อานุภาพชินบัญชรคาถา (พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์)

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 3 พฤศจิกายน 2014.

  1. pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,852
    พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์

    นับตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.๒๕๓๘ เป็นต้นมา ผมได้ประสบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ถูกโรคภูมิแพ้เบียดเบียนมาโดยตลอด ทำให้เกิดมีอาการไอ เสมหะเต็มคอ บางครั้งเมื่อมีอาการรุนแรง จะมีการไอถี่ตามด้วยอาการหอบซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรคหืด แพทย์ได้วินิจฉัยว่า เป็นโรคไซนัสในโพรงจมูก ที่มีต้นเหตุมาจากเกิดการภูมิแพ้ จึงได้ทำการเจาะดูดล้างโพรงจมูก อาการได้ดีขึ้นอยู่ประมาณ ๒ เดือน ต่อมาก็ได้เริ่มแสดงอาการออกเป็นระยะ ๆ ยาที่แพทย์ได้สั่งจ่ายมาให้จะสามารถช่วยบำบัดบรรเทาโรคได้เป็นครั้งคราว เนื่องจากอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นยังไม่สามารถหาต้นเหตุที่แท้จริงได้ในชั่วเวลานั้น จนกระทั่งถึงยามดึกในคืนวันหนึ่งเมื่อประมาณต้นธันวาคมของปีเดียวกัน ผมได้เกิดอาการไอที่รุนแรงทุกครั้งที่นอนราบบนที่นอน ต้องลุกขึ้นนั่งหอบที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน และมีความคิดว่า "ตัวเรานี้คงจะต้องนั่งตายอย่างแน่นอน"

    โดยปกติผมมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระคาถาชินปัญชร ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และจะสวดมนต์ภาวนาพระคาถานี้เมื่อเข้าที่คับขัน ทั้งที่ไม่เคยสนใจรู้จักหน้าค่าตาของสมเด็จฯ ท่านมาแต่ก่อนเลย การสวดมนต์ภาวนาพระคาถานี้ได้เคยปรากฏผลให้เห็นหลายครั้ง ดังนั้น เมื่อผมต้องเข้าที่คับขันเนื่องจากโรคาพยาธิคุกคาม การภาวนาพระคาถาชินปัญชรจึงเป็นความหวังสุดท้ายของผม

    เมื่อผมได้ภาวนาพระคาถาฯ ไปเพียงไม่กี่จบ ผมมีความรู้สึกผิดปกติที่มือทั้งสองซึ่งประสานกันอยู่ในระหว่างการภาวนา คือ มือทั้งสองเริ่มสั่นรุนแรงขึ้นตามลำดับที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "สั่นเหมือนเจ้าเข้า" โดยที่ผมเป็นวิศวกร เป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่เคยเชื่อในเรื่องการทรงเจ้าเข้าทรง หรือการที่มีอาการสั่นเมื่อทำการปลุกเครื่องรางของขลังมาแต่ดั้งเดิม จึงพยายามตั้งสติต้านกระแสการเปลี่ยนแปลงของสรีระดังกล่าว ในขณะเดียวกันก็ยังคงทำการภาวนาพระคาถาฯ ต่อไป
    <!-- แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent"> -->


    <!-- re1.jpg [ 22.04 KiB | เปิดดู 1852 ครั้ง ] -->


    ต่อมาอีกไม่นาน ได้รู้สึกขนลุกเมื่อได้ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็นเป็นภาพของพระภิกษุชรารูปหนึ่งมีขนาดเล็กกำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาตัว เมื่อภาพนั้นได้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ลักษณะของภาพจะขยายเพิ่มขึ้นตามลำดับ มือทั้งสองที่กำลังสั่นอยู่ได้สั่นรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที เนื่องจากผมยังสามารถประคองสติอยู่จึงเข้าใจว่า คงจะมีการประทับทรงเกิดขึ้นในตัวของผมอย่างแน่นอน และได้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ในยามดึกดื่นที่ผมนั่งภาวนาอยู่โดยลำพังนี้ ถ้าผู้ที่มาประทับทรงไม่ยอมออกจากร่างของผมในเวลาอันสมควรผมจะทำอย่างไรดี คงจะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน ผมจึงได้รวมพลังตั้งสติหยุดการภาวนา ภาพที่มาปรากฏให้เห็นก็หายวับไป มือทั้งสองที่กำลังสั่นอยู่ก็หยุด จมูกที่เคยคัดก็โล่งโปร่งหายใจสะดวกขึ้น เสมหะที่เคยเต็มอยู่ในคอก็เหือดแห้งไป ผมจึงกลับเข้านอนและหลับสนิทจนถึงสว่าง

    เมื่อผมตื่นขึ้น ผมได้หยิบยกนำเอาปรากฏการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในยามดึกมาขบคิดพิจารณาว่า นิมิตหรือภาพที่มาปรากฏให้เห็นในระหว่างการภาวนา เป็นสิ่งที่ใจเราสร้างขึ้นมาเอง หรือเป็นผลที่เกิดจากการปรับจิตของผมให้ตรงกับคลื่นพลังงานของพระภิกษุชรานั้น ในลักษณะเดียวกับการปรับช่องของเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ให้ตรงกับสถานีส่งวิทยุโทรทัศน์ หากเป็นประการหลัง จะเป็นไปได้หรือไม่ที่พระภิกษุชรารูปนั้นจะเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ?

    ด้วยความอยากรู้อยากทดลอง ในคืนต่อมาผมได้ทำการสวดมนต์ภาวนาพระคาถาชินปัญชรอีก เมื่อได้ภาวนาอยู่ระยะหนึ่งก็ได้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นดังเช่นคืนที่แล้ว กล่าวคือมือทั้งสองที่กำลังประสานกันอยู่เริ่มสั่นรุนแรงยิ่งขึ้น รู้สึกขนลุก ต่อจากนั้นได้ปรากฏภาพของพระภิกษุชราขึ้นมีขนาดเล็กแล้วเคลื่อนที่เข้ามาหาตัวผม โดยภาพของท่านได้ขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกับคืนแรก คราวนี้ผมได้ยอมให้ภาพนั้นผ่านเข้ามาในจิตของผม การสั่นของมือทั้งสองเริ่มน้อยลงและหยุดลง ผมมีความรู้สึกว่าร่างกายของผมมีลักษณะเสมือนกับคนแก่คนหนึ่ง และเกิดมีการติดต่อสนทนาระหว่างกันภายในจิตเดียวของผม คือ มีทั้งผู้ถามและผู้ตอบ ดังนี้

    ผู้ถาม----ลูกเชิญพ่อมาทำไม ?
    ผู้ตอบ----ขณะนี้ ลูกกำลังได้รับความทุกข์ทรมานถูกโรคภัยรบกวนเหลือเกิน จึงอยากจะให้หลวงพ่อช่วยปัดเป่าให้ลูกด้วย
    ผู้ถาม----เท่าที่ลูกกำลังปฏิบัติ (สวดมนต์ภาวนา) อยู่ก็จะช่วยบำบัดรักษาได้
    ผู้ตอบ---ลูกจะถือศีลห้า และปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำครับ

    เป็นที่น่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่หลวงพ่อได้ออกจากการประทับทรงแล้ว ความทุกข์ทรมานที่ได้ถูกโรคภูมิแพ้คุกคามก็หายไปดังเช่นคืนที่แล้ว นับตั้งแต่นั้นมาผมจึงถือศีลห้าตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญา และได้ทำการภาวนาอาราธนาหลวงพ่อมาประทับทรงเพื่อให้ท่านช่วยบำบัดรักษาเป็นประจำทุกคืน ตนเองมีความรู้สึกอิ่มเอิบปีติเป็นอย่างยิ่งที่หลวงพ่อท่านมีความเมตตากรุณาต่อผม ผมได้นำเรื่องนี้ไปหารือสอบถามคุณน้าทองแถม ศาสตระรุจิ อาจารย์ใหญ่ในวิชาพรหมศาสตร์ และผู้รู้ท่านอื่น ได้รับคำตอบที่คล้ายคลึงกันว่า ผมโชคดีมากที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้เสด็จมาประทับทรง เพราะโดยปกติ ท่านจะเลือกเฉพาะตัวบุคคลที่เคยมีบุพเพสันนิวาส เคยร่วมภพร่วมชาติกับท่านเท่านั้น

    มีอยู่ครั้งหนึ่งในเวลากลางวัน ผมได้ถูกโรคไซนัสคุกคามค่อนข้างรุนแรง ผมจึงได้ติดต่อพลโทนายแพทย์อัศวิน เทพาคำ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคภูมิแพ้ มิตรสนิทของผม ซึ่งดูแลรักษาโรคนี้ของผมมาตั้งแต่ต้น ขอนัดหมายให้ทำการเจาะล้างโพรงจมูกอีกครั้งหนึ่งในวันต่อมา ก่อนที่จะถึงวันนัดหมายผมได้สวดมนต์ภาวนาอาราธนาหลวงพ่อมาบำบัดรักษาให้ ปรากฏว่าอาการของโรคได้บรรเทาลงตามลำดับ จนถึงวันนัด คุณหมออัศวินฯ ซึ่งได้เตรียมเครื่องเจาะล้างโพรงจมูกไว้พร้อมแล้ว ได้ตรวจหาหนองที่คั่งค้างอยู่ก่อนทำการเจาะ เป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณหมออัศวินฯ ได้แจ้งว่าไม่พบหนองคั่งค้างแต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องเจาะ ผมจึงไม่ต้องเจ็บตัวอีกครั้งหนึ่ง

    ด้วยความปลื้มปีติที่ผมได้รับความกรุณาจากหลวงพ่อท่าน ทำให้ผมรับประทานอาหารน้อยลงผิดปกติ ร่างกายจึงมีความสมบูรณ์ไม่เพียงพอ คืนวันหนึ่งโรคประจำตัวของผมจึงเข้าคุกคามอย่างรุนแรง ในระหว่างการสนทนาทางจิต หลวงพ่อได้กรุณาแนะนำว่าการปฏิบัติของผมจะได้ผลสมบูรณ์นั้น ร่างกายของเราจะต้องได้รับการพัฒนาให้มีความสมบูรณ์เพียงพอด้วย มิใช่จะมุ่งพัฒนาเฉพาะทางจิตอย่างเดียว ขอให้ยึดถือปฏิบัติในทางสายกลางตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ทุกครั้งที่ได้อาราธนาหลวงพ่อมาประทับทรง หลวงพ่อจะกรุณาอบรมสั่งสอนธรรมะต่าง ๆ ให้แก่ผม มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้บอกว่า พ่อตั้งใจจะให้ลูกเป็นธรรมทายาทของพ่อ ซึ่งคำกล่าวนี้ผมยังจำจดจำฝังใจอยู่จนกระทั่งบัดนี้

    บุตรสาวของผม สรัสวดี เผือกสกนธ์ เป็นผู้ที่ใฝ่ศึกษาธรรมคนหนึ่ง ได้พยายามแนะนำชักชวนให้ผมหาโอกาสไปนมัสการพระเกจิอาจารย์หลายท่านที่เธอรู้จัก และได้นำหนังสือคำบรรยายธรรมของท่านเหล่านี้มาให้ผมอ่าน แต่ผมก็มิได้สนใจ เพราะมีใจผูกพันเชื่อมั่นในหลวงพ่อสมเด็จฯ โต พรหมรังสี เสียแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังค้นหาหนังสือเก่า ๆ มาอ่านเล่น จะโดยเหตุบังเอิญหรืออย่างไรไม่อาจจะทราบได้ ผมได้หยิบหนังสือที่เจ้าภาพได้พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตำรวจเอก (พิเศษ) สุจินต์ สงวนหมู่ อดีตรองผู้บังคับการกองสื่อสาร กรมตำรวจ ที่เป็นทั้งเพื่อนและเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม ซึ่งผมจำได้ว่า ได้เขียนคำไว้อาลัยไว้ให้มาพลิกอ่านดู จึงได้พบบทความคำบรรยายธรรมของท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา พิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มนี้ เมื่อได้อ่านดูแล้วเห็นว่ามีเนื้อหาสาระสำคัญน่าสนใจ และเข้าใจง่าย ดูจะสะดวกในการศึกษาและปฏิบัติธรรมสำหรับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตประจำวันปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบทั้งในภาคราชการและเอกชน ท้ายหนังสือนี้ได้แนะนำให้ฟังคำบรรยายธรรมของหลวงพ่อที่ได้บรรยายไว้ในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งได้บันทึกไว้เป็นเทป และมีจัดจำหน่ายรวม ๒๒ ตอน ไว้ด้วย
    <!-- แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent"> -->

    <!-- คำอธิบาย: พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
    -->
    <!-- re1.jpg [ 21.03 KiB | เปิดดู 1848 ครั้ง ] -->


    ผมได้จัดซื้อเทปดังกล่าวมาเปิดฟังจนครบถ้วนทุกตอน ความรู้ความเข้าใจจากการรับฟังคำบรรยายของหลวงพ่อถึงแม้ว่า จะยังไม่มากมายนัก แต่ก็ได้จุดประกายไฟให้แสงสว่างแก่จิตใจของผมให้ได้สติว่า ทางปฏิบัติที่ผมกำลังกระทำอยู่นั้น (การภาวนาเพื่ออาราธนาท่านเจ้าพระคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ โต พรหมรังสี มาประทับทรง) นั้น เป็นแต่เพียงการเริ่มต้นเท่านั้น หากยังยึดติดอยู่ตรงจุดนี้ผมจะไม่มีโอกาสเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางตามคำสอนของท่านหลวงพ่อพุธฯ ได้เลย ผมจึงได้ระงับการสวดมนต์ภาวนาอาราธนาท่านมาประทับทรงตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.๒๕๓๙ เป็นต้นมาจนถึงบัดนี้ โดยได้เปลี่ยนเข็มมุ่งหน้ามาขวนขวายศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือพระอภิธรรม หนังสือรวบรวมคำบรรยายของพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ และหนังสือที่เขียนขึ้นโดยท่านผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), พันเอกสมัคร บุราวาส, นายบุญมี เมธางกูร เป็นต้นแทน ทั้งยังได้หาโอกาสไปนมัสการสอบถามปัญหาธรรมกับท่านอาจารย์เจ้าคุณพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เป็นครั้งคราว ซึ่งสามารถช่วยพัฒนาเสริมและขยายฐานปัญญาของผมขึ้นได้ในระดับหนึ่ง

    ถึงแม้ว่าผมจะมีความอาลัยที่จะต้องเปลี่ยนวิธีการจากที่ได้เคยปฏิบัติอยู่เดิม ได้มีโอกาสพบและรับฟังคำสอนที่ท่านเจ้าพระคุณหลวงพ่อ สมเด็จโตฯ ได้กรุณาประทานให้ทุกครั้งที่เสด็จมาประทับทรงมาโดยตลอด และคำกล่าวของท่านที่ว่า "พ่อตั้งใจจะให้ลูกเป็นธรรมทายาทของพ่อ" นั้น ผมยังจดจำได้อย่างแม่นยำฝังใจ ผมจึงได้เริ่มต้นปฏิบัติตามความประสงค์ของท่านโดยการจัดทำเทปคำบรรยายธรรมของท่านอาจารย์หลวงพ่อพุธฯ แจกจ่ายให้แก่ผู้ที่สนใจใฝ่ศึกษาปฏิบัติธรรมโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และติดตามด้วยการเขียนบทความพุทธศาสตร์ศึกษาออกเผยแพร่เป็นวิทยาทานอีกส่วนหนึ่ง

    จนถึงปัจจุบันนี้ผมยังบำเพ็ญบุญกิริยาต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ การรักษาศีลห้า การบริจาคทาน การศึกษาปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญสมาธิภาวนา และบุญกิริยาอื่น ๆ มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง และได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า จะบำเพ็ญบุญกิริยาดังกล่าวต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และเมื่อต้องจุติไปปฏิสนธิในชาติภพใดก็ขอให้ได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญกิริยาเช่นนี้ไปทุกชาติทุกภพ เพื่อให้สมเจตนาของท่านเจ้าพระคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ โต พรหมรังสี ทุกประการ

    เรื่องการเสด็จมาประทับทรงของท่านเจ้าพระคุณหลวงพ่อ สมเด็จโตฯ ที่ผมได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ฟังดูแล้วดูจะเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ แต่เรื่องทำนองนี้ได้มีปรากฏอยู่ในพระอภิธรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกัมมัฏฐานซึ่งได้กล่าวถึงเรื่องภาวนาและนิมิตอย่างชัดเจน และสามารถนำมาอธิบายชี้เหตุชี้ผลได้ดังนี้

    ๑. การสวดมนต์ภาวนาพระคาถาชินปัญชรที่ผมได้กระทำในช่วงเวลาที่กำลังถูกคุกคามด้วยโรคร้าย จัดเป็นบริกรรมภาวนาโดยการกำหนดใจให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือ ที่เรียกว่า "พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ" ซึ่งเป็นการช่วยสร้างสมาธิที่เรียกว่า "บริกรรมสมาธิ" ให้แก่ผมได้โดยไม่รู้ตัว การภาวนาในลักษณะนี้จัดเป็นขั้นตอนหนึ่งในการปฏิบัติเพื่อสร้างสมถกัมมัฏฐาน (การทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบนิ่ง) เริ่มตั้งแต่อุปจารสมาธิ (จิตจวนเจียนจะสงบนิ่ง) จนถึงอัปปมานาสมาธิ (จิตสงบนิ่งจริง ๆ) อาการสั่นของมือและร่างกาย รู้สึกขนลุก เป็นการแสดงออกทางร่างกายเมื่อจิตถูกกระตุ้นให้รู้สึกปลาบปลื้ม อิ่มใจในอารมณ์ หรือ ปีติเจตสิก ก่อนที่จะเข้าถึงขั้นรวมอารมณ์ต่าง ๆ ไว้เป็นอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน หรือเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งนำไปสู่สมาธิดังกล่าวข้างต้น

    ๒. การบริกรรมภาวนาที่สร้างบริกรรมสมาธิดังกล่าวได้ทำให้เกิดบริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต (นิมิตที่ติดแน่นฝังใจอย่างชัดเจน) และปฏิภาคนิมิต (นิมิตที่ติดแน่นฝังใจอย่างชัดเจน สามารถขยายนิมิตให้ใหญ่ให้เล็กตามปรารถนา)

    ๓. การเข้ามาประทับทรง และการสนทนาทางจิตจะเกิดขึ้นในช่วงที่จิตกำลังอยู่ในภาวะอุปจารสมาธิ ส่วนจะเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ขอให้ติดตามอ่านรายละเอียดในบทความของผมเรื่อง "จิตกับความฝัน" ที่ได้จัดรวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ผมยังปรารถนาที่จะให้ท่านผู้อ่านได้หยิบยกคำอธิบายของผมดังกล่าวข้างต้นมาพิจารณากันด้วยเหตุด้วยผล ตามแนวคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้แสดงไว้ใน "กาลามสูตร" เพื่อจะได้ช่วยเสริมสร้างปัญญาบังเกิดเป็นกุศลแก่ท่านให้มากยิ่งขึ้น

    หากท่านผู้ใดมีข้อคิดเห็นที่แตกต่าง หรือมีข้อเสนอแนะที่ควรเพิ่มเติมขยายคำอธิบายของผมให้ละเอียดเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ขอความกรุณาแจ้งให้ผมทราบเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผมและท่านผู้อ่านอื่น ๆ ด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    เรียบเรียง ณ วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๑

    http://www.navaraht.com/forum/forum15/topic3978.html
     

แชร์หน้านี้