมาเปิดรับเงินบริจาค..ทำไม
:'(สร้างสถาบันพุทธพจน์ เสร็จ สร้างอาคาร ติดแอร์ เงินบำรุงรักษา ตั้งมูลนิธิ ใครเป็นผู้สั่งจ่ายเงินล่ะถ้าไม่ใช่ฉัน ..กินยาวเลย..
:mad:หากมีใครบริจาคที่ดินอาจไม่รับ จะรับเป็น..ตัวเงิน-เช็คเงินสด ..ใบหุ้นเอาไหม..ใช่ไหม
:cool:..แต่แรก เจตนาแรก..ที่บวชนี่ ตั้งใจจะมาแก้พุทธพจน์หรือตั้งใจมาตั้งมูลนิธิ..หรือเพิ่งมาเรียนแบบสหธรรมมิก ที่ร่ำรวยเป็นรายๆไปเพราะขาย..บุญ
..เจตนา แต่แรกจะเข้ามาหาทาง..พ้นทุกข์..ไม่ใช่เรอะ..ปฏิบัติตนเองไปถึงไหนแล้วล่ะ..เลี้ยวขวาเข้าหางูเห่าแล้วรึ..อิอิ -
-
ในแวดวงนักปฏิบัติจริงเขาเรียกอาการประเภทนี้ว่า..ตกฌาน-ตกสมาธิ..จะแว้งเข้าหางูเห่าแล้ว.. มันมองกันออกน่า อิอิ:boo: -
-
บทว่า อุคฺคเหตพฺพํ ปริยาปุณฺตพฺพํ ได้แก่ ที่จะพึงถือเอาด้วย ที่จะพึงเล่าเรียนด้วย.
บทว่า กวิกตา ได้แก่ ที่กวีแต่ง.
บทว่า กาเวยฺยา นอกนี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า กวิกตา. นั้นเอง.
บทว่า จิตฺตกฺขรา แปลว่ามีอักษรวิจิตร.
บทว่า จิตฺตพฺยญฺชนา นอกนี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า จิตฺตกฺขรา นั้นเหมือนกัน.
บทว่า พาหิรกา ได้แก่ เป็นสุตตันตะนอกพระศาสนา.
บทว่า สาวกภาสิตา ได้แก่ ที่พวกสาวกของพาหิรก-ศาสดาเหล่านั้นกล่าวไว้.
ก็คือคำว่า ... พาหิรกา สาวกภาสิตา ...
ถึงจะเป็นอรรถกถาคนละสูตร แต่มาจากช่วงคำกล่าว บาลี เหมือนกัน
http://palungjit.org/tripitaka/default.php?cat=3300167 -
ถึงเป็นผู้สนใจคำพระศาสดา
แต่สนใจในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ โลกุตตรธรรม สุญญตธรรม ย่อมได้ประโยชน์น้อย..
หากเป็นผู้สนใจพระวจนะในส่วนโลกุตตรธรรม สุญญตธรรม ..
ย่อมเป็นผู้สนใจคำครูในส่วนที่เกี่ยวกับ โลกุตตรธรรม สุญญตธรรม
-
ธรรม 4 ประการของพระโสดาบัน
โอคธสูตร
องค์คุณของพระโสดาบัน
[๑๔๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔
ประการ ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะ
ตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ฯลฯ
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ฯลฯ
ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ฯลฯ
อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นพระโสดาบัน
มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้
จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๔๑๕] ศรัทธา ศีล ความเลื่อมใสและการ
เห็นธรรมมีอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นแล ย่อมบรรลุ
ความสุข อันหยั่งลงในพรหมจรรย์ตามกาล.
จบโอคธสูตรที่ ๒
ขอฝากกระทู้จ๊ะ
โสดาปัตติยังคะสี่ องค์คุณเครื่องบรรลุโสดาบัน
คุณสมบัติของพระโสดาบัน
อริยสาวกเป็นผู้ระงับภัยเวรห้าประการ
อริยสาวกเป็นผู้ประกอบธรรมแห่งโสดาบัน 4 ประการ (โอคธสูตร)
อริยสาวกเป็นผู้เห็นแล้วด้วยดีในอริยญายธรรม
ใครสนใจ ไปอ่านได้..
http://palungjit.org/threads/โสดาปัตติยังคะสี่-องค์คุณเครื่องบรรลุพระโสดาบัน.359649/ -
^
เฮ้อ!!! คนอะไรเก้อ-ยากจริงๆ มีอนุเสติที่ฝังแน่นมาก
ตกลงจะให้พิจารณาอะไรมิทราบ พระพุทธพจน์ที่มีในพระไตรปิฎก
หรือพิจารณาพวกที่ชอบตีกินพระพุทธพจน์แบบน่ารังเกียจ ที่ชอบตีความเอาเอง
แอบอ้างครูบาอาจารย์ เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น
แบบที่ทำอยู่นั้น ไม่ผิดกับพวกมิจฉาชีพ ที่ชอบฉกชิงวิ่งราว
เอาของๆคนอื่นมาเป็นของๆตน โดยขาดความชอบธรรมใดๆทั้งสิ้น
แค่พระสูตรที่ยกมา ก็แอบอ้างหน้าตาเฉยเลยว่า
รอตายค่อยไปบรรลุอมตะธรรมบนสวรรค์ คิดไปได้55+
ลองไปอ่านคคห.ที่๔๓๑ของอาจารย์นิวรณ์ดูซะ เขียนได้ดี ได้ความตามพระสูตร
ส่วนจะถูกหรือผิดนั้น ไม่มีใครรับรองให้ใครได้ ขึ้นกับวิจารณญาณของคนอ่านเอาเอง
มาเข้าเรื่องตีกินพระพุทธพจน์ดีกว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ที่ท่านเป็นผู้ปฏิบัติปดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อพระธรรมคำสอน(พระพุทธพจน์)นั้น
ท่านก็ตีกินพระพุทธพจน์เช่นกัน
แต่ของท่านนั้นปฏิบัติตามพระพุทธโอวาสอย่างเคร่งคัด(กาลามสูตร)
อย่าเพิ่งเชื่อ ให้ฟังและศึกษาด้วยดี แล้วสมาทานนำมาเพื่อปฏิบัติอย่างเต็มที่(กำลัง)จริงจัง
เมื่อสมาทานปฏิบัติเต็มที่จริงจังแล้ว ล่วงประโยชน์ตน ยังประโยชน์ท่านให้เกิดขึ้น
ผู้รู้ไม่ติเตียน จึงค่อยเชื่อก็ยังไม่สายเกินไปหรอก
ส่วนของท่านพระอรรถกถาจารย์นั้น ท่านตีกินพระพุทะพจน์กันเป็นหมู่เป็นคณะ
ที่ต้องรับผิดชอบกันไปเป็นส่วนๆ แต่ก็ชัดเจนในแต่ละส่วนที่รับผิดชอบไว้
อันไหนพอที่จะคงสถานะเดิมเอาไว้ได้ ท่านก็ให้คงสถานะเดิมเอาไว้
ส่วนอันไหนที่ท่านรจนาเพิ่มโดยนำเอาพระพุทธวจนะมาเป็นหลัก ในการเพิ่มเติม
เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นนั้น ท่านก็ทำเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านเช่นกัน
ส่วนเรื่องผู้รู้จะติเตียนหรือไม่นั้น เราๆท่านก็พอเห็นๆอยู่บ้างพอสมควร รับกันได้
เมื่อให้พิจารณาดีๆ ก็พิจารณาแล้วว่า พวกที่ชอบตีกินพระพุทธพจน์ จำพวกแรกนั้นทำตัวน่ารังเกียจที่สุด
เจริญในธรรมทุกๆท่าน -
-
ทางแก้ที่พระองค์ตรัสไว้ สำหรับการฟังจากพระที่กล่าวธรรม
๑. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ! ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๒.(หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีสงฆ์อยู่พร้อมด้วย
พระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า “นี้เป็นธรรม
นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๓. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
จำานวนมาก เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๔.(หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
รูปหนึ่ง เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
เธอทั้งหลายยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้านคำากล่าวของผู้นั้น พึงเรียนบทและ
พยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้
พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำารัสของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนี้รับมาผิด” เธอทั้งหลาย พึงทิ้งคำานั้นเสีย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลง
สันนิษฐานว่า “นี้เป็นพระดำารัส ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนั้นรับมาด้วยดี” เธอทั้งหลาย พึงจำามหาปเทส... นี้ไว้.
มหา. ที. ๑๐/๑๔๔/๑๑๓-๖ -
เวลาที่ไปเจอใครอ้างว่านี้ เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสอนของพระศาสนา
ก็ให้ตรวจทานบทและพยัญชนะเหล่านั้นลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย -
พระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๒.(หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีสงฆ์อยู่พร้อมด้วย
พระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า “นี้เป็นธรรม
นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๓. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
จำานวนมาก เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๔.(หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
รูปหนึ่ง เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
เธอทั้งหลายยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้านคำากล่าวของผู้นั้น พึงเรียนบทและ
พยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้
พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำารัสของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนี้รับมาผิด” เธอทั้งหลาย พึงทิ้งคำานั้นเสีย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลง
สันนิษฐานว่า “นี้เป็นพระดำารัส ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนั้นรับมาด้วยดี” เธอทั้งหลาย พึงจำามหาปเทส... นี้ไว้.
มหา. ที. ๑๐/๑๔๔/๑๑๓-๖
หน้า 23 ของ 38