ดิฉันเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็นภคินีแห่งพระมหามุนีพระนามว่าปุสสะ
ผู้มีพระรัศมีงามรุ่งเรือง มีธรรมดังว่าเทริดดอกไม้บนศีรษะ ดิฉันได้
ฟังธรรมของพระองค์แล้วมีจิตเลื่อมใสถวายมหาทานแล้ว ปรารถนา
ซึ่งรูปสมบัติ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าสิขี
ผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลก ทรงยังโลกให้รุ่งเรือง เป็นสรณะใน
ไตรโลกเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลพราหมณ์ใน
เมืองอรุณอันน่ารื่นรมย์ โกรธแล้ว ด่าภิกษุณีองค์หนึ่งผู้มีจิตพ้นแล้ว
จากกิเลสว่า ท่านเป็นหญิงเพศยา ประพฤติอนาจารประทุษร้าย
พุทธศาสนา ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว ดิฉันต้องไปสู่นรกอันร้ายกาจ
เพรียบพร้อมไปด้วยมหันตทุกข์ เพราะกรรมอันลามกนั้น
เคลื่อนจากนรกนั้นแล้วมาเกิดในหมู่มนุษย์เป็นผู้มีลามกธรรม
เป็นเหตุให้เดือดร้อนครองความเป็นหญิงเพศยานานถึงหมื่นชาติ
ยังมิได้พ้นจากบาปกรรมนั้น เปรียบเหมือนคนกินยาพิษอันร้ายแรง
ดิฉันได้บวชเป็นภิกษุณีมีเพศประเสริฐในศาสนา พระพุทธกัสสป
ในเวลาเป็นภิกษุณีเกลียดการเข้าอยู่ในครรภ์ ก็ตั้งจิตไว้ให้อยู่ในอัตภาพเป็นโอปปาติกะ
ด้วยการตั้งจิตนั้น ในอัตภาพสุดท้ายดิฉันก็บังเกิดเป็นโอปปาติกะที่โคนต้นมะม่วง
ในพระราชอุทยาน กรุงเวสาลี.
พนักงานเฝ้าอุทยานเห็นเด็กหญิงนั้นก็นำเข้าพระนคร
เพราะบังเกิดที่โคนต้นมะม่วง จึงถูกเรียกว่า อัมพปาลี.
ครั้งนั้น พวกพระราชกุมาร [เจ้าชาย] มากพระองค์เห็นความสะสวยน่าชม
น่าเลื่อมใส ทั้งแสดงคุณพิเศษมีเสน่ห์น่ารักน่าใคร่เป็นต้น
ต่างก็ปรารถนาจะทำให้เป็นหม่อมห้ามของตนๆ จึงเกิดทะเลาะวิวาทกัน.
คณะผู้พิพากษาได้รับคำฟ้อง เพื่อระงับการทะเลาะวิวาทของพวกราชกุมาร
เหล่านั้นจึงตั้งไว้ในตำแหน่งคณิกาหญิงแพศยา ว่าจงเป็นของทุกๆ คน.
ดิฉันได้ศรัทธาในพระศาสดา สร้างวิหารไว้ในสวนของตนมอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์
มี พระพุทธเจ้าเป็นประธาน ภายหลังฟังธรรมในสำนักของพระวิมลโกณฑัญญเถระ
บุตรของตน ก็บวชเจริญวิปัสสนาอาศัยความที่สรีระของตนคร่ำคร่าลงเพราะชรา
ก็เกิดสังเวชใจ ได้พิจารณาทบทวนอนิจจตาความไม่เที่ยงในธรรมที่เป็นไป
ในภูมิ ๓ ทั้งหมด โดยมุขคือการกำหนดความไม่เที่ยงในอัตภาพของตนอย่างนี้แล้ว
ยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะและอนัตตลักษณะในอัตภาพตนนั้น ตามแนว อนิจจลักษณะ
อย่างขะมักเขม้นเจริญวิปัสสนาอยู่ ก็บรรลุพระอรหัตผล โดยลำดับมรรค....
ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในฤทธิ์ทั้งหลายในความหมดจด
แห่งโสตธาตุ[หูทิพย์] เป็นผู้เชี่ยวชาญเจโตปริยญาณ [รู้ใจผู้อื่น]ข้าพเจ้ารู้ขันธ์
ที่เคยอาศัยอยู่ในภพก่อนๆ [ระลึกชาติได้] ชำระทิพยจักษุหมดจด [ตาทิพย์]
หมดสิ้นอาสวะทุกอย่าง [อาสวักขยญาณ] บัดนี้จึงไม่มีภพใหม่ [ไม่ต้องเกิดอีก].
ข้าพเจ้ามีญาณสะอาดหมดจด ในอรรถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทานิรุตติปฏิสัมภิทา
และปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะอำนาจของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดกิเลสทั้งหลาย
ข้าพเจ้าก็เผาเสียแล้ว ภพทุกภพข้าพเจ้าก็ถอนเสียแล้วข้าพเจ้าตัดพันธะเหมือนกะช้างตัดเชือก
ไม่มีอาสวะอยู่ในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ข้าพเจ้าก็มาดีแล้ว.
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธะข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว
ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้ากระทำให้แจ้งแล้ว
คำสอนของพระพุทธเจ้าข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว.
.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา วิสตินิบาต ๑.อัมพปาลีเถรีคาถา .
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพุทธบูชาในวันมาฆบูชา
รายละเอียดตามลิงค์นี้ครับ
http://palungjit.org/showthread.php?t=168625
ศูนย์พุทธศรัทธา
สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
เพียงท่านแวะชมและโมทนาท่านก็จะได้บุญได้กุศลตามกำลังใจของแต่ละท่าน
<O:p></O:p>
อัมพปาลีเถรี พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ มีกำเนิดอัศจรรย์คล้ายพระนางสร้อยดอกหมาก
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชนะ สิริไพโรจน์, 15 มกราคม 2009.