อัตตา คืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชั่งเถอะ, 28 มีนาคม 2018.

  1. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ผมว่าพูดกันคนละช่วงนะครับ ที่ผมบอกไปนั่น คือให้เขาลองไปสังเกตเอาจากเวทนาทางกายดู คือเวลามีเวทนาทางกายเกิด กายมันเจ็บอย่างเดียว หรือความคิดปรุงเจ็บเพิ่มร่วมเข้าไปด้วย ซึ่งปกติคนแยกรูปแยกนามไม่ได้นี่ เขาจะมองข้ามจุดนี้ไป รู้แต่ว่าเจ็บ กายเจ็บแบบไหน กูเจ็บแบบไหนไม่เห็นครับ

    แล้วก็ชี้ต่อให้เห็นกระบวนการทั้งหมดที่มันจะเป็นไปนะครับ แล้วถ้าจะให้เห็นทันจริงๆ ต้องเห็นกันตั้งแต่ตอนไหน และอย่างไรครับ แสดงว่าคุณก็ไม่เก็ทด้วยเหมือนกันครับ

    ที่คุณว่ามานั่นมันปฏิบัติไปตามแบบไม่ใช่เหรอครับ ก็ว่ากันไป ก็รู้เห็นไปตามแบบ มโนหรือเปล่านึกเอาเองครับ สำหรับที่ผมบอกนี่ ต่อให้เคยมโนมาแบบไหน พอสภาวะจริงๆเกิด มโนไม่ทันหรอกครับ เพราะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะสั้นๆ และเกิดแล้วไม่ต้องเสียเวลามานั่งมโนว่าไอ้นี่คืออะไร ไอ้นั่นคืออะไร นั่งอธิบายให้ตัวเองฟัง ไม่ต้องหรอกนะครับ รู้โดยกิริยาอาการที่มันฟ้องเองทั้งหมดครับ มีแต่ อ๋อ อย่างเดียวแหละครับ แต่อย่าไปเข้าใจว่านี่คือ มรรคญาณเข้าล่ะ แค่เริ่มต้น เห็นตัวปัญหา ได้ปัญญา เห็นทางเท่านั้นครับ
     
  2. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    แยกรูป แยกนามได้แล้วนี่ ยังไม่ใช่มรรคญาณอีกเหรอ ?

    แล้วแยกรูปแยกนาม มรรคญาณ กับ ไม่ใช่ มรรคญาณ
    แยกรูปแยกนามสองแบบนี้ต่างกันยังไงอะ?

    ก็ต้องขอถามผู้รู้หน่อย

    ปอลิง ยังเข้าถึงอสังขตธาตุอยู่หรือป่าว หรือเข้าใจแล้วว่าหลงผิด
    อันนี้ถามเพื่อติดตามความก้าวหน้านะ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น?
     
  3. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    แยกรูปแยกนามเป็นแค่วิปัสสนาญาณเบื้องต้นเท่านั้นครับ นามรูปปริจเฉทญาณ ทีนี้พอเข้าใจคำว่า มรรคญาณที่ผมกล่าวถึงหรือยังครับ กับมรรคญาณที่คุณว่า มันน่าจะเป็นมรรคปฏิปทามากกว่าไหม

    ส่วนเรื่องอสังขตธรรมอันนั้นคุณโง่เองครับ จิตคุณเข้าไม่ถึง แล้วคุณจะมาวิจงวิจารณ์ชาวบ้านเขาทำไม โงะเซอะสิ้นดีนะนั่น จะบอกอะไรให้ นั่นก็เป็นปัญญาวิปัสสนาญาณอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ผ่านจุดนั้นมาก่อน จิตจะคลายตัวได้อย่างไร จะรู้จักฝ่ายโลก ฝ่ายสมมุติ ฝ่ายวิมุติไหม ขันธ์ 5 ส่วนนามธรรม อุปาทานขันธ์ วัฏฏะ วิวัฏฏะ รับรองได้ไม่มีทางรู้เลย จะหลงเดินจิต เอาจิตเป็นตัวกระทำแบบไม่รู้ตัวอยู่ร่ำไปหมดแหละครับ นั่นก็ยังแค่เพิ่งเริ่มต้นอีกเห็นไหม เพิ่งเริ่มนะนั่น เริ่มจะเข้าทางมรรคญาณจริงๆ ไม่ง่ายนะ ป่านนั้นยังเป็นปี ง่ายนักหรือ ถ้าแทะตำรามาง่ายหมด วิจารณ์ได้หมดแหละ เดาๆไปไงครับ แต่บางคนวาสนาบารมีเขาทำของเขามาดี เขาก็ไปได้เร็วมาก

    เรื่องแยกรูปแยกนามได้นี่ยังว่าอีกไกลมาก และยังมีโอกาสล้มลุกคลุกคลานอีกมาก บางทีแยกได้แล้วก็ยังมีเสื่อม วิบากกรรมนี่เขาพาซัดเซ พเนจรได้เหมือนกัน ถ้าเผลอไปประมาทพลาดพลั้งลุแก่อำนาจกิเลสเข้า ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน ก็เนิ่นช้าไปอีก อย่านึกว่าง่าย

    มันต้องค่อยๆส่งเสริมเติมต่ออินทรีย์ พละ ให้แก่กล้าขึ้นไปๆ ตามลำดับ ที่พระท่านพูดว่าจนมันเต็มรอบนั่นแหละ มันเรื่องจริง มันถึงจะขยับไปได้ อันนี้ว่าในทางแห่งตนที่ผ่านมา

    บางคนเขาก็เร็วจริง แทบจะไม่มีติดมีขัดอะไร นี่แหละที่ท่านว่า ปฏิบัติสบาย ปฏิบัติลำบาก บรรลุเร็ว บรรลุช้าอะไรแบบนี้ อย่างผมกำลังมันไม่พอย่ำซ้ำซากอยู่หลายปีมาก

    การคบหาสัตตบุรุษผู้รู้จริง การได้ฟังธรรมสัตตบุรุษผู้รู้จริงนั้น และการตั้งตนไว้ชอบสำคัญมาก มีส่วนส่งเสริมมาก สมมุติคุณมาเจอแต่คนป่วยๆด้วยกัน จะเอาแรงที่ไหนไปสุขภาพดี กินอาหารก็ยังกินอาหารเป็นพิษอยู่ กินอาหารไม่ถูกโรคก็มีผลให้รักษาหายยากเหมือนกัน อย่างคุณหาหมอจริงๆให้เจอก่อนดีไหม
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    คนเทแบ้แบ้

    "...ขันธ์5 ส่วนนามธรรม...."

    ถ้าพูดคำนี้ออกมาได้ ก้ ไม่น่ามี สามัญผลใดๆ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    "....ค่อยๆ ส่งเสริม เติมต่อ อินทรีย..."

    แปลว่า ยังไม่เคย ตกกระแสธรรม

    อินทรีย์ พละ เปน ธรรมฝ่าย "อนาสวะ"

    จะเพิ่ม จะลด จัดเปน ความวิปลาสของ
    สาวกภูมิ ห้ามไม่ได้ ต่อให้อรหันต์สาวก
    ก้ย่อมแสดงธรรมผิด (สาวกภูมิ ไม่สามารถ
    ละนิสัย วัตร บางอย่างได้หมด ทำให้แสดง
    ธรรมให้ตายยังไง ก้เปน สาวกธรรม ไม่ใช่
    สัทธรรม วันยันค่ำ ...ยิ่งมาก วัตร การบรรลุ
    ธรรมจะนัอยลง )

    ปล. มรรค ส่วน สสังขาร เปนโลกียะ
    อนุโลม บัญญัตไปตามความพอใจ
    ในการฟังของปัญญาโลกๆ ถ้ามีสติ
    จะโยนบทนี้ทันที เพราะเปนส่วนที่
    กำหนดเพื่อ อ๊วกแตก สำรอกออกสถาณเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2018
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    คำว่า "ตามรู้เฉยๆ"

    รู้ หยุดที่รู้

    รู้โดยไม่เจตนา

    อะไรเหล่านี้ หากเข้าถึง จะ อ๋อ

    แล้วตบหน้าผาก ที่ ฟังแล้วกล่าวว่า เปนการปฏิบัติตามรูปแบบ

    รู้ ด้วยการพ้นเจตนา หากยัง ยัดฮาว่า เปนการปฏิบัติตามรูปแบบอีก

    ก้ ปิดธรรม ชักสะพาน
     
  7. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    อ๋อ มาตรฐานนิวรณ์ ยัดเข้ายัดออกแบบนี้แหละ คนอย่างคุณผมรู้ไส้รู้พุงมานานแล้ว แล้วแต่จะเอามุมไหนขึ้น จะพูดให้ดีก็ได้ จะพูดให้ชั่วก็ได้ เสียเวลาครับ อันนี้พอจะปรักปรำก็งัดมุมนี้ขึ้นมา จะบีบปากไม่ให้พูดก็งัดสันโดษขึ้นมา อ้างว่ามีแต่พระพุทธองค์เท่านั้นที่หยั่งรู้อุปนิสัยสัตว์แต่ผู้เดียว แต่คุณมรึงลืมเอง เผลอหยั่งทราบอุปนิสัยสัตว์เสียเอง แล้วทำเป็นลากพุทธพจน์ที่ตรงกับทิฏฐิคุณมรึงนั่นแหละขึ้นมากลบขี้ฟันตนเอง แหมเนียนๆเนอะ ทำไปได้ พูดเองถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง คนแบบนี้ก็มีด้วย
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กั๊กๆ จะ ปรารภว่า ตนสามารถ หยั่งรู้ อินทรีย์ สัตว์ หรือฮับ

    อ่านดีๆหน่าฮับ ถ้า ผมกล่าวไปว่า " พระพุทธองค์ องค์เดียว "
    เวลาคุณได้ยิน คุณมองว่า ผมกำลังหยั่งรู้ พระพุทธองค์
    ด้วยหรือเปล่า ( ยังเห็น สภาพความเป็น สัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา )

    หรือว่า กันไว จบลงที่ พระพุทธองค์ เป็น " ธรรมหนึ่ง "
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    แล้ว ตกลง คุงไทแบแบ นี่ ใช่ พี่ TBoon หรือเปล่า เพราะชอบพูดว่า "จิตเกิด"

    ถ้าไม่ใช่ พี่ TBoon แล้ว ไม่คุ้นสำนวน ภาษา ของคนรู้จักกันมานานนนนนนนนนน
    ก็ว่ากันไป ที่เจอ ภาษาแปลกๆ แล้ว ไม่คุ้น อยาก ยักสันติ ให้รับประทาน

    แต่ ถ้าเห็น สันโดษ แล้ว ไม่เข้าใจว่า เป็นชื่อ สมาชิก

    แล่นไป โน้น นั่น นี่ หาว่า ไปห้ามการแสดงธรรม เอ้ย !! อันนี้ ก็ น่าจะชัดว่าไม่ใช่
    พี่ TBoon เสียแล้วกระมัง ก็ ขออภัยด้วย เพราะ เดาเอาจาก รหัส T6 อีกที

    นะ

    เขียนแบบนี้แล้ว ก็ อย่าได้ ยัดฮา ว่า ผมไปหยั่งรู้ เฮีย อะไร หน่าคร้าบ มันยัดฮาเกินไป



    ปล.ลิง : แต่พอได้ยินคำว่า " ขันธ์5 ฝ่ายนามธรรม " อันนี้ น่าจะกลิ่นแรง พอสมควร
    ถ้าพูดคำนี้ออกมาแล้ว ก็มี แววว่า คงจะไม่เสวนาด้วย ขี้เกียจไป ศ.
     
  10. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    อย่าลืมขี้ฟันตนเองสิครับ ไปอ่านดูเลย คุณมีพูดด้วยซ้ำว่าพระพุทธองค์ยังไม่รู้ เรื่องพระสารีบุตรเข้านิโรธอะไรของคุณนั่นน่ะ ผมละขำ หยั่งรู้วาระจิตพระพุทธองค์ได้ด้วย แล้วก็อย่ามามั่ว การที่คุณเข้าไปมั่วในเฟสบุ๊คที่เป็นส่วนตัวผู้อื่นเพื่อหมายจะมาโชว์อะไรบางอย่างในนี้ อย่าทำ เดี๋ยวมันจะผิด พรบ.เอา ก็เคยโดนแล้วนี่หน่า แถมโกหกคนทั้งเว็บตาใสๆว่า ฝากข้อมูลส่วนตัวอะไรไว้กับผมหมดแล้ว มันมีซะที่ไหน
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    น่าจะผิด คนแล้ว กระมังครับ

    ใน เฟสบุค ผมไม่เคยใช้โพส ธรรมะ แม้นแต่ จะ messenger ผมยัง มีปรกติ บล๊อค
    เมื่อเสวนาธรรมะ เว้นไว้แค่ " ปลาย่างคนเดียว ที่เห็นว่า ควรจะไปนิพพาน ดีกว่าไป
    มีสามี " ...แต่ก็ไม่เคยไปโพสใส่ จะ รอ จนกว่าจะมาถาม เป็นหลัก

    ส่วนเรื่อง "พระพุทธองค์ทรงถามเรื่องวิหารธรรม" อันนั้น ผมก็ใส่ *** เอาไว้ เผื่อไว้
    แล้ว คล้ายผู้หญิง เคาะโต๊ะหลังจากพูด แต่ถ้าจะมี พระสูตรดังกล่าว จัดเป็น อุบาย
    ในการถามเพื่อยกย่องให้ภิกษุร่าเริงในธรรม เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธองค์จะไม่ทราบ

    ส่วนเรื่อง "ฝากข้อมูลส่วนตัวอะไรไว้กับผมหมดแล้ว " อันนี้ น่าจะชัดแล้ว
    ครับว่า ตกลง คุณคือใคร

    ก็ว่ากันไป ผมไปเป็น "ริว" ดีกว่า ( ริว เขาชอบมีสำนวนแซว เรื่องนี้ "ริวจะไม่ยุ่ง" -- วงเล็บไว้ เผื่อแปลผิด ไปเรื่อง หยั่งรู้ บาบอ ไปกันใหญ่ )
     
  12. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    มุกแบบนี้คือมุกไม่มีที่ไป คุณเอ๊ย.. พอสรณะในใจตัวเองไม่มี แล้วพยายามหาหยิบธรรมพระพุทธองค์ที่ตรงกับทิฏฐิของตนเอง มาเที่ยวฟาดปากชาวบ้านแบบนี้ ธรรมแท้อยู่กับคนไม่จริง มันก็กลายเป็นทำเพื่อเอาประโยชน์ใส่ตน มีแต่เป็นทุกข์เป็นโทษกับผู้นั้นเองแหละ
     
  13. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ถ้าแยกรูปนามได้จริง ย่อมไม่มีเสื่อม..
    ที่มันเสื่อม เพราะมันแยกได้ไม่จริง..

    และถ้าแยกรูปนามได้จริง อรหันต์ผลย่อมอยู่ไม่ไกล... ที่มันอยู่ไกลเพราะยังแยกรูปนามได้ไม่จริง
     
  14. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ย่อหน้าแรกไม่เข้าใจ คุณท่าจะไปกันใหญ่ หรือผมเขียนอะไรไม่ชัดเจนว่ะ

    แต่ย่อหน้าที่สองนี่ทีเด็ดเลย มี*** แบบนี้ด้วย ขำว่ะ ดูออกไหม นี่ไงที่บอกว่า แล้วแต่จะงัดมุกไหนมา จะพูดให้ดีก็ได้ จะพูดให้ชั่วก็ได้ ความจริงใจสำคัญที่สุด ประเภทพูดเข้าพูดออก ก็คือมันมีเล่ห์ มันไม่ตรงไปตรงมาไง พอมาปฏิบัติไอ้ความเจ้าเล่ห์เพทุบายนี่มันเป็นวิบากกรรมคอยขวางอยู่ นี่ไม่เห็นความจริงเอง บอกไปหลายหนแล้ว แต่อยากจะปรารถนาพุทธภูมิก็ปรารถนาไป แต่แพทเทิร์นแบบนี้ ผมเจอมาเยอะ
     
  15. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    เรื่องการปราถนาพุทธภูมิ จะทำให้เวลาฟังธรรมแล้วจะไม่ก้าวข้ามไปถึงมรรผลนิพพานใช่ใหมครับ
     
  16. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ป๊าด เอาขนาดนั้นเลยเหรอ แต่จริงๆก็แล้วแต่อินทรีย์ พละของแต่ละท่านแต่ละคนแหละครับ ผมมิอาจทราบได้ วิบากกรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่คุณอย่าลืมนะ แยกรูปแยกนามในความหมายที่ผมพูดถึงอยู่นี้คือ นามรูปปริจเฉทญาณในขั้นแรกเลย จูฬโสดาบัน ก็ยังไม่ถึงเลยครับ ทำไมจะมีโอกาสเสื่อมไม่ได้ล่ะครับ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ขออนุญาติ ร่วมเสวนา โดย เอา ธรรมเป็นใหญ่

    การ ปรารภว่า แยกรูปแยกนามได้ ไม่มีเสื่อม อันนี้ ถูกแล้ว
    หากสังเกตได้ ให้ ยกขึ้นเพื่อ ทำจิตให้ "บันเทิง" ( จะ จบ ไว เข้ามาเลย )

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องระวัง เรื่องการ มีทิฏฐิเห็นว่า จิตเที่ยง จิตมีการสะสม

    การที่ จิตใดสามารถยก " การแยกรูปแยกนามได้ " พระพุทธองค์จะเปรียบ
    ดังเข็นเรือขึ้นหาดทราย กิเลสจะต้องหลุด แน่นอน โดยไม่ต้องไปดูว่า
    อะไรหลุด หลุดแล้วหลุดเลย ไม่มี การกลับมา ต่อของกิเลสส่วนนั้นๆ

    ถ้าภาวนาแล้วไม่จบ ไม่ใช่ เพราะ มันสะสม ญาณ

    ให้แยกส่วน อุปาธิ ที่ยังเหลือ ส่วนนั้น ต่างหากที่ทำให้ เวียนกลับ
    (เหมือนเสื่อม .... แต่จริงๆ ไม่ใช่เรื่อง เจริญ หรือ เสื่อม อันจัดเป็น
    เดรัจฉานกถา --- คำแปล อาจจะเขียน เจริญ กับ เสื่อม ตรงนี้เป็น
    ข้อจำกัดทาง ภาษา ตามถิ่น ตามสมัย )

    ถ้า แยกส่วนออก ทำจิตให้บันเทิง มีปฐมฌาณเป็น
    ของเล่น( โสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล ) ญาณที่จะ
    พิจารณา อุปาธิ ที่เหลือ จะแจ่ม ขึ้นมาเป็น ผลานิสงค์
     
  18. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ไม่ทราบครับ ผมไม่ได้มีประสบการณ์แบบนั้น แต่ที่เคยบอกๆกันอยู่นี้คือ พวกเขาเหล่านั้นได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงทางจริงๆหรือยังต่างหากครับ เจอสัตตบุรุษผู้รู้จริงจริงๆหรือยัง และได้ฟังธรรมท่าน นำมากระทำไว้ในใจโดยแยบคายแล้วหรือยังนั่นต่างหากครับ ก่อนจะไปสู่ความเข้าใจตัวเองว่า สงสัยเราปรารถนาพุทธภูมิมามั้ง อะไรแบบนี้ครับ แต่เชื่อว่าของจริงก็มีครับ
     
  19. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    • อชิตมาณพ : โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในความมืด เพราะอะไรเป็นเหตุจึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ พระองค์ว่าอะไรเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่ และอะไรเป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น
    พระโคตมพุทธเจ้า : โลกคือหมู่สัตว์อันอวิชชา คือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด เพราะความอยากมีประการต่าง ๆ และความประมาทเลินเล่อ จึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ เรากล่าวว่า ความอยากเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่ และเรากล่าวว่าทุกข์เป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น

    • อชิตมาณพ : ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า อะไรเป็นเครื่องห้าม เครื่องปิดกั้นความอยาก ซึ่งเป็นดุจกระแสน้ำหลั่งไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ความอยากนั้นจะละได้เพราะธรรมอะไร?
    พระโคตมพุทธเจ้า : เรากล่าวว่า สติเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องป้องกัน ความอยากนั้นจะละได้เพราะปัญญา

    • อชิตมาณพ : ปัญญา สติ กับนามรูปนั้นจะดับไป ณ ที่ไหน ข้าพระองค์กราบทูลถามแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอกข้อความนี้แก่ข้าพระองค์
    พระโคตมพุทธเจ้า : เราจะแก้ปัญหาที่ท่านถามถึงที่ดับของนามรูปทั้งหมดไม่มีเหลือแก่เธอ เพราะวิญญาณดับไปก่อน นามรูปจึงดับได้ ณ ที่นั้นเอง

    • อชิตมาณพ : ชนผู้ได้เห็นธรรมแล้ว (บรรลุมรรคผล) และชนผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ สองพวกนี้มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ข้าพระองค์ขอกราบทูลถามถึงความประพฤติของชนพวกนั้น พระองค์มีปัญญาแก่กล้า ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์
    พระโคตมพุทธเจ้า : ภิกษุผู้ได้เห็นธรรมแล้ว และชนผู้ต้องศึกษาอยู่ต้องเป็นคนไม่กำหนัดในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติอยู่ทุกอิริยาบถ
     
  20. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762

    จริงๆ การแยกรูปนามได้ จัดเข้าในมรรคญาณ
    เพราะเป็น ปัญญาอ่อนๆที่กำลังเกิดขึ้นในเบื้องต้น

    จะว่าเสื่อมไหม อันนี้ไม่ได้เสื่อมนะครับ
    แต่จะต่างตรงที่ว่า
    หากหยุดเพียรเมื่อไร มรรคญาณจะไม่เกิดขึ้นอีก
    ความกล้า คือพละ จะไม่มีทางขึ้นมาได้ ปัญญาจะไม่แก่กล้า
    ทำให้ไม่มีทางได้ผลญาณ
    ฉนั้น หากผู้ปฏิบิัติ ได้เจอธรรมที่พ้นสมมุติบัญญัติในครั้งแรก

    แนวโน้มจะไปทางวิปัสนูกิเลสจะสูง
    ซึ่งไม่ได้แปลว่ามาผิดทาง เรียกว่ามาถูกทาง
    เพียงแต่หากได้ครูอาจารย์ ผู้เป็นสัปบุรษที่บริบูรณ์
    ก็จะได้คำแนะนำที่เป็นสัทธรรมที่บริบูรณ์
    การเดินทางต่อ จะแน่วแน่ขึ้น

    รูปนามปริเฉทที่เกิดขึ้นครั้งแรก จะเป็นธรรมที่ไม่มีสมมุติบัญญัติ จะมาเรียก
    เพราะเป็นธรรมฝ่ายปรมัตถ์
    สัจจะปรมัตถ์มันคือตัวที่ต้องกำหนดรู้ จึงจะทำให้แจ้งอริยสัจได้

    ส่วนสัจจะสมมุติ มันเป็นเพียงตัวเชื่อม
    ในการปฏิบัติ เช่น อย่างประโยคที่ว่า จิตมีราคะ ให้รู้ว่าจิตมีราคะ
    อาศัยอยู่ในช่วงมรรคที่ตบแต่ง(เจตนาทำดี)
    จนกว่าจะไปถึงมรรคที่พ้นการตบแต่ง (พ้นเจตนาทำ พ้นบุญไปเลย)
     

แชร์หน้านี้

Loading...