อัตตา คืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชั่งเถอะ, 28 มีนาคม 2018.

  1. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ซื้อหวยคงถูก รู้เลยว่าจะพูดแนวๆไหนต่อ

    ทำเป็นมาจะให้ผมยอมรับความจริงอีกแหนะ
    เหมือนกับมาเดาสญาณนิสัยผมอีก

    ยอมรับความจริง หรือจะให้ยอมรับรับรองคุณ
    พอคนอื่นเขาอ่านแล้วรู้สึกขัด ๆ ก็นิสัยเดิมไม่เปลี่ยน
    หาว่าคนอื่นเขาโง่อีก จาก ref บน

    นิสัยไม่ต่างจากปีก่อน ความก้าวหน้าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
    ขนาดโดนกระทุ้งไปแรงๆ ซะขนาดนั้น

    แถมยังแค้นฝังหุ่น ทำเป็นมาเนียนถามกลับ
    เรื่องสกิทาคามีกับผมในกระทู้ก่อน

    ก็ถึงว่าคุ้น ๆ ถ้าไม่ได้ลุงปราบเทวดา มาเฉลย
    ว่าไอล๊อคอินใหม่นี้เป็นใคร ก็คงไม่ถึงบางอ้อ

    ก็ถึงบอกไง ว่า good luck kids

    เด็กน้อยเหมือนเดิม เอาที่สบายใจ
    พฤติกรรมแบบน้ำแรง ๆ ผมไม่อยากเอาเรือไปขวาง

    ไม่มีประโยชน์

    เพราะอัตตา คืออะไร?

    นั่นแหละ....
     
  2. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
    และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
    ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
    ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
    ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
    น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า
    ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้
    ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้.
    ครั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชม
    เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค
    ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ หมื่น
    โลกธาตุได้หวั่นไหวแล้วแล.


    พูดง่าย ๆ ก็คือ ครั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสจบแล้ว
    เหล่าภิกษุ ต่างพากันกด Like นั่นเอง

    ธรรมะปิติ......
     
  3. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ผมก้ยกอีกพระสูตรมาเหมือนกันนะครับ เรื่องผู้เห็นธรรมชื่อว่าเห็นตถาคต
    ผมว่าธรรมบทนี้คุณน่าจะหมายถึงเรื่องที่คุณชั่งเทอะกล่าวถึงเรื่องเห็นพระพุทธเจ้า
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอพูดแบบกลางๆนะครับ....
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม = วิญญาน สังขาร สัญญา เวทนา
    หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่เลือกที่ เลือกเวลา
    และขึ้นมาเรื่องใดก็เป็นเรื่องนั้น มักเป็นความ
    คิดในอดีต บ้างก็เรียกว่า วิบากกรรม บ้างก็เรียกว่า
    ขันธ์ ๕ นามธรรมเฉยๆ หรือ จะเรียกกระแสที่จรเข้ามา
    ก็ได้ จรคือ มาๆไปๆ ถ้าไปดูมันจะดับแล้วเปลี่ยนเรื่อง
    แล้วแต่ใคจะเรียก. ตรงนี้ถ้าจิตแยกรูปแยกนามไม่ได้
    จะเข้าใจว่า มันเกิดจากตัวจิตเราเอง ซึ่งความจริงมันไม่ใช่
    และในกรณี ที่อายุ เกิน ๕๐ ปีขึ้นไป และผ่านโลกมาพอ
    สมควร มักจะไม่เห็นตัวนี้เป็นเรื่องปกติ ทำให้จะไม่เข้าใจ
    คำว่า จิตกระเพื่อมเป็นอย่างไร และไม่เห็นกิริยา
    ของจิตที่รวมกับขันธ์ ๕ ว่าเป็นอย่างไร และไม่เข้าใจ
    กิริยาที่จิตรวมกับความคิดว่าเป็นอย่างไร เหมือนกัน
    คนที่อายุน้อยกว่า ๕๐ ปีลงมาที่พอแยกรูปแยกนามได้


    ขันธ์ส่วนรูป = กาย...
    ความคิดที่เกิดจากจิต = ความคิดที่ขึ้นมาจากจิต
    ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจเรา จะบอกว่า ขาว
    ดำได้หมด เป็นต้น ฯลฯ

    การที่จะเรียกว่า ตัวจิตแยกรูปแยกนามได้ ทางกิริยาก็คือ
    จะเห็นว่า. ๑. จิต ๒. ความคิดที่เกิดจากจิต และ ๓.ความ
    คิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์นั้น เป็นเป็นคนละตัวกันเลย.......
    ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้ รู้สภาวะอย่างนี้ ก็จะเริ่มเดินปัญญาได้
    บางทีก็เรียกว่า ขี้นบ้านได้ แต่ถ้าบ้านมีฝุ่นมาก มันก็ถอย
    ลงมาได้ เราเรียกกิริยานี้ ว่า การซึมกลับ ซึ่งมีเยอะแยะ
    ถ้าหากว่า ไม่มาเดินปัญญาต่อ และการที่จะกลับขึ้นไป
    อีกครั้งมันจะยากกว่าครั้งแรกมากๆ.......


    ถึงระดับนี้ ทางปฏิบัติ มันยังแค่ระดับเด็กพึ่งหัดคลาน
    ยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะมันเป็นเพียงแค่เส้นทาง
    ที่จะทำให้เกิดปัญญาทางธรรมได้ ซึ่งเชิงเทคนิคที่จะ
    ให้เกิดมีมากมายหลายวิธี แล้วแต่ความถนัด แต่
    ต้องมีฐานมากจากการแยกรูปแยกนามให้ได้ก่อน
    ในเบื้องต้น.

    ไม่งั้นจะไม่เข้าใจ กิริยาที่จิตเป็นกลาง ที่เราจะใช้
    กำลังสติเพื่อคอยควบคุมตัวจิต ไม่ให้มันเกิด ไม่ให้มัน
    เกิดก็คือ ไม่ให้มันไปปรุงร่วมกับความคิดจากจิต
    หรือไปปรุงร่วมกับขันธ์ ๕ นามธรรมหรือความคิดที่ผุด
    ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจครับ


    เพราะไม่งั้นจะเผลอไปนึกว่า ความคิดจากจิต
    หรือตัวขันธ์ ๕ นามธรรม ที่มันปรุงร่วมกับจิตเราอยู่
    จากสัญญาการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน วิเคราะห์เอง
    คิดเอง เอ่อเอง เข้าใจไปเอง พวกนี้เป็นสติเป็นปัญญา
    แล้วเราจะเผลอนำมันไปพิจารณาได้ อย่างคาดไม่ถึง
    จนกลายเป็น. สิ่งที่เราเรียกว่า วิปัสสนึก หรือ การมโนไปเอง

    ซึ่งมันจะทำให้เกิดอาการหลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง
    ว่าตัวเองมีภูมิธรรมสูง ว่าตัวเองเป็นระดับโน้นนี่นั้น
    เพราะมีสัญญาความรู้ทางโลกแล้วเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ...

    และซ้ำร้าย ในบุคคลที่พอเห็นนามธรรมได้ หรือสัมผัสกิริยา
    ทางนามธรรมได้นั้น.
    ก็มักจะหลงตัวเอง ว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษกว่าใคร
    คิดว่า สิ่งที่ตนสัมผัสได้ทางนามธรรมนั้น เป็นอะไรที่วิเศษ
    ไม่มีใครเข้าถึงได้เหมือนตนเอง
    ทั้งๆที่ ตัวจิต ไม่มีความสามารถในการนำไปใช้งานได้จริง
    ไม่สามารถแสดงผลได้ และไม่สามารถพิสูจน์ขึ้นมาได้เดี่ยวนั้น

    ก็จะยังหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    นอกจากหลงตัวเองแล้ว ก็ยังจะคิดว่าตัวเองเป็นที่สุด
    เก่งกว่าใครเค้า ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถใช้งานทางจิตได้
    ก็จะหลงตัวเองได้อย่างน่าประหลาดใจ
    เพราะจะยอมรับฟังความคิดเห็นต่างไม่ได้
    และจะยึดติดว่า ตัวเองแน่ ตัวเองเก่งที่สุด
    เสียฟอร์มไม่ได้ ......

    เป็นเหตุให้เกิดวิวาทะ ในการมุ่งทำร้าย ทำลายชื่อเสื่ยง
    บุคคลอื่นๆ ด้วยการกล่าวหา ใส่ความเท็จ พูดจาบิดเบือน
    และก็ยกตนเองขึ้นมาข่มผู้อื่นๆ เป็นเหตุให้เกิดเรื่องเกิดราว
    เกิดคดีความตามมา....เพราะจำนน ด้วยเหตุด้วยผลที่แย้ง
    ไม่ได้ แต่ยังดี้อดึงในความคิดตนเองเป็นใหญ่
    ดังนั้นอย่าเห็นว่า มันไม่สำคัญนะครับ..................


    ต่อให้มีปัญญาทางธรรม อนาคตเรื่องที่เคยวางมันได้
    มันก็จะย้อนกลับขึ้นมาให้เรา ยังระลึก นึกขึ้นได้อีก
    นอกจากจะเป็นปัญญาญาน ถ้าจิตได้คลายแล้ว
    มันถึงจะทิ้งไปได้เลย ซึ่งมันมาจากการสังเกตุเพิ่มเติม
    ว่าเหตุดับ เพราะอะไร ดับตอนไหน ทำไมถึงดับ
    ซึ่งมันเป็นกระบวณการ ในการตามทำความเข้าใจ
    ในส่วนของความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
    หรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนั่น โดยที่ไม่ไปแทรกแซง
    มันด้วยครับ
    ส่วนความคิดจากจิต เราจะไม่ใช่มันอยู่แล้วจะดับสนิท
    เพราะถ้ามันไปรวมกับขันธ์ ๕ นามธรรมได้
    แล้วปรุงไปเรื่อย มันจะทำให้เรากลายเป็นคน
    วิกลจริต หรือ เพี้ยนเอาได้ง่ายๆ

    ปล.หลักสังเกตุการพัฒนา เราฝึกมากี่ปี
    ความเข้าใจทางด้านนามธรรมเราดีขึ้นไหม
    นิสัย ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมเราดีขึ้นไหม
    การอยู่ร่วมกับสภาพสังคมอย่างแยบยลเราดีขึ้นไหม

    สำหรับคนพอเข้าถึงนามธรรมบ้าง เช่น เคยเห็นโน้นนี่นั้น
    เห็นกิริยาแปลกๆในสมาธิ
    เราก็มาดูว่า เราเคยฝึกกรรมฐานอะไรแล้วมันสำเร็จ
    ซักอย่างไหม
    ผ่านมีกี่ปีแล้ว ตอนนี้ จิตมีความสามารถใช้งานอะไรได้บ้าง
    ใช้งานได้แล้ว ยังคิดว่าตนเองเก่ง ตนเองวิเศษ เหนือกว่า
    คนอื่นๆไหม.... ใช้ในทางที่เป็นประโยชน์หรือเพื่อตนเอง

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
    มีใครคิดว่า ที่ข้าพเจ้าพูดมาจาก
    พระไตรปิฏกอีกไหม ๕๕๕๕. ( ล้อเล่น...)
     
  5. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ป่าว ผมหมายถึง เวลาคุณฟังธรรมแล้วรู้สึกชอบอกชอบใจ
    จึงกด Like

    เลยยกพระสูตรมาประกอบ ว่าสมัยก่อน พระภิกษุเวลาฟังธรรม
    ก็รู้สึกถูกอกถูกใจเหมือนกัน

    อ่านตัวแดง ๆ ที่เน้น ๆ

    ส่วนคุณช่างเถอะ ผมไม่ได้กล่าวถึง
    มีคนคุยกับแกเยอะแล้ว ผมขออ่านเฉย ๆ พอ
     
  6. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ขอเฮ้อด้วยคน....แต่ละคนมีธรรมอยู่จนล้นทันเลยไหลพรั่งพรูออกมา
     
  7. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นภัยต่อผู้ใดนะ...ถ้าถือว่าการโยนิโสมนสิการมีผลดีต่อตนเองมากกว่าต่อใคร...มันไม่ได้ผิดต่อใครแต่หลายอย่างก็เป็นครูต่อตัวเรา...อาจไม่กระทบจิตเลยหรือไม่ก็ได้ถ้าไม่ได้ปราถนาสิ่งใดและการปราถนาสิ่่งใดถ้ามาจากภายนอกย่อมไม่ใช่เรื่องจะยึดถือ...ถ้าหากทำเพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องทำไม่อาจเลี่ยงได้ยังไงก็ต้องเจอไม่อาจเลี่ยงได้ก็น่าจะมีลุ้นอยู่บ้างว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
     
  8. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    การดูถูกคนอื่นถ้าเขาดูถูกเพราะหวังดีต้องโยนิโสเอาแต่ถ้าเขาดูถูกเพราะแสดงออกถึงฐานะก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะฟังเฉยๆหรือตอบโต้ แต่ถ้าตอบโต้อย่างขาดสติหรือใช้สำนวนโวหารรวมถึงยกบทต่างๆพระธรรมมามันก็อาจดีแต่จะไม่ดีก็ต่อเมื่อธรรมที่ยกมาไม่เข้าใจตามจริง...แต่เข้าใจตามตัวเอง...อันนี้ไม่ต้องไปทำอะไรเขาเพราะเขากำลังทำร้ายตัวเองทำให้ตนเองติดค้างในสิ่งที่ตนเองเชื่อโดยไม่ได้พิจารณาเห็นเพียงอักษรที่เขียนมามันเข้ากับสภาวะจึงพากันทำไป...ก็ดีแต่ผลคงอยู่กับเขาผู้กระทำไม่ใช่คนอื่นใด....
     
  9. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    อย่างที่คุณนพพูดไว้ ส่วนตัวรู้แค่ว่าเหนื่อยมากทีืจะมาทำให้ตนเชื่อหรือแสดงคุณวิเศษออกมาแม้ว่า1000ครั้งจะจริงสักเพียงครั้งเดียว นึกดูแล้ว อีก999ครั้งคืออะไร จึงจะบอกว่า เชื่อถืออะไรที่ไม่ใช่และไม่คงตัวมันจะประมาณบังเอิญหรือไม่ก็พยายามทำแต่ที่พยายามทำก็แค่1ใน1000แต่อย่าลืมว่าทั้ง1000นั้นเราเป็นผู้ทำถ้้าหวังแบบนั้นอย่าทำเลยมันเหนื่อยเปล่าๆ
     
  10. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    อยู่อย่างไรแสดงอย่างนั้น...จิตและกายจะสัมพันธ์์ตลอดเพราะสติรู้ การแสดงออกจะบอกว่าเราเชื่ออะไรในตัวเรา...ต่อให้เป็นโพธิสัตว์จริงถ้าไม่รู้ฐานะก็หาปรโยชน์ไม่ได้เช่นเดียวกันพระอริยะเจ้าทั้งหลายล้วนรู้ฐานะว่าทำสิ่งใดจะได้สิ่งใดและเหตุใดจึึงต้องกระทำไม่ใช่เพื่อสนองกิเลสแต่อย่างใด
     
  11. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    การรู้ในสภาวะทั้งหลายนั้นไม่ผิด แต่ยึดเมื่อไหร่ เป็นเรื่อง มันจะตั้งตัวมันเองขึ้นเป็นกองทัพเลย กองทัพขวางทางนิพพาน พวกท่านล้วนเป็นกระจกเงาได้ดี ขอบคุณ
     
  12. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    อืม.... เห็นว่าซอฟท์ ลงแล้วค่อยน่าที่จะเสวนาด้วยหน่อย
    ไหน ๆ ก็เห็นว่าเคยอัดกันดุเดือดมาก่อน ก็จะขอเล่าอะไรให้ฟัง
    ที่มันสุดจะ Exclusive มากกว่าที่เคยเล่าให้ชาวบ้านทั่วไปฟังซักหน่อย
    ก็เห็นคุณ T5 ชอบตอบมากลับในทำนองว่าผมไม่ค่อยจะรู้อะไร ๆ
    เหมือนชาวบ้านคนทั่วไปเขาซักเท่าไรนัก
    ก็คงต้องขอตอบแบบจริงจังซักเล็กน้อย เพื่อพิสูจน์ว่าผมนี่โง่สมคำเล่าลือ


    ย้อนไปเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อนนี่เองผมนี่แทบไม่รู้ปริยัติอะไรเลยนะ
    รู้แค่ตามตำราเรียนทั่วไป จนกระทั่งอยู่ ๆ ผมนี่อยากนั่งสมาธิขึ้นมา
    แล้วมันแว๊ปป แปลงร่าง สภาวะที่ไม่รู้จักมาปรากฏเป็นอัศจรรย์
    ก็เลยมาตั้งกระทู้ถามแบบคนโง่ ๆ
    ในพลังจิตนี้ก็เคยมาถามครั้งหนึ่ง โดนคนในนี้ด่ากลับไป
    ถ้าใครเคยเล่นบอร์ดนี้นานกว่า 2-3 ปีก็คงจะพอจำกันได้ เดี๋ยวไว้เฉลยทีหลัง

    -ผมไปตั้งกระทู้ถามเรื่องสมาธิก่อน ในพันทิปกระทู้นี้
    https://pantip.com/topic/35326486

    (เสียดายที่เว็บนี้ไม่มีระบบสปอย แบบในพันทิป ไม่ยังงั้นจะยกมาใส่ไว้ในสปอย
    จะได้ไม่ต้องเสียเวลากด link ตามไปอ่าน)

    หลังจากตั้งกระทู้นี้ และทำสมาธิต่อไปซักพัก ปรากฏญาณอ่อนๆบางอย่างออกมา
    ในภายหลัง ไม่ขอพูดแต่เกี่ยวกับอนาคต และเสื่อมในภายหลัง อย่างเร็ว

    - หลังจากนั้นเกิดกระทู้นี้ตามมา
    https://pantip.com/topic/35341742

    ภาษาในกระทู้ เป็นลักษณะอยากบรรยายสภาวะออกมา ตอนนั้นเรียกมันไม่ถูก
    โง่มาก ๆ แต่รู้สึกว่าบรรยายยังไงก็ไม่เหมือนที่รู้สึก มันมีขีดจำกัดทางตัวอักษร
    อยู่ค่อนข้างมาก
    จนมีความรู้สึกว่า คนที่มาตอบความเห็น ทำไมถึงไม่เข้าใจ ทำไมถึงปัญญาน้อยนัก
    (ความคิดในตอนนั้นนะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง พูด สื่อความคิดตอนนั้นออกมายากมาก ๆ)


    - ผ่านไปไม่นาน อาการด้านบนเริ่มหายไปทีละนิด ๆ กิเลสเริ่มแทรก
    ก็นึกสนุก ๆ อยากเล่าเรื่องที่เคยมาเล่าที่เว็บแห่งนี้ และโดนด่ากลับไป
    https://pantip.com/topic/35363314

    ก็เป็นเรื่องที่ว่า นั่ง ๆสมาธิไป ก่อนที่จะเกิดอาการของกระทู้แรก
    ผมเคยเป็นโรคปวดหลังเรื้อหลัง เนื่องจากตกจากที่สูงหลายปีก่อน
    กระดูกสันหลังปูดขึ้นมาเล็กน้อย จะก้มอะไรที่เกิน 10-20 วินาที
    ก็ไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องยกของหนัก
    นั่งๆ ไปอาศัยว่าอยากนั่งสมาธิอย่างที่บอกตอนแรก ยอมทนสู้กับเวทนา
    นั่งหลังตรงแหน่ว ตะแด่วแต่ว ปวดหลังก็ยอมตายแลกกับธรรมมะ
    เพราะอยากนั่งมานานแล้ว แต่ติดโรคปวดหลัง เลยนั่งไม่ได้ซักที

    สงบ ลง สงบ ลง จิตก็เข้าใจ และรับรู้ว่า กายอยู่ส่วนกาย จิต อยู่ส่วนจิต
    เวทนา มันก็อยู่ส่วนเวทนาแหนะ ไอก้อน ๆที่ปวดตรงนั้น มันไม่ใช่เรา
    นั่ง เข้าใจมันอยู่แบบนั้น
    อ่อ ที่เคยได้ฟังธรรมผ่าน ๆ ของจริงมันแบบนี้นี่เอง.....
    พอเข้าใจอยู่แบบนี้ ปรากฏว่าก้อนที่ปวด มันค่อย ๆ หายไป หายไป ที่ละนิด
    ถอนออกจากสมาธิ อาการปวดหลังหายไป 90 กว่าเปอร์เซนต์ได้
    อาศัยทำซ้ำ นั่งสมาธิอีกหลายรอบ

    ทุกวันนี้หายสนิท กระดูกกลับมาตรง ลืมไปเลยว่าเคยปวดหลัง......


    ส่วนสภาวะที่ได้รู้จักของเกือบปลายปีก่อน มาเป็นในรูปแบบกระทู้นี้
    หลายคนในนี้อ่านไปจนพรุนแล้วหละเนอะ
    มันพัฒนาต่อเนื่องมากจากเรื่องพื้นฐานที่เคยพิจารณา ต่อเนื่องกันมา
    ไม่ใช่ ๆว่าอยู่ ๆมาเกิดเรื่องแบบนี้
    https://palungjit.org/threads/ค่อนข้างเบื่อครับ.622749/#post-10571002

    รอบนี้มาเล่าในพลังจิต เพราะเวลาไปหาความรู้ในพันทิปซักพัก มันรู้ชอบกล
    มันชอบทะเลาะกันในเรื่องแปลกๆทุกวัน อ่านแล้วรำคาญ
    เลยมาเล่าในนี้ดีก่าาา



    ไม่ต้องถามย้อนอดีตไปไกลกว่านั้นนะ ขี้เกียจเล่า แค่นี้ก็พอละ
    ถือว่าเล่าให้ฟังแบบคนพิเศษ ต้องมีอะไรให้สุดพิเศษซะหน่อย
    ก็เห็นคุณ T5 เล่าของตัวเองมาเยอะแล้ว ผมก็เล่าบ้าง
    ก็อย่างว่า บางทีเหมือนอ่านธรรมแล้วไม่เข้าใจ
    ก็ต้องขัด ๆกันบ้างเป็นธรรมดา

    และไม่ต้องมาถามเรื่อง นิมิตร แสงสีเสียง อะไรนะ ผมนั่งสมาธิแบบเรียบๆ
    ไม่มีอะไรเหล่านี้มาให้กวน เห็นแสงบ้าง ก็สีขาวแบบแรง ๆ เหมือนลืมตาอยู่
    ก็แค่นั้นในช่วงที่ตั้งกระทู้แรก ได้ยินเสียงนู่นบ้าง นี่บ้าง ก็ช่วงแรก ๆ
    ขี้เกียจไปสนใจมัน มันก็เลยไม่มีอะไรแบบหวือหวามาเล่าให้ฟัง
    เหมือนคนอื่นเขา....

    และก็ไม่ต้องมาถามว่า เป็นอรหันต์เหรอ อนาคาเหรอ อีกนะ
    เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวไปนู่น......

    ที่ผมเล่ามาทั้งหมดคงจะตอบคำถามคุณได้นะ....
    ว่าผมพูดเพราะหมั่นไส้หรือหาเรื่องคุณหรือป่าว
    หรือว่าผมมีเจตนาแบบไหน
    แบบที่คุณตอบผมมาด้านบน ๆ

    บางทีถ้าใครแรง ๆมา ผมก็ขี้เกียจพูดตอบด้วยมากนัก......

    แต่ถ้าซอฟท์ลง ก็โอเค ถือว่าเล่าให้ฟังให้เข้าใจ
    จะได้ไม่ต้องมีบาป มีกรรมต่อกัน

    ว่าผมโง่สมคำเล่าลือหรือเปล่า

    นี่แหละ....
     
  13. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267


    ประการที่ 1 อย่าเรียกผมว่า T5 เพราะคำนี้เกิดจากความเข้าใจผิดของคนที่เรียกคนแรกไปเอง หลังๆเห็นเขาเลิกเรียกไปแล้ว อย่างไรเสีย ควรพิจารณาได้แล้วว่า อย่างน้อยๆ เขาก็คือผู้ปฏิบัติไปเพื่อปราศจากราคะโทสะโมหะอยู่ดี ไม่ว่าใครก็ตาม ที่เขามีความตั้งใจจริงตรงนี้อยู่ เราไม่ควรไปกล่าวแบบนั้น คุณน่าจะรู้ที่มาที่ไปของคำนี้ดีมาก่อน จะเกิดโทษเปล่าๆ

    ประการที่ 2 วิปัสสนาญาณ ในความเห็นส่วนตัว เวลาเกิดมันสะเทือนมาก หมายความว่ามีผลทางด้านจิตใจมาก คำพูดอาจเปลี่ยนสัญญาได้แค่ชั่วคราว เช่นพูดเป็นทางไว้ แต่ปัญญาแบบนี้เปลี่ยนนิสัยกันได้เลย หรือจะว่าได้อุปนิสัยใหม่ ได้เหตุปัจจัยไปสู่มรรคผลนิพพานก็ยังได้ ดังนั้นการรู้ในสภาวะทั้งหลายนั้น เลยบอกว่าไม่ผิด เพราะเห็นจริง มีผลเกิดขึ้นจริง

    ประการที่ 3 แต่ปรากฏการณ์แต่ละอย่างเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วขณะๆ แค่เสี้ยววินาทีเอง แต่ที่ลากหางออกมา ต้องดูให้ออก บางทีก็หลงลากซะไกล ติดดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตามจริต อนุสัย วิบากอีกเช่นเคย ตรงนี้คือกระแสโลก มีสติปัญญาถอนตนขึ้นจากหล่มเร็วหรือช้า เอาแค่นั้นพอ นี่ผมก็เพิ่งจะมารู้จักคำว่า ทิ้งให้เป็นชัดๆ เอาก็เมื่อ 24 ชั่วโมงกว่าๆ นี่เอง ดีแค่ไหนถ้ายึดไว้ ก็มีโทษหมด

    ส่วนเรื่องการแสดงออก ผมเอาคำนี้มาใช้เลยได้ไหม

    ดีแค่ไหน ถ้ายึดไว้ ก็มีโทษทั้งหมด แล้วคุณยังจำเป็นต้องการดีในสายตาของคนอื่นอยู่อีกหรือเปล่า เคารพธรรมไปเลย ธรรมตรงก็ลงใจกันไปเองครับ ผมว่านะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2018
  14. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ธรรมผม ไม่ลงกับคุณ ก็เลยค้าน
    มันถูกบ้าง มั่วบ้างปนเปผสมกันเยอะ ในสายตาผมเอง

    แต่ผมขี้เกียจไปนั่งจับผิดเป็นรายบรรทัด ก็อ่านของคุณเงียบ ๆอยู่เรื่อยๆ

    ที่เล่าให้ฟังไม่ใช่ว่ายึด แต่ผมเล่าประสบการณ์ผม คุณเล่าประสบการณ์คุณ
    ผมก็บอกว่าของผมเป็นแบบนี้ ๆ ของคุณเป็นแบบนี้ๆ
    ผมอ่านแล้วขัด ๆ ไม่ใกล้เคียงกับที่ผมรู้มา

    ใครผิด ใครถูกช่างมัน
    เอาเป็นว่า ที่เล่าให้ฟัง จะได้รู้ว่าผมค้านคุณว่ามันไม่ถูกในสายตาผมก็พอ

    ผมยังไม่รีบ ผมยังไม่สนเรื่องยึด เยิดอะไร

    ผมรู้แต่ว่าเวลาผมอยากสงบ ๆ ผมก็นั่งสมาธิ
    ผมนั่งสมาธิ ผมก้าวหน้าก็ดีไป ไม่ก้าวหน้าก็ชั่งมัน

    เก็ทเนอะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2018
  15. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    และอีกอย่าง ก็อย่างที่คุณว่า
    ผมถือว่าทุกคนที่มาปฏิบัติธรรม คือเพื่อนรวมทางกันหมด
    ดังนั้นผมจึงไม่เคยด่าว่าใคร โง่ เวลาพยายามบอกต่อธรรม

    ใครบอกได้ผมก็จะพยายามบอก ตามเท่าที่ตนเองรู้

    ใครแรงมาผมก็ไม่บอก

    ถ้าสอนบอกแล้วอัตตาแรง ผมก็เลิกสอน แต่ถ้าเห็นว่าเพิกถอนได้ก็ลองใหม่อีกสักที
    ถ้าแรงอีก ก็จบกัน

    นี่คือหลักของผม

    โดยรวม ถ้ามีเวลามาอ่านบอร์ด แล้วถ้ามีใครมีคำถามตรงกับที่รู้มาก็จะบอก
    นอกเหนือจากนี้ อ่านอย่างเดียว ไม่ชอบทำตัวเป็นอาจารย์

    เพราะผมถือว่าผมเคยมีประสบการณ์แบบนี้ ๆ จึงถ่ายทอด

    หากคนที่รับไป ถือสิ่งที่บอกถ่ายทอดเป็นอย่างอื่น
    ก็แล้วแต่เวร แต่กรรม...
     
  16. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    นำไฟล์หลวงปู่พุธ มาฝากท่านศิษย์V2
    ว่างๆแวะไปฟังนะครับ

     
  17. คนไทบ้านๆ

    คนไทบ้านๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2018
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +267
    ตกลงเจ็บใจหรือเปล่าครับ ถ้าไม่เจ็บใจก็วางๆไปเถอะ ใครให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นก็จะถึงตัว (เขาเอง) เแหละ ความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน ผู้อื่นพึงให้ความบริสุทธิ์แก่ผู้อื่นหาได้ไม่ ถ้าไอ้เรื่องหมิ่นประมาทลักษณะนี้ผมปล่อยเลย ว่ากันที่หลักธรรมมีประโยชน์ทางพ้นทุกข์กว่า


    เรื่องแรงนี่ มองอีกมุมดีไหม ไม่ใช่แรง แต่เป็นตรง พูดตรงๆ ตรงไปตรงมา เห็นอย่างไรว่าอย่างนั้น ถ้าแรงนี่คือจะเอาชนะกันเฉยๆ ถ้าตรงคือให้เหตุผลตามสัจจะความจริงที่ปรากฏแก่ใจ แต่ทีนี้อย่างที่บอก ดีแค่ไหน ถ้ายึดไว้ มันกลายเป็นเรื่องของอัตตาไปหมด คือการไม่ยอมรับความจริง จะเอาของกูท่าเดียว คือพอมีกูก็มีของกู การยอมรับความจริง ยอมรับกฏของกรรมมันจะหายเกลี้ยง

    ส่วนหลงไม่หลงพูดไปแล้ว แต่ละปรากฏการณ์ผ่านมาแล้วผ่านไป เป็นเหตุให้ได้อุปนิสัยนำไปสู่ทางพ้นทุกข์ จริงๆมันจบตรงที่ ดีแค่ไหน ถ้ายึดไว้ มันก็เป็นปัญหาไปหมด ถ้าเอาเรื่องกริยาระหว่างทางมาจับ ตราบใดยังไม่จบกิจ ที่แสดงออกมา ก็ยังต้องว่าเป็นกริยาระหว่างทั้งหมดจริงไหม แล้วทีนี้จะไปเอาอะไรกับมันมากนัก แต่ถ้าไปใช้คอนเซ็บท์ไม่ยึดแล้วไปไล่ตีชาวบ้านเขา ต้องระวังตรงที่ว่า ดี กับ ยึด เป็นคนละตัวกัน อย่าไปประมาทในสิ่งที่เขาเข้าถึง เพราะตรงนั้นคือ ดีสำหรับเขาโดยเฉพาะไปแล้ว อาจจะยังไม่ดีสำหรับเราก็เท่านั้นเอง
     
  18. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ขอบคุณท่านปราบมากครับ ที่เผื่อแผ่ธรรมมะ
    ตอนนี้มาพุทธมณฑล จิตสงบๆวันหยุด อยากมาไหว้องค์พระ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า

    สัญญาว่ากลับถึงบ้านจะเปิดฟังคับ อิอิ
     
  19. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ทำดีแล้วและใครที่ทำดีผมอนุโมทนาทุกคน ไม่เว้นแม้แต่สัตว์ทั่วไป ขอให้มีอุปนิสัยปัจจัยต่อไป มีโอกาสเสมอที่จะรู้เพื่อหลุดพ้นและก็มีโอกาสเสมอเพื่อจะหลงยึดติดเวียนว่ายไปในวัฏสังสารนี้ มีพระศาสดาที่รอมาตรัสรู้มากก็จริงแต่พระศาสดาสมณโคดมสอนไว้นี้ตั้งอยู่ตรงหน้าทุกค่ำเช้าแม้ยามหลับอย่าลืม ขอให้พบเจอแต่สิ่งดีมีกัลยานมิตรชี้นำและขอให้บารมีสั่งสมได้พบพระศาสดาในอนาคตกาลทั้งนำพาญาติสหายบริวารให้พบพานกับพระสัทธรรมตามปราถนา สาธุ อนุโมาทามิ
     
  20. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เรื่องนึงที่น่าสนใจในชีวิตคือรู้สึกแปลกใจมากในคำถามแบบเดียวกัน เช่น สมาธิคืออะไร ฌานเป็นอย่างไร ผู้ซึ่งไม่มีบุพกรรมเป็นครูอาจารย์กันมาเขาตอบให้ไม่ได้ ถ้าเขารู้หลักแห่งกรรม ส่วนใหญ่ท่านไม่มักตอบ เว้นไว้บางคนที่เป็นครูบาอาจารย์เราจริง จำไว้เสมอว่าเราทั้งหลายไม่ได้เกิดมาลอยๆและไม่ใช่เพื่อหาทางหลีกหนี แต่เพื่อเรียนรู้ให้เข้าใจในพระสัทธรรม โดยหลักบัญญัติก็ตามนั้นแต่โดยหลักปฏิบัติมีมากกว่ายิ่งนัก หลายสิ่งเป็นอริต่อกันและหลายสิ่งกลมกลืนต่อกัน อยู่ที่ความปราถนา ไม่ใช่เพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะความโลภ ก็เคยสงสัยว่า ระหว่างความโลภกับตัณหาต่างกันอย่างไร พิจารณาเห็นว่า ทุกชีวิตประกอบด้วยตัณหาแต่ตัณหาในบางชีวิตไม่ได้ประกอบเป็นความโลภ มันจึงแยกแยะออกจากกันโดยสิ้นเชิง อย่างไม่สามารถเหมารวมกันได้ เป็นต้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...